คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2 (100%)
- Chapter 2 -
รถสปอร์ตคันหรูเคลื่อนไปบนถนนด้วยความเร็วพอสมควร หญิงสาวผมบรอนด์ทองเหยียบคันเร่งจนเกือบมิด แววตาภายใต้แว่นกันแดดดูร้อนรน ยิ่งพอเหลือบไปเห็นนาฬิกา ความเร็วของรถก็ยิ่งเร่งเร็วขึ้น มือว่างคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ที่จำได้ขึ้นใจโทรออก...
หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถ....
ร่างบางไม่รอฟังโอเปอร์เรเตอร์สาวพล่ามให้จบประโยคก็กดตัดสายแล้วโยนโทรศัพท์ไปที่เบาะว่างด้านข้าง ถอนหายใจด้วยความหงุดหงิดได้แต่ภาวนาขอให้เธอไปทันก่อนที่จะสายไป...
‘ท่านพูดโดยสารที่ต้องการจะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นเที่ยวบินหกนาฬิกา กรุณาเตรียมตัวให้พร้อม.....’
ไม่รอฟังเสียงประกาศให้จบ ร่างสูงในชุดทะมัดทแมงก็ลุกขึ้นยืนลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไปตามทาง แววตาภายใต้แว่นกันแดดสีดำหม่นหมอง สับสน ลังเล
ร่างสูงหยุดชะงักยืนอยู่กับที่ล้วงหยิบโทรศัพท์หรูในกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดเปิดเครื่อง ในขณะที่กำลังกดเบอร์ที่จำได้แม่นขึ้นใจก็มีสายซ้อนโทรเข้ามา...
-Jessica-
ร่างสูงกดรับสายยังไม่ทันที่จะกรอกเสียงลงไปปลายสายก็ตะโกนโหวกเหวกออกมาทันที
(ควอน ยูล! เธออยู่ไหนแล้ว ทำไมต้องปิดเครื่องด้วย!) เสียงหวานแหลมดังเสียจนร่างสูงต้องเลื่อนโทรศัพท์ออกห่างจากหู เมื่อปลายสายพูด(เสียงดัง)จบแล้ว ร่างสูงก็ถอนหายใจยาว
“ฉันปิดเครื่องแล้วมันจะทำไม มีใครตายหรือยังไงถึงต้องโวยวายขนาดนี้” ควอน ยูริ เอ่ยเสียงเรียบ หงุดหงิดไม่น้อยเมื่อเธอมีเวลาอีกไม่มากนัก ไม่เข้าใจว่าทำไมร่างบางต้องโทรมาตอนนี้ ในเมื่อเธอกำลังจะโทรหาใครบางคนเป็น ‘ครั้งสุดท้าย’ ก่อนที่จะจากไปอย่างเงียบๆ...
(ก็เพราะมันมีเรื่องน่ะสิฉันถึงต้องโวยวายแบบนี้! ฟานี่ประสบอุบัติเหตุ! ยกเลิกซะไอ้ที่เธอจะไปญี่ปุ่นน่ะ!)
จบประโยคของปลายสายร่างสูงก็แทบล้มทั้งยืน พยายามรวบรวมสติเพื่อที่จะได้ถามถึงรายละเอียด ความเป็นห่วงใครอีกคนมีมากถึงขนาดที่ร่างสูงลืมถึงเป้าหมายของตน เดินลากกระเป๋าเดินทางกลับไปทางที่พึ่งเดินมา ไม่สนใจฟังเสียงประกาศเตือนเที่ยวบินที่กำลังจะออกในไม่ช้า...
“ทะ..ทำไม เกิดอะไรขึ้น! ฟานี่เป็นอะไรมากไหม! ตอนนี้ฟานี่อยู่ที่ไหน อาการเป็นยังไงบ้าง!”
