ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ประเทศลาว

    ลำดับตอนที่ #2 : วัฒนธรรม

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.พ. 51


    วัฒนธรรม
    การนุ่งซิ่น และต่ำหูก
                ในปัจจุบันถึงแม้จะมีการพัฒนาทางเทคโนโลยีจนทำให้วัยรุ่นสาวของประเทศลาวนุ่งกางเกงหรือใส่สายเดี่ยวนั้น แต่เวลามีงานบุญต่างๆก็จะได้เห็นภาพที่น่าประทับใจ คือแม่ยิงลาวจะพร้อมใจกัน “นุ่งซิ่น เบี่ยงแพ”
                มีคำกล่าวว่าแม่ยิงลาวเกี่ยวข้องและผูกพันกับการ“นุ่งซิ่น” และ “ต่ำหูก” อย่างแยกกันไม่ออก การต่ำหูก เป็นคุณสมบัติประจำตัวของแม่ยิงลาว แม่ยิงเป็นผู้รักษาวัฒนธรรมของชาติไว้ ในตำนานการต่ำหูกของลาวได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของแม่ยิงที่สามารถต่ำหูกได้ ว่าเป็นคนที่มีคุณค่าเป็นที่ยอมรับของสังคม ในคำผะหยาเกี้ยวสาว หรือคำสุภาษิตของลาว ก็มีคำยกย่อง ชื่นชมแม่ยิงที่ต่ำหูกเป็น และเป็นที่หมายปองของชายหนุ่ม
                ต่ำหูก หมายถึง การทำผ้าซิ่นประเภทหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละครอบครัวในประเทศลาว
                แม่ยิง หมายถึง คนที่สามารถต่ำหูกเป็น
                งานบุญต่างๆที่เอ่ยถึงในตอนต้นนั้น เช่น งานบุญตักบาตรพระธาตุหลวง ที่เวียงจันทร์ ซึ่งเป็นงานประเพณีที่สำคัญ ทุกคนจะไปร่วมทำบุญตักบาตร การแต่งกายตามวัฒนธรรมและประเพณีเป็นสิ่งที่คนลาวให้ความสำคัญมากการที่แม่ยิงลาวนุ่งซิ่นจึงนับว่าเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งของลาว ความสวยงามของลวดลายผ้าซิ่นแต่ละผืนเกิดจากฝีมือการต่ำหูกของแม่ยิงลาว ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษซิ่นบางแบบถูกกำหนดไว้อย่างเคร่งครัดเพื่อใช้นุ่งเฉพาะในงานบุญประเพณีอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ซึ่งซิ่นแบบอื่นไม่สามารถใช้แทนกันได้ ลวดลายในผืนซิ่นไม่เพียงแต่จะสะท้อนให้เห็นวิวัฒนาการทางศิลปะหัตกรรม ความเชื่อถือ และบ่งบอกสภาพของผู้ใช้ในสังคมเท่านั้น แต่ยังบอกเล่าถึงพิธีกรรมและบันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญอย่างหนึ่ง ที่นักโบราณคดีสามารถใช้ค้นคว้าเรื่องราวและวิถีชีวิตของผู้คนในอดีตได้เป็นอย่างดี ทำให้เราทราบว่าแม่ยิงลาวรู้วิธีการปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ผลิตเส้นไหม นำมาย้อมสี และต่ำหูกเป็นลวดลายต่าง ๆ ได้ไม่ต่ำกว่า 3,000 - 4,000 ปีมาแล้ว
              ตามประเพณีดั้งเดิมแล้ว แม่ยิงลาวจะฝึกต่ำหูกตั้งแต่เด็ก โดยจะบอกสอนกันภายในครอบครัว ซึ่งถือว่าเป็นการขัดเกลาทางสังคมอย่างหนึ่ง จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังพบว่าแม่จะสอนต่ำหูกให้ลูกสาวตั้งแต่อยู่ชั้น ป.2 ซึ่งมีอายุเพียง 7-8 ปี แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเด็กแม่ยิงลาวเมื่อจบชั้นป.5 และไม่ได้เรียนต่อก็จะเริ่มฝึกต่ำหูกจากบุคคลในครอบครัวหรือญาติพี่น้อง โดยการบอกปากเปล่าแล้วให้ฝึกอย่างสม่ำเสมอ ลูกสาวซึ่งเห็นแม่ ต่ำหูกในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ก็ค่อยๆ ซึมซับวิธีการต่ำหูกจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ดังนั้น
                เมื่อเริ่มฝึกก็จะเป็นเร็วโดยแม่ไม่ต้องบอกสอนมากนัก วิธีสอนต่ำหูกดังกล่าวก็ยังใช้ได้ดีมาจนถึงปัจจุบัน และแม่ยิงลาวก็ยังฝึกต่ำหูกตั้งแต่เด็กเหมือนเดิมคือถ้าขาเหยียบหูกถึงก็สามารถฝึกเรียนต่ำหูกได้แล้ว แต่ที่สำคัญคือผู้เรียนต้องมีใจรักและมีความตั้งใจจึงจะฝึกต่ำหูกได้ เนื่องจากการต่ำหูกเป็นงานที่ละเอียดประณีต และต้องใช้ความอดทนสูงมาก เทคนิคสำคัญที่ใช้ในการสอนคือแม่จะใช้หูกขนาดเล็กที่พอเหมาะกับตัวเด็ก และเริ่มฝึกจากลาย ง่ายๆไปจนถึงลายที่ซับซ้อน เราจึงพบว่าแม่ยิงลาวที่ต่ำหูกในปัจจุบันส่วนใหญ่อยู่ในช่วงวัยรุ่น นับว่าเป็นการสร้างค่านิยมที่ดีแก่เยาวชนทั้งในแง่การอนุรักษ์วัฒนธรรม การประกอบอาชีพ และทำให้อยู่
    ห่างไกลจากอบายมุขและสิ่งเสพติดและที่สำคัญคือวัยรุ่นเหล่านี้จะมารวมกลุ่มกันทอผ้าในครัวเรือนซึ่งเป็นบ้านของญาติคนใดคนหนึ่ง จึงเป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนเกิดความมั่นใจว่าการทอผ้าของลาวจะยังคงอยู่ได้อีกนาน
    อาชีพทอผ้าของแม่ยิงวัยรุ่นลาว
     
