คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 2
รถคันเดิมมารับตรงเวลาเหมือนเมื่อครั้งมาส่งแต่บรรยากาศแผกออกไป และทันทีที่จอดเทียบหน้า 'บ้าน' หลังโต ปรัชญ์และณรงค์ก็ลงมาคุกเข่าอยู่หน้าทางเข้านั้น แต่ศิขินทร์กลับเลยผ่านไปราวไม่เห็น ผู้เป็นพ่อเอ่ยถามเมื่อลูกชายกลับเข้าบ้านมา
"อะไรกันล่ะศิขินทร์"
"ครับ?"
"สองคนนั้นทำอะไร"
"ผมไม่เข้าใจเหมือนกัน"
"ลูกรู้แก่ใจ บอกพ่อซิ เกิดอะไรขึ้น"
บิดาปิดหนังสือที่กำลังอ่านค้างอยู่ลง แล้วเงยขึ้นมอง ศิขินทร์เดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ข้างๆ "เขาไม่ได้ทำอะไรจริงๆครับ และผมก็ไม่ได้ทำอะไรเหมือนกันนอกจากบอกให้ไปซะ เท่านั้น"
"ก็ทำไมให้เค้าไปล่ะ"
"ผมบอกแล้วว่าเราเป็นนักเรียนเสมอกัน แต่สองคนนั้น..ไม่ยอม"
"ชัยยุทธ์" ชายเจ้าของบ้านเรียกคนสนิท
"พระเจ้าค่ะ"
"ถามสองคนนั้นสิว่าทำอะไรอยู่"
"ถามแล้วพระเจ้าค่ะ"
"ตอบว่ายังไง"
"ปรัชญ์คุกเข้าเพราะรู้ว่า..เอ่อ..เจ้าชายกริ้ว จึงทำเพื่อขออภัย ส่วนณรงค์คุกเข่าเพราะรู้ว่าทำผิดไป ไม่ควรจะทิ้งเจ้าชายไว้ตามที่รับสั่งจึงขอประทานอภัยจากฝ่าบาทไม่ใช่เจ้าชาย" แม้จะยังเด็กนัก แต่ด้วยความที่เติบโตมาอย่างใกล้ชิดราชสกุล เด็กน้อยถูกสอนตั้งแต่จำความได้ ทหารในพระบัญชา และคนของพระราชวงศ์ทุกคนทำเหมือนกัน เมื่อผิด วิธีการรับโทษหรือขอพระกรุณาก็คือคุกเข่า ..คุกเข่า จนกว่าจะทรงมีรับสั่งมา บางครั้งก็จะมีคนอัญเชิญกระแสรับสั่งมา "อภัยให้" เมื่อนั้นก็จะลุกขึ้นปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ บางครั้งคนมาบอกว่า "ปลด" ก็จำต้องเดินจากไป หรือบางครั้ง "ตาย" มีดสั้นที่เหน็บไว้ที่เอวถูกชักออกมา เจ้าตัวจะออกแรงครั้งเดียว แทงอย่างบรรจงให้ตัดขั้วหัวใจ ถ้าพลาด คนเชิญกระแสรับสั่งนั่นแหละ จะจัดการที่เหลือให้
"อย่างนั้นเราอภัยให้ณรงค์แล้วให้ลุกขึ้นได้ส่วนปรัชญ์ต้องถามเจ้านายเขาเองเอง" 'เจ้าชาย'เบือนพระพักตร์ไม่รับสั่ง ชัยยุทธ์จึงออกไปบอก ปรัชญ์แต่เจ้าตัวขอคุกเข่าต่อเป็นเพื่อนสหาย
อดีตเจ้าหลวงแห่งโอเรียน่า หันมารับสั่งกับพระโอรสจริงจัง