ยูริรัวคำถามด้วยความเป็นห่วงแม้จะรู้ดีว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ก็ตาม ขาก้าวยาวๆ ออกมาด้านนอกสนามบิน กวาดสายตามองหารถแท็กซี่ซักคัน
เอี๊ยด!
รถสปอร์ตคันหรูคุ้นตาวิ่งด้วยความเร็วสูงก่อนจะมาหยุดตรงหน้ายูริ กระจกรถเลื่อนลงมาเผยให้เห็นใบหน้าสวยที่ถูกแว่นกันแดดสีชาบดบังไปกว่าครึ่ง
(ขึ้นรถมาก่อนสิแล้วค่อยคุยกัน)
ยูริไม่รอช้า เปิดประตูรถด้านหลังแล้วโยนกระเป๋าเดินทางราคาแพงเข้าไปตามด้วยถอดแว่นกันแดดสีดำออกโยนตามไปแล้วปิดประตูเสียงดัง ก่อนจะเดินอ้อมไปอีกฝั่งเปิดประตูรถยัดตัวเองขึ้นไปนั่งอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ยูริปิดประตูรถ เครื่องยนต์คันหรูก็เคลื่อนไปด้านหน้าด้วยความรวดเร็วทันที
ยูริรีบหันไปหาเจสสิก้าเอ่ยถามถึงทิฟฟานี่ ความเป็นห่วงที่มีต่อทิฟฟานี่ฉายชัดบนใบหน้า แววตา ท่าทาง และคำพูดของยูริ “ฟานี่เป็นอะไรมากไหมสิก้า”
“รถชน...ความจำเสื่อม...”
ยูริตอนได้รู้อาการของทิฟฟานี่ท่าทางแทบไม่ต่างไปจากเจสสิก้าตอนได้รู้อาการของทิฟฟานี่จากปากแทยอน ร่างสูงนั่งกุมขมับ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เจสสิก้าที่เหลือบเห็นท่าทางของยูริถอนหายใจยาวตาม รู้ดีว่าถึงเธอสรรหาคำพูดปลอบประโลมขึ้นมาพูดมันก็คงไม่ช่วยให้ยูริสบายใจขึ้น มีแต่จะทำให้อีกคนหงุดหงิดเสียเปล่าๆ เจสสิก้าจึงนั่งเงียบๆ ขับรถมุ่งหน้าไปที่โรงพยาบาลที่ทิฟฟานี่รักษาตัวอยู่
บรรยากาศอึดอัดภายในรถดำเนินไปได้นานพอสมควร ในที่สุดยูริก็เอ่ยเสียเบาหวิวขึ้นมาในขณะที่ก้มหน้ากุมขมับอยู่
“สิก้า...”
“...”
“ฟานี่จะไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม...เดี๋ยวเธอก็จะจำฉันได้ใช่ไหม...”
“ใช่...เดี๋ยวเธอก็จะจำพวกเราได้เอง...”
ภายในรถตกอยู่ในความเงียบอีกหน เจสสิก้าเหลือบมองยูริเป็นระยะๆ ด้วยความเป็นห่วง ร่างของยูริสั่นน้อยๆ จนเจสสิก้าทำอะไรไม่ถูก เดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้
“ทำไม...ทำไมต้องเป็นฟานี่ด้วย...”
“...”
“ทำไมมัน....ไม่เกิด...กับฉันแทน...”
เสียงขาดห้วงของยูริทำให้เจสสิก้าเป็นห่วง เหลือบไปมองยูริเห็นอีกฝ่ายปาดน้ำใสลวกๆ ตัวสั่นเทาด้วยแรงสะอื้น พอหันไปเห็นก็ต้องรีบเบนสายตากลับมาจดจ้องถนนเบื้องหน้าแทนก่อนที่ตนเองจะหวั่นไหวร้องไห้ตามอีกคน... แต่ถ้าร้องไห้ตาม...สาเหตุก็คงจะคนละเรื่องกัน...
