คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ♥ EPISODE7
“เอาล่ะ ขอบคุณมากทุกคน งั้นวันนี้พอแค่นี้แหละ ยินดีที่ได้รู้จัก ฝากเนื้อฝากตัวไว้ด้วยนะครับ”
รองประธานผู้บริหารวัยต้นสามสิบผู้ซึ่งเป็นประธานในที่ประชุมลุกยืนตัวตรงก่อนจะกล่าวปิดประชุม แล้วยังหันมาจับมือโค้งให้สมาชิกเอ็มแบลคและผู้จัดการอีกครั้งอย่างสุภาพแต่ไว้ตัวเล็กน้อย ดวงตาที่ยิ้มแทนริมฝีปากนั้นอย่างเป็นมิตรทำให้ซึงโฮส่งยิ้มกลับอย่างสนิทใจ และปลื้มที่การประชุมผ่านไปได้ด้วยดี รวมทั้งท่าทีที่ว่าจะได้ทีมงานฝีมือยอดมาผลิตอัลบัมให้ทำหัวหน้าวงมีความสุขเสียเหลือเกิน
“ถ้าว่างๆอยากไปชมเมืองเล็กๆของเราล่ะก็ ให้ชองซังเป็นคนพาไปเถอะนะครับ วันนี้หมดงานแค่นี้แล้วล่ะ”
ชายหนุ่มร่างเล็กยังหันกลับมาคุยกับเขาสองสามคำก่อนจะเดินออกจากห้องไป แน่นอนว่ามีคุณชองผู้ซึ่งทำหน้าที่ล่ามได้อย่างดีเยี่ยมมาตลอดการประชุมแปลให้เหมือนเคย ใบหน้าดูดีแย้มมุมปากน้อยๆเมื่อคู่สนทนาพูดเผื่อแผ่มาถึงตนด้วย ก่อนจะพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นที่เขาฟังไม่ออก ทั้งคู่แลกเปลี่ยนบทสนทนากันอยู่สักครู่ก่อนจะค้อมหัวบอกลากันอีกครั้งหนึ่ง
ซึงโฮมองคุณล่ามเพื่อนร่วมชาติที่หันมายิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตรเหมือนเคย ความรู้สึกระอักกระอ่วนที่มีก่อนหน้าหายไปกว่าครึ่งแล้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายที่มีท่าทีสุภาพแสนสุภาพดูเป็นงานเป็นการขนาดนั้นเมื่อปฏิบัติหน้าที่ ตัวเขาเองที่เป็นคนจริงจังก็เกิดนิยมชมชอบขึ้นมาเป็นธรรมดา แต่ถ้าถามว่าสนิทใจไหม ซึงโฮตอบได้เต็มปากเต็มคำว่าไม่ เพราะทุกครั้งที่ผ่านมา ผู้ร่วมงานจริงๆไม่มีวันได้เห็นด้านที่ไม่มีมาดของเขา..
จริงๆ..ไม่ได้เว่อร์!
เขาก็ได้แต่หวังว่าคุณชองจะเห็นคำพูดของท่านรองประธานเมื่อครู่เป็นเพียงแค่มารยาท..
“อยากไปชมที่ไหนล่ะครับ?”
ให้มันได้อย่างนี้สิ..
ลีดเดอร์แห่งเอ็มแบลคจับผมเล่นแก้เก้อ นึกแช่งชักอีกฝ่ายในใจที่ดันเอาจริงขึ้นมาก่อนจะปฏิเสธ แต่ไม่ทันใครบางคนที่พูดแทรกขึ้นมาก่อน(อีกแล้ว)
“ถามแต่ซึงโฮไม่ถามผมมั่งอะครับ..น้อยใจแย่เลยน้า”
แล้วไอ้หน้าหนวดเพื่อนรักก็ทำท่าสะดุ้งสะดิ้งชม้อยชม้ายเป็นกะเทยควายไม่ได้แปลงเพศให้เจ้าเด็กสามคนที่เหลือรวมทั้งพนักงานไม่กี่คนที่ยังอยู่ในห้องแอบหัวเราะครืน.. รู้ว่าเอ็งหน้าด้าน แต่หน้าด้านเวิร์ลไวด์แบบนี้เกิดมาเพิ่งเคยเห็น!
ถอนหายใจอย่างปลง เหลือบไปมองชายหนุ่มรุ่นพี่อย่างขอโทษไปแทน แต่คนใจดีดูจะขำมากกว่าอย่างอื่น กลับยิ้มให้ก่อนจะว่า
“ผมถามลอยๆแหละครับ ถ้าคุณอยากไปไหน ผมก็พาไปได้เหมือนกัน” ประโยคที่มาพร้อมกับรอยยิ้มเป็นมิตรคงเส้นคงวานั้นไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งสะเทือน กลับจับปากจีบคอว่า
“แต่ไม่เป็นไรหรอกฮ่ะ เกรงใจจะแย่”
ซึงโฮชักจะหมั่นไส้ตุ๊ดขึ้นมาก็คราวนี้ เลยอดพูดแทรกขึ้นมาไม่ได้
“งั้นวันนี้ต้องรบกวนคุณละครับ ใครอยากมากับฉันก็มา ใครไม่อยากไปก็กลับไป โอเคนะฮะพี่หมี?” สั่งการเสร็จสรรพครบถ้วนสมกับเป็นลีดเดอร์ มองหน้าเด็กสามตัวทีละคน หันไปเหวี่ยงใส่กะเทยควาย ก่อนจะเอ่ยปากขออนุญาตพ่อหมีเป็นพี่เรียบร้อย แล้วออกเดินฉับๆอย่างมั่นใจเป็นที่สุดโดยไม่สนใจคนเบื้องหลังด้วยท่วงท่าราวกับเดินบนแคทวอล์ก
แต่ไม่กี่ก้าวก็ต้องชะงัก.. ก่อนจะหันกลับมาถามผู้นำทางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา..
“สรุปเราจะไปไหนกันนะครับ?”
ก็เกิดใครได้ยินเข้าก็ได้หน้าแตกพอดีสิ!
.
.
.
สรุปแล้วเขากับคุณล่ามก็มาโต๋เต๋กันเพียงสองคน เนื่องด้วยสถานที่ที่ตกลงกันว่าจะไปเป็นที่เลาจน์ของเพื่อน น้องเล็กที่ตอนแรกตั้งใจจะมาเปิดหูเปิดตาจึง(กระแดะ)อ้างว่าจะกลับไปนั่งดูวันพีซแบบเสียงในฟิล์มที่โรงแรมต่อให้จบ สองพี่น้องก็ไปตะลอนกันเองตามเคย ส่วนคุณผู้จัดการหลังจากฝากฝังเขาไว้กับคุณล่ามประมาณสิบรอบได้ก็ขอตัวไปโทรหาลูกเมีย
ไอ้คนสุดท้ายนี่สิ...ทำหน้ามึนใส่อยู่ตั้งนาน ก่อนที่จะไม่ว่าอะไรสักคำ เดินสะบัดก้นตามพี่หมีไปเสียเฉย..
เอาใจยากไม่ต่างอะไรกับสตรีวัยหมดประจำเดือน..
กว่าจะเดินออกมาข้างนอกก็เป็นเวลาโพล้เพล้เต็มทนแล้ว..ทางเดินไปสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่เพิ่งเลิกงาน..ทุกคนเคลื่อนที่กันอย่างรีบเร่งแม้จะมาคนเดียวหรือกับเพื่อน ..ในความคิดตอนนี้ดูเหมือนจะมีแค่เขากับคุณชองที่เดินไปอย่างช้าๆชิวๆเป็นสิ่งแปลกปลอมของถนน
ความจริงออกมาเดินกับคุณล่ามสองคนเขาก็ไม่ได้สนิทใจเต็มที่ เพียงแค่กลัวเสียฟอร์มเท่านั้นแหละ.. เพียงแต่ตลอดทางตั้งแต่ต้นสายรถไฟจนมาถึงสถานีปลายทาง ชายหนุ่มผู้แสนดีชวนเขาคุยเรื่อยเปื่อยมาตลอดทาง แล้วยิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายมีรสนิยมหลายอย่างคล้ายๆกันความประดักประเดิดใจตอนแรกก็หายไปหมด. จากเรียกคุณชอง มาเป็นคุณจางอู แล้วกลายเป็นจางอูฮยองตอนไหนแล้วก็ไม่รู้
“ฮยอง..มาทำงานที่นี่ได้ไงฮะ?”
“ผมได้ทุนมาเรียนต่อวิศวะที่นี่นะ เลยมาเป็นล่ามไปพลางๆ หารายได้พิเศษไง” คนเป็นพี่ว่ายิ้มๆขณะเดินนำเขาไปยังทางออกสถานีขึ้นมาสู่ย่านรบปงหงิโดยไม่ได้หันกลับมามองซึงโฮที่มีสีหน้าทึ่งและชื่นชมอย่างปิดไม่มิด
พอโผล่พ้นสถานีออกมาทั้งคู่ก็เดินไปตามถนนที่สว่างไสวไปด้วยแสงสีสมกับได้ชื่อว่าเป็นย่านกลางคืนที่หรูหราและโด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโตเกียว คึกคักไปด้วยทั้งคนต่างชาติหัวทองและหัวดำ
“รบปงหงินี่เขียนป็นตัวอักษรจีนแปลว่าต้นไม้หกต้น...บาร์ที่นี่บางที่เขาก็ให้แค่คนญี่ปุ่นเข้า...แล้วก็ที่นี่มีคนลือกันเยอะว่ามีแก๊งยากูซ่าคอยควบคุม ผมก็ไม่เคยเห็นจริงๆสักคนหรอก แต่ระวังตัวไว้ก็ไม่เสียหลายนะ”
ชองจางอูยังคงทำหน้าที่ไกด์ที่ดีไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทั้งคู่มาหยุดที่หน้าตึกสูงแห่งหนึ่งที่มีบันไดทอดลงไปเป็นชั้นใต้ดิน ชายหนุ่มพยักเพยิดหน้าให้เขาเป็นเชิงว่าถึงแล้ว ก่อนจะเดินตรงไปคุยกับผู้ชายร่างใหญ่ที่ยืนคุมอยู่ข้างหน้า แล้วประตูกระจกมันวับก็ถูกเปิดออก
สิ่งแรกที่เข้ามากระทบหูคือดนตรีแจ๊ซนุ่มๆที่ถูกบรรเลงโดยเครื่องดนตรีไม่กี่ชิ้น.. ประกอบไปด้วยดับเบิลเบส แซกโซโฟน และเปียโน การตกแต่งภายในดูเรียบแต่หรูซะจนซึงโฮแอบทึ่ง.. เพราะถ้าดูเผินๆจากข้างนอกเขาอาจจะเดินผ่านตึกนี้ไปโดยไม่หันกลับมามองสักครั้งเลยก็เป็นได้
“จางอูฮยอง..มาที่นี่บ่อยหรอฮะ?”
“อื้ม...แฟนผมเป็นหุ้นส่วนที่นี่น่ะ” ว่าพลางส่งสายตาให้อีกคนหันไปมองหญิงสาวร่างสูงระหงที่วุ่นวายอยู่หลังเคาน์เตอร์ ลีดเดอร์แห่งเอ็มแบลคได้แต่ห่อปากอย่างชอบอกชอบใจ..
เห็นท่าทางติ๋มๆอย่างนี้พี่แกก็ร้ายไม่เบาเหมือนกัน!
แต่แล้วโทรศัพท์ของคุณล่ามดีเด่นแห่งปีก็ดังขึ้นจนเจ้าตัวต้องขอเลี่ยงไปรับโทรศัพท์อีกทาง ทิ้งเขานั่งอยู่คนเดียว สักครู่แฟนคุณล่ามก็เดินกลับมาอยู่ตรงหน้าพลางส่งยิ้มหวานให้ก่อนจะถามเป็นภาษาเกาหลีชัดแจ๋ว
“ดื่มอะไรดีคะ?”
“ขอแค่เบียร์ละกันครับ” ซึงโฮตอบเสียงเบา ถ้าเขากลับไปเละเทะคงไม่วายโดนไอ้พวกที่เหลือรุมสับเละ
หล่อนพยักหน้า ก่อนจะหันไปวุ่นวายอยู่สักพักก่อนที่แก้วเบียร์จะถูกวางลงตรงหน้า เธอตรงหน้ายังยิ้มหวาน ส่งมือให้ก่อนจะกล่าว
“ฉันชื่อคังยุนจีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
ซึงโฮยื่นมือออกไปจับอย่างเงอะๆงะๆเล็กน้อย เรียกรอยยิ้มจากคนตรงหน้าที่มองเขาอย่างเอ็นดู(?) คังยุนจียังยืนยิ้มมองเขาไม่ว่ากระไรอยู่จนลีดเดอร์ผู้นั่งเจี๋ยมเจี้ยมวันนี้ต้องหาเรื่องมาคุยเปลี่ยนบรรยากาศ
“วงที่นี่เล่นดีนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ สามคนนั้นเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนฉันเองแหละ จบมาจากวิทยาลัยดนตรีที่เดียวกัน” หล่อนว่าเรียบเรื่อย แต่ทำซึงโฮทึ่งเป็นแพนด้าแทะไผ่ไปอีกรอบ ท่าทีที่ดูเหมือนพี่สาวใจดีนั้นทำให้เขาเริ่มคุยด้วยอย่างผ่อนคลายมากขึ้นเล็กน้อย
“วิทยาลัยดนตรีที่นี่หรอฮะ?”
“ใช่ ที่โตเกียวนี่แหละ ฉันเรียนเอกเปียโนน่ะจ้ะ”
“อ่า..ผมก็เล่นเปียโนเหมือนกัน”
ยุนจีหัวเราะเสียงใส ก่อนจะว่าต่อ
“อ่า พอได้ยินมาบ้างน่ะ จางอูบอกฉันก่อนเรื่องคุณซึงโฮไว้พอสมควรน่ะ.. เป็นนักร้องที่เก่งใช้ได้เลยน้า”
ลีดเดอร์ก้มหน้ารับคำชมเขินๆแบบที่ถ้าเจ้าพวกลิงทะโมนมาเห็นเขาในมาดนี้คงได้ล้อเลียนไปอีกนาน ก่อนจะชวนคุยไปอีก
“งั้นคุณยุนจีคงมาเจอกับจางอูฮยองที่นี่สินะฮะ?”
“เปล่าหรอก.. เราเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม..เราเป็นเพื่อนกันมาก่อนเป็นแฟน..” หล่อนเว้นช่วงไปพักหนึ่ง ก่อนจะยิ้มขำเมื่อเห็นอีกคนมองหน้านิ่งตั้งใจฟัง ก่อนจะเล่าต่อ
“ฉันแอบชอบเขามาก่อน แต่ไม่กล้าบอกมาตั้งแปดปี.. แต่วันหนึ่งที่เขาจะไปเรียนต่อ.. ฉันเลยตัดสินใจสารภาพ ถึงจะกลัวมากว่าความเป็นเพื่อนจะหายไป.. แต่มันก็น่าเสี่ยงนะรู้ไหม..เพราะสุดท้าย กลายเป็นว่าเราใจตรงกัน ฉันเลยตามเขามาญี่ปุ่นนี่ไงล่ะคะ”
หน้าสวยๆนั้นขึ้นสีชมพูเรื่อๆสมกับเป็นหญิงสาวที่อยู่ในห้วงรัก ซึงโฮมองใบหน้านั้นแล้วก็คิดถึงใครบางคนอย่างไม่รู้ตัว
“จริงๆนะ.. ถ้าไม่พูด เราไม่มีทางรู้หรอก”
..เพื่อนสนิทเวรๆของเขา.. คนที่เขายังไม่ค่อยแน่ใจกับความรู้สึก..
แล้วทำไมต้องคิดถึงมันด้วยล่ะ?
เหลือบมองหน้าคนตรงหน้าอีกรอบก่อนจะถอนใจ ถึงจองบยองฮีจะไม่มีอะไรสวยงามอ่อนหวานเลยสักนิด แต่ถ้าถามใจตัวเองดูแล้ว.. เขาก็แอบ....ชอบมันอยู่.....นิดหน่อยนะ..นิดหน่อยจริงๆนะให้ตาย
ไม่ใช่ว่าไม่แค่คิดเรื่องนี้มาก่อนแต่.....ถ้าจะว่ามันไม่สวยไม่น่ารัก.. เขาก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่..ยางซึงโฮลีดเดอร์สุดแมนแสนแฮนซั่มแห่งเอ็มแบลคเลยเนี่ยนะ
ถ้าบอกมัน.. มันจะว่าไง เขาก็ไม่รู้..
ไม่รู้..และกลัวด้วยโว้ย!!
Talk
บ้านคนเขียนน้ำท่วมเรียบร้อยแล้วค่า ๕๕
ต่อจากนี้ มีข่าวดี(หรือเปล่า?)ว่า เราเพิ่งรับคำท้าให้เขียนเรื่องนี้ให้จบภายในวันที่ 15พย. (วันเปิดเทอม) อื้ม
รอดูกันดีกว่าว่าจะทำได้ไหม หรือจะเผาแค่ไหน ๕๕
(รู้แต่ตอนนี้ปั่นลื่นและสนุกมาก เพราะโมเม้นเยอะ :))
ความคิดเห็น