"ศิขินทร์ รู้มั้ยว่าสองคนนั้นตามไปทำไม"
"ทำไมล่ะครับ"
"ไปเป็นทั้งเพื่อนและข้า" รับสั่ง อ่อนโยนยามที่ทรงมีในฐานะพ่อต่อลูก จะสอนคนต้องดูคน คนไหนสอนอย่างไรได้ผล เด็กคนนี้ ถ้าเอาชนะด้วยกำลังด้วยคำสั่งจะไม่มีวันชนะได้ แต่ถ้าหากชนะด้วยเหตุด้วยผลล่ะก็ เค้าจะฟังจะเชื่ออย่างแท้จริง
"ผมต้องการเพื่อนมากกว่าข้า"
"เป็นเจ้าชาย ต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง คิดดูนะลูก ถ้าลูกเป็นอะไรไปอีกคน พ่อจะทำยังไง"
"ที่โรงเรียนเนี่ยเหรอครับพ่อ ใครจะทำอะไรผม หรือถึงจะมี สองคนนั้นจะทำอะไรได้"
"ไม่รู้เหมือนกันสิ เอาเป็นว่าไม่ชอบก็ตามใจลูกเถอะ ลูกโตมากแล้ว โตพอที่ใครจะระแวงได้ ที่โรงเรียนไม่ได้ปลอดภัยเลยนะลูก ออกจะอันตรายกว่าพิธีครั้งนั้นด้วยซ้ำ"
'พิธีครั้งนั้น' ยังติดพระเนตรอยู่จนทุกวันนี้
"ทำไมล่ะครับ ทำไมท่านอา.." สุรเสียงเรียบเปลี่ยนเป็นสั่นเครือ
"ถ้าเพียงบอกผม ผมก็ให้แล้ว ทำไมต้อง.."
"ศิขินทร์"
"ถ้าฆ่าผมก็แล้วไป ทำไมต้องทำแม่" คราวนี้น้ำใสหล่อรื้นเป็นม่านบางบังเนตรดำงามคู่นั้น หากแต่ถูกบังคับไม่ให้ไหลลง
"ไม่ใช่ความผิดของลูก อย่าพูดอย่างนั้น แม่จะเสียใจ"
"ควรเป็นผมไม่ใช่เหรอครับที่ .. ต้องตาย ควรเป็นผม ไม่ใช่แม่" บิดาขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วค่อยๆ
โอบวรองค์เล็กนั้นไว้ในพระกรอย่างทะนุถนอม
"ศิขินทร์ ลูกเป็นลูกของพ่อ แม่ก็เป็นเมียพ่อ พ่อไม่อยากเสียใครไปทั้งนั้น ถ้าเป็นพ่อ พ่อก็ทำอย่างเดียวกัน ในฐานะลูก...พ่อและแม่ยอมตายแทนได้ ในฐานะเจ้าชาย เจ้าชายก็สำคัญที่สุด"
"ผมเป็นแค่เจ้าชาย แม่เป็นราชินี"
"ใช่ แต่เจ้าหลวงสำคัญกว่ารานี และวันนึงนั่นเป็นหน้าที่ของลูก"
"เคยครับ ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว"
"ลูกอาจไม่ได้เป็นเจ้าหลวง นั่นไม่สำคัญ แต่ลูกเป็นชาวโอเรียน่า ทุกหยาดเลือดของลูกเป็นโอเรียน่า พ่อเกลียดสงครามและการชิงดี เพราะฉะนั้น สิ่งที่พ่อหวังในตัวลูกไม่ใช่การกอบกู้้บัลลังก์ แต่เป็นการคอยมองไม่ให้มันล้มลงมา เมื่อใดที่มันสั่นคลอนลูกต้องพยุงด้วยทั้งหมดที่มี ใครจะนั่งบัลลังก์ก็ได้ถ้ามันมั่นคงพอ คนค้ำต่างหากที่สำคัญและนั่นคือหน้าที่ของลูกนับจากวันแรกที่ลืมตาขึ้นมาเป็นลูกของพ่อ"