สาเหตุของฉันคงเป็นเพราะเสียใจที่เห็นเธอเสียน้ำตาให้เขาอีกแล้ว...
ในเวลานี้คงต้องขอบคุณแว่นกันแดดราคาแพงที่เสียเงินซื้อมาตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นที่ทำหน้าที่ของมันได้ดี...
ช่วยปกปิดแววตาเจ็บปวดของฉันยามเห็นเธอเศร้าเสียใจเพราะใครอีกคน...
ยิ่งได้เห็นน้ำตาของเธอใครอีกคน...ฉันก็ยิ่งเจ็บแปลบที่ใจ...
แทยอนเดินทอดน่องไปตามทาง บรรยากาศสดชื่นรอบข้างไม่ได้ทำให้แทยอนรู้สึกดีตามซักเท่าไหร่ ถอนหายใจบ่อยจนเริ่มรู้สึกรำคาญตัวเอง สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอดก่อนจะค่อยๆ ผ่อนออกมา ยิ่งนึกถึงท่าทางและคำพูดที่ดูห่างเหินของทิฟฟานี่ แทยอนก็เผลอถอนหายใจออกมาอีกหน จะไปโทษใครที่ไหนไม่ได้นอกจากตัวเธอเองที่ไม่ระมัดระวังจนเกิดอุบัติเหตุ...
เดินไปคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เดินมาหยุดอยู่หน้าห้องของทิฟฟานี่เสียแล้ว ยิ้มกับตัวเองบางๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป เสียงพูดคุยหัวเราะที่ดังอยู่ก่อนแล้วภายในห้องสร้างความแปลกใจให้แทยอนไม่น้อย รีบก้าวยาวๆ เข้าไปด้านในห้องแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นท่ทางมีความสุขของทิฟฟานี่ที่ได้พูดคุยกับยูริ...อดีตศัตรูหัวใจของเธอ...
“ฟานี่ซุ่มซ่ามมากๆ จนยูลอดเป็นห่วงไม่ได้ตอนสมัยเรียนด้วยกันเมื่อก่อน วิ่งยังสะดุดขาตัวเองล้ม นึกแล้วก็ขำ ฮ่าๆ”
“ฮ่าๆ ฟานี่ซุ่มซ่ามขนาดนั้นเลยหรอคะ”
“ใช่ ฮ่าๆ”
“ฮ่าๆ ยูลคุยสนุกจังเลยนะคะ แวะมาคุยกับฟานี่ที่โรงพยาบาลบ่อยๆ หน่อยสิ ฟานี่เหงาไม่มีเพื่อนคุย”
“ถ้าองค์หญิงต้องการก็ได้เสมอ”
“คุยกันถูกคอเชียวนะ”
เสียงของแทยอนดังขึ้นขัดจังหวะบทสนทนาของทิฟฟานี่และยูริ แทยอนมองสบสายตากับยูริด้วยความไม่ไว้วางใจ ยูริมองตอบกลับไม่วางตาเช่นกันจนทิฟฟานี่ที่อยู่ในเหตุการณ์ทนความอึดอัดต่อไปไม่ไหวเอ่ยขัดขึ้นมา
“เอ่อ...แทไปไหนมาหรอคะ”
“อ๋อ แทไปซื้อคิมบับของโปรดมาให้ฟานี่ทานน่ะ หิวยังคะ”
“พึ่งรู้นะคะว่าฉันชอบกินคิมบับ ลำบากแทจัง ” ทิฟฟานี่รับถึงคิมบับจากมือแทยอนไปแล้วก้มหน้าก้มตากิน แทยอนทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างเตียงของทิฟฟานี่
“ฟานี่ยูลขอตัวกลับก่อนนะ ไว้จะแวะมาเยี่ยมใหม่นะ”
“ทำไมรีบกลับจังคะ”
“พอดีนึกได้ว่ามีธุระน่ะ ดูแลตัวเองดีๆ นะฟานี่” ยูริเอ่ยเสียงนุ่มมองทิฟฟานี่ด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยก่อนจะเดินออกจากห้องไป พอยูริออกจากห้องไปได้ซักพักทิฟฟานี่ก็เอ่ยถามแทยอนด้วยความสงสัย
“ทำไมดูแทไม่ชอบยูลเลยล่ะคะ มีอะไรกันหรือเปล่า...”