              ที่เวียงจันทร์ไม่มีการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม เนื่องจากพื้นที่ไม่เพียงพอและสภาพอากาศไม่เหมาะสมจึงต้องซื้อเส้นไหมจากแหล่งอื่น ส่วนการย้อมสีจะเน้นใช้สีธรรมชาติ ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดีทั้งต่อคนย้อมและสภาพแวดล้อม และถือว่าเป็นค่านิยมของลาวที่ต้องใช้ผ้าทอที่ย้อมจากสีธรรมชาติ ทำให้ลดต้นทุนการผลิตได้มาก แต่ถึงอย่างไรก็ตามการสืบทอดภูมิปัญญาการทอผ้าของลาวน่าจะมีปัญหาอยู่บ้าง ถ้าหากต้นทุนราคาเส้นไหมสูงขึ้นและผู้ผลิตยังมีรายได้ไม่มากนัก คือแค่พออยู่ได้ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ค่าครองชีพสูงมากในปัจจุบัน และผู้ต่ำหูกส่วนใหญ่ก็ไม่มีงานอื่นที่มีรายได้มากกว่านี้ ถึงแม้ว่าหลายคนจะต่ำหูกด้วยใจรักก็ตาม และ
    การที่ลาวได้ก้าวเข้าสู่โลกยุคโลกาภิวัตน์ ที่เข้ามาพร้อมกับคำว่า “การนำความเจริญมาสู่ประเทศ” มีนักท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศลาวมากขึ้นทำให้วัฒนธรรมอันดีงามถูกแทรกซึมทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การแต่งกายของคนลาวเริ่มเปลี่ยนแปลงมากมาย ผู้คนส่วนใหญ่หันมานิยมใช้เสื้อผ้าสำเร็จรูปที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะแม่ยิงนิยมใส่กางเกงมากขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาที่ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ได้เผชิญอย่างหลีกเลียงไม่ได้ สิ่งดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อการสืบทอดภูมิปัญญาการต่ำหูกของลาวไม่มากก็น้อย
              การปลูกฝังค่านิยมในการต่ำหูกให้เป็นคุณสมบัติประจำตัวของแม่ยิง จะทำให้เป็นคนมีคุณค่า เป็นที่ยอมรับของสังคม ทำให้ผู้เป็นแม่ได้พยายามถ่ายทอดวิธีการต่ำหูกให้ลูกสาว และเป็นแบบอย่างที่ดีในการนุ่งซิ่นที่ทอจากฝีมือตัวเอง จึงทำให้การนุ่งซิ่นกลายเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่รัฐบาลลาวได้ส่งเสริมและสนับสนุน สังคมลาวยกย่องแม่ยิงที่ “นุ่งซิ่น เบี่ยงแพ” นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดที่ทำให้แม่ยิงต้องนุ่งซิ่น เช่น ชุดเครื่องแบบนักเรียนหญิงตั้งแต่ชั้น ป. 1 จนถึงมหาวิทยาลัย ชุดเครื่องแบบข้าราชการ หรือชุดทำงาน รวมทั้งการมาติดต่อราชการ ซึ่งกำหนดให้แม่ยิงต้องนุ่งซิ่น ซิ่นจึงเป็นอาภรณ์คู่กายของแม่ยิงลาวและไม่สามารถแยก
    ออกจากกันได้ ดังนั้นหากผู้ใช้ยังจำเป็นต้องใช้ตลอดไป ด้วยความเต็มใจและภาคภูมิใจ ผู้ต่ำหูกก็จะทำงานอย่างมีความสุข และมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนสำคัญในการสืบทอดวัฒนธรรมอันดีงามของชาติ การต่ำหูกของแม่ยิงโดยเฉพาะการต่ำหูกต่ำแพผ้าซิ่น จึงเป็นเป็นภารกิจสำคัญของแม่ยิงลาวที่ส่งผลให้การอนุรักษ์วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ คงอยู่ตลอดไป
    การแต่งกายของนายบ้าน(ขวา)และลูกบ้าน(ซ้าย)ที่มาติดต่องาน
     