"ผมถวายสัตย์ได้เลย"
"ใช่ เหมือนที่ปรัชญ์กับณรงค์ถวายสัตย์ไว้กับเราสองคน" เจ้าชายศิขินทราพิพัฒน์ราชกุมารทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง พิธีครั้งนั้นยังติดพระเนตร รัชทายาทแห่งโอเรียน่าประทับบัลลังก์น้อย หน้าโถงใหญ่ ท่ามกลางเหล่าข้าราชบริพาร พระบิดา ประทับสูงขึ้นไปเบื้องหลัง เด็กชายสองคนคุกเข่าอยู่ตรงหน้า แต่งกายด้วยชุดประจำตระกูล มีกระบี่เล็ก ในฐานะ ลูกชายคนโตผู้สืบตระกูลเก่าแก่ เสียงกรมวังอ่านพระราชโองการตอนท้าย "จงถวายการรับใช้ด้วยชีวิตของตน จงดำรงไว้ซึ่งความซื่อสัตย์ จงถวายความจงรักแลถักดี นับแต่นี้สืบไปเบื้องหน้า" เด็กชายทั้งสองใช้มีดเล็กที่รับพระราชทานประจำตำแหน่งมานั้นกรีดข้อมือ ให้เลือดไหลลงในถ้วยกระเบื้องที่รองรับ ก่อนจะคลานเข่าไปรินเลือดล้างพระบาท กลิ่นคาวยังชัดเจนจนรู้สึกองค์ได้ พระทัยหาย ทรงรู้สึกราวกับเสียเพื่อนไปถึงสองคน
"ผมเข้าใจครับพ่อ นั่นเป็นหน้าที่ของเขา"
"ใช่ สองคนนั้นจะปกป้องลูก ให้ลูกได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด"
"ครับ" แม้จะรับคำแล้วแต่ก็ยังคงคาใจ เมื่อยังเล็กเราโตมาด้วยกัน วิ่งเล่นกันอยู่ เป็นเพื่อนกัน แต่พอรู้ความก็เริ่มห่าง ทั้งที่ทรงมีเพื่อนอยู่เท่านี้ ..
ศิขินทร์เดินมาหยุดที่หน้า 'เพื่อน' ทั้งสอง "ลุกขึ้นเถอะ ไปทำการบ้าน" รับสั่งเท่านั้นก็เสด็จนำไปไม่หันกลับมาดูอีก ปรัชญ์กับณรงค์ลุกขึ้นอย่างว่าง่าย 10 ปีที่เฝ้าใกล้ชิด ย่อมรู้ 'อย่าโอ้เอ้' จะรำคาญพระทัย รับสั่งอย่างไรก็หมายถึงอย่างนั้นจริงๆ
แดดยามเที่ยงสาดลอดหมู่ใบไม้หนาของต้นฉำฉาเก่าแก่มาได้เพียงเล็กน้อย อากาศจึงไม่ร้อนนักสำหรับฤดูร้อนของธาลอส เด็กชายหญิงนั่งล้อมวงกันที่ม้าหินอ่อน เริ่มมีการพูดคุยสนุกสนานมากขึ้นเมื่อปรัชญ์กับณรงค์พยายามทำตามรับสั่ง
"จริงสิ ปรัชญ์กับณรงค์ไปกินน้ำตาลปั้นมั้ย" เจ้าหญิงพระองค์น้อยรับสั่งชวน
"ครับ?"