“ไม่มีอะไรหรอกฟานี่อย่าคิดมากเลย” แทยอนเอ่ยแสร้งยิ้มทั้งที่ภายในใจว้าวุ่นกังวลไปเสียหมด... ทิฟฟานี่ส่งยิ้มตาปิดให้แทยอนก่อนจะก้มหน้ากินคิมบับโดยไม่ทันสังเกตเห็นถึงแววตาหม่นแสงของแทยอน
.
“ยุนกลับก่อนนะซอ” อิม ยุนอาลุกขึ้นจากโซฟาหนัง คว้ากระเป้าเป้สีดำสนิทขึ้นสะพายหลังจากเอ่ยลาคนรัก ซอ จูฮยอนลุกขึ้นตามแฟนสาวเดินไปปิดโทรทัศน์เครื่องใหญ่ที่ตั่งไว้กลางห้องนั่งเล่นก่อนจะเดินตามหลังยุนอาไปที่หน้าประตูห้อง ยุนอาทรุดตัวนั่งใส่รองเท้าผ้าใบสีแดงสด เมื่อผูกเชือกรองเท้าเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ยันตัวลุกขึ้นยืน ส่งยิ้มให้ซอฮยอนก่อนจะโน้มหน้ามาใกล้ฝังจมูกลงบนแก้มนุ่มสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ แล้วผละหน้าออกมา โบกมือลากำลังจะบิดประตูเปิดออกแต่ก็โดนซอฮยอนรั้งแขนไว้ หันมามองด้วยรอยยิ้มบางๆ ยกมือขึ้นลูบหัวอ่อนโยน เอ่ยถามด้วย้ำเสียงห่วงใยระคนแปลกใจที่ถูกอีกคนรั้งแขนไว้เหมือนไม่อยากให้กลับ
“เป็นอะไรไป”
“ไม่กลับได้มั้ย...”
“...” ยุนอาเงียบให้อีกคนได้อธิบายเหตุผล มองสบดวงตาของซอฮยอน ถ้ามองไม่ผิดไปรู้สึกว่ามีม่านน้ำบางๆ ก่อขึ้นที่ดวงตาของอีกฝ่าย เห็นท่าทางแบบนี้ก็ใจคอไม่ดีไปด้วย...
“ซอรู้สึกไม่ดีเลย...เหมือนว่าถ้าซอปล่อยให้ยุนกลับไป...ซอจะไม่มีวันได้อยู่กับยุนแบบนี้อีก...”
จบประโยคของร่างบางยุนอาก็หัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะดึงอีกคนเข้ามาสวมกอดหลวมๆ ยกมือขึ้นยีหัวเบาๆ เอ่ยเสียงร่าเริง
“กบบ๊อง~ คิดมากน่า”
“ซอรู้สึกไม่ดีจริงๆ นะ
”
“ตราบใดที่เรายังรักกัน มันจะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นได้ยังไง ไม่ร้องไห้นะคะคนดี” ยุนอาเอ่ยเสียงหนักแน่นก่อนจะผละออกจากอ้อมกอดเปลี่ยนมาจูบซับน้ำตาให้คนขี้แง ซอฮยอนยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ ก็คงจริงอย่างที่ยุนอาว่า เธอคงแค่คิดมากไปเอง...
“งั้นกลับบ้านดีๆ นะยุน” ซอฮยอนโบกมือลาส่งยิ้มให้คนรัก ถึงจะเรียกว่ายิ้ม มันก็ดูเหมือนฝืนยิ้มให้อีกฝ่ายสบายใจเสียมากกว่า ยุนอายิ้มกลับให้ซอฮยอนก่อนจะเดินออกจากคอนโดของคนรักไป...
