คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอน 1
แสงแดดสาดเข้าหน้าต่างในยามเช้า เด็กขายในชุดนอนขายาวเรียบร้อยค่อยขยับลุกขึ้น พอดีกับประตูที่เปิดออก ชายวัยกลางคนในชุดสากลสีดำก้าวเข้ามานอบน้อม
“อรุณสวัสดิ์ครับผม” ดังที่เคยทำเป็นกิจวัตรทุกวัน จากนั้นก็เข้ามาช่วยเด็กชายเก็บที่นอน รอจนอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ตรวจความเรียบร้อยของเครื่องแบบนักเรียนนั้นและเปิดประตูให้ “เชิญครับ” เด็กชายเดินนำไปอย่างว่าง่าย และกล่าวอรุณสวัสดิ์กับชายวัยกลางคนที่รออยู่ที่โต๊ะไม้สักตัวใหญ่อันใช้เป็นโต๊ะอาหาร
“อรุณสวัสดิ์ครับพ่อ”
“ศิขินทร์ นั่งสิ”
หญิงสองสามคนในเครื่องแบบแม่บ้านจึงเริ่มต้นเสิร์ฟอาหารซึ่งดำเนินไปอย่างเงียบเชียบและระมัดระวังอย่างที่สุด
“ปรัชญ์กับณรงค์ไปเรียนด้วยนะลูก”
“ครับ”
และนั่นคือทั้งหมดของบทสนทนายามเช้า
หลังจากเสร็จจากโต๊ะอาหารแล้วศิขินทร์ลุกขึ้นคำนับผู้เป็นพ่อแล้วเดินออกประตูไป
รถคันงามจอดรออยู่แล้วพร้อมคนขับรถ,พี่เลี้ยงที่เข้าไปปลุกตอนเช้า และเด็กชายวัยไล่เลี่ยกันอีกสองคนซึ่งคำนับลงนอบน้อมพร้อมๆกันก่อนที่จะออกเดินทาง
โรงเรียนประถมมีชื่อเต็มไปด้วยนักเรียนรุ่นราวคราวเดียวกัน เสียงเด็กๆวิ่งเล่นบ้าง จับกลุ่มนั่งล้อมกันบ้างดังไปทั่ว ครูในเครื่องแบบหลายคนกระจายตัวอยู่รอบๆ ทันทีที่ก้าวลง ศิขินทร์ หันมา ‘สั่ง’ เพื่อน
“ในที่นี้เราเป็นนักเรียนเสมอกันไม่มีนายกับบ่าว เข้าใจมั้ย”
“ครับผม”
จากนั้นจึงหันไปพูดกับพี่เลี้ยง “ชัยยุทธ์ ขอบคุณครับ” พี่เลี้ยงอมยิ้มเล็กน้อยกับคำพูดนั้น โค้งศีรษะลงคำนับงดงามก่อนจะขึ้นรถคันเดิมนั้นจากไป ถึงจะเป็นเพียง ‘บ่าว’ หากนายน้อยผู้นี้ ไม่เคยถือตัวไม่เคยใช้อำนาจข่มตน ไม่เคยพยายามแสดงฐานะความเป็นนายของตัวเอง เมื่อครั้งเริ่มรู้ความ เขาเสียอีกเป็นคนกล่าวกับเด็กชายว่าเขาเป็นบ่าว เป็นพี่เลี้ยงเท่านั้นไม่สมควรที่จะต้องมาให้เกียรติกัน แต่เด็กชายตอบกลับด้วยความสุภาพเช่นเดิม “เราเคารพใครไม่ใช่ที่ฐานะ ท่านพ่อ สอนอย่างนั้นครับ” เขาไม่เคยลืมรอยยิ้มน้อยๆ บนดวงหน้าเล็กๆ เปี่ยมด้วยชีวิตชีวานั้นเลย
