ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไฟพรางใจ[สนพ.อรุณ]

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ ๒

    • อัปเดตล่าสุด 17 มี.ค. 55



    บทที่ ๒

     

     

                งานเลี้ยงวันเกิดของวสุผู้กำกับวัยกลางคนถูกจัดขึ้นในผับใต้โรงแรมดังกลางเกาะภูเก็ต เนื่องจากอยู่ระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์ในบริเวณดังกล่าว ซึ่งดาราและทีมงานทุกคนต่างก็ได้รับเชิญให้มาร่วมสังสรรค์ในค่ำคืนนี้ หลังจากกรำงานกันมาแล้วทั้งวัน

                “ น้องตำลึงนั่งรออยู่ข้างนอกก่อนนะคะ  พี่เฌอแตมจะไปดูว่าคุณวสุมาหรือยัง  ถ้ามีแต่นายไม้เอกจอมชีกอเราจะได้ไปเดินเล่นชายหาดกันก่อน ” วัสนาบอก

                อนันตญาทำตามอย่างว่าง่าย  หล่อนนั่งลงบนชุดรับแขกที่ทางโรงแรมจัดไว้แล้วมองฝ่าความมืดผ่านกระจกใสออกไปยังชายหาดด้านนอก

                ผู้คนมากมายพากันทอดอารมณ์อยู่บนผืนทราย  ในขณะที่อีกหลายคนกำลังเล่นน้ำทะเลอย่างมีความสุข  แล้วสายตาของหญิงสาวก็สะดุดเข้ากับร่างสามร่างที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นครอบครัวพ่อแม่และลูก ทั้งสามดูมีความสุขกับการนั่งมองคลื่นกระทบฝั่งท่ามกลางความมืด  เป็นภาพที่น่าชื่นชมแต่กลับทำให้หยดน้ำอุ่นใสคลอนัยน์ตาของผู้ที่นั่งมองอย่างโดดเดี่ยว

     

                รอยแผลร้าวลึกนั่นเองที่เป็นบ่อเกิดแห่งความเศร้าใจ

     

                น้อยคนนักที่จะล่วงรู้ว่า นางเอกสาวเจ้าบทบาทคนนี้มีปัญหาครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก แม้หล่อนจะอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ ร่ำรวยด้วยทรัพย์สินเงินทอง แต่สิ่งที่หญิงสาวต้องการมาตลอดคือ  พ่อ ดังนั้นทุกครั้งที่ทางโรงเรียนจัดงานวันพ่อขึ้น อนันตญาก็จะงอแงจนต้องขาดเรียนอยู่ร่ำไป เพราะไม่อาจทนดูภาพคนอื่นได้รับความอบอุ่นเพียบพร้อมได้ ความรู้สึกโหยหาความรักรุนแรงมากขึ้นเมื่อหล่อนเข้าสู่วัยรุ่น  นางเอกสาวจึงมีคนรักตั้งแต่เริ่มเรียนชั้นมัธยมปลาย พร้อมมอบความรักและความทุ่มเททั้งหมดที่มีให้กับเขา ดอมไพร...ชายหนุ่มที่เคยรักสุดหัวใจ และเป็นคนเดียวกับที่ประหัตประหารความรักของหล่อนให้ตายลงในชั่วพริบตา

     

                “ น้องตำลึง !  

                น้ำเสียงแห่งความยินดีดังขึ้น  ทำให้หญิงสาวจำต้องละสายตาจากภาพชีวิตด้านนอกตัวโรงแรม หันมามองชายหนุ่มร่างสูงใบหน้าหล่อเหลาในชุดตำรวจครึ่งท่อนที่ยืนยิ้มเผล่รอคอยอยู่ แล้วชะงักงันไปครู่ใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นยืนมองอีกฝ่ายด้วยหางตา

                “เราเคยรู้จักกันด้วยหรือคะ  ” หญิงสาวย้อนถามทั้งที่จำเขาได้ ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นหน้า และวินาทีนั้นเอง หัวใจดวงน้อยก็สั่งอนันตญารีบหนีไปให้ไกล ไวเท่าความคิด ชั่วครู่ร่างได้สัดส่วนจึงผุดลุกขึ้น ทว่ามือแข็งแรงกลับรั้งข้อศอกบอบบางเอาไว้เบาๆ เพื่อให้หญิงสาวหันมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่มคนเดิมอีกครั้ง

                “ ปล่อย ! ”เสียงหล่อนขึ้นจมูก ความไม่พอใจฉายชัดในแววตา ชายผู้นี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะแตะต้องตัวหล่อนแม้แต่ปลายก้อย ไม่มีวัน...