    การแต่งกายของนักเรียนแม่ยิงระดับประถมศึกษา
     
              ผ้าซิ่นตา
     ผ้าซิ่นตาหรือผ้าซิ่นหมี่ตา กลุ่มวัฒนธรรมลาวครั่ง ผ้าซิ่นเป็นผ้าที่ผู้หญิงในกลุ่มวัฒนธรรมลาวครั่งทอไว้ใช้นุ่งในโอกาสพิเศษ อาทิ นุ่งเป็นผ้าซิ่นเจ้าสาวในประเพณีแต่งงาน และใช้นุ่งไปในงานบุญประเพณีสำคัญๆ ตลอดจนใช้นุ่งไปทำบุญที่วัด ฝีมือความประณีตงดงามของผ้าซิ่นตาแสดงถึงความละเอียดอ่อนของจิตใจผู้ทอเป็นความภาคภูมิใจในความดีงาม ฝีมือความสามารถในการทอผ้าของตนให้ผู้อื่นได้ชื่นชม
                 ผ้าซิ่นตากลุ่มวัฒนธรรมลาวครั่งดั้งเดิมจะมีทั้งการทอจากเส้นใยฝ้ายและเส้นใยไหมผสมกันนิยมสีสันสดใส สะดุดตาสะดุดใจผู้พบเห็น
         ผ้าซิ่นตา กลุ่มวัฒนธรรมลาวครั่งจะประกอบด้วย 3 ส่วนคือ
        1.ส่วนตีนซิ่น จะเป็นตีนจกกล่าวคือเชิงซิ่นนี้จะทอด้วยเทคนิคการจก โดยนิยมทำเป็นตีนแดงใช้ด้ายเครือเส้นยืนสีแดงและเส้นด้ายพุ่งสีแดง ส่วนเส้นพุ่งพิเศษในการจกจะใช้สีสันสดในอาทิ เหลือง เขียว ส้ม แดง ครีม เป็นต้นลักษณะโครงสร้างลายค่อนข้างใหญ่ และนิยมจกเฉพาะส่วนบนของตีนซิ่น เว้นพื้นแดงส่วนล่าง
        2.ส่วนตัวซิ่น เป็นซิ่นตะเข็บเดียวทอด้วยเส้นไหมหรือเส้นฝ้ายโดยจะต้องทอเทคนิค “มัดหมี่” สลับกับการทอด้วยเทคนิค “ขิด” ลายมัดหมี่ดั้งเดิมนิยมมัดลายนาคหรือลายหงส์ส่วนลายขิด นิยมทอลายดอกแก้วการทอจะทอเป็นลายริ้วตามขวางแล้วนำมาเย็บเป็นผ้าซิ่นลายตามยาวของลำตัวคำว่า “ผ้าซิ่นตา” มาจากการเรียกส่วนตัวซิ่นที่การทอลายริ้วคั่นกับมัดหมี่ซึ่งเรียกกันเต็ม ๆ ว่า ผ้าซิ่นหมี่ตา โดยมีทั้งหมี่ตาใหญ่และหมี่ตาน้อย
        3.ส่วนหัวซิ่น มีขนาดประมาณ 1 คืบเป็นผ้าฝ้ายทอเป็นลายริ้วสีสลับขิดสำหรับผืนที่นำมาประกอบคำบรรยายผืนนี้ไม่ได้ต่อส่วนหัวซิ่นซึ่งผ้าซิ่นตาโบราณจากการสำรวจพบทั้งแบบต่อหัวซิ่นและไม่ต่อหัวซิ่น
            เอกลักษณ์ของผ้าซิ่นตา กลุ่มวัฒนธรรมลาวครั่ง คือ โครงสีของผ้าซิ่นจะเป็นสีเอกรงค์โดยนิยมใช้สีแดงเป็นหลักซึ่งย้อมจากครั่งส่วนตัวซิ่นจะทอด้วยเทคนิคมัดหมี่สลับขิด ลายขิดขนาดใหญ่เรียก “ตาใหญ่” ลายขิดขนาดเล็กหรือเป็นเพียงลายริ้วเรียก “ตาน้อย”
         การนุ่งผ้าซิ่นตาของสตรีกลุ่มวัฒนธรรมลาวครั่งจะนุ่งป้ายทบธรรมดา และมีผ้าซิ่นซ้อนเป็นผ้าซิ่นฝ้ายสีขาว นุ่งซ้อนทับด้านในเพื่อถนอมเส้นใยของผืนผ้าซิ่นตาให้มีอายุการใช้งานยาวนานคงความงดงามอยู่นานเท่านาน

         ปัจจุบันผ้าซิ่นตาได้สูญหายไปจากวิถีชีวิตประจำวันของกลุ่มวัฒนธรรมลาวครั่งเป็นระยะเวลายาวนานแต่ยังคงมีการทอเพื่อจำหน่ายให้กับผู้สนใจผ้าพื้นเมือง
     
     
     