ห้องเรียนชั้นประถมเป็นห้องขนาดย่อม ป้ายนิเทศให้ความรู้มีสีสันงดงาม นักเรียนแต่ละคนประจำที่นั่งเรียบร้อยเมื่อครูสาวยืนอยู่หน้าห้อง
“วันนี้มีเพื่อนใหม่ 4 คนค่ะ ตอนนี้มาแล้ว 3 คน อีกคน เดี๋ยวจะมานะจ๊ะ เอาล่ะ คนแรกแนะนำตัวเลยจ้ะ”
“ศิขินทร์ สวัสดีทุกคน” คำพูดสั้น ชัดถ้อยชัดคำ ไม่มีคำลงท้าย แต่หางเสียงลากยาวไม่ห้วนจนเกินไป
“เอาล่ะจ้ะ คนนี้ชื่อศิขินทร์ นั่งตรงโน้นลูก ริมหน้าต่าง” ครูสาวชี้ไปที่โต๊ะเล็กริมหน้าต่างห้อง
“ปรัชญ์ ครับ” “ณรงค์ครับ” อีกสองคนกล่าวสั้นๆเช่นกัน
สองคนนี้นั่งฝั่งนี้เลยจ้ะ สองคนทำท่าอึกอักเล็กน้อยที่ไม้ได้นั่งกับนายของตัวเอง แต่เมื่อสบตาเล็กๆและนายน้อยที่หันมาพยักหน้าให้ คู่นั้นก็จำยอมเดินไปประจำที่ อย่างเสียไม่ได้
การเรียนดำเนินไปครู่เดียว นักเรียนใหม่คนที่สี่ก็เข้ามา ครูสาวคนเดิมทำหน้าที่
“นักเรียนคะ เพื่อนใหม่มาอีกคนแล้วนะ แต่ก่อนอื่นครูขอบอกว่า เพื่อนของเราคนนี้จะมีพี่เลี้ยงมานั่งด้วยที่หลังห้องนะคะและเธอเป็นเจ้าหญิงจ้ะ” เสียงฮือฮาดังขึ้นตามประสาเด็ก เด็กชายศิขินทร์ ขมวดคิ้วเล็กน้อย ‘เจ้าหญิงของประเทศนี้
ธารีรัตนยุพิน!’ เจ้าตัวระลึกได้ในเวลาไม่นาน
‘ทำไมมาเรียนที่นี่ได้’
เด็กหญิงในเครื่องแบบนักเรียนเหมือนเด็กอื่นก็เดินเข้ามา เกศายาวดำสนิทถักเป็นเปียสองข้างยาง โอษฐ์แย้มอย่างอารมณ์ดี เสียงใสรับสั่งดังมั่นพระทัย
“สวัสดี เราชื่อ ธารีรีตนยุพิน” เสียงเด็กๆอุทานกันยกใหญ่ ‘อื้อหือ ชื่อยาวจัง’ แต่ก็เงียบลงเมื่อครูคนเดิมเอ่ย “ประทับตรงนั้นนะเพคะ” เจ้าหญิงเสด็จผ่านเพื่อนร่วมชั้นที่ยังตื่นเต้นไม่หาย พักตร์งามได้รูป ไม่มีทีท่าเก้อเขิน การเรียนจึงดำเนินต่อไป
“สวัสดี เธอชื่ออะไร” เสียงใสดังขึ้นทักทายคนข้างๆ
“ศิขินทร์” คำตอบเรียบตรงคำถามจึงดูห้วนไปสำหรับเจ้าหญิงซึ่งเริ่มไม่พอพระทัย จึงไม่มีคำสนทนาใดๆอีกจนจบวิชาแรกของการเรียน
จนครูชายสูงอายุเดินเข้ามาสอนวิชาที่สองของวัน คณิตศาสตร์
‘ยากจัง’ เจ้าหญิงน้อยทอดพระเนตรโจทย์บนกระดานและพยายามหลบตาครูผู้สอนที่กำลังตั้งใจสอดส่องหานักเรียนสักคนมาตอบคำถามและในที่สุดก็เจอ
“ศิขินทร์” เสียงครูเรียกชื่อนั้นทำให้เด็กหลายคนพลอยโล่งใจที่ตัวเองไม่โดนไปตามๆกัน
“ครับ” เด็กชายลุกขึ้นไม่มีทีท่าอิดออด
“ทำได้มั้ย” ผู้สอนถามเบาๆ กลัวเด็กจะประหม่า ด้วยความที่เป็นเด็กใหม่ เขาจำต้องให้ความสนใจบ้างว่า พื้นฐานการเรียนเป็นอย่างไร หรือจะตามคนอื่นๆทันหรือไม่ ถึงแม้โรงเรียนนี้จะตั้งขึ้นสำหรับบุตรหลานข้าราชการ รวมทั้งคหบดี ซึ่งนักเรียนบางคนเข้ามาเพราะเงิน บางคนเพราะตำแหน่งของพ่อแม่ อีกบางคน เพราะความรู้จริงๆ แต่ในฐานะของครู ไม่ว่าจะเข้ามาด้วยวิธีใดต่างกัน แต่ตอนออกไปต้องได้รับเท่าๆกัน
“ครับ” เด็กชายตอบสั้น
“ลองตอบครูสักข้อสิ” “ครับ” คำลงท้ายคงเดิมอีกครั้งจนคู่อริข้างๆที่เริ่มจะอริกันคิด ‘พูดเป็นแค่นี้รึไง ครับๆๆๆ’ เศียรน้อยๆ โคลงตามทำนองในพระทัย จนเด็กชายเหลือบตามอง แต่ไม่ได้กล่าวอะไรเพราะครูตัดสินใจเลือก
“ข้อ 3 เอ้า” ครูสุ่มเลือกให้
“ 28 ครับ”
“ดี ขอบใจ” ครูชราพยักหน้าพอใจ ฉะฉานดี
เจ้าหญิงน้อยชำเลืองสายตาดูสมุดของคนที่ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกอริเสียแล้ว และก็อุทานในใจ ‘เสร็จแล้ว ทำได้ไงเนี่ย’ เหมือนเจ้าตัวจะได้ยินกระนั้นเพราะอยู่ดีๆก็หันมายิ้ม “ไม่ยากหรอก ลองดู” พักตร์เล็กๆหันขวับกลับไปจับจ้องกับสมุดตรงหน้า ทำไม่รู้ไม่ชี้ และก็ทำไม่ได้สักทีจนเริ่มหงุดหงิดใจ แต่เสียงนุ่มเรียบดังขึ้น “ลบผิด” และเมื่อดูดีๆก็ร้องดัง “จริงด้วย” เด็กชายศิขินทร์ยิ้มขันในท่าทีนั้น
“เอาล่ะ” พอทำเสร็จเจ้าหญิงแห่งธาลอสก็เงยพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรอีกฝ่ายจริงจัง “เพื่อเป็นการตอบแทนที่แนะนำเรา กลางวันนี้เราจะเลี้ยงข้าว” พยายามวางท่าเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่กลับถูกขันให้อีก “ขอบใจแต่ไม่เป็นไรหรอก” เขายิ้มรับ
“ปฏิเสธเหรอ” เด็กหญิงถามเสียงสูงขึ้น ‘ทำไมล่ะไม่เคยมีใครปฏิเสธเลยนี่’
“ครับ ปฏิเสธ”
“ไม่ได้” สุรเสียงเริ่มดังใช้อำนาจ
“ทำไมไม่ได้” แต่อีกฝ่ายไม่ได้มีทีท่าว่าจะเกรงเลย
“ก็ ไม่ควรปฏิเสธน้ำใจคนอื่น” ธารีรัตนยุพินพยายามหาเหตุผลดีๆของการไม่ควรปฏิเสธ เหตุผลที่ดีกว่าแค่ การขัดพระทัย
“เราเตรียมมาแล้ว”
“งั้นกินทั้งสองเลย” คำตัดสินเรียบง่าย สรวลจนเห็นทนต์ขาวเรียง ในที่สุดเด็กชายก็ถอนใจยอมรับ
