เรือนคหบดี
ผู้เข้าชมรวม
120
ผู้เข้าชมเดือนนี้
19
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เรือนคหบดี
ปองปรีดา
“ศรี ศรี” คุณย่าตาดหญิงชราร่างเล็กวัยแปดสิบ หลังค่อนข้างงอ ผิวสีดำแดง ผมขาวสีดอกเลา แต่หน้าตายังแลดูแจ่มใสเหมือนคนอายุแค่หกสิบกว่าๆ ร้องเรียกแม่บ้านศรีแม่บ้านคู่กายในวัยไล่เลี่ยกัน ขณะที่ออกมาจากเรือนนอนของท่านหลังจากไหว้พระสวดมนตร์เสร็จ
“เจ้าขา” แม่บ้านศรีตอบเสียงดังฟังชัดเหมือนทุกวัน แม่บ้านศรีมีรูปร่างอ้วนท้วม ผิวค่อนข้างขาว ไม่สูงมากนัก แต่ผมยังคงดำสนิท
“เดี๋ยวเตรียมทำความสะอาดเรือนนอนของคุณชัย พรุ่งนี้จะมีคนมา แล้วก็เตรียมอาหารเย็นไว้ด้วยนะ”
“ใครเจ้าค่ะ” แม่บ้านศรีถามด้วยความสนใจและดีใจที่จะมีแขกมาบ้าน
“ไม่ต้องถามมาก ไปทำตามที่ฉันสั่งก็พอ” คุณย่าตาดบอกแม่บ้านศรี แล้วก็เดินกลับเรือนนอนของท่านไป
ด้านนพพรหมอหนุ่มจบใหม่จากมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ วัยยี่สิบสี่ปี สูงขาว รูปร่างดี หน้าตาหล่อเหลา บุคลิกเป็นคนเงียบขรึมไม่ค่อยพูด แต่มีดวงตาที่มีเสน่ห์น่าค้นหา และรอยยิ้มที่แสนสวย โดยเฉพาะกับผู้หญิงทั้งแท้และเทียม นพพรมีฐานะร่ำรวยอยู่ในอันดับต้นๆของเศรษฐีเมืองไทย เนื่องจากมีพ่อซึ่งก็คือ คุณสิทธิชัยเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ระดับกระทรวงที่มากไปด้วยบารมีแถมมีทรัพย์สมบัติที่เป็นมรดกตกทอดตั้งแต่ปู่ย่าตายายอีกมากมาย ส่วนแม่ก็คือคุณหญิงกมลมาศก็มีเชื้อสายเป็นถึงผู้ดีเก่าสืบเชื้อสายไปได้ถึงสมัยอยุธยา จึงทำให้นพพรเป็นที่หมายปองของหญิงสาวทั่วฟ้าเมืองไทย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ คุณหญิงกมลมาศทั้งห่วงและหวงนพพรยิ่งกว่าจงอางห่วงไข่
“คุณพ่อคุณแม่ครับผมจะขออนุญาตไปหาคุณย่าที่จังหวัดสุโขทัยนะครับ” นพพรบอกคุณสิทธิชัยและคุณหญิงกมลมาศในเย็นวันเดียวกันขณะนั่งดูรายการโทรทัศน์รายการโปรดด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูกภายในห้องนั่งเล่นส่วนตัวของครอบครัว
“จะไปอย่างไรลูก” คุณหญิงกมลมาศถามนพพรลูกชายหัวแก้วหัวแหวน
“นั่งรถประจำทางไปครับ”
“จะนั่งรถประจำทางไปทำไม แม่ว่ารอให้แม่ว่างขับรถไปให้ดีกว่ามั่ง หรือถ้ารอแม่ไม่ไหว ก็ให้คนขับรถขับไปให้ก็ได้สุโขทัยแค่นี้เอง” คุณหญิงกมลมาศบอกนพพร
“ให้ลูกเราออกไปผจญภัยกับโลกภายนอกบ้างซิคุณ ลูกเราเป็นผู้ชายนะ” คุณสิทธิชัยบอก คุณหญิงกมลมาศ ด้วยความรำคาญกับการติดนพพรของคุณหญิงกมลมาศ
“แต่ว่าลูกเราเพิ่งเรียนจบนะคะ แล้วก็ไม่เคยนั่งรถประจำทางไปไหนมาไหนคนเดียว” คุณหญิงกมลมาศบอกคุณสิทธิชัยตาขวางนิดๆ