"ก็น้ำตาลปั้นไง ศิขินทร์ออกไปซื้อให้"
"อ๋อ..ครับ วันนี้ผมไปซื้อเอง"
"ยังไงก็ได้ ไปนะ" เด็กหญิงเพียงคนเดียวในกลุ่มอ้อนวอน วันนี้จึงมีสมาชิกร่วมขบวนเพิ่มอีก 2 คน
"ปรัชญ์กับผมออกไปซื้อเอง" ณรงค์กล่าวขึ้นอาสา
"เราไปด้วย" ศิขินทร์พูดขึ้นลอยๆ ไม่ใช่คำสั่ง เพียงคำบอกเล่า
"แต่..2 คนก็พอครับ" เขาไม่อยากให้ต้องทรงปีน รู้แก่ใจว่าอย่างไรเสียก็ไม่ทรงลอดแน่ๆ
"เราไปด้วย" เสียงย้ำชัดเจนดูปกติ หากคนที่ถวายการรับใช้มานานย่อมรู้ว่า พื้นพระอารมณ์เริ่มไม่ดี
"เอ่อ.. ครับ"
น้ำตาลปั้นรูปต่างๆถูกซื้อเข้ามาอย่างรวดเร็ว ศิขินทร์ยื่นไม้หนึ่งให้เจ้าหญิง "ขอบคุณ สวยนะ"
"เมื่อวานเลือกอยู่"
"ใช่" เด็กหญิงรับคำ ใช่ ศิขินทร์นี่ช่างสังเกตดีจัง
"นักเรียนทำอะไรกัน" ครูชายคนนึงเดินเข้ามาใกล้เมื่อเป็นขนมแว่บๆในมือ 4สหายได้แต่อึกอัก จะซ่อนก็ไม่ทันเสียแล้ว
"นี่แอบซื้อขนมมากินใช่มั้ย ข้างนอกด้วย มากไปแล้วนะ"
"ขอโทษครับ-ค่ะ"
"วันนี้เธอ 4 คนเก็บกวาดแถวนี้ให้สะอาดก่อนกลับบ้าน แล้วตอนเย็นครูจะมาตรวจดู ถ้ามีครั้งหน้าอีกครูจะเรียกผู้ปกครอง"
"ครับ-ค่ะ" เสียงรับคำสลดลง แต่เพียงครูเดินจากไป ก็ระเบิดเสียงหัวเราะร่าสนุกสนาน แถมยังชวน
"พรุ่งนี้ไปอีกนะ"
ความแตกต่างแห่งฐานะหายไปโดยสิ้นเชิง เนตรที่เคยรื้นด้วยน้ำตากลับสดใสอีกครา..
"สวยจัง ดอกกล้วยไม้ ใช่มั้ย"
"อืม"
"รู้ได้ไงว่าชอบ"
"ก็.."
คำตอบสะดุดลงเมื่อเด็กชายอีกคนเดินเข้ามา เครื่องแบบบ่งบอกว่าเป็นรุ่นพี่
"ฝ่าบาท" คำร้องเรียกสนิทใจแสดงว่าเคยชิน
"ทำไมมาคุยกับมัน ไปทางนี้เถอะ"
เจ้าหญิงน้อยพักตร์ยุ่ง
"เพื่อนหญิง พี่จะไปก็ไปสิ หญิงไม่ไป" ไม่รับสั่งเปล่ายังประทับนั่งลงเฉยแถมกวักให้เพื่อนทั้ง 3 นั่งลงตามกัน
"นี่..." กระนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากเสไปหาเพื่อนที่ยืนคอยอยู่ห่างๆ
"ไม่รู้มาก่อนว่ามีพี่ด้วย" คำพูดฉลาด ระมัดระวัง
"ไม่ใช่พี่ชาย แต่มีศักดิ์เป็นพี่น่ะ เค้าเป็นลูกของคนน้องสาวของแม่"
'อ๋อ อย่างนี้เอง'
"อย่าสนใจเลย ตกลงรู้ได้ไงว่าเราชอบ"
"ชอบก็ดีแล้ว แล้วจะเอามาให้อีก"
"เอามาจากไหนน่ะ"
"จากบ้าน"
"ที่บ้านมีเหรอ มีเยอะมั้ย"
"เยอะ ปลูกเอง" ก็ปลูกเพราะ ..เธอชอบ.