                เมื่อเห็นท่าทางเฉยชานั้น เขาจึงรีบดึงมือกลับ แล้วพยายามบอกความในใจเสียงอ่อย

                “ นับจากที่เราไม่ได้เจอกัน พี่พยายามติดต่อน้องตำลึงแต่ก็ไม่เคยสำเร็จ จนมารู้จากน้องแนนว่าน้องตำลึงไปเรียนต่อที่อังกฤษเสียแล้ว ”

                นางเอกสาวจ้องเขานิ่ง

                ผู้ชายคนนี้มิใช่หรือที่หล่อนเคยรักจนหมดหัวใจ เคยวาดฝันตั้งความหวังอันยิ่งใหญ่ไว้ร่วมกัน แต่สุดท้ายเขากลับทำให้ทุกสิ่งพังภินท์ลงอย่างไม่เป็นท่า เปลี่ยนให้อนันตญาซึ่งเคยเห็นความรักเป็นสิ่งสวยงาม กลายเป็นผู้หญิงที่ด้านชากับความรัก และร้ายกาจกับผู้ชายเกือบทุกคนที่เข้ามาตอแย เพราะมีความระแวงเป็นพื้นฐาน

                “ภรรยาคุณคงสบายดี” หล่อนแกล้งถามเสียงเยาะ ราวกับจะย้ำว่า จนป่านนี้เขายังกล้าชูคอมารื้อฟื้นอดีตอีกหรือ

                ชายหนุ่มชะงักงัน

                “ พี่  เอ่อ กำลังมีปัญหากับฤาชุตา เราคงหย่าขาดกันในอีกไม่ช้า ” เขาบอกสั้นๆ

                ดอมไพรมักจะเห็นชีวิตเป็นเรื่องง่ายเช่นนี้เสมอ  ก่อนหน้านั้นเขาจึงคบหาหล่อนไปพร้อมๆกับฤาชุตาหญิงสาวรุ่นพี่  จนวันที่อนันตญาจับได้ หญิงสาวจึงตัดสัมพันธ์จากเขาโดยทันที ทั้งๆที่ความทรงจำในหัวใจมิใช่ลบเลือนได้ง่ายๆ มรสุมแห่งความรักจึงพัดพาการเรียนของหญิงสาวดิ่งลงเหว จนผู้เป็นยายตัดสินใจส่งสาวน้อยวัย 18 ปีให้ไปเผชิญชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษเพียงลำพัง

                การดำเนินชีวิตในต่างแดนเป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน ทั้งที่จริงแล้วมิใช่เรื่องง่าย อนันตญาต้องเรียนไปทำงานไปอย่างทุลักทุเล ประกอบกับคนที่เข้ามาแวดล้อมนั้นเป็นคนหลากหลายประเภท กาลเวลาจึงเปลี่ยนเด็กสาวที่เคยเต็มไปด้วยความกดดันและขี้กลัวให้กล้าและแกร่งขึ้นราวกับเป็นคนละคน นานวันเข้าหญิงสาวก็สามารถทำใจรับอดีตได้ ดอมไพรสำหรับหล่อนในวันนี้ จึงเป็นแค่ผู้ชายเห็นแก่ตัวที่ทะนงกับเสน่ห์และความฉลาดของตนเองเท่านั้น มิได้มีค่าคู่ควรให้ระลึกถึงแม้เพียงกระผีกริ้น หล่อนให้อภัยเขาได้แต่ไม่เคยลืมสิ่งที่เขาทำ อย่างน้อยๆเหตุการณ์ในวันนั้นก็สามารถสอนใจให้รู้จักผู้ชายบางประเภทได้มากยิ่งขึ้น

              “ ฉันต้องขอตัวก่อนล่ะ” อนันตญาบอกพร้อมรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปาก

                “ อย่าเพิ่งไปสิครับ  น้องตำลึง ” น้ำเสียงเขาเศร้าสร้อย ใบหน้าหม่นหมอง แต่เสียใจ...มุกนี้ใช้ไม่ได้อีกแล้ว...สำหรับอนันตญา

    ประตูลิฟต์เปิดออกพร้อมกับร่างสูงของมหิธรก้าวออกมา  และเมื่อตวัดสายตามองเห็นนางเอกคู่ขวัญของตนยืนอยู่กับชายแปลกหน้า ชายหนุ่มผู้ดูดีทุกกระเบียดนิ้วจึงแล่นลิ่วเข้าไปหา พลางจ้องดอมไพรด้วยสายตาไม่เป็นมิตรก่อนจะถามหญิงสาว “ ยังไม่เข้าไปในงานหรือครับ คุณตำลึง ”

                หญิงสาวชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ จึงตอบด้วยเสียงดังฟังชัด “ ก็ตำลึงรอคุณอยู่ไงคะ ” เอียงหน้าตอบพลางยิ้มหวานให้ผู้มาใหม่

                เมื่อกล่าวจบหญิงสาวก็ควงแขนพระเอกหนุ่มเดินจากไป  ทิ้งให้ดอมไพรมองตามด้วยแววตาแข็งกร้าว  ไม่มีวันที่เขาจะปล่อยให้เจ้าพระเอกหน้าอ่อนนั่นพาผู้หญิงที่เขารักเดินจากไปเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน

                ความทรงจำแห่งวันวานยังฝังแน่นอยู่ในหัว ความรัก ความภักดีในวันเก่าที่นางเอกสาวมอบให้ยังจารึกอยู่ในใจเขาเสมอ แต่ดอมไพรก็เป็นเหมือนชายหนุ่มทั่วๆไป อาจจะหลงระเริงไปบ้างกับของเล่นชิ้นใหม่ แล้วก็กลับมาตายรังเมื่อเริ่มเบื่อ ซึ่งหล่อนเองก็ให้อภัยทุกครั้ง ดังเช่นครั้งล่าสุดที่อนันตญาจับได้ว่าเขามีคนอื่น ซึ่งเป็นเพราะความสะเพร่าของดอมไพรเอง ที่วางโทรศัพท์มือถือเอาไว้แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ ในวันที่นัดดินเนอร์กันสองต่อสอง

    วันนั้น...

                หญิงสาวหน้าแฉล้มในชุดนักศึกษานั่งเขี่ยไอศกรีมเล่น ขณะรอคนรัก ครู่ใหญ่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น อา...ดอมไพรลืมหยิบโทรศัพท์ติดตัวไปด้วย มิใช่วิสาสะหรือละลาบละล้วงแต่อย่างใด เพียงหญิงสาวเป็นห่วงว่า ว่าที่นายร้อยตำรวจคนใหม่จะมีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า จึงหยิบมันขึ้นมาดูรายชื่อที่ปรากฏอยู่บนจอ

                ยุทธการ...ชื่อนี้ทำให้หญิงสาวนึกถึงเพื่อนประจำโรงเรียนนายร้อยตำรวจที่ชายคนรักเรียนอยู่ ทว่าหล่อนก็ไม่ยอมรับสายแทนสักที ด้วยคิดว่า คงจะไม่มีเรื่องฉุกเฉินใดๆหรอกกระมัง แต่แล้วเบอร์เดิมก็โทร.กระหน่ำมาอีกหลายครั้ง จนอนันตญาชักเป็นห่วงว่าอาจจะเป็นธุระร้อน จึงกดรับ

                “ ฮัลโหล ดอม นี่ดอมอยู่ไหน ทำไมไม่รับสายชุตา ฮึ ” สาบานได้ว่าหูหล่อนไม่ฝาด เสียงที่ได้ยินนั้นแหลมเล็ก และคาดคั้น มิใช่เพื่อนที่ชื่อยุทธการอย่างแน่นอน

                “ พี่ดอมไม่อยู่ค่ะ ไปเข้าห้องน้ำ ” นักศึกษาสาวบอกเสียงเรียบ

                ปลายชะงักแล้วตะเบ็งเสียงแหลมดังทะลุลำโพงออกมาอย่างฉุนเฉียว “ นี่แกเป็นใครฮะ ทำไมถึงมาอยู่กับแฟนฉันได้ ”