ม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้มีนักเรียนนั่งกันเป็นกลุ่มๆ “ทางนี้” ศิขินทร์พูดพลางชี้ชวน เจ้ามือ ที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาติดๆ
“นี่ปรัชญ์ กับ ณรงค์ เพื่อนเรา”
“สวัสดี” รับสั่งใสซื่อดังอย่างจริงใจระคนดีใจแต่อีกฝ่ายกลับค้อมตัวลงอย่างรู้พิธีการ “ฝ่าบาท” ทำให้พักตร์ระเรื่อแดง รอยยิ้มจางลง สุรเสียงเอื่อยๆ ก้มพระพักตร์ตรัส “ไม่ต้องหรอก นั่งกินข้าวด้วยกันนะ”
“ไม่ดีกว่าฝ่าบาท” ธารีรัตนยุพินหันไปมองหน้าเพื่อนใหม่ขอความช่วยเหลือ เด็กชายหันมาเอ่ยปากเบาๆ “กินด้วยกัน” เพียงเท่านั้น เด็กชาย 2 คนกลับรับปากอย่างง่ายดาย แต่แม้จะยอมร่วมวง ก็ตั้งใจกินเหลือเกินจนไม่ได้พูดจาอะไรแม้สักคำทำให้บรรยากาศดูอึดอัดไปหมด จนเด็กหญิงเพียงคนเดียวเอ่ย “ไปเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวมา”
ทันทีที่เจ้าหญิงน้อยเสด็จห่างไป ศิขินทร์ก็พูดเสียงชัด ไม่ได้ตะคอกหากชัดทุกคำหน้ามองตรงนั้นไม่ได้หันมามองคู่สนทนา “อย่าทำอย่างนี้ เราบอกแล้วว่าเป็นนักเรียนด้วยกัน”
“กระหม่อม แต่..ไม่สมควร” ปรัชญ์เป็นคนพูดแต่ก็ต้องชะงักเมื่อสบสายเนตรดำที่หันกลับมามองตรงๆ
“ถ้างั้นก็ไปซะ”
“ฝ่าบาท”
“ไป” รับสั่งซ้ำ เน้นคำทำให้สองหนุ่มน้อยจำใจลุกขึ้นถอยไปโดยเร็ว
ดังนั้นเมื่อเด็กหญิงกลับมาจึงทัก “ไปไหนกันแล้วสองคนนั้น”
“ไปเล่นละมั้ง”
“เหรอ” พักตร์สงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร
เขายิ้มตอบเฉยๆ
“บ้านเธออยู่ไหน”
“แถวๆนี้แหละ” เป็นบทสนทนาพื้นฐานที่ทรงรู้องค์ว่าไม่รู้จะคุยอะไรดี และเด็กชายคงรู้ตัวเหมือนกันเพราะออกปากชวน “ไปนั่งตรงโน้นมั้ย” ตรงโน้นคือหญ้าเขียวขจีใต้ต้นไม้ใหญ่ร่มเย็นริมรั้วโรงเรียน “ไปสิ”
เวลาพักเที่ยงคงเหลืออีกนานพอดู สองเด็กน้อยนั่งเคียงกัน เงียบแต่สบายใจอย่างประหลาด
“นั่นอะไร” เสียงใสดังขึ้นถามชี้ไปอีกฟากของถนนนอกรั้วที่เด็กกลุ่มใหญ่มุงดูอยู่รอบๆ
“ขายของ”
“อะไรล่ะ”
“น้ำตาลปั้น”
“กินได้เหรอ” น้ำเสียงลากหางเสียงสูงขึ้นประกอบกับขนงดำเลิกสูงอย่างสนพระทัยเต็มที่ อย่างที่พระบิดารับสั่งเสมอ เจ้าลูกคนนี้ช่างซัก แต่กระนั้นก็ทรงตอบทุกอย่างที่พระธิดาองค์น้อยถามอย่างพระทัยเย็น
“ได้” ศิขินทร์ขันในท่าทีของเพื่อนคนใหม่นัก ‘จะตื่นเต้นอะไรนักหนานะ’ แต่ก็ตอบใจเย็นอย่างน่าประหลาด
“กินกันเถอะ”
“จะออกไปยังไง” เขาเริ่มเห็นเค้าความวุ่นวายของเพื่อนใหม่ หากยังใขเย็นถามกลับ
“ไม่รู้สิ กินนะ ศิขินทร์” รับสั่งเอาแต่พระทัย แต่น้ำเสียงอ่อนออดอ้อนพอให้อีกฝ่ายไม่หงุดหงิดนัก
“ไม่อิ่มข้าวรึไง”
“อิ่ม แต่อยากกินนี่ นะ น๊า” ความที่ทรงเป็นพระธิดาองค์เดียวดังนั้นแม้จะได้รับการเลี้ยงดูอย่างเข้มงวดแต่เมื่อใดที่ทรงใช้ไม้ตาย ลูกอ้อนนี้ก็ใช้ได้กับพระมารดาเสมอ ดังนั้นทรงมั่นพระทัยเต็มเปี่ยมว่าครั้งนี้ก็ต้องใช้ได้เช่นกันแถมคราวนี้ไม่อ้อนเปล่า หัตถ์น้อยๆ จับตัวเพื่อนโยกไปมา อีกด้วย เพราะฉะนั้นต้องได้ผลแน่
“เอ้า เดี๋ยวออกไปซื้อ เฮ้อ รู้มั้ยถ้าครูรู้จะถูกลงโทษ” ได้ผลจริงๆ แม้ศิขินทร์จะทำท่าอ่อนใจก็เถอะ แต่ก็รับปากแล้ว ลูกผู้ชายพูดแล้วห้ามคืนคำ เสด็จพ่อบอกอย่างนี้เสมอ
“ครูไม่รู้หรอก” รับสั่งเจื้อยแจ้วปลอบใจทั้งตัวเองและเพื่อนร่วมชะตากรรม
“เฮ้อ” เด็กชายถอนหายใจเปิดเผย แต่ก็ลุกขึ้นปัดกางเกงแล้วตรงไปที่รั้ว ไม่สูงมาก แต่ก็ต้องปีนล่ะ มือเล็กๆหากสังเกตให้ดีจะพบว่าขาวสะอาดและนุ่มนวลไม่แพ้ของเด็กหญิงที่นั่งมองอย่างลุ้นอยู่ห่างๆเลย ค่อยๆจับตรงโน้นทีตรงนี้ที ครู่เดียวก็เริ่มต้นปีน เจ้าตัวตั้งอกตั้งใจอย่างดี แต่เมื่อลงถึงพื้นอีกด้านของรั้วก็พบว่าเพื่อนที่นั่งมองเมื่อกี๊นี้เอง กลับยืนกอดอกทำท่าเป็นผู้ใหญ่ นี่ถ้าเจ้าหญิงน้อยทรงยักคิ้วหลิ่วตาได้คงทำไปแล้วดีที่พระนมห้ามไว้ตั้งแต่จำความได้ กระนั้นรอยแย้มโอษฐ์อย่างผู้ชนะก็ปรากฎชัดอยู่ดี ศิขินทร์ขมวดคิ้วพลางสอดส่ายสายตาโดยรอบ ‘ออกมายังไงนะ ไม่เชื่อหรอกกว่าจะปีนได้เก่งกว่าเรา’ สุดท้ายคิ้วมุ่นก็คลายลง คราวนี้รอยยิ้มปรากฎขึ้นบ้าง เมื่อเห็นชัดว่ามีช่องใต้กำแพงที่คงมีเด็กคนอื่นมาขุดเอาไว้ “อ๋อ มิน่า” ‘ค่อยยังชั่ว ถ้าปีนออกมาได้เร็วกว่าก็เสียหน้าแย่สิ'
“มิน่า อะไร” คำอุทานกลับทำให้อีกฝ่ายอารมณ์ขึ้น
“เปล่า” คำพูดอ่อนลงไม่อยากให้ต้องโดนโกรธ แต่เด็กหญิงไม่ลดละ กลับประกาศกล้า
“คอยดูนะ เราจะปีนเข้าให้ดู” พักตร์จริงจัง แต่ก็ถูกขัน ยิ่งทำให้ทรงมุ่งมั่นมากขึ้น
รถเข็นที่จอดขายน้ำตาลปั้นนั้นประกอบด้วยน้ำตาลปั้นหลากหลายสีสีนและรูปแบบ จนเลือกไม่ถูก “เร็วหน่อย” ศิขินทร์ที่เลือกได้นานแล้วเริ่มเร่ง
“ไม่รู้จะเอาอันไหน สวยทั้งนั้นเลย”
“กินเข้าไปก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ” ในที่สุด เจ้าฟ้าหญิงแห่งธาลอสก็ทรงหยิบขึ้นมาอันนึง
ได้เวลาที่เด็กชายต้องกังวล
“เราจะปีนกลับ”
“ลอดก็ได้”
“ไม่...เราจะปีน” ถึงเป็นผู้หญิง แต่เราก็รักษาคำพูด องค์เจ้าหลวงแห่งธาลอสทรงย้ำ เป็นคนต้องรักษาคำพูดของตัวเองให้ได้ เป็นผู้ชายต้องรักษาสัตย์ เป็นเจ้าหญิงต้องรักษาคำพูดด้วยทั้งหมดที่มี
“งั้นเราก่อน” ศิขินทร์ยื่นน้ำตาลปั้นฝากให้เจ้าหญิงน้อยถือไว้ขณะที่ตัวเองปีนกลับอย่างคล่องแคล่วกว่าเดิมมาก
“เอ้า ส่งมา” น้ำตาลปั้นสองอันถูกปักไว้กับดินใต้ต้นไม้ในโรงเรียน เพื่อให้ได้ลุ้นคนจะปีนกลับได้เต็มที่
ฝ่ายหญิงค่อยๆมองไปมองมาไม่รู้จะเริ่มตรงไหน
“ลอดเถอะ”
“ไม่..จะปีน”
เมื่อถูกเร่ง ก็เริ่มก้าวทันที
“ระวังหน่อย เอาขาขวาขึ้นตรงนั้นก่อน อย่างนั้นแหละ เอาล่ะ โดดมาเลย”
“หา โดด เหรอ”
“ไม่สูงหรอกน่า”
“คนอยู่ข้างล่างก็ไม่สูงสิ” เด็กชายเงียบ ดวงตาคมแม้เยาว์วัยมีแววยิ้มขันๆ แต่ปากคงหุบสนิท
“ทำไงดีล่ะศิขินทร์ ช่วยด้วยซี่”
“บอกว่าโดดไง”
“แต่ว่า..”
“เรารับเอง โดดเลย” ทั้งที่ตัวพอกันแต่คำพูดยืนยันและท่าทางที่กางมือออกเตรียมรับนั้นทำให้อุ่นใจขึ้นมาก
“โดดแล้วนะ”
“อื้ม”
ทั้งสองจึงล้มกลิ้งไปด้วยกัน เสียงสรวลร่าของเด็กหญิงดังมากขึ้นในขณะที่เด็กชายเพียงยิ้มอย่างอ่อนใจ
“ไม่เห็นยากเลยนะ” รับสั่งเจื้อยแจ้วพลางปัดเครื่องแบบที่คลุกฝุ่น
“ใช่สิ ตัวอยู่ข้างบน จะไปยากอะไร” เด็กชายสำรวจรอยถลอกทั่วขา
“เจ็บมากมั้ย”
“ไม่หรอก แต่ลอดซะก็หมดเรื่อง” เสียงอ่อนลงเมื่อสบเนตรละห้อย เจ้าหญิงน้อยแย้มสรวลหวานประจบประแจงก่อนจะวิ่งไปหยิบน้ำตาลปั้นที่ลำบากลำบนออกไปซื้อกลับมายื่นส่งให้ “กินสิ”
“พรุ่งนี้มาอีกนะ” อีกฝ่ายเงียบ จึงต้องรีบเซ้าซี้ “นะ นะ”
“จ้า แต่เราไปคนเดียวพอนะ”
“ไม่ จะไปด้วย”
“งั้นห้ามปีนแล้ว ลอดเอา”
“แต่ว่า..”
“งั้นไม่ไปละ” ศิขินทร์เสมองทางอื่น
“เอ้า ก็ได้ๆ” ธารีรัตนยุพินยอมตาม รอยยิ้มอ่อนโยนจึงปรากฏบนใบหน้าที่มักจะเรียบเฉยนั้นเสียครั้งนึง
ความคิดเห็น