    วัฒนธรรม
    การนุ่งซิ่น และต่ำหูก
                ในปัจจุบันถึงแม้จะมีการพัฒนาทางเทคโนโลยีจนทำให้วัยรุ่นสาวของประเทศลาวนุ่งกางเกงหรือใส่สายเดี่ยวนั้น แต่เวลามีงานบุญต่างๆก็จะได้เห็นภาพที่น่าประทับใจ คือแม่ยิงลาวจะพร้อมใจกัน “นุ่งซิ่น เบี่ยงแพ”
                มีคำกล่าวว่าแม่ยิงลาวเกี่ยวข้องและผูกพันกับการ“นุ่งซิ่น” และ “ต่ำหูก” อย่างแยกกันไม่ออก การต่ำหูก เป็นคุณสมบัติประจำตัวของแม่ยิงลาว แม่ยิงเป็นผู้รักษาวัฒนธรรมของชาติไว้ ในตำนานการต่ำหูกของลาวได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของแม่ยิงที่สามารถต่ำหูกได้ ว่าเป็นคนที่มีคุณค่าเป็นที่ยอมรับของสังคม ในคำผะหยาเกี้ยวสาว หรือคำสุภาษิตของลาว ก็มีคำยกย่อง ชื่นชมแม่ยิงที่ต่ำหูกเป็น และเป็นที่หมายปองของชายหนุ่ม
                ต่ำหูก หมายถึง การทำผ้าซิ่นประเภทหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละครอบครัวในประเทศลาว
                แม่ยิง หมายถึง คนที่สามารถต่ำหูกเป็น
                งานบุญต่างๆที่เอ่ยถึงในตอนต้นนั้น เช่น งานบุญตักบาตรพระธาตุหลวง ที่เวียงจันทร์ ซึ่งเป็นงานประเพณีที่สำคัญ ทุกคนจะไปร่วมทำบุญตักบาตร การแต่งกายตามวัฒนธรรมและประเพณีเป็นสิ่งที่คนลาวให้ความสำคัญมากการที่แม่ยิงลาวนุ่งซิ่นจึงนับว่าเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งของลาว ความสวยงามของลวดลายผ้าซิ่นแต่ละผืนเกิดจากฝีมือการต่ำหูกของแม่ยิงลาว ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษซิ่นบางแบบถูกกำหนดไว้อย่างเคร่งครัดเพื่อใช้นุ่งเฉพาะในงานบุญประเพณีอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ซึ่งซิ่นแบบอื่นไม่สามารถใช้แทนกันได้ ลวดลายในผืนซิ่นไม่เพียงแต่จะสะท้อนให้เห็นวิวัฒนาการทางศิลปะหัตกรรม ความเชื่อถือ และบ่งบอกสภาพของผู้ใช้ในสังคมเท่านั้น แต่ยังบอกเล่าถึงพิธีกรรมและบันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญอย่างหนึ่ง ที่นักโบราณคดีสามารถใช้ค้นคว้าเรื่องราวและวิถีชีวิตของผู้คนในอดีตได้เป็นอย่างดี ทำให้เราทราบว่าแม่ยิงลาวรู้วิธีการปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ผลิตเส้นไหม นำมาย้อมสี และต่ำหูกเป็นลวดลายต่าง ๆ ได้ไม่ต่ำกว่า 3,000 - 4,000 ปีมาแล้ว
              ตามประเพณีดั้งเดิมแล้ว แม่ยิงลาวจะฝึกต่ำหูกตั้งแต่เด็ก โดยจะบอกสอนกันภายในครอบครัว ซึ่งถือว่าเป็นการขัดเกลาทางสังคมอย่างหนึ่ง จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังพบว่าแม่จะสอนต่ำหูกให้ลูกสาวตั้งแต่อยู่ชั้น ป.2 ซึ่งมีอายุเพียง 7-8 ปี แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเด็กแม่ยิงลาวเมื่อจบชั้นป.5 และไม่ได้เรียนต่อก็จะเริ่มฝึกต่ำหูกจากบุคคลในครอบครัวหรือญาติพี่น้อง โดยการบอกปากเปล่าแล้วให้ฝึกอย่างสม่ำเสมอ ลูกสาวซึ่งเห็นแม่ ต่ำหูกในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ก็ค่อยๆ ซึมซับวิธีการต่ำหูกจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ดังนั้น
                เมื่อเริ่มฝึกก็จะเป็นเร็วโดยแม่ไม่ต้องบอกสอนมากนัก วิธีสอนต่ำหูกดังกล่าวก็ยังใช้ได้ดีมาจนถึงปัจจุบัน และแม่ยิงลาวก็ยังฝึกต่ำหูกตั้งแต่เด็กเหมือนเดิมคือถ้าขาเหยียบหูกถึงก็สามารถฝึกเรียนต่ำหูกได้แล้ว แต่ที่สำคัญคือผู้เรียนต้องมีใจรักและมีความตั้งใจจึงจะฝึกต่ำหูกได้ เนื่องจากการต่ำหูกเป็นงานที่ละเอียดประณีต และต้องใช้ความอดทนสูงมาก เทคนิคสำคัญที่ใช้ในการสอนคือแม่จะใช้หูกขนาดเล็กที่พอเหมาะกับตัวเด็ก และเริ่มฝึกจากลาย ง่ายๆไปจนถึงลายที่ซับซ้อน เราจึงพบว่าแม่ยิงลาวที่ต่ำหูกในปัจจุบันส่วนใหญ่อยู่ในช่วงวัยรุ่น นับว่าเป็นการสร้างค่านิยมที่ดีแก่เยาวชนทั้งในแง่การอนุรักษ์วัฒนธรรม การประกอบอาชีพ และทำให้อยู่
    ห่างไกลจากอบายมุขและสิ่งเสพติดและที่สำคัญคือวัยรุ่นเหล่านี้จะมารวมกลุ่มกันทอผ้าในครัวเรือนซึ่งเป็นบ้านของญาติคนใดคนหนึ่ง จึงเป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนเกิดความมั่นใจว่าการทอผ้าของลาวจะยังคงอยู่ได้อีกนาน
    อาชีพทอผ้าของแม่ยิงวัยรุ่นลาว
     