“ผมโตแล้วนะครับคุณแม่ ผมดูแลตัวเองได้” นพพรบอกคุณหญิงกมลมาศด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ
“แต่แม่ว่านพเพิ่งเรียนจบอยู่บ้านพักผ่อนให้สบายก่อนดีกว่านะลูก” คุณหญิงกมลมาศยังไม่ยอมแพ้
“คุณพูดเหมือนลูกอายุสิบห้าสิบหก นี่ตานพของคุณเรียนจบแล้วและก็กำลังจะทำงานทำการ” คุณสิทธิชัยดักคอคุณหญิงกมลมาศ
“คุณนี่” คุณหญิงกมลมาศค้อนคุณสิทธิชัยสามร้อยหกสิบองศา ด้วยไม่อยากจะทะเลาะกับ คุณสิทธิชัยต่อหน้านพพร ซึ่งคุณสิทธิชัยก็ยังคงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ต่อไป
“นะครับ คุณแม่” นพพรอ้อนคุณหญิงกมลมาศด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน ด้วยรู้จักนิสัยคุณหญิงกมลมาศดีว่าถ้าเขาทำเสียงแบบนี้คุณหญิงกมลมาศต้องยอมใจอ่อนทุกครั้ง
“แต่” คุณหญิงกมลมาศน้ำเสียงอ่อนลงตามคาด
“คุณก็ปล่อยลูกไปเถอะ” คุณสิทธิชัยได้ที จึงพยายามพูดเข้าข้างนพพร ด้วยอยากให้นพพรไปไหนมาไหนคนเดียวบ้าง
“แล้วก็โทรหาแม่ด้วยนะว่าอยู่ที่ไหนทำอะไร”
“ครับผม” นพพรตอบยิ้มๆ พร้อมกับหยอดคำหวาน “ถึงคุณแม่ไม่บอกผมก็จะโทรหาคุณแม่อยู่แล้วครับ ไปไกลขนาดนี้”
“ก็รู้อย่างนี้แล้วก็อย่าไปเลยนะ” คุณหญิงกมลมาศได้ทีอ้อนนพพรกลับบ้าง จนคุณสิทธิชัยที่นั่งอยู่ข้างๆ ทนไม่ไหวจึงรีบพูดตัดบท
“แล้วจะไปกี่วัน”
“หนึ่งอาทิตย์ครับ”
“ตั้งอาทิตย์” คุณหญิงกมลมาศอุทานด้วยความตกใจ เนื่องจากไม่เคยห่างจากนพพร หรือจะพูดให้ถูกก็คือเธอไม่ยอมให้นพพรลูกชายคนเดียวคลาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียวนั่นเอง ตลอดเวลาที่นพพรเรียนแพทย์เป็นเวลาหกปีเธอก็ยอมอุตสาห์ขับรถรับส่ง โดยไม่ยอมให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอยู่หอพักของมหาวิทยาลัยเหมือนนักศึกษาแพทย์คนอื่นๆ ยกเว้นมีความจำเป็นจริงๆเท่านั้น “แม่ว่าสามวันก็พอมั่ง” คุณหญิงกมลมาศเริ่มต่อรอง จนทำให้คุณสิทธิชัยต้องทำตาให้นพพรเป็นเชิงบอกว่าตามใจแม่ไปก่อน แล้วค่อยว่ากันทีหลัง
“ก็ได้ครับ” นพพรบอกคุณหญิงกมลมาศ
“แล้วจะไปเมื่อไร” คุณสิทธิชัยถามนพพร
“พรุ่งนี้เช้าครับ จองตั๋วเรียบร้อยแล้วครับ”
“ก็ดี” คุณสิทธิชัยบอกนพพร พร้อมกับลุกขึ้นไปชั้นบนเพื่ออาบน้ำนอน และหันไปบอกคุณหญิงกมลมาศที่นั่งหงุดหงิดด้วยไม่อยากให้ลูกชายสุดที่รักจากไปไกล แต่ก็ไม่รู้จะห้ามอย่างไรดี “คุณเดี๋ยวช่วยไปเลือกเสื้อผ้าให้ผมหน่อย พรุ่งนี้ผมมีประชุมตอนเช้ากับท่านรัฐมนตรี”
พอพ้นร่างของคุณสิทธิชัยและคุณหญิงกมลมาศแล้วนพพรก็ทำท่าโล่งอก และนี้ก็ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาจะได้ไปไหนมาไหนคนเดียวโดยที่ไม่มีเงาของคุณหญิงกมลมาศคอยติดตามทุกฝีก้าว
ทันทีที่ถึงห้องนอนคุณหญิงกมลมาศก็เริ่มหาเรื่องคุณสิทธิชัยทันที ซึ่งนพพรที่เดินตามหลังมาได้ยิน จึงยืนแอบฟังอยู่หน้าห้อง
“ทำไมคุณต้องให้ลูกเราไปด้วย” คุณกมลมาศเริ่มหาเรื่อง
“ก็ลูกเราโตแล้วให้ไปไหนมาไหนคนเดียวมั่งก็ไม่เห็นเป็นอะไร และที่สำคัญก็ไปหาคุณแม่ผม” คุณสิทธิชัยบอกเหตุผมกับคุณหญิงกมลมาศจากใจจริง
“หรือคุณยังไม่ลืมแม่นั้น” คุณหญิงกมลมาศเริ่มเท้าความหลัง เสียงดังขึ้นมาทันใด
“ผมกับพี่งามจิตเราไม่ได้ติดต่อกันนานแล้วนะ คุณก็รู้” คุณสิทธิชัยเน้นย้ำ และยังคงแทนตัวคนรักเก่าด้วยความรักว่าพี่เหมือนเดิม จนทำให้คุณหญิงกมลมาศถึงกับค้อนเข้าให้
“แม่นั้นมันมีดีอะไรนักหนาคุณถึงลืมมันไม่ได้ซะที แก่ก็แก่”
“ผมบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าอย่าพูดถึงพี่งามจิตแบบนี้ ผมไม่ชอบ” คุณสิทธิชัยบอกคุณหญิงกมลมาศเสียงเครียดขึ้นมาทันที
“ก็ใครจะไปรู้เห็นโทรศัพท์หาใครอยู่ทุกวันตอนหัวค่ำ คุณอย่านึกว่าฉันไม่รู้เรื่องนะ” คุณหญิงกมลมาศเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ
“ผมโทรศัพท์หาคุณแม่ผม คุณนี่ยังไง ผมจะไปหาคุณแม่ก็ไม่ให้ไป คุณแม่ผมแก่แล้วนะ ผมว่าคุณไปช่วยเลือกเสื้อผ้าให้ผมที่จะไปประชุมกับท่านรัฐมนตรีพรุ่งนี้เช้าดีกว่า ผมไม่อยากให้ลูกเรามาได้ยิน” คุณสิทธิชัยตัดบทด้วยไม่อยากพูดให้มากไปกว่านี้ ส่วนนพพรเมื่อได้ยินคุณสิทธิชัยกับคุณหญิงกมลมาศมีปากเสียงกันก็ทำให้เขาถึงกับยืนงง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่าคุณสิทธิชัยกับคุณหญิงกมลมาศมีปากเสียงกัน เพราะตลอดเวลาคุณสิทธิชัยกับคุณหญิงกมลมาศมักจะทำเป็นดูรักกันดี ทำให้เขายิ่งอยากรู้ว่าพี่งามจิตของคุณพ่อเป็นใคร และมีความสำคัญยังไงจนทำให้พ่อกับแม่ของเขาต้องมีปากเสียงกัน แล้วนพพรก็เดินกลับห้องตนไป
ปลายฝนหรือฝน เลขานุการสาว วัยสามสิบปี รูปร่างผอมบางขนาดกะทัดรัด ผิวขาวอมเหลือง ผมซอยสั้นทันสมัย วันนี้อยู่ในสภาพที่อิดโรย ขอบตาบวมช่ำ เหมือนคนที่ผ่านการร้องไหอย่างหนักมาตลอดคืน เธอเพิ่งยื่นใบลาออกจากงานประจำ เพื่อกลับบ้านที่สุโขทัย โดยให้เหตุผลง่ายๆกับเจ้านายว่าพ่อไม่สบาย แต่ในใจลึกๆ มีแต่เพียงเธอและเพื่อนสนิทคือเพ็ญมณีที่รู้
“ตกลงเธอคิดดีแล้วแน่นะ” เพ็ญมณีถามปลายฝนเพื่อนรักในวันทำงานวันสุดท้ายของปลายฝน
“ดี” ปลายฝนตอบหนักแน่น ด้วยประโยคสั้นๆ
“แค่เรื่องอกหักแค่นี้นี่นะ” เพ็ญมณีทำเสียงสูงปรี๊ดด้วยไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่ใช่อย่างนั้น” ปลายฝนพยายามปฏิเสธ แต่ก็ไม่ยอมสบตาคนพูด พร้อมกับหยดน้ำตาที่จะรินไหลได้ทุกเมื่อหากผู้พูด พูดสะกิดใจ “ก็พ่อไม่สบาย”
“พ่อไม่สบายเธอก็ใช้สิทธิลาพักร้อนก็ได้นี่ จะลาออกไปทำไม” เพ็ญมณีพยายามคาดคั้นเอาความจริง
“แต่” ปลายฝนตอบเสียงเครือพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน ด้วยยังทำใจไม่ได้กับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นกับตนมันช่างเหมือนเป็นฝันร้ายที่น่ากลัวเสียนี่กระไร เธอกับเขารักกันมาหลายปีตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย จนกระทั่งจบและทำงาน นี่ก็กำลังจะแต่งงานกันอยู่ปีสองปีนี้ และถ้านับจากวันแรกที่คบกันจนถึงวันที่เขาบอกเลิกก็เกือบสิบปีแล้วซินะ
“เอาเถอะเราเข้าใจว่าของอย่างนี้มันทำใจลำบาก เธอก็คบกับเค้ามาหลายปี ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยจนทำงานทำการ อยู่ดีๆมาบอกเลิกกะทันหันใครจะไปทำใจได้” เพ็ญมณีพูดกับปลายฝนด้วยน้ำเสียงที่เจ็บใจแทน จนทำให้ปลายฝนถึงกับร้องไหออกมาแบบไม่อาย
“ทำไมเค้าถึงทำกับเราแบบนี้ เราทำผิดอะไร เกือบสิบปีที่เราคบกันไม่มีความหมายอะไรเลยใช่ไหม” ปลายฝนคร่ำครวญเป็นรอบที่ร้อยนับตั้งแต่เลิกกับเขา พร้อมกับพรรณนาต่อเป็นรอบที่ร้อยเท่าไรก็ไม่อาจนับได้ จนเพ็ญมณีถึงกับส่ายหน้าด้วยความระอา “เราไม่เคยทะเลาะกันเลยสักครั้งเดียว อยู่ดีๆเค้าก็มาบอกเลิก”
“ฉันว่าก็ดีซะอีกที่เค้าออกลายตอนนี้ ดีกว่าแต่งกันไปแล้วมาออกลายตอนหลัง เธอจะยิ่งลำบากกว่านี้อีกนะจะบอกให้”
“แต่” ปลายฝนพูดได้เพียงแค่นี้น้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลไม่ยอมเลิกเหมือนเขื่อนแตก จนทำให้เพ็ญมณีต้องรีบตัดบท
“เอาเถอะ เอาเถอะ ฉันเข้าใจ ฉันว่าเธอแค่ลาพักร้อนก่อนก็แล้วกันนะ อย่าเพิ่งลาออกเลย กลับบ้านไปทำใจสักหนึ่งอาทิตย์อะไรๆมันก็คงดีขึ้น ดีไม่ดีเธออาจจะเจอคนที่ดีกว่าอีตาบ้านี่ก็ได้นะ”
“แต่เรายื่นใบลาออกไปแล้ว”
“ฉันเอากลับมาแล้ว และก็เปลี่ยนเป็นลาพักร้อนแทน พร้อมกับปลอมลายมือชื่อเธอเรียบร้อย หวังว่าคงไม่ว่าอะไรนะ” เพ็ญมณีบอกปลายฝน พร้อมกับถามต่อเมื่อเห็นว่าปลายฝนไม่ว่าอะไร “แล้วพรุ่งนี้จะไป กี่โมงจะได้ไปส่ง”
“คงเที่ยวเช้าประมาณแปดโมง” ปลายฝนบอกเสียงแผ่วเบา
“พรุ่งนี้ฉันไปที่หอพักเธอตอนเจ็ดโมงก็แล้วกันนะ”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวก็เข้างานสายพอดี”
“ไม่เอาฉันเป็นห่วงเธอ ยิ่งเดินทางไปคนเดียวแล้วสภาพแบบนี้”
“ก็ได้” ปลายฝนตอบแบบขอไปที
เช้าวันรุ่งขึ้นเพ็ญมณีก็ไปหาปลายฝนตามเวลาที่ได้นัดหมายไว้ โดยที่ปลายฝนลงมารออยู่ที่ห้องโถงรับแขกของหอพัก ด้วยชุดกางเกงยีนส์พอดีตัวกับเสื้อสีขาวเข้ารูป รองเท้าผ้าใบ แต่งหน้าพอบางๆ พร้อมกับเป้ใบเล็กๆที่สะพายอยู่ข้างหลังทำให้ดูน่ารักน่ามองกว่าทุกวัน
“วันนี้ไม่ไปทำงานหรือจ๊ะ” แม่บ้านหอพักทักทายปลายฝน ด้วยเห็นว่าปลายฝนไม่ได้แต่งตัวไปทำงานเหมือนเช่นทุกวัน “ป้าว่าแต่งตัวแบบนี้ก็ดูน่ารักดีนะดูเป็นเด็กสดใสดี” แม่บ้านหอพักเอ่ยชม
“กลับบ้านค่ะ” ปลายฝนตอบแม่บ้านด้วยน้ำเสียงที่บอกว่าเบื่อหน่ายด้วยไม่มีอารมณ์จะต่อปากต่อคำพลางคิดในใจ “จะรู้ไปทำไม”
“จะกลับกี่วัน อย่างงี้ป้าก็เหงาแย่เลยซิ ไม่มีเพื่อนคุย” แม่บ้านหอพักชวนคุยไปเรื่อยๆ ตามประสาของคนที่ชอบพูดมากกว่าชอบทำงาน
“ประมาณหนึ่งอาทิตย์ค่ะ” ปลายฝนตอบแบบขอไปที พลางสอดส่ายสายตาหาเพ็ญมณีเพื่อนรัก
“ตั้งอาทิตย์” แม่บ้านอุทานออกมาอย่างแปลกใจ เพราะปกติไม่เคยเห็นปลายฝนกลับบ้านนานเท่านี้นับตั้งแต่ที่เธอเริ่มมาทำงานเป็นแม่บ้านที่หอพัก “มีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ”
“หรือว่าทะเลาะกับแฟน” แม่บ้านหอพักคาดการณ์ตามประสบการณ์ของคนที่ผ่านโลกมานาน แต่ยังที่ปลายฝนไม่ทันจะตอบ เพ็ญมณีก็มาถึงหอพักของปลายฝนตามเวลานัดหมาย
“คอยนานหรือเปล่า ขอโทษทีนะ มัวแต่หาของฝาก”
“ไม่เป็นไร แล้วหอบอะไรมาเยอะแยะ”
“ก็ของฝากของพ่อกับแม่”
“ลำบากแย่” ปลายฝนบอกเพ็ญมณีแบบเกรงใจ
“ลำบง ลำบากอะไร พ่อแม่เธอก็เหมือนกับพ่อแม่ฉัน ฉันไม่ได้ไปหาท่านทั้งสองนานแล้ว ก็ถือว่าเอาของฝากนี่แทนตัวก็แล้วกันนะ แล้วฝากบอกพ่อกับแม่ด้วยว่าครั้งหน้าฉันจะไปหา”
“จ๊ะ ขอบใจมาก” ปลายฝนกล่าวขอบใจในน้ำใจของเพ็ญมณี พร้อมกับชวนไปขึ้นรถแท็กซี่หน้า ปากซอยอย่างรวดเร็ว ด้วยรำคาญสายตาอยากรู้อยากเห็นของแม่บ้านหอพักที่มองเธอกับเพื่อนแบบไม่ให้คลาดสายตา
ณ อาคารจอดรถผู้โดยสารขาออกสถานีหมอชิต เพ็ญมณีขึ้นไปส่งปลายฝนถึงบนรถ และเมื่อเห็นว่าปลายฝนน่าจะปลอดภัยแล้วจึงขอตัวลากลับ ส่วนคุณหญิงกมลมาศก็มาส่งนพพรถึงบนรถเช่นกัน โดยที่นั่งของนพพรติดกับของปลายฝน
“ถึงบ้านคุณย่าแล้วโทรกลับหาแม่ด้วยนะ” คุณหญิงกมลมาศบอกนพพร พลางชำเหลืองสายตาไปที่ปลายฝนซึ่งนั่งเหม่อลอย และไม่สนใจคุณหญิงกมลมาศกับความรู้สึกไม่ถูกชะตากับปลายฝนอย่างบอกไม่ถูก
“ครับ” นพพรในชุดเดินทางที่เป็นเสื้อเชิ้ตสีฟ้ากับกางเกงขาสามส่วนสีครีมเอาเสื้อใสในกางเกงและคาดเข็มขัดอย่างเรียบร้อย ประกอบกับหน้าตาที่หล่อเหลา ทำให้ดูโดดเด่นกว่าใครๆ จนคนที่ผ่านไปมาต้องมองจนเหลียวหลัง ตอบคุณหญิงกมลมาศด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมและอ่อนโยน จนทำให้ปลายฝนหันกลับมามองคนพูดนิดหนึ่ง ด้วยไม่เคยเห็นผู้ชายพูดจาไพเราะน่าฟังแบบนี้มาก่อน พลางแอบคิดในใจ “สงสัยจะเป็นเกย์ น่าเสียดายผู้ชายสมัยนี้เป็นอะไรกันหมดอันที่เหลือก็.......” แล้วก็หันหน้าไปมองที่นอกกระจกต่อด้วยน้ำตาที่เริ่มไหลริน “คุณแม่กลับบ้านเถอะครับเดี๋ยวรถก็ออกแล้ว”
“ไม่เป็นไรลูก แม่จะคอยจนกว่ารถจะออก”
“ไม่ต้องหรอกครับคุณแม่ลำบากเปล่าๆ ส่งผมแค่นี้ก็พอนะครับ”
“งั้นก็ตามใจ แล้วก็อย่าลืมโทรหาแม่ด้วยนะ”
“ครับผม” นพพรตอบรับแบบโล่งอก เมื่อร่างคุณหญิงกมลมาศลงจากรถ ปลายฝนก็หันมามอง นพพรพร้อมกับรอยยิ้มที่เปื้อนคราบน้ำตา
“ไม่เคยเดินทางไปไหนคนเดียวหรือค่ะ” ปลายฝนถามนพพร ด้วยต้องการหาเพื่อนคุย หลังจากที่ล้อรถเริ่มเคลื่อนออกจากชานชาลา และหัวใจของเธอก็ว้าเหว่ขึ้นมาอีกครั้ง
“ครับ”
“จะไปไหนค่ะ”
“สุโขทัยครับ ผมอยู่มีญาติอยู่ที่สุโขทัย”
“พี่ก็จะไปสุโขทัยค่ะ เดี๋ยวลงรถพร้อมกันก็ได้นะค่ะ” ปลายฝนรับอาสาแบบคนมีน้ำใจ และแทนตัวเองว่าพี่ ด้วยคาดคะเนจากหน้าตาแล้วคิดว่าคงอ่อนกว่าเธอแน่นอน แถมคิดต่อท้ายด้วยความเสียดาย “ไม่น่าเป็นเกย์เล้ย”
“ขอบคุณครับ” นพพรกล่าวขอบคุณในน้ำใจของพี่สาวเจ้าน้ำตา พร้อมรอยยิ้มแสนสวยและดวงตาอันมีเสน่ห์ จนทำให้ปลายฝนถึงกับต้องมนต์สะกดลืมเรื่องของตัวเองไปชั่วครู่
“บ้านพี่อยู่สุโขทัยค่ะ ขายผ้าอยู่ในตลาด ว่าแต่บ้านญาติคุณละค่ะ เผื่อพี่จะได้ไปส่ง” ปลายฝนถือโอกาสเล่าประวัติของตัวเองนิดหน่อยเพื่อสร้างความเป็นกันเองกับนพพร และหาเรื่องชวนคุยมากกว่าต้องการรู้เรื่องส่วนตัวของเขาจริงๆ
“อยู่หน้าวัดไทยชุมพลครับ”
“ไม่ทราบว่าน้องเรียนคณะอะไรค่ะ”
“ผมเรียนจบแล้วครับกำลังจะทำงานเป็นหมอครับ”
“อ้าว นึกว่ายังเรียนไม่จบ”
“แสดงว่าผมหน้าอ่อน” นพพรเริ่มแสดงความเป็นกันเองกับปลายฝนมากขึ้น พร้อมกับถามต่อด้วยความสนใจ “แล้วพี่ทำงานอะไรครับ”
“พี่ทำงานบริษัทเป็นเลขานุการ พอดีช่วงนี้ลาพักร้อนกลับบ้าน คุณพ่อพี่ไม่ค่อยสบาย”
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ” นพพรถามด้วยความเป็นห่วงแบบหมอที่ห่วงอาการคนไข้
“ยังไม่ทราบรายละเอียดอะไรมากเลย แต่คุณแม่บอกว่าอาการไม่น่าเป็นห่วง” ปลายฝนยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ จนลืมเรื่องของตัวเองเสียสนิท จนกระทั่งมีเสียงโทรศัพท์และเบอร์ของคนที่คุ้นเคยดังขึ้น ปลายฝนลังเลใจที่จะรับนิดหนึ่งก่อนกดวางสายโทรศัพท์ทิ้ง จนนพพรเลิกคิ้วนิดๆเป็นเชิงถาม “คนรักเก่านะค่ะ เขาเพิ่งบอกเลิกกับพี่เมื่อวันก่อน” ปลายฝนบอกนพพรเสียงเครือแล้วน้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลลงมา อาบแก้มอีกเช่นเคยและก็ยังคงพูดประโยคเดิมซ้ำอีกเป็นรอบที่ร้อยเท่าไรก็ไม่อาจจะนับได้ “เราคบกันได้เกือบสิบปีตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยจนกระทั่งทำงาน เขาเป็นช่างอยู่บริษัทเดียวกันกับพี่ และมีโครงการจะแต่งงานกันปีหน้า”
“ผมขอโทษ” นพพรบอกด้วยความสำนึกผิด ที่ไม่น่าแสดงกิริยาเป็นเชิงถามเช่นนั้น
“ไม่เป็นไรค่ะ ความจริงก็ต้องเป็นความจริงอยู่วันยันค่ำ วันหนึ่งเราก็ต้องจากกันอยู่ดี ไม่จากเป็นก็จากตาย” ปลายฝนบอกนพพรด้วยเสียงเศร้าจนน่าสงสาร พร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาไม่ยอมหยุดเหมือนสายน้ำไหล จนทำให้นพพรอยากจะดึงสาวเจ้ามากอดปลอบใจ
“มีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้นะครับไม่ต้องเกรงใจ”
“ขอบคุณค่ะ คุณหมอเป็นจิตแพทย์หรือค่ะ”
“ยังไม่ได้เป็นครับ ผมเพิ่งเรียนจบมาใหม่ๆ แต่ก็พอรู้บ้าง ส่วนพี่เรียกผมว่านพเฉยๆก็ได้ครับ ชื่อจริงผมชื่อนพพร” พร้อมกับถามชื่อพี่สาวเจ้าน้ำตาที่ทำท่าเหม่อลอยอีกครั้งเมื่อได้ยินชื่อ “พี่ชื่ออะไรครับ”
“อะไรนะ” ปลายฝนทวนคำถาม
“ผมถามว่าพี่ชื่ออะไรครับ”
“ปลายฝนค่ะหรือเรียกว่าพี่ฝนเฉยๆก็ได้” และก็แอบคิดต่อ “ชื่อมีตั้งเยอะทำไมต้องชื่อนพเหมือนกันด้วยว่ะ”
“ผมขอเบอร์โทรศัพท์พี่ได้หรือเปล่าครับ เผื่อว่าผมจะได้แวะไปหาพี่ที่บ้านบ้าง เพราะผมไม่ค่อยมีเพื่อนที่สุโขทัย”
“ได้ค่ะ” ปลายฝนตอบรับแบบไม่คิดอะไรมาก พร้อมกับจดเบอร์โทรศัพท์ให้กับนพพร ส่วนนพพรก็ให้เบอร์โทรศัพท์กับเธอเช่นกัน
“เบอร์โทรผมครับ พี่มีอะไรก็โทรหาผมได้ตลอดเวลาเลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ” นพพรให้เบอร์ และการสนทนาของทั้งคู่ก็ดำเนินไปตลอดทางจนกระทั่งถึงสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดสุโขทัย
“ถึงแล้วค่ะ” ปลายฝนบอกนพพร “เราลงไปข้างล่างกันดีกว่านะค่ะ” เมื่อลงมาถึงสถานีขนส่งผู้โดยสารแล้วปลายฝนก็โทรศัพท์ให้ทางบ้านออกมารับ ซึ่งคนที่มารับปลายฝนก็คือ ต้นเมฆ นั่นเอง ต้นเมฆมีลักษณะสูงขาว ตาชั้นเดียว สวมแว่นตาหนาๆ สวมเสื้อยืดสีน้ำตาลกับกางเกงขาสั้น หน้าตาค่อนข้างหล่อตามแบบหนุ่มเกาหลี จึงเป็นขวัญใจของสาวๆทั้งจังหวัดสุโขทัย
“พี่ชายพี่ค่ะ พี่ต้นเมฆ” ปลายฝนแนะนำนพพรให้รู้จักกับพี่ชายของตน ส่วนนพพรก็ยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อมและก็แนะนำอีกฝ่ายหนึ่งกลับด้วยชื่อเต็ม “นี่น้องนพพร” แล้วปลายฝนก็บอกต้นเมฆต่อ “พี่เมฆไปส่งน้องที่หน้าวัดไทยชุมพลด้วยนะ” ปลายฝนพยายามหลีกเลี่ยงชื่อที่ทำให้เธอต้องช้ำใจ
“วัดไทยชุมพล” ต้นเมฆทวนคำและเรียกนพพรว่าน้องตามปลายฝน “น้องเป็นอะไรกับคุณย่าตาด”
“ผมเป็นญาติห่างๆครับ” นพพรหลีกเลี่ยงคำว่าหลานชายด้วยไม่ชอบอวดอ้างกับใคร
“อ้าว ก็คนกันเอง”
“พี่รู้จักคุณย่าตาดท่านด้วยหรือครับ”
“คนแถวนี้ใครๆ ก็รู้จักคุณย่าตาดกันหมดทุกคน ท่านเป็นคนใจดี ชอบทำบุญทำทาน” ต้นเมฆบอกนพพร และแอบบอกต่อในใจแต่ไม่พูดออกมา คือ “รวยมากๆ เพราะที่ดินเกือบครึ่งหนึ่งในจังหวัดสุโขทัยเป็นของคุณย่าตาด พร้อมกับตึกแถวและบ้านเช่าอีกมากมาย จนนับไม่ถูก”
“ถึงแล้วครับ” นพพรบอกต้นเมฆ
“บ้านคุณย่าตาดนี่ร่มรื่นดีนะ” ปลายฝนบอกต้นเมฆ ขณะที่ส่งนพพรที่หน้าประตูรั้ว ซึ่งประตูรั้วเป็นประตูไม้สักทองลวดลายแบบโบราณ และด้านข้างของประตูทั้งสองข้างมีโอ่งดินขัดมันสำหรับใส่น้ำไว้ให้คนผ่านไปมาได้ดื่มกิน “เหมือนกลับไปสมัยโบราณยังไงยังงั้น”
“เค้าเรียกว่าเรือนคหบดี” ต้นเมฆอธิบายเพิ่มเติม พร้อมกับหันไปถามนพพร “ใช่หรือเปล่า”
“ไม่ทราบเหมือนกันครับพี่ ผมบอกตามตรงว่าผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องนี้”
“อะไรนะพี่เมฆ” ปลายฝนถามอย่างสนใจ “อธิบายให้ฟังหน่อยซิ”
“นั่นซิครับพี่” นพพรเห็นด้วย เพราะยังไม่อยากห่างจากพี่สาวเจ้าน้ำตา
“เรือนคหบดี1 เป็นเรือนของผู้มีอันจะกิน ที่มีขนาดใหญ่โตหรูหรา เรือนหมู่มักประกอบไปด้วยเรือนต่างๆ คือ เรือนนอน ซึ่งเป็นเรือนประธานมักมีขนาดช่วงขื่อกว้างมากประมาณ 8-9 ศอก มักมี 3 ช่วงเสา เรือนลูก มักมีขนาดย่อมลงมาจากเรือนนอน และมักจะปลูกด้านตรงข้ามกับเรือนนอนของพ่อแม่ หันหน้าจั่วไปในทิศทางเดียวกัน เรือนขวาง ใช้เป็นหอนั่งหรือหอกลาง มีฝา 3 ด้าน ด้านที่ติดกับชานเปิดโล่งสำหรับเป็นที่พักผ่อนและรับแขก รับประทานอาหารเลี้ยงพระ และใช้จัดงานต่างๆ เรือนครัว อยู่ทางด้านหลัง มีลักษณะขวางกับเรือนนอน มีขนาดใหญ่ ฝาเรือนเป็นฝาขัดแตะ หน้าบันมีช่องเปิดสำหรับระบายควันไฟ หอนก อยู่ด้านข้างของหอขวางที่มีพื้นที่เหลือจึงมักจะปลูกเรือนขนาด 2 ช่วงเสาไว้เป็นที่แขวนกรงนก จึงมักเรียกเรือนนี้ว่า หอนก
“เหมือนนั่งฟังอาจารย์บรรยายในห้องเรียน” ปลายฝนบอกต้นเมฆด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ดีกว่าตอนนั่งรถมา
“ถึงว่าคุณท่านชวนคุณย่าตาดท่านไปอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯท่านถึงไม่ยอมไป ท่านบอกว่าอยู่ไม่สบาย” นพพรเพิ่งถึงบางอ้อ และเรียกแทนตัวคุณสิทธิชัยว่าคุณท่าน พร้อมกับเอ่ยชวนทั้งปลายฝนและต้นเมฆเข้าไปในเรือน “พี่เข้าไปในบ้านก่อนไหมครับ”
ผลงานอื่นๆ ของ ปองปรีดา ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ปองปรีดา
ความคิดเห็น