ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ KHR reborn ] short fic 1827 5927 6927 2718 X27 G27 10027 127 8027 R27 0027 All27

    ลำดับตอนที่ #9 : 10027 ยามวิหกขับขาน

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ค. 62








    Chapter SEVEN ยามวิหกขับขาน
    T
    B

     

     

     

      

                ยามราตรีมืดมิดภายใต้ช่วงเวลาแห่งการหลับใหลค่ำคืนอันเงียบสงบ ในมุมหนึ่ง..เสียงฝีเท้าย่ำจังหวะรัวเร็วดังแทรกความเงียบ เสียงหอบระรัว ความอลหม่านเกิดขึ้นภายใต้ความเงียบงัน

     

                "มันไปทางนั้นเสียงของใครคนหนึ่งตะโกนบอกก่อนร่างในชุดสูทพร้อมอาวุธจะพากันกรูไปตามทิศราวกับมดงาน ความวุ่นวายค่อยๆแผ่วลง.. แผ่วลง....

     

               จนสุดท้ายก็เงียบสงัด

     

                ร่างทั้งร่างทรุดลงแนบผนัง ลมหายใจหอบยังคงรุนแรงไม่ทุเลา ฝ่ามือกดแน่นบริเวณหน้าท้องที่เกิดแผลฉกรรจ์จากกระสุน บาดแผลมากมายจนราวกับกายนั้นถูกย้อมทับด้วยโลหิต

     

              กึก.. กึก...

     

               ลมหายใจขาดห้วง มีใครบางคนกำลังใกล้เข้ามา.. พยายามกัดฟันหยัดกายขึ้นยืนทว่าความจริงกลับขยับไม่ได้แม้ปลายนิ้ว เสียเลือดเยอะเกินไป เขาตระหนัก ดวงตาพร่าเลือนพยาพยามฝืนรั้งอย่างสุดความสามารถที่มี ทว่าสุดท้ายยามเมื่อปลายเท้านั้นเยื้อย่างมาประชิดตัวเขาก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งสติได้อีกต่อไป.......

     

     

     

     

     

                

     

                สึนะโยชิเกลียดฤดูหนาว....

     

                ไอเย็นที่กระทบใบหน้าจนชา ร่างกายที่ไม่ขยับดังที่คิด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนรบกวนจิตใจเขาจนพาลหงุดหงิดไปหมด กระชับมือซุกกอดอกหาความอบอุ่นขณะกัดฟันรั้นห้ามร่างกายให้หายสั่นเทา ดวงตาสีเปลือกไม้ทอดมองหิมะสีขาวโพลนที่โปรยลงมา ตกกระทบแล้วจางหาย

     

                ราวกับเป็นเพียงภาพลวงตา เฉกเช่นตัวตนของชายหนุ่ม...

     

                ย่ำเท้าเดินไปตามทางอย่างไร้จุดหมาย อยากหายไปที่ไกลๆสักแห่งที่แม้ตัวเองก็ไม่เคยไปถึง หลีกหนีภาระหน้าที่บนบ่ากลับสู่วิถีเดิมของตน แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงพ่นลมหายใจพลางปลอบตัวเองว่าไม่เป็นไรตราบใดที่ยังมีพวกพ้องเคียงข้างตน

     

                กรุ้งกริ้ง...

     

               เสียงกระพรวนอันเล็กบนบานประตูไม้ส่งเสียงเบาๆยามมีแขกมาเยือน ความอบอุ่นของฮีตเตอร์กับสถานที่อบอวลด้วยกลิ่นกาแฟหอมกรุ่น ยามอากาศหนาวเหน็บกรีดแทง ร้านเล็กๆนี้ช่างอบอุ่นดั่งกับเป็นบ้านหลังน้อยที่รอคอยการหวนกลับ

     

               แก้วกาแฟวางลงรับผู้มาเยือน... ล่วงรู้การมาของลูกค้าขาประจำ ควันจางๆลอยคละคลุ้งพาให้ผ่อนคลายจนลืมความเหน็ดเหนื่อยชั่วขณะ สึนะโยชิผ่อนลมหายใจ เปลือกตาเลื่อนลงปิดลูกแก้วสีสวยยามยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม

     

               “เจอเธออีกแล้วนะ

     

               สึนะโยชิปรายตาสบอเมทิสต์คู่คม เมื่อพื้นที่ด้านหน้าที่มองเห็นทิวทัศน์ภายนอกกลับถูกบดบังด้วยใบหน้ายิ้มแย้มของแขกไม่ได้รับเชิญ หาใช่มิตรสหาย แม้คนรู้จักก็ไม่อาจเป็น เพราะต่างไม่เคยพูดคุยกัน..เพียงพบเจอทุกคราในร้านกาแฟเล็กๆแห่งนี้ เลื่อนสายตากลับมาวางที่แก้วกาแฟหอมกรุ่มไม่คิดเอ่ยทักทายหรือสนใจคนตรงหน้า ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไป

     

               “กาแฟงั้นเหรอ ฉันว่าเธอเหมาะกับโกโก้มากกว่านะ

     

               เป็นคนช่างจ้อเสียกระไร ยามถูกเมินก็เรียกร้องความสนใจช่างคล้ายนิสัยเด็กซะจริง

     

               แก้วกาแฟว่างเปล่าวางลงอย่างเชื่องช้าขัดกับในใจที่กำลังครุกกรุ่นยามร่างที่ต้องการผ่อนคลายกลับถูกเสียงรื่นรมย์ของคนตรงหน้าแทรกขึ้นมา ไม่เอ่ยตอบใดๆเพียงเอนกายพิงพนัก ในขณะที่เรือนกายขาวสะอาดตาแย้มยิ้มหวานเอียงคอไปมาพลางยกมือเรียกเจ้าของร้าน ขอมาร์ชเมลโล่จัมโบ้เซ็ต เปลี่ยนเรื่องง่ายดายราวกับมีรีโมตคอนโทรล...

     

               รอบกายกลับมาสงบสุขอีกครั้งเมื่อคนช่างคุยตรงหน้าถูกทำให้ปากเต็มไปด้วยของหวานสุดโปรดของตัวเอง ต่างฝ่ายต่างจมอยู่กับความคิดตัวเองไม่มีสิ้นสุด ปล่อยเวลาให้ไหลผ่านเพียงช่วงเวลานี้ที่ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ มือเรียวที่มักจับปากกาเซ็นเอกสารเท้าคางมองผู้คนผ่านไปมาเลื่อนลอย ท้องฟ้าสีครึ้มและหิมะที่หยุดตกเป็นสัญญาณเตือนว่าเวลาพักผ่อนอันน้อยนิดของเขาหมดลงเสียแล้ว สึนะโยชิถอนหายใจอ่อนแรงพลางยันกายลุกเดินออกจากร้านโดยไม่ลืมวางเงินที่มากเกินราคากาแฟเพียงหนึ่งแก้วไปโขอย่างเคย

     

               “วันนี้ก็รีบร้อนเหมือนเคยเลยนะ

     

               สึนะโยชิไม่คิดต่อบทสนทนา อันที่จริง.. เขาไม่ได้ต้องการเสวนากับอีกฝ่ายตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เรือนกายสูงโปร่งกับแผ่นหลังตั้งตรงตระหง่านเพียงเดินจากไปโดยไม่คิดเหลียวหลังกลับ ระหว่างเดินทอดน่องไปตามฟุตบาตก็ลองยกนาฬิกาเรือนแพงขึ้นมาดูเวลา เป็นสิ่งที่มักทำทุกครั้งยามเดินออกมาจากสถานที่พักผ่อน สองทุ่มกับอีกสี่สิบห้านาที อา... วันนี้ได้พักไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ ดวงตาเปลือกไม้เรียบนิ่งทอดมองรถลีมูซีนสีดำสนิทอย่างเฉื่อยชา คนขับรถลงมาเปิดประตูพลางโค้งคำนับให้อย่างรู้งานในขณะที่เจ้าตัวก็เดินขึ้นไปนั่งอย่างว่าง่าย ไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไปรถหรูคันยาวก็เลี่ยงออกนอกเมืองเข้าสู่เขตพื้นที่ใหม่ เหลือบมองทิวทัศน์คุ้นเคยที่เห็นมาตลอดสิบปีกว่าก็อดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจออกมาอีกครั้ง โยนความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป ดวงตากลับมาฉายแววมั่นคง อันเปี่ยมด้วยพลังอำนาจอันน่าเกรงขาม หน้ากากแห่งวองโกเล่เดซิโม่ถูกสวมทับอีกครั้ง

     

               ถึงเวลาทำงานแล้วสิ...