              ที่เวียงจันทร์ไม่มีการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม เนื่องจากพื้นที่ไม่เพียงพอและสภาพอากาศไม่เหมาะสมจึงต้องซื้อเส้นไหมจากแหล่งอื่น ส่วนการย้อมสีจะเน้นใช้สีธรรมชาติ ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดีทั้งต่อคนย้อมและสภาพแวดล้อม และถือว่าเป็นค่านิยมของลาวที่ต้องใช้ผ้าทอที่ย้อมจากสีธรรมชาติ ทำให้ลดต้นทุนการผลิตได้มาก แต่ถึงอย่างไรก็ตามการสืบทอดภูมิปัญญาการทอผ้าของลาวน่าจะมีปัญหาอยู่บ้าง ถ้าหากต้นทุนราคาเส้นไหมสูงขึ้นและผู้ผลิตยังมีรายได้ไม่มากนัก คือแค่พออยู่ได้ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ค่าครองชีพสูงมากในปัจจุบัน และผู้ต่ำหูกส่วนใหญ่ก็ไม่มีงานอื่นที่มีรายได้มากกว่านี้ ถึงแม้ว่าหลายคนจะต่ำหูกด้วยใจรักก็ตาม และ
    การที่ลาวได้ก้าวเข้าสู่โลกยุคโลกาภิวัตน์ ที่เข้ามาพร้อมกับคำว่า “การนำความเจริญมาสู่ประเทศ” มีนักท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศลาวมากขึ้นทำให้วัฒนธรรมอันดีงามถูกแทรกซึมทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การแต่งกายของคนลาวเริ่มเปลี่ยนแปลงมากมาย ผู้คนส่วนใหญ่หันมานิยมใช้เสื้อผ้าสำเร็จรูปที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะแม่ยิงนิยมใส่กางเกงมากขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาที่ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ได้เผชิญอย่างหลีกเลียงไม่ได้ สิ่งดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อการสืบทอดภูมิปัญญาการต่ำหูกของลาวไม่มากก็น้อย
              การปลูกฝังค่านิยมในการต่ำหูกให้เป็นคุณสมบัติประจำตัวของแม่ยิง จะทำให้เป็นคนมีคุณค่า เป็นที่ยอมรับของสังคม ทำให้ผู้เป็นแม่ได้พยายามถ่ายทอดวิธีการต่ำหูกให้ลูกสาว และเป็นแบบอย่างที่ดีในการนุ่งซิ่นที่ทอจากฝีมือตัวเอง จึงทำให้การนุ่งซิ่นกลายเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่รัฐบาลลาวได้ส่งเสริมและสนับสนุน สังคมลาวยกย่องแม่ยิงที่ “นุ่งซิ่น เบี่ยงแพ” นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดที่ทำให้แม่ยิงต้องนุ่งซิ่น เช่น ชุดเครื่องแบบนักเรียนหญิงตั้งแต่ชั้น ป. 1 จนถึงมหาวิทยาลัย ชุดเครื่องแบบข้าราชการ หรือชุดทำงาน รวมทั้งการมาติดต่อราชการ ซึ่งกำหนดให้แม่ยิงต้องนุ่งซิ่น ซิ่นจึงเป็นอาภรณ์คู่กายของแม่ยิงลาวและไม่สามารถแยก
    ออกจากกันได้ ดังนั้นหากผู้ใช้ยังจำเป็นต้องใช้ตลอดไป ด้วยความเต็มใจและภาคภูมิใจ ผู้ต่ำหูกก็จะทำงานอย่างมีความสุข และมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนสำคัญในการสืบทอดวัฒนธรรมอันดีงามของชาติ การต่ำหูกของแม่ยิงโดยเฉพาะการต่ำหูกต่ำแพผ้าซิ่น จึงเป็นเป็นภารกิจสำคัญของแม่ยิงลาวที่ส่งผลให้การอนุรักษ์วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ คงอยู่ตลอดไป
    การแต่งกายของนายบ้าน(ขวา)และลูกบ้าน(ซ้าย)ที่มาติดต่องาน
     
    การแต่งกายของนักเรียนแม่ยิงระดับประถมศึกษา
     
              ผ้าซิ่นตา
     ผ้าซิ่นตาหรือผ้าซิ่นหมี่ตา กลุ่มวัฒนธรรมลาวครั่ง ผ้าซิ่นเป็นผ้าที่ผู้หญิงในกลุ่มวัฒนธรรมลาวครั่งทอไว้ใช้นุ่งในโอกาสพิเศษ อาทิ นุ่งเป็นผ้าซิ่นเจ้าสาวในประเพณีแต่งงาน และใช้นุ่งไปในงานบุญประเพณีสำคัญๆ ตลอดจนใช้นุ่งไปทำบุญที่วัด ฝีมือความประณีตงดงามของผ้าซิ่นตาแสดงถึงความละเอียดอ่อนของจิตใจผู้ทอเป็นความภาคภูมิใจในความดีงาม ฝีมือความสามารถในการทอผ้าของตนให้ผู้อื่นได้ชื่นชม
                 ผ้าซิ่นตากลุ่มวัฒนธรรมลาวครั่งดั้งเดิมจะมีทั้งการทอจากเส้นใยฝ้ายและเส้นใยไหมผสมกันนิยมสีสันสดใส สะดุดตาสะดุดใจผู้พบเห็น
         ผ้าซิ่นตา กลุ่มวัฒนธรรมลาวครั่งจะประกอบด้วย 3 ส่วนคือ
        1.ส่วนตีนซิ่น จะเป็นตีนจกกล่าวคือเชิงซิ่นนี้จะทอด้วยเทคนิคการจก โดยนิยมทำเป็นตีนแดงใช้ด้ายเครือเส้นยืนสีแดงและเส้นด้ายพุ่งสีแดง ส่วนเส้นพุ่งพิเศษในการจกจะใช้สีสันสดในอาทิ เหลือง เขียว ส้ม แดง ครีม เป็นต้นลักษณะโครงสร้างลายค่อนข้างใหญ่ และนิยมจกเฉพาะส่วนบนของตีนซิ่น เว้นพื้นแดงส่วนล่าง
        2.ส่วนตัวซิ่น เป็นซิ่นตะเข็บเดียวทอด้วยเส้นไหมหรือเส้นฝ้ายโดยจะต้องทอเทคนิค “มัดหมี่” สลับกับการทอด้วยเทคนิค “ขิด” ลายมัดหมี่ดั้งเดิมนิยมมัดลายนาคหรือลายหงส์ส่วนลายขิด นิยมทอลายดอกแก้วการทอจะทอเป็นลายริ้วตามขวางแล้วนำมาเย็บเป็นผ้าซิ่นลายตามยาวของลำตัวคำว่า “ผ้าซิ่นตา” มาจากการเรียกส่วนตัวซิ่นที่การทอลายริ้วคั่นกับมัดหมี่ซึ่งเรียกกันเต็ม ๆ ว่า ผ้าซิ่นหมี่ตา โดยมีทั้งหมี่ตาใหญ่และหมี่ตาน้อย
        3.ส่วนหัวซิ่น มีขนาดประมาณ 1 คืบเป็นผ้าฝ้ายทอเป็นลายริ้วสีสลับขิดสำหรับผืนที่นำมาประกอบคำบรรยายผืนนี้ไม่ได้ต่อส่วนหัวซิ่นซึ่งผ้าซิ่นตาโบราณจากการสำรวจพบทั้งแบบต่อหัวซิ่นและไม่ต่อหัวซิ่น
            เอกลักษณ์ของผ้าซิ่นตา กลุ่มวัฒนธรรมลาวครั่ง คือ โครงสีของผ้าซิ่นจะเป็นสีเอกรงค์โดยนิยมใช้สีแดงเป็นหลักซึ่งย้อมจากครั่งส่วนตัวซิ่นจะทอด้วยเทคนิคมัดหมี่สลับขิด ลายขิดขนาดใหญ่เรียก “ตาใหญ่” ลายขิดขนาดเล็กหรือเป็นเพียงลายริ้วเรียก “ตาน้อย”
         การนุ่งผ้าซิ่นตาของสตรีกลุ่มวัฒนธรรมลาวครั่งจะนุ่งป้ายทบธรรมดา และมีผ้าซิ่นซ้อนเป็นผ้าซิ่นฝ้ายสีขาว นุ่งซ้อนทับด้านในเพื่อถนอมเส้นใยของผืนผ้าซิ่นตาให้มีอายุการใช้งานยาวนานคงความงดงามอยู่นานเท่านาน

         ปัจจุบันผ้าซิ่นตาได้สูญหายไปจากวิถีชีวิตประจำวันของกลุ่มวัฒนธรรมลาวครั่งเป็นระยะเวลายาวนานแต่ยังคงมีการทอเพื่อจำหน่ายให้กับผู้สนใจผ้าพื้นเมือง
     
     
     
    วัฒนธรรม
    การนุ่งซิ่น และต่ำหูก
                ในปัจจุบันถึงแม้จะมีการพัฒนาทางเทคโนโลยีจนทำให้วัยรุ่นสาวของประเทศลาวนุ่งกางเกงหรือใส่สายเดี่ยวนั้น แต่เวลามีงานบุญต่างๆก็จะได้เห็นภาพที่น่าประทับใจ คือแม่ยิงลาวจะพร้อมใจกัน “นุ่งซิ่น เบี่ยงแพ”
                มีคำกล่าวว่าแม่ยิงลาวเกี่ยวข้องและผูกพันกับการ“นุ่งซิ่น” และ “ต่ำหูก” อย่างแยกกันไม่ออก การต่ำหูก เป็นคุณสมบัติประจำตัวของแม่ยิงลาว แม่ยิงเป็นผู้รักษาวัฒนธรรมของชาติไว้ ในตำนานการต่ำหูกของลาวได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของแม่ยิงที่สามารถต่ำหูกได้ ว่าเป็นคนที่มีคุณค่าเป็นที่ยอมรับของสังคม ในคำผะหยาเกี้ยวสาว หรือคำสุภาษิตของลาว ก็มีคำยกย่อง ชื่นชมแม่ยิงที่ต่ำหูกเป็น และเป็นที่หมายปองของชายหนุ่ม
                ต่ำหูก หมายถึง การทำผ้าซิ่นประเภทหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละครอบครัวในประเทศลาว
                แม่ยิง หมายถึง คนที่สามารถต่ำหูกเป็น
                งานบุญต่างๆที่เอ่ยถึงในตอนต้นนั้น เช่น งานบุญตักบาตรพระธาตุหลวง ที่เวียงจันทร์ ซึ่งเป็นงานประเพณีที่สำคัญ ทุกคนจะไปร่วมทำบุญตักบาตร การแต่งกายตามวัฒนธรรมและประเพณีเป็นสิ่งที่คนลาวให้ความสำคัญมากการที่แม่ยิงลาวนุ่งซิ่นจึงนับว่าเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งของลาว ความสวยงามของลวดลายผ้าซิ่นแต่ละผืนเกิดจากฝีมือการต่ำหูกของแม่ยิงลาว ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษซิ่นบางแบบถูกกำหนดไว้อย่างเคร่งครัดเพื่อใช้นุ่งเฉพาะในงานบุญประเพณีอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ซึ่งซิ่นแบบอื่นไม่สามารถใช้แทนกันได้ ลวดลายในผืนซิ่นไม่เพียงแต่จะสะท้อนให้เห็นวิวัฒนาการทางศิลปะหัตกรรม ความเชื่อถือ และบ่งบอกสภาพของผู้ใช้ในสังคมเท่านั้น แต่ยังบอกเล่าถึงพิธีกรรมและบันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญอย่างหนึ่ง ที่นักโบราณคดีสามารถใช้ค้นคว้าเรื่องราวและวิถีชีวิตของผู้คนในอดีตได้เป็นอย่างดี ทำให้เราทราบว่าแม่ยิงลาวรู้วิธีการปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ผลิตเส้นไหม นำมาย้อมสี และต่ำหูกเป็นลวดลายต่าง ๆ ได้ไม่ต่ำกว่า 3,000 - 4,000 ปีมาแล้ว
              ตามประเพณีดั้งเดิมแล้ว แม่ยิงลาวจะฝึกต่ำหูกตั้งแต่เด็ก โดยจะบอกสอนกันภายในครอบครัว ซึ่งถือว่าเป็นการขัดเกลาทางสังคมอย่างหนึ่ง จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังพบว่าแม่จะสอนต่ำหูกให้ลูกสาวตั้งแต่อยู่ชั้น ป.2 ซึ่งมีอายุเพียง 7-8 ปี แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเด็กแม่ยิงลาวเมื่อจบชั้นป.5 และไม่ได้เรียนต่อก็จะเริ่มฝึกต่ำหูกจากบุคคลในครอบครัวหรือญาติพี่น้อง โดยการบอกปากเปล่าแล้วให้ฝึกอย่างสม่ำเสมอ ลูกสาวซึ่งเห็นแม่ ต่ำหูกในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ก็ค่อยๆ ซึมซับวิธีการต่ำหูกจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ดังนั้น
                เมื่อเริ่มฝึกก็จะเป็นเร็วโดยแม่ไม่ต้องบอกสอนมากนัก วิธีสอนต่ำหูกดังกล่าวก็ยังใช้ได้ดีมาจนถึงปัจจุบัน และแม่ยิงลาวก็ยังฝึกต่ำหูกตั้งแต่เด็กเหมือนเดิมคือถ้าขาเหยียบหูกถึงก็สามารถฝึกเรียนต่ำหูกได้แล้ว แต่ที่สำคัญคือผู้เรียนต้องมีใจรักและมีความตั้งใจจึงจะฝึกต่ำหูกได้ เนื่องจากการต่ำหูกเป็นงานที่ละเอียดประณีต และต้องใช้ความอดทนสูงมาก เทคนิคสำคัญที่ใช้ในการสอนคือแม่จะใช้หูกขนาดเล็กที่พอเหมาะกับตัวเด็ก และเริ่มฝึกจากลาย ง่ายๆไปจนถึงลายที่ซับซ้อน เราจึงพบว่าแม่ยิงลาวที่ต่ำหูกในปัจจุบันส่วนใหญ่อยู่ในช่วงวัยรุ่น นับว่าเป็นการสร้างค่านิยมที่ดีแก่เยาวชนทั้งในแง่การอนุรักษ์วัฒนธรรม การประกอบอาชีพ และทำให้อยู่
    ห่างไกลจากอบายมุขและสิ่งเสพติดและที่สำคัญคือวัยรุ่นเหล่านี้จะมารวมกลุ่มกันทอผ้าในครัวเรือนซึ่งเป็นบ้านของญาติคนใดคนหนึ่ง จึงเป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนเกิดความมั่นใจว่าการทอผ้าของลาวจะยังคงอยู่ได้อีกนาน
    อาชีพทอผ้าของแม่ยิงวัยรุ่นลาว
     
              ที่เวียงจันทร์ไม่มีการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม เนื่องจากพื้นที่ไม่เพียงพอและสภาพอากาศไม่เหมาะสมจึงต้องซื้อเส้นไหมจากแหล่งอื่น ส่วนการย้อมสีจะเน้นใช้สีธรรมชาติ ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดีทั้งต่อคนย้อมและสภาพแวดล้อม และถือว่าเป็นค่านิยมของลาวที่ต้องใช้ผ้าทอที่ย้อมจากสีธรรมชาติ ทำให้ลดต้นทุนการผลิตได้มาก แต่ถึงอย่างไรก็ตามการสืบทอดภูมิปัญญาการทอผ้าของลาวน่าจะมีปัญหาอยู่บ้าง ถ้าหากต้นทุนราคาเส้นไหมสูงขึ้นและผู้ผลิตยังมีรายได้ไม่มากนัก คือแค่พออยู่ได้ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ค่าครองชีพสูงมากในปัจจุบัน และผู้ต่ำหูกส่วนใหญ่ก็ไม่มีงานอื่นที่มีรายได้มากกว่านี้ ถึงแม้ว่าหลายคนจะต่ำหูกด้วยใจรักก็ตาม และ
    การที่ลาวได้ก้าวเข้าสู่โลกยุคโลกาภิวัตน์ ที่เข้ามาพร้อมกับคำว่า “การนำความเจริญมาสู่ประเทศ” มีนักท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศลาวมากขึ้นทำให้วัฒนธรรมอันดีงามถูกแทรกซึมทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การแต่งกายของคนลาวเริ่มเปลี่ยนแปลงมากมาย ผู้คนส่วนใหญ่หันมานิยมใช้เสื้อผ้าสำเร็จรูปที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะแม่ยิงนิยมใส่กางเกงมากขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาที่ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ได้เผชิญอย่างหลีกเลียงไม่ได้ สิ่งดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อการสืบทอดภูมิปัญญาการต่ำหูกของลาวไม่มากก็น้อย
              การปลูกฝังค่านิยมในการต่ำหูกให้เป็นคุณสมบัติประจำตัวของแม่ยิง จะทำให้เป็นคนมีคุณค่า เป็นที่ยอมรับของสังคม ทำให้ผู้เป็นแม่ได้พยายามถ่ายทอดวิธีการต่ำหูกให้ลูกสาว และเป็นแบบอย่างที่ดีในการนุ่งซิ่นที่ทอจากฝีมือตัวเอง จึงทำให้การนุ่งซิ่นกลายเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่รัฐบาลลาวได้ส่งเสริมและสนับสนุน สังคมลาวยกย่องแม่ยิงที่ “นุ่งซิ่น เบี่ยงแพ” นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดที่ทำให้แม่ยิงต้องนุ่งซิ่น เช่น ชุดเครื่องแบบนักเรียนหญิงตั้งแต่ชั้น ป. 1 จนถึงมหาวิทยาลัย ชุดเครื่องแบบข้าราชการ หรือชุดทำงาน รวมทั้งการมาติดต่อราชการ ซึ่งกำหนดให้แม่ยิงต้องนุ่งซิ่น ซิ่นจึงเป็นอาภรณ์คู่กายของแม่ยิงลาวและไม่สามารถแยก
    ออกจากกันได้ ดังนั้นหากผู้ใช้ยังจำเป็นต้องใช้ตลอดไป ด้วยความเต็มใจและภาคภูมิใจ ผู้ต่ำหูกก็จะทำงานอย่างมีความสุข และมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนสำคัญในการสืบทอดวัฒนธรรมอันดีงามของชาติ การต่ำหูกของแม่ยิงโดยเฉพาะการต่ำหูกต่ำแพผ้าซิ่น จึงเป็นเป็นภารกิจสำคัญของแม่ยิงลาวที่ส่งผลให้การอนุรักษ์วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ คงอยู่ตลอดไป
    การแต่งกายของนายบ้าน(ขวา)และลูกบ้าน(ซ้าย)ที่มาติดต่องาน
     