เมื่อส่งยุนอากลับบ้านแล้วซอฮยอนก็กลับเข้ามาภายในห้องนั่งเล่น เดินไปตรงมุมห้องที่มีเก้าอี้กับโต๊ะขนาดเหมาะตั้งไว้สำหรับนั่งมองบรรยากาศด้านล่างจากความสูงสามสิบสามชั้น ด้วยความอยากสูดอากาศบริสุทธิ์ซอฮยอนจึงเลื่อนบานกระจกใสให้ลมเย็นๆ พัดเข้ามาก่อนจะเดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ นั่งท้าวคางมองลงไปเบื้องล่างที่มีผู้คนสัญจรไปมา ลมเย็นๆ ดีปะทะหน้าชวนให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาหน่อยแม้จะเล็กน้อยก็ตาม
ความรู้สึกติดลบที่ว่าจะไม่ได้อยู่กับยุนอาอีกเข้ามารบกวนจิตใจซอฮยอนอีกหน ถอนหายใจเฮือกใหญ่ไม่รู้เป็นเพราะอะไรอยู่ๆ ถึงเกิดความรู้สึกนี้ เป็นปกติที่เวลายุนอาจะกลับบ้าน ความรู้สึกที่ว่าไม่อยากให้อีกฝ่ายกลับจะเข้ามารบกวนจิตใจ แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป...
รู้สึกไม่อยากให้กลับ...
เหมือนว่าถ้าเธอเดินจากไปแล้ว...
เราจะไม่มีวันได้ใช้เวลาร่วมกันอีก...
อยู่ๆ น้ำตาก็เอ่อขึ้นมา ซอฮยอนสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านก่อนจะลุกขึ้นไปเลื่อนกระจกปิดเหมือนเดิมเมื่อเห็นเมฆตั้งเค้าทำท่าฝนจะตก เงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาบนผนัง เย็นมากพอสมควร ฝนก็ทำท่าจะตกอดเป็นห่วงพี่สาวของตนเสียไม่ได้ ล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดโทรออก รอไม่นานเสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นที่ปลายสาย
(กำลังขับรถกลับน้องสาว โทรมาตามหยั่งกับแม่เลยนะเรา)
“ก็ซอเป็นห่วงพี่แทนี่คะ”
(จ้า จะกินอะไรมั้ย พี่จะได้แวะซื้อเข้าไปให้)
“อะไรก็ได้ค่ะ แล้วแต่พี่แท ขับรถดีๆ นะคะ ฝนทำท่าจะตกแล้วด้วย ระวังอย่าให้เกิดเรื่องเหมือนครั้งที่แล้วนะคะ”
(
) ปลายสายเงียบเสียงลงไปทันทีจนซอฮยอนนึกตำหนิตัวเองในใจที่พูดไม่เข้าท่าขึ้นมา
“พี่แท ซอ ขอ...”
(อื้ม พี่จะระวังตัว อีกซักพักก็ถึงแล้วล่ะ แค่นี้ก่อนนะซอ) ยังไม่ทันที่ซอฮยอนจะเอ่ยขอโทษแทยอนก็เอ่ยสวนขึ้นมาแล้วเอ่ยตัดบทสนทนาก่อนจะกดตัดสายไป ซอฮยอนมองโทรศัพท์ในมือ นึกสงสารพี่สาวต่างแม่ของเธอ
อีกไม่กี่วันก็จะแต่งงานกันอยู่แล้วเชียว ดันมาเกิดเรื่องแบบนี้ เป็นใคร ใครก็ทำใจไม่ได้หรอก...