                “ หึ ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคุณหรอกนะ อยากรู้อะไรก็ไปถามพี่ดอมเอาเองเถอะ ”

                ทั้งๆที่ตอบไปด้วยเสียงแข็ง แต่เมื่อกดวางโทรศัพท์ ไหล่บางก็ซวนเซจนต้องเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ นี่เขาหลอกหล่อนมาตลอดหรือนี่ ดอมไพรทำได้อย่างไรกัน

                เหตุการณ์ในวันนั้นจบลงด้วยการที่ดอมไพรกลับมาอธิบายคร่าวๆว่า ฤๅชุตาเป็นลูกสาวนายตำรวจใหญ่ที่แอบชอบเขาอยู่ และเที่ยวหึงหวงไปทั่ว ทั้งๆที่ชายหนุ่มไม่เคยไยดี ผู้ฟังนิ่งไปนาน ทำท่าครุ่นคิด ไม่แสดงอาการตีโพยตีพายแต่อย่างใด หล่อนคงรอดูสถานการณ์ไปก่อน ตามนิสัยว่าง่าย หารู้ไม่ว่าเขาคิดผิด เพราะนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่คำว่า อภัย หลงเหลืออยู่ในใจของอนันตญา คนเราทำผิดได้ แต่ไม่ใช่ผิดซ้ำๆ จนคล้ายผู้ที่ขาดสำนึก

                “ พี่จะไม่มีวันยอมเสียน้องตำลึงไปอีกแล้ว...ไม่มีวัน ”

                เสียงปรารภกับตนเองสิ้นสุดลง  พร้อมกับประตูผับอันมืดสลัวกำลังปิดตามร่างหนุ่มสาวที่คนทั้งเมืองต่างลุ้นให้เป็นคู่รักกันในชีวิตจริง

     

     

     

                “ น้องตำลึงขา พี่ขอโทษ จะด่าพี่เฌอแตมยังไงก็ได้ พอดีพี่เจอเพื่อนเก่าก็เลยคุยกันนานไปหน่อย  แล้วนี่มาพร้อมกับเอ่อ คุณไม้เอกได้ยังไงคะ ” วัสนาปรี่เข้ามาแยกอนันตญาไปจากมหิธรทันที

                พระเอกหนุ่มมองเขม่น แต่ก็ยอมให้ผู้จัดการส่วนตัวดึงคู่ควงของตนไปแต่โดยดี เขาไม่อยากมีเรื่องมีราวเพราะเห็นว่านักข่าวมาร่วมงานคืนนี้ด้วย ตรงข้ามกับใจที่คิด หวงนัก...ระวังไวห้ดีเถอะ

                “ ไม่เป็นไรค่ะ พอดีตำลึงอาศัยคุณไม้เอกปลีกตัวมาจาก เอ่อ..เพื่อนเก่า ” หล่อนใช้คำว่าเพื่อนเก่าเพราะคงไม่มีคำพูดใดเหมาะสมไปมากกว่าคำนี้อีกแล้ว

    ครู่ใหญ่ ประตูผับเปิดออก แสงสว่างจากด้านนอกส่องให้เห็นผู้ที่กำลังเดินเข้ามาอย่างชัดเจน วัสนาจึงหยุดซัก

                “ อุ๊ย คุณวสุมาแล้ว ไปกันเถอะค่ะ ”หล่อนกรี๊ดกร๊าดพลางดึงแขนดาราสาวให้ก้าวตาม ทั้งสองจึงเข้าไปสมทบกับวสุซึ่งมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ประจำกองถ่ายกลุ่มใหญ่  ก่อนที่ทั้งหมดจะก้าวตามบริกรหนุ่มไปยังโต๊ะที่ได้จองไว้เป็นพิเศษ

                ผ่านไปราวชั่วโมงครึ่ง เมื่อเป่าเค้กและอวยพรวันเกิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อนันตญาจึงขอตัวเดินอ้อมไปด้านข้างผับ เพื่อไปยังห้องน้ำสตรีหลังจากทนรอให้จบพิธีการอยู่นาน

                แม้ห้องน้ำในผับจะมีถึงยี่สิบห้องเพื่อให้เพียงพอกับผู้ใช้บริการ  แต่เมื่อหญิงสาวไปถึงก็พบว่ามีผู้ยืนรออยู่ก่อนแล้วเกือบสิบคน หล่อนจึงเข้าแถวคอยอย่างใจเย็น และเข้าไปทำธุระจนเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกมายืนสำรวจตนเองอยู่หน้ากระจกบานยักษ์

                “ ฉันมีเรื่องจะเคลียร์กับเธอ ตำลึง ” เสียงของญาดาวดีดังขึ้นทางด้านหลัง  พร้อมกับมือเรียวเย็นเฉียบนั้นลาก อนันตญาออกมาจากห้องน้ำ วันนี้นางร้ายสาวจิตใจปั่นป่วนตั้งแต่เห็นมหิธรเข้าไปใกล้ชิดกับอีกฝ่าย แถมยังไม่ยอมเข้ามาในงานพร้อมหล่อน แต่กลับควงคู่มากับนางเอกสาวคนเดิม แล้วจะให้คนที่เคย มีความสัมพันธ์ล้ำลึก ต่อกัน อยู่เฉยได้อย่างไร

                “ ปล่อยนะ ญาญ่า ” อนันตญาบอกพลางสะบัดแขน“ มีอะไรก็ว่ามา ”

                ญาดาวดียืนหอบอยู่พักใหญ่จึงชะโงกหน้าเข้ามาจนใกล้คู่กรณี  กลิ่นวิสกี้โชยหึ่งออกมาจากปากหล่อน จนนางเอกสาวต้องถอยหนี “ มารยา ทำเป็นรังเกียจ แล้วมาหน้าด้านใช้ผู้ชายร่วมกับฉันทำไม ! ” นางร้ายสาวตะคอก

                ผู้ฟังขมวดคิ้วยิ้มเย็น “ อ้อ ! นึกว่าเรื่องอะไร  ที่แท้ก็หึงนายไม้เอก”

                “ เขาเป็นแฟนฉัน จำใส่หัวไว้ด้วย ”

                อนันตญาส่ายหน้าอย่างระอา  ในยามขาดสติ  มนุษย์ก็มักจะแสดงความโง่เขลาออกมาเสมอ  ดังเช่นนางร้ายชื่อดังก้องฟ้าเมืองไทยในวันนี้ 

                “ ฉันไม่สนใจผู้ชายพรรค์นั้นหรอกนะ”  นางเอกสาวปฏิเสธเสียงแข็ง

                “ กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง ปากบอกว่าไม่สนใจ แล้วนังคนไหนที่มันควงแขนไม้เอกเข้ามาในผับตอนหัวค่ำยะ ” ญาดาวดีทำตัวเป็นนางร้ายเต็มที่

                “ ก็ ” คำพูดของอนันตญาจุกอยู่แค่ลำคอ  เพราะหญิงสาวรู้ดีว่าไร้ประโยชน์  เวลานี้ญาดาวดีเมามายเสียจนยากที่จะคุยกันรู้เรื่อง  กอปรกับอารมณ์เพชรหึงทำให้ดาวร้ายสาวคิดเองเออเองได้เป็นฉากๆ

                “ ทำไมไม่ตอบล่ะ แกคิดจะแย่งเขาใช่ไหมนังตำลึง ” ญาดาวดีโวยวายพลางผลักอีกฝ่ายจนเซเพราะไม่ทันตั้งตัว

                เมื่อได้สติอนันตญาจึงเดินเข้าไปรวบแขนคู่กรณี  เพราะเริ่มมีคนมองมาอย่างสนใจ  มิหนำซ้ำหลายคนยังแสดงออกว่าจำดาราสาวทั้งสองได้ นางเอกสาวจึงบอกเสียงต่ำพลางลากอีกฝ่ายเข้าไปยังมุมสลัวที่มีเสาต้นใหญ่บังอยู่ “ เงียบได้แล้วนะ ”

                “ แกอายหรือไง แล้วทำไมตอนคิดจะแย่งแฟนคนอื่นถึงหน้าไม่มียาง ” แทนที่จะเงียบดังที่ถูกเตือน  ญาดาวดีกลับตะเบ็งเสียงดังลั่น

                “ เงียบนะ ญาญ่า เธอก็น่าจะรู้ว่าฉันไม่ใช่คนใจเย็นนัก ” อนันตญาบอกเสียงเข้ม

                “ เธอต่างหากล่ะที่หน้าด้าน  ใส่พานให้เขาฟรีๆแล้วพอเขาไม่เอาก็มาพาลใส่คนอื่น โวยวายไปคนเดียวก็แล้วกัน ฉันไปล่ะ ” ว่าพลางนางเอกสาวก็หันหลังขวับ แต่ขณะที่กำลังจะก้าวเดิน  หล่อนก็รู้สึกว่า ปอยผมปอยหนึ่งถูกกระชากจากทางด้านหลังโดยแรง จนร่างบางเซถลาถอยกลับไป

                เพียะ !!

                สิ้นเสียงฝ่ามือกระทบใบหน้า  นางร้ายคนสวยก็ถลาลงไปกองกับพื้น  อนันตญาเดินดุ่มเข้าไปหาอย่างโมโหจัด  แต่แล้วกลับต้องชะงักเมื่อมีแสงแฟลชวูบวาบเข้ามากระทบร่าง

                นางเอกสาวตั้งสติ  ปรับสีหน้าให้เป็นธรรมชาติ ทรุดตัวนั่งลงข้างๆคู่กรณีพลางยกมือขึ้นลูบหลังหล่อนเบาๆ แล้วหันกลับไปหาผู้คนที่กรูเกรียวกันเข้ามา “ อย่าถ่ายนะคะพี่ๆนักข่าว เพื่อนของตำลึงเมามาก ”

                “ เกิดอะไรขึ้นคะคุณตำลึง ” เหยี่ยวข่าวบันเทิงพยายามสัมภาษณ์เพิ่มเติม

                อนันตญาจึงหันไปยิ้มให้กล้องพลางตอบน้ำเสียงฉาดฉาน “ ญาญ่าเมาค่ะ ตำลึงก็เลยมาตามมาดูแล  ถ้าพี่ๆจะกรุณาก็ช่วยตามเจ้าหน้าที่กองถ่ายให้หน่อยเถอะค่ะ ตำลึงไม่อยากทิ้งเพื่อนเอาไว้คนเดียว ”

                “ น้องตำลึงคะ ” วัสนาโผล่พรวดเข้ามาได้จังหวะพอดิบพอดี

                นางเอกสาวหันไปหลิ่วตาให้ผู้จัดการส่วนตัว  แล้วจึงเอ่ยด้วยถ้อยคำอ่อนหวานเช่นเคย “ พี่เฌอแตมช่วยพยุงญาญ่าไปพักทีเถอะค่ะ ”

                วัสนาอมยิ้มรู้ทัน  ก่อนจะพยักหน้าแล้วเข้าไปประคองร่างญาดาวดีซึ่งอยู่ในอ้อมกอดของนางเอกสาวคนสวย อนันตญาจึงหันไปยิ้มให้นักข่าว

     

                ไม่มีทางที่หล่อนจะยอมขึ้นชื่อว่า แย่งผู้ชายกับใคร...

               

     

    ร่างกลมกลึงในชุดเสื้อสีฟ้าน้ำทะเลยาวคลุมสะโพก และกางเกงสีขาวสี่ส่วนก้มลงกราบพระสงฆ์ชราซึ่งนั่งอย่างสงบ  ก่อนจะหันหลังคลานเข่าลงจากกุฏิไปด้วยสีหน้าอิ่มเอิบ วันนี้หล่อนตื่นขึ้นมาทำบุญตักบาตรด้วยตนเอง โดยไม่ต้องรอให้วัสนามาปลุกเรียก ทุกอย่างจึงเสร็จสิ้นก่อนเจ็ดโมง ซึ่งถือว่ายังเช้านักสำหรับทีมงานที่เพิ่งออกจากงานเลี้ยงตอนตีหนึ่ง วันนี้วสุจึงเลื่อนเวลาทำงานออกเป็นสิบโมงตรง เพื่อให้ทุกคนมีเวลานอนอย่างเต็มที่

    ยังไม่ทันที่อนันตญาจะเดินไปถึงถนนซีเมนต์ด้านล่าง  รถสปอร์ตสีแดงก็แล่นเข้ามาจอดเทียบ  พร้อมกับที่กระจกด้านคนขับเลื่อนลงมาช้าๆ  วัสนาส่งยิ้มให้ก่อนจะขยับไปนั่งอีกฝั่ง  เพื่อให้ผู้ที่เพิ่งลงมาจากกุฏิได้ขึ้นไปนั่งยังตำแหน่งคนขับแทน  เพราะผู้จัดการสาวประเภทสองรู้ดีว่า  นางเอกสาวพอใจที่จะขับเองมากกว่าเป็นตุ๊กตาหน้ารถ

    “ ตอนรอน้องตำลึงอยู่ข้างล่าง พี่เฌอแตมขับรถออกไปตระเวนแถวชายหาดมา  โอ๊ย เช้าๆแบบนี้ทะเลสวยม้ากมากค่ะ อยากให้ไปเห็น ” วัสนาลากเสียงคำว่ามากยาวเหยียด

    คนขับหันมามองผู้พูดแวบหนึ่งแล้วจึงมองตรงไปข้างหน้า ตัดสินใจฉับพลัน “ งั้นเราไปเดินเล่นชายหาดกันไหมคะ ”

    ผู้ถูกชวนเลิกคิ้วแปลกใจ “ อารมณ์ไหนกันคะนี่ อยากไปจริงๆหรือเปล่า ”

    อนันตญาพยักหน้าแล้วยิ้มเศร้า “การที่ต้องมาทำบุญให้คุณตาแบบนี้  พอเดินลงจากกุฏิมันรู้สึกโหวงๆค่ะพี่เฌอแตม  ไปดูคลื่นซัดฝั่งเช้าๆคงจะทำให้รู้สึกดีขึ้น ”        

    “ งั้นไปกันค่ะน้องตำลึง ตอนนี้แดดอ่อนๆไม่เป็นอันตรายต่อผิว ”

    หญิงสาวพยักหน้า ขณะมือหักพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายออกถนนใหญ่ แล้วจึงขับรถตรงไปยังทิศทางตามที่วัสนาบอก  ราวครึ่งชั่วโมงจึงถึงยังที่หมาย  หล่อนหยิบแว่นตาดำขึ้นมาสวมไว้พร้อมกับหยิบกระเป๋าถือสีเดียวกับกางเกงและรองเท้าขึ้นมาคล้องแขน  ก่อนจะก้าวลงจากรถ เดินไปตามพื้นทรายเม็ดละเอียดที่ทอดตัวลงไปสู่ท้องทะเลกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา

    “ ไปนั่งที่เก้าอี้ชายหาดกันไหมคะน้องตำลึง  เดี๋ยวพี่เฌอแตมเคลียร์พื้นที่ให้ ” วัสนายังคงเอาใจ

    หญิงสาวไม่ตอบ  ทว่าดวงตาของหล่อนกลับเหม่อลอยไปเบื้องหน้า  เนิ่นนานจึงถอดแว่นตาออก และยื่นมันให้ผู้จัดการส่วนตัวถือพร้อมกับกระเป๋าถือ

    “ เดี๋ยวไปเดินเล่นชายหาดก่อนค่ะ ” หล่อนบอกสั้นๆ

    “ จะดีหรือคะ ” วัสนาถามแล้วก็ต้องเงียบเสียงลง เมื่ออีกฝ่ายทำหน้าเรียบเฉยพลางก้มลงถอดรองเท้าออก ก่อนจะเดินดุ่มลงไปในทะเลที่คลื่นกำลังถาโถมเข้าสู่ฝั่งอย่างไม่ขาดสาย จนแดดเริ่มแรงขึ้น  หล่อนจึงค่อยๆเดินกลับขึ้นมาสู่ชายหาดอย่างอ้อยอิ่ง แล้วยืนกอดอกมองน้ำทะเลที่กระทบฝั่งแล้วคลายตัวออกไปไกลลิบครั้งแล้วครั้งเล่า

    เสียงล้อรถบดพื้นทรายดังสวบสาบใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่นางเอกสาวก็มิได้สนใจไปมากกว่าความงดงามของธรรมชาติตรงหน้า

    “ พี่ตำลึงใช่ไหมคะ ” เสียงเล็กๆสดใสดังขึ้นข้างตัว  อนันตญาสะดุ้งน้อยๆแล้วจึงเอี้ยวตัวกลับไปมอง

    เด็กหญิงผิวขาวจัด หน้าตาราวกับตุ๊กตาบาร์บี้ผู้นั่งอยู่บนรถเข็นซึ่งมีชายหนุ่มร่างสูงใบหน้าเรียบเฉยเป็นผู้ดูแลอยู่นั่นเองที่เรียกชื่อหล่อน

    “ หนูเรียกพี่หรือคะ ” อนันตญาย้อนถามเพราะมั่นใจว่าไม่เคยพบเจอเด็กหญิงมาก่อน

    เด็กน้อยยิ้ม เมื่อแนะนำตัว “ หนูชื่อตุ๊กตาค่ะ หนูชอบพี่มากเลนะคะ ”

    “ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะน้องตุ๊กตา ”  นางเอกสาวยิ้มตอบพลางก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายแล้วทรุดตัวลงนั่งยองๆให้ความสูงพอดีกับรถเข็น ชวนคุยต่อ เพราะหญิงสาวรู้ดีว่าแฟนคลับคือผู้ที่ดาราควรใส่ใจเป็นพิเศษ เพื่อความนิยมที่ยั่งยืน “ มาเดินเล่นหรือคะ ”

    เด็กหญิงกันยากานต์ส่ายหัวจนผมยาวสยายนั้นสะบัดตามแรงลม

    “ หนูนั่งมาต่างหากล่ะคะ ” บอกพลางเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่หลังรถเข็น

    อนันตญามองตาม ชายหนุ่มจ้องตอบพลางค้อมศีรษะให้เล็กน้อย

    “ ตุ๊กตามาเที่ยวกับครอบครัวค่ะ แล้วพี่ตำลึงมาภูเก็ตทำไมคะ ” ไม่น่าเชื่อว่าเสียงสดใสนี้จะมาจากเด็กหญิงขาพิการตรงหน้า  เด็กน้อยดูไม่ย่อท้อต่อชีวิตของตนเองเลยสักนิด จนดาราสาวอดทึ่งไม่ได้

    “ พี่มาถ่ายหนังค่ะ ไว้ว่างๆหนูแวะมาดูสิคะ ” หญิงสาวเอ่ยชวน

    “ หนูมาได้จริงๆหรือคะ ” กันยากานต์ตื่นเต้น

    อนันตญาพยักหน้าพลางแจกยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มซึ่งมองมาอยู่ก่อนแล้ว

    “ ว่างๆก็พาลูกสาวมาดูการถ่ายทำได้นะคะคุณ ”

    ชายหนุ่มทำท่าจะอ้าปากตอบแต่แล้วกลับปิดปากเงียบ เมื่อได้ยินเสียงเด็กหญิงบนรถเข็นส่งเสียงหัวเราะคิกคัก

    “ พี่น่านเขาเป็นญาติของตุ๊กตาต่างหากล่ะคะ ไม่ใช่พ่อสักหน่อย ”

    อนันตญาหน้าแดงก่ำ เอ่ยปากขอโทษกับความเข้าใจผิดของตนเอง “ ต้องขอโทษด้วยนะคะคุณ คิดอยู่ว่ายังไม่แก่ ทำไมมีลูกโตขนาดนี้ ”

    “ ไม่เป็นไรครับ จริงๆผมก็อยากมีลูกอยู่เหมือนกัน แต่ไม่มีใครยอมเป็นแม่ให้ ” เขาตอบกลั้วหัวเราะ

    นางเอกสาวหันไปยิ้มให้ความอารมณ์ดีอีกฝ่าย แล้วจับมือเด็กน้อยขึ้นมากุมไว้พลางกล่าวลา

     “ พี่คงต้องกลับแล้วค่ะน้องตุ๊กตา  เอาไว้เจอกันใหม่นะคะ ”

    เด็กหญิงทำหน้าละห้อยพลางโบกมือหยอยๆขณะที่หญิงสาวเดินจากไป  โดยมีญาติหนุ่มผู้พี่ยืนอมยิ้มมองตามหล่อนจนลับตา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×