    การแต่งกายของนักเรียนแม่ยิงระดับประถมศึกษา
     
              ผ้าซิ่นตา
     ผ้าซิ่นตาหรือผ้าซิ่นหมี่ตา กลุ่มวัฒนธรรมลาวครั่ง ผ้าซิ่นเป็นผ้าที่ผู้หญิงในกลุ่มวัฒนธรรมลาวครั่งทอไว้ใช้นุ่งในโอกาสพิเศษ อาทิ นุ่งเป็นผ้าซิ่นเจ้าสาวในประเพณีแต่งงาน และใช้นุ่งไปในงานบุญประเพณีสำคัญๆ ตลอดจนใช้นุ่งไปทำบุญที่วัด ฝีมือความประณีตงดงามของผ้าซิ่นตาแสดงถึงความละเอียดอ่อนของจิตใจผู้ทอเป็นความภาคภูมิใจในความดีงาม ฝีมือความสามารถในการทอผ้าของตนให้ผู้อื่นได้ชื่นชม
                 ผ้าซิ่นตากลุ่มวัฒนธรรมลาวครั่งดั้งเดิมจะมีทั้งการทอจากเส้นใยฝ้ายและเส้นใยไหมผสมกันนิยมสีสันสดใส สะดุดตาสะดุดใจผู้พบเห็น
         ผ้าซิ่นตา กลุ่มวัฒนธรรมลาวครั่งจะประกอบด้วย 3 ส่วนคือ
        1.ส่วนตีนซิ่น จะเป็นตีนจกกล่าวคือเชิงซิ่นนี้จะทอด้วยเทคนิคการจก โดยนิยมทำเป็นตีนแดงใช้ด้ายเครือเส้นยืนสีแดงและเส้นด้ายพุ่งสีแดง ส่วนเส้นพุ่งพิเศษในการจกจะใช้สีสันสดในอาทิ เหลือง เขียว ส้ม แดง ครีม เป็นต้นลักษณะโครงสร้างลายค่อนข้างใหญ่ และนิยมจกเฉพาะส่วนบนของตีนซิ่น เว้นพื้นแดงส่วนล่าง
        2.ส่วนตัวซิ่น เป็นซิ่นตะเข็บเดียวทอด้วยเส้นไหมหรือเส้นฝ้ายโดยจะต้องทอเทคนิค “มัดหมี่” สลับกับการทอด้วยเทคนิค “ขิด” ลายมัดหมี่ดั้งเดิมนิยมมัดลายนาคหรือลายหงส์ส่วนลายขิด นิยมทอลายดอกแก้วการทอจะทอเป็นลายริ้วตามขวางแล้วนำมาเย็บเป็นผ้าซิ่นลายตามยาวของลำตัวคำว่า “ผ้าซิ่นตา” มาจากการเรียกส่วนตัวซิ่นที่การทอลายริ้วคั่นกับมัดหมี่ซึ่งเรียกกันเต็ม ๆ ว่า ผ้าซิ่นหมี่ตา โดยมีทั้งหมี่ตาใหญ่และหมี่ตาน้อย
        3.ส่วนหัวซิ่น มีขนาดประมาณ 1 คืบเป็นผ้าฝ้ายทอเป็นลายริ้วสีสลับขิดสำหรับผืนที่นำมาประกอบคำบรรยายผืนนี้ไม่ได้ต่อส่วนหัวซิ่นซึ่งผ้าซิ่นตาโบราณจากการสำรวจพบทั้งแบบต่อหัวซิ่นและไม่ต่อหัวซิ่น
            เอกลักษณ์ของผ้าซิ่นตา กลุ่มวัฒนธรรมลาวครั่ง คือ โครงสีของผ้าซิ่นจะเป็นสีเอกรงค์โดยนิยมใช้สีแดงเป็นหลักซึ่งย้อมจากครั่งส่วนตัวซิ่นจะทอด้วยเทคนิคมัดหมี่สลับขิด ลายขิดขนาดใหญ่เรียก “ตาใหญ่” ลายขิดขนาดเล็กหรือเป็นเพียงลายริ้วเรียก “ตาน้อย”
         การนุ่งผ้าซิ่นตาของสตรีกลุ่มวัฒนธรรมลาวครั่งจะนุ่งป้ายทบธรรมดา และมีผ้าซิ่นซ้อนเป็นผ้าซิ่นฝ้ายสีขาว นุ่งซ้อนทับด้านในเพื่อถนอมเส้นใยของผืนผ้าซิ่นตาให้มีอายุการใช้งานยาวนานคงความงดงามอยู่นานเท่านาน

         ปัจจุบันผ้าซิ่นตาได้สูญหายไปจากวิถีชีวิตประจำวันของกลุ่มวัฒนธรรมลาวครั่งเป็นระยะเวลายาวนานแต่ยังคงมีการทอเพื่อจำหน่ายให้กับผู้สนใจผ้าพื้นเมือง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×