ร่างสูงเดินฮัมเพลงขณะลงจากรถปอร์เช่สีดำสนิท กำลังจะล้วงหากุญแจภายในกระเป๋าเป้แล้วก็ต้องตกใจเมื่อหันไปสังเกตเห็นว่ารั้วบ้านถูกเปิดไว้แง้มๆ
เอ๊ะ? ก่อนจะออกไปหาซอฮยอนเราก็ล็อคดีแล้วหนิ
หรือว่า...ขโมย!
ยุนอาตาโตด้วยความตกใจ หันสายหันขวามองหาไม้เหมาะๆ ซักอันมาถือไว้ป้องกันตัวเองก่อนจะค่อยๆ พลักรั้วไม้สีขาว เดินเข้าไปด้านในตัวบ้าน บิดประตูช้าๆ ก่อนจะพบว่ามันมี่ได้ล๊อค จำได้ว่าก่อนออกไปก็ล็อคประตูบ้านดีแล้วแบบนี้สงสัยขโมยขึ้นขึ้นบ้านจริงๆ
นึกได้ดังนั้นก็กระชับไม้ในมือแน่น เหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้าและแผ่นหลัง ผลักประตูเข้าไปเบาๆ ภายในบ้านมืดสนิท จะเปิดไฟให้ขโมยรู้ตัวก็ใช่ที่จึงรอให้สายตาปรับเข้ากับความมืดได้ก่อนจึงค่อยๆ คลำทางเดินไป
เสียงกุกกักดังมาจากในครัว ค่อยๆ ย่องเข้าไปภายในครัว เห็นเงาตะคุ่มๆ อยู่บริเวณตู้กับข้าว ขโมยสมัยนี้มีเวลามากขนาดแวะมาหาของกินในครัวด้วยหรอเนี่ย? ไม่สนใจคำถามที่เกิดขึ้นในใจ กระชับไม้ในมือแน่นเงื้อขึ้นสุดแขนเตรียมฟาดลงเต็มแรง
“เฮ้ย!”
โชคไม่ดีเมื่อขโมยหันมาเห็นยุนอาเข้าเสียก่อนทันรับไม้ที่ยุนอาฟาดเสียเต็มแรง จะว่าไปเสียงขโมยมันคุ้นหูเหมือนเสียง...
“ไอ้ยุน! เล่นบ้าอะไรของแกห๊ะ!”
จบเสียงตวาดดังไฟในบ้านก็สว่างโร่ขึ้นทันที เผยให้เห็นใบหน้าคมเข้มที่ดูหงุดหงิดเพราะหวิดจะหัวแตกเพราะลูกพี่ลูกน้องที่ขอมาอาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกันเพราะเหตุจำเป็นหลายๆ อย่าง
“เฮ้ย! พี่ยูล!” ยุนอาอุทานเสียงดังด้วยความตกใจ เผลอปล่อยไม้ในมือลงกับพื้นแต่ความซวยของยูริยังไม่หมดลงเท่านั้นเมื่อไม้เจ้ากรรมที่เกือบจะฟาดลงหัวของตัวเองกลับกระแทกลงเท้าอย่างจัง
“โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!” ยูริหลุดร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด ยกเท้าขึ้นมากุมกระโดดไปมา อะไรมันจะซวยขนาดนี้!!!
.
.
.
“ไหนพี่ยูลบอกว่าจะไปญี่ปุ่นไง ยุนเลยนึกว่าขโมย แถมปิดไฟอยู่ในบ้านมืดๆ ทำตัวลับๆ ล่อๆ เป็นใครใครก็ต้องนึกว่าขโมย โทษยูลไม่ได้นา” ยุนอาเอ่ยเสียงยียวนขึ้นมา
“ฉันไม่ได้ประสาทชอบอยู่ที่มืดๆ ซะหน่อย ไฟมันดับให้ทำยังไง ไอ้เรื่องนั่นฉันไม่ว่าอะไรหรอก แต่แกเล่นปล่อยไม้ใส่เท้าฉันเต็มๆ คิดว่ามันเจ็บมั้ยห๊ะ!”
“เรื่องนั้นก็โทษยุนอีกไม่ได้น้า ยุนไม่คิดว่าจะเป็นพี่ยูลนี่หน่าเห็นบอกจะไปญี่ปุ่นกลับไปหาของกินในครัว ยุนตกใจเลยเผลอทำไม้หลุดมืออ่า แหะๆ” ยุนอาหัวเราะแห้งๆ ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ ยูริยังคงจ้องยุนอาเขม่นจนคนโดนจ้องเริ่มขนลุกซู่ขึ้นมาด้วยความกลัว
“แล้วทำไมพี่ยูลมาอยู่นี่อ่ะ ไม่ไปญี่ปุ่นแล้วหรอ” ยุนอาเปิดประเด็นถามอีกฝ่ายขึ้นมา ทั้งอยากรู้ทั้งอยากเป็นเรื่อง ใครจะอยากโดนคนนั่งมองเขม่นบ้างล่ะ
“ยุน ฉันถามอะไรอย่างสิ” กลับเป็นยูริซะเองที่ถามคำถามกลับ ยุนอานึกแปลกใจ ถามแล้วไม่ตอบไม่พอยังมีหน้ามาถามกลับ จะบ่นก็ไม่ได้กลัวอีกฝ่ายจะเขม่นอีกรอบเลยได้แต่เออออยอมให้อีกฝ่ายถามคำถามมา
“ถ้าคำถามพี่ยูลไม่ยากเกินไปยุนก็จะตอบนะ”
“ฉันไม่เอาคำถามยากๆ มาให้เด็กโง่ๆ อย่างแกตอบหรอก”
“นี่! อย่ามาดูถูกยุนนะ ยุนพึ่งกลับมาจากไปเรียนต่อที่อเมริกาเชียวน้า”
ยุนอายืดอกพูดด้วยความภูมิใจ ที่ต้องมาขออาศัยอยู่กับยูริก็เพราะเจ้าตัวอยากเรียน ไม่อยากเป็นแค่ชาวไร่ชาวสวนเหมือนพ่อแม่ แต่ถึงยังไงฐานะทางบ้านเธอก็ไม่ได้ดูย่ำแย่ถึงขนาดไม่มีปัญญาส่งลูกเรียน ยุนอาถีบตัวเองจนได้ทุนไปเรียนต่อที่อเมริกาเป็นเวลาหนึ่งปี พึ่งกลับมาที่ประเทศบ้านเกิดได้สองสามอาทิตย์
ด้วยความที่สมัยเด็กยูริแวะไปเล่นกับยุนอาที่ต่างจังหวัดบ่อยๆ ทำให้ทั้งคู่สนิทกันมากจนจะเรียกว่าเป็นพี่เป็นน้องคลานตามกันมาก็ว่าได้ การเข้ามาอาศัยอยู่เป็นภาระให้ยูริจึงไม่ได้ทำให้ยุนอารู้สึกทำตัวไม่ถูกแต่อย่างใด กลับทำตัวสบายๆ เสียจนเจ้าของบ้านเริ่มหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ แต่ก็มีข้อดีอยู่ที่ว่ามีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งทำให้บรรยากาศภายในบ้านไม่เงียบเหงาอย่างที่แล้วมา แถมมีคนเฝ้าบ้านให้ในขณะที่กำลังจะไปญี่ปุ่น แต่ด้วยเหตุจำเป็นบางประการ... ทำให้เธอต้องเลื่อนกำหนดการการเดินทางไปญี่ปุ่นไม่มีกำหนด...
“เลิกอวดแล้วฟังคำถามฉัน” ยูริพูดขัดขึ้นมาเสียงเข้มจนยุนอาต้องนั่งหุบปาก เก็บเสียงทันที ยูรินึกเรียบเรียงคำพูดซักพักก็เอ่ยถามยุนอาออกมา
“ถ้าเกิดวันนึงแกสูญเสียความทรงจำไปแล้วมีคนอยู่สองคน คนนึงบอกว่าเขาเป็นแฟนกับแกแต่แกจำเขาไม่ได้เลย อีกคนบอกว่าเขาเป็นแค่เพื่อนกับแก แต่แกกลับรู้สึกคุ้นเคย อบอุ่น รู้สึกดีด้วย ถ้าแกจะเลือกรัก แกจะเลือกรักใคร”
“คำถามพี่ยูลปวดตับดีเนาะ” ทันทีที่ฟังคำถามของญาติผู้พี่จบยุนอาก็เอ่ยเสียงเนือยๆ ออกมา
“ตอบมาเหอะหน่า”
“อืม...คนนึงเคยเป็นแฟนกันแต่จำไม่ได้ ไม่รู้สึกอะไรด้วยเลย อีกคนเป็นแค่เพื่อนแต่กลับรู้สึกคุ้นเคย อบอุ่น รู้สึกดี...” ยุนอาเอ่ยทวนคำถามของยูริบางประโยค ขมวดคิ้วครุ่นคิด ยูรินิ่งเงียบรอฟังคำตอบจากยุนอาด้วยใจจดจ่อ
“...”
“ยุนจะเลือกรักคนที่ตัวเองคิดว่ารักไม่สนว่าในอดีตเขาจะเคยเป็นอะไรกับยุน ถึงแม้ว่าในอดีตเขาคนนั้นจะไม่ใช่แฟนของยุนแต่ถ้ายุนรัก ยังไงยุนก็เลือกคนปัจจุบันที่หัวใจตัวเองเลือกดีกว่า”
ท่าทางคำตอบของยุนอาจะเป็นที่พอใจของยูริเมื่อคนถามพยักหน้าหงึกหงัก เผยยิ้มมีความสุข แววตามีความหวังเล็กๆ จนยุนอาอดสงสัยกับท่าทางแปลกๆ ของยูริเสียไม่ได้
“ขอบใจมากไอ้ยุน! ฉันจะไม่ถือโทษโกรธแกเรื่องที่แกทำไม้หล่นกระแทกใส่ขาฉัน” ยูริเอ่ยเร็วๆ ก่อนจะก้าวขายาวขึ้นห้องของตนไป ปล่อยให้ยุนอานั่งสงสัยอยู่คนเดียว
“อะไรของเขาวะ...”
‘ยุนจะเลือกรักคนที่ตัวเองคิดว่ารักไม่สนว่าในอดีตเขาจะเคยเป็นอะไรกับยุน ถึงแม้ว่าในอดีตเขาคนนั้นจะไม่ใช่แฟนของยุนแต่ถ้ายุนรัก ยังไงยุนก็เลือกคนปัจจุบันที่หัวใจตัวเองเลือกดีกว่า’
หลังจากปิดประตูห้องแล้วย้ายตัวเองมาทิ้งตัวลงนอนลงบนเตียงนุ่ม คำพูดของยุนอาก็แล่นเข้ามาดังก้องขึ้นในหัวอีกครั้ง ยูริเผยรอยยิ้มหยัน
เลือก...คนที่ตัวเองรัก...
โดยไม่สนใจเรื่องในอดีต...งั้นหรอ?
สงสัยคงถึงเวลาที่สวรรค์จะเข้าข้างคนอย่างฉันบ้างแล้วล่ะ!
ขอโทษนะ คิม แทยอน แต่ครั้งนี้ฉันจะไม่มีวันปล่อยให้ ‘โอกาส’ หลุดมือไปหรอก....
แว๊กกกกกกกก! มาต่อซักกะที!
เปิดตัวละครครบทุกคนแล้วน่อ>[]</
ช่วงนี้ไรเตอร์กำลังคึกคงมาอัพบ่อยหน่อย(ง่ายๆ คือพึ่งสำนึกตัวเลิกขี้เกียจได้TT)
ปอลอเป็ด. เม้นกำลังใจให้เค้านะตะเอง~ >u<o
ความคิดเห็น