"เหรอ พาไปดูบ้างสิ"
"อือ" คำตอบ รับไปอย่างนั้น แต่อีกฝ่ายจริงจัง ยิ้มกว้างอย่างประจบ "ศิขินทร์ใจดีจัง" ศิขินทร์ยิ้มรับน้อยๆ
เสียงเด็กชายหญิงวิ่งเล่นกันเป็นกลุ่มๆ ศิขินทร์ กับธารี นั่งพิงต้นไม้อยู่เคียงกัน
"สร้อยสวยจัง" เจ้าหญิงรับสั่งสนพระทัยสร้อยติดพระศอ อันเป็นอัญมณีทั้ง 9 ล้อมกล่องตรงกลางที่แกะสลักจากงาช้างเผือก ดูเผินๆเป็นเพียงเครื่องประดับที่สวยงามชิ้นหนึ่งและเป็นสมบัติที่นักเรียนที่นี่ซึ่งล้วนแต่มีฐานะ ต่างก็มีติดตัว หากแต่ภายในกล่องงาแกะสลักนี้เป็นดิน ดินจากแผ่นดินของโอเรียน่า
"เราก็มีอันนึง" ธารีรัตนยุพินอวดสร้อยของตนบ้าง คล้ายกันมาก ต่างแต่เพียงกล่องตรงกลางที่ทำจากนอกระเบน ภายในบรรจุน้ำ น้ำจากดินแดนธาลอส
"มีอีกรึเปล่า เอามาแลกกันมั้ย" เจ้าหญิงน้อยรับสั่ง เพราะอย่างไรก็ถูกพระทัยเป็นที่สุดที่ได้เห็นสร้อยที่เหมือนกับทำมาเพื่อคู่กัน
"มีอันเดียว"
"ว้า"
"แต่ให้ได้"
"เหรอ .."
"ต้องแต่งงานกับเรา" ศิขินทร์เบือนหน้ามามองคู่สนทนาจังๆ มุมปากแย้มออกน้อยๆ เอ็นดูท่าทางที่กำลังคิดอย่างผู้ใหญ่ของเพื่อนผู้อ่อนกว่าด้วยอายุราวขวบปี
"แต่งสิ"
"หือ อยากได้ขนาดนั้นเชียวเหรอ"
"ใช่ อีกอย่าง แต่งงานก็ไม่เห็นเสียหายอะไร"
"เจ้าหญิงแห่งธาลอสต้องแต่งงานกับเจ้าชาย"
"ไม่เกี่ยวซะหน่อย พ่อแต่งงานกับแม่เพราะรัก ไม่ใช่เพราะแม่เป็นเจ้าหญิง"
"นั่นไง คนเราแต่งงงานกันเพราะรัก ไม่ใช่ เพราะสร้อย" เด็กชายหัวเราะร่า อีกฝ่ายเห็นดีด้วยจึงยอมรามือแต่โดยดีและก็ไม่โปรดจะเถียงอีกเมื่อเห็นปรัชญ์และณรงค์ซึ่งนั่งอยู่ห่างๆ ลุกเข้ามาใกล้
"ได้เวลาเรียนแล้วครับ" ปรัชญ์กล่าว ธารีเองก็สงสัยว่าสองคนนี้ช่างสุภาพอ่อนน้อมเสียจริงๆ
"ไปสิ" ศิขินทร์ลุกอย่างว่าง่ายและส่งมือเล็กๆนั้นให้เพื่อนใหม่
แต่แล้วก็ชะงักลงเมื่อได้ยินเสียงประกาศ "เด็กชายศิขินทร์ เด็กชายณรงค์และเด็กชายปรัชญ์ พบผู้ปกครองที่ห้องประชาสัมพันธ์ค่ะ" ผู้ถูกเรียกสบตากันเงียบๆอย่างสงสัย
"เราก็อยู่คนเดียวสิ" คนไม่ถูกเรียกก็เหงาขึ้นมา
"คงไม่นานหรอก ไปนะ" เด็กชายหันมาปลอบแต่ในใจเป็นกังวลอย่างที่สุด ถ้าไม่มีอะไร ..ใครมาหาล่ะ..
ความคิดเห็น