     

     

               ปราสาทวองโกเล่ยังคงวุ่นวายเหมือนทุกครั้งที่ได้เห็น เอกสารที่กองพะเนินจนล้นโต๊ะทั้งที่เจ้าตัวเพิ่งเคลียร์เสร็จไปก่อนหน้านี้ทำให้อดไม่ได้ที่จะนวดขมับอีกครั้ง มือเรียวดันแว่นที่ตกยามก้มหน้าเซ็นเอกสารกลับเข้าที่ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่สายตาแย่ลงจนต้องพึ่งอุปกรณ์ โกคุเดระ... มือขวาที่เป็นเพื่อนรักสมัยเด็กมักบ่นอยู่บ่อยๆว่าให้เขาดูแลตัวเองเสียบ้าง นึกทีไรก็พลันจุดรอยยิ้มมุมปาก คนที่มัวแต่ห่วงเขาจนไม่มีเวลาโกนหนวดเคราต่างหากล่ะที่ควรดูแลตัวเอง

     

               ฟังเสียงเข็มนาฬิกากับเสียงขูดขีดเอกสารจนงานที่มีหดหายไปในที่สุด เงยหน้ามองนาฬิกาเรือนใหญ่นึกสงสัยว่าผ่านมากี่ชั่วยามแล้วกัน ใบหน้าขาวซีดพยักทำความเข้าใจกับตัวเองเบาๆ มีเวลานอนชั่วโมงครึ่ง กระซิบบอกด้วยเสียงแหบแห้งก่อนจะฟุบกายลงกับโต๊ะอย่างเหนื่อยอ่อน

     

     

     

               เพียงชั่วครู่เสียงนาฬิกาที่ตั้งไว้ก็ร้องเตือน เปลือกตาบางเผยดวงตาเปลือกไม้ที่ยังมีเค้าความล้าไม่จางหาย เวลาทำงานวนมาอีกครั้งทั้งที่ในความคิดเหมือนเพิ่งได้หลับตาไปเพียงวูบเดียว อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นนั่งบิดขี้เกียจทว่าเสียงเคาะประตูก็ทำให้ความเหนื่อยล้าถูกเก็บซ่อน เหลือไว้เพียงแต่โครงหน้าของผู้เป็นบอสอันทรงเกียรติ

     

               “รุ่นที่สิบครับ เช้าวันนี้มีกำหนดการประชุมกับกลุ่มมาเฟียใหม่ที่ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นพันธมิตรครับ

     

               เอกสารรายละเอียดเกี่ยวกับบรรดามาเฟียหน้าใหม่ไม่ต่ำกว่ายี่สิบแฟมิลี่ที่หวังพึ่งใบบุญของวองโกเล่ผู้ยิ่งใหญ่ เจตนาแอบแฝงใครก็ดูออก หากแต่บางครั้งการยอมรับข้อเสนอเพื่อเรียนรู้ศัตรูอย่างใกล้ชิดก็ดีกว่าปล่อยให้อยู่ไกลหูไกลตาจนไม่อาจรู้วันถูกลอบกัด สึนะโยชิอ่านผ่านๆอย่างไม่สนใจนัก อย่างไรเสียมือขวาและมือซ้ายของเขาก็ทำหน้าที่ได้ดีเสมออยู่แล้ว

     

               “สถานที่ล่ะ

     

               “ตึกบริษัทเอ็มไพน์กรุ๊ปครับ เป็นการประชุมในที่สาธารณะความปลอดภัยจากการถูกลอบโจมตีสูง

     

               “แต่ความเสี่ยงของการที่ข้อมูลจะรั่วไหลก็มีมาก มือซ้ายกล่าวเสริม

     

               “ให้จางนินีแฮ็คระบบแล้วตรวจสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดในตัวอาคาร หากติดตั้งฟังก์ชันดักฟังหรือกล้องไว้ก็ทำให้ใช้การไม่ได้ไปก่อนจนกว่าการประชุมจะเสร็จสิ้น ส่วนเรื่องระบบรักษาความปลอดให้คงมาตราฐานเดิมไว้ อย่าชะล่าใจเพราะเห็นว่าเป็นที่สาธารณะ สูดลมหายใจช้าๆ อย่าลืมสิว่ากำลังเจอกับมาเฟียที่ทำได้ทุกอย่างเพื่ออำนาจ

     

               “รับทราบ!” โกคุเดระและยามาโมโตะขานรับอย่างแข็งขัน หลายปีมานี้เพื่อนพวกเขาเติบโตมาเป็นคนที่สุดยอดจริงๆ

     

               “แล้วก็นะ..

     

               ชั่วขณะที่ทั้งสองจะขอตัวลาไปทำตามคำสั่งของผู้นายก็ต้องชะงักตามเสียงทักเบาๆนั้น สึนะโยชิลูบใบหน้าไปมาความเคร่งเครียดจางหายเหลือเพียงใบหน้าเรียบนิ่งทอประกายอ่อนแสง

     

               “ขอเวลาฉันอาบน้ำห้านาที

     

     

     

     

     

               “ไม่ให้พวกผมเข้าไปจริงๆเหรอครับ โกคุเดระถามอย่างเป็นกังวล ถึงจะรับรองเรื่องความปลอดภัยแต่เขาเองก็ไม่วางใจที่จะปล่อยบอสไว้เพียงลำพัง แม้เพียงระยะกำแพงกั้น

     

               “คิดว่าฉันคนนี้อ่อนแอจนดูแลตัวเองไม่ได้เลยหรือไง

     

               โกคุเดระส่ายหน้าพลางโค้งกายต่ำขออภัยในความผิดของตนแล้วหันหลังเดินจากไป ในขณะที่ผู้เป็นบอสเปิดประตูเรือนใหญ่เข้าห้องประชุมไปอย่างผ่าเผย

     

               ปัง!

     

     

               สึนะโยชิกวาดตามองรอบห้อง ผู้เข้าร่วมประชุมจากต่างแฟมิลี่รวมกว่ายี่สิบชีวิตตอนนี้กระจัดกระจายทั่วห้องไปหมด กลิ่นคาวเลือดเหม็นคละคลุ้งจนหายใจลำบาก หยาดเลือดสีแดงชาดนองทั่วพื้นย้อมห้องนี้ให้เป็นสีแดง ใบหน้าที่ยังมีสีหน้าหวาดผวาประดับไว้ การสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นในห้องประชุมโดยไม่มีใครรับรู้สักคน

     

               !

     

               โลหะเย็นเยียบแนบขมับ ท่อนแขนแกร่งเกี่ยวรั้งคอเขาจนลมหายใจติดขัด อา ใช่ มีกลิ่นเขม่าดินปืนด้วย.. นึกสงสัยเหมือนกัน หากเขาขัดขืนอีกฝ่ายแล้วหนีไปตอนนี้จะทำอย่างไรกันนะ แต่ก็ได้เพียงคิดเมื่อคนด้านลดอาวุธในมือลงแล้วเปลี่ยนมาหมุนตัวเขาหันประจันหน้าก่อนจะยันหลังกระแทกกำแพงพร้อมกับใช้ศอกกดลำคอไว้ สึนะโยชิไอโคลกความทรมาณรุมเร้า ทว่าดวงตาคู่คมยังคงฉายแววเรียบสนิท จะฆ่า... ฉัน อึก รึไง เสียงขาดห้วงกับลมที่ใกล้หมดกล่าวออกมาทั้งใบหน้ายิ้มเยาะ

     

               อีกครั้งที่ปืนในมือจ่อขมับ เสียงปลดลั่นไกดังขึ้นช้าๆราวนาฬิกานับถอยหลัง นิ้วเรียวเกี่ยวรั้งลั่นไกปืนหมายคร่าชีวิต

     

     

     

               แกร่ก...

     

     

     

               เขาพยายามยิ้มแต่ก็เป็นเพียงแค่การกระตุกยิ้มเล็กๆเท่านั้น....

     

     

     

     

     

     

               เจสโซแฟมิลี่ได้เข้ามาเป็นพันธมิตรกับวองโกเล่ หนึ่งในผู้ถูกเลือกจากทั้งหมด... ท่ามกลางความสงสัยข่าวการสังหารหมู่ในวงมาเฟียกลับไม่เป็นที่พูดถึง เพราะเป็นแฟมิลี่เกิดใหม่เลยไม่ได้รับความสนใจหรือเพราะอิทธิพลของวองโกเล่ก็ไม่อาจทราบได้ ถึงจะใคร่รู้เพียงใดก็ไม่มีใครกล้าเอาหัวตัวเองมาเสี่ยงกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแน่

     

               “เธอควรกลับได้แล้วนะ เสียงติดล้อเล่นเอ่ยทักคนที่ออกมาอู้งาน สึนะโยชิคุง

     

               แก้วกาแฟที่กำลังยกขึ้นดื่มชะงักก่อนจะลดลงพร้อมกับสายตาฉายแววไม่พอใจจากเจ้าของชื่อ เพียงครู่เดียวก็ยกขึ้นดื่มต่อทำหูทวนลมไปเสียอย่างนั้น

     

               ฝ่ายถูกเมินยังคงยิ้มแย้มอย่างไม่รู้สึกรู้สา กลับ กัน เถอะ ไม่พูดเปล่าเขย่าโต๊ะสั่นสะเทือนจนคนถูกกวนโวยวายออกมาในที่สุด

     

               “รำคาญน่าเบียคุรัน เลิกทำตัวเหมือนเจ้าพวกนั้นสักทีได้ไหม แค่นี้ฉันก็ไม่มีเวลาเป็นของตัวเองแล้ว

     

               “งั้นมาอยู่กับเจสโซดีไหม อีกฝ่ายเอ่ยตอบทันควัน

     

               “ขอปฏิเสธ

     

               “เอ๋.. แฟมิลี่ฉันแย่กว่าวองโกเล่ตรงไหนกัน ว่าพลางหยิบมาร์ชเมลโล่มาเคี้ยวจนแก้มป่อง

     

               กาแฟหมดแก้วแล้ว สึนะโยชิหยิบเสื้อนอกที่พาดบนตักมาสวมใส่ให้เรียบร้อย ผุดลุกขึ้นยืนพลางสำรวจร่างกายตัวเองอีกครั้ง เจสโซยังเป็นแค่แฟมิลี่ตั้งใหม่อย่างน้อยก็ควรขยายฐานอำนาจและรวมกำลังพลให้ได้เสียก่อนกล่าวทิ้งท้ายแค่นั้นแล้วเดินจากไปทันที

     

               เบียคุรันทอดสายมองคนที่เดินจากไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย เงาดำพาดผ่านใบหน้ายามทวนซ้ำคำพูดของอีกคนไปมา

     

               “ขยายฐานอำนาจงั้นหรอ...

     

               ชายหนุ่มเรือนผมขาวพิสุทธิ์สะบัดหน้าไปมาไล่ความคิด กัดมาร์ชเมลโล่เข้าปากเต็มแรง หวังให้ความหวานเลี่ยนช่วยไล่ความคิดอันฟุ้งซ่าน 

     

     

     

     

     

     

               “ไม่เจอกันนานนะครับ งานที่ญี่ปุ่นเป็นไงบ้างครับ ใบหน้าที่มักนิ่งสนิทเผยยิ้มบางๆมุมปากเอ่ยทักคนที่เพิ่งกลับมาจากงานที่เขามอบหมายให้ไปดูแล

     

               “เรียบร้อยดี

     

               “อิจฉาจริงๆผมเองก็อยากไปบ้าง พูดพลางหัวเราะเบาๆด้วยรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ คุณฮิบาริจะอยู่อิตาลีนานไหมครับ

     

               “ไม่แน่ใจเหมือนกัน มีอะไรหรือเปล่า?” เอนกายพิงพนักพิงอย่างผ่อนคลาย

     

               อยากให้ช่วยสืบอะไรนิดหน่อยครับ..

     

               “มีข้อมูลหรือเปล่า มือขาวซีดยกขึ้นเท้าคางพลางสบตากับคนที่นั่งอยู่กับโต๊ะทำงาน

     

               สึนะโยชิถอนหายใจพลางส่ายหน้า ดวงตาฉายแววกังวลที่ซ่อนไว้ไม่มิด แค่ลางสังหรณ์น่ะครับ

     

               ชายหนุ่มเรือนผมปีกกาพยักหน้ารับเบาๆ สำหรับวองโกเล่คำว่า ลางสังหรณ์ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเสมอ ดวงตาทอดมองบอสผู้วัยเยาว์เคยเป็นเพียงคนอ่อนแอจนต้องลากเขามาพัวพันโดยไม่เต็มใจอยู่บ่อยๆ แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มคนนั้นกลับเติบโตขึ้นมาอย่างสมภาคภูมิจนตัวเขา ฮิบาริ เคียวยะ ผู้หยิ่งทระนง ยอมโค้งหัวสดุดีแต่ชายผู้นี้

     

               แววอ่อนล้าฉายเห็นชัดจนขนาดคนที่ไม่ได้กลับมานานอย่างเขายังรับรู้ได้ นึกโทษเจ้ามือขวาซ้ายทั้งสองที่รับปากอย่างดีว่าจะคอยดูแลบอสระหว่างที่พวกผู้พิทักษ์คนอื่นกระจายไปทั่วโลกเพื่อดูแลเครือข่ายของแฟมิลี่แต่กลับปล่อยให้คนที่ชอบฝืนตัวเองทำตามใจอยู่เรื่อย ซาวาดะคุณควรพั..

     

               “อ้อ ใช่! ผมลืมไปสนิทเลย ไม่ทันที่ผู้พิทักษ์เมฆาจะเอ่ยจบ เสียงลนๆของคนที่เพิ่งนึกเรื่องที่ลืมไปออกก็ดังขัดขึ้นมา มีเจรจางานกับแฟมิลี่พันธมิตรที่ Caffe Florian เพราะงั้นฝากจัดการงานที่เหลือระหว่างที่ผมไม่อยู่ด้วยนะครับ แม้จะเป็นคำขอร้องแต่ก็แฝงด้วยการยัดเยียดให้อีกฝ่ายโดยไม่มีโอกาสปฏิเสธ เนื่องจากเจ้าตัวทันทีที่พูดเสร็จก็ไม่รีรอรีบเปิดประตูเดินออกไปทันที

     

               ฝ่ายคนที่ได้งานเพิ่มก็ได้แต่ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอท่าทีแบบนี้ของอีกฝ่ายซะที่ไหนกัน ใจจริงก็ตั้งใจจะมาทำงานแทนอีกคนอยู่แล้วจึงไม่ได้โกรธเคืองนัก

     

               เวลาผ่านไปก็ทำให้คนใจร้อนไม่ยอมใคร มีเหตุผลกับทุกสิ่งมากยิ่งขึ้น...

     

               ทรุดกายลงนั่งโซฟาตัวยาวอีกครั้งหลังจากผุดลุกยืนมองส่งแผ่นหลังเล็กๆนั้นจนสุดสายตา หยิบเอกสารในกองมาอ่านพลางๆ พลันนึกฉุกคิดคำพูดของคนที่เพิ่งจากไปขึ้นมาได้ เจรจางาน? ที่ร้านกาแฟ….?”

     

     

     

               “ช่วงนี้แฟมิลี่เล็กใหญ่ทั่วอิตาลีโดนกวาดล้างไปอย่างน่าสงสัย หาตัวการเบื้องหลังไม่ได้ อีกทั้งก็ไม่รู้จุดร่วมที่กลุ่มมาเฟียถูกทำลายเลย คิ้วสีอ่อนขมวดเน้นขณะเพ่งสายตามองข้อมูลบนหน้าจอคอมใต้แผ่นเลนส์แว่นสีเงิน

     

               แก้วเครื่องดื่มส่งควันฉุยวางลงตรงหน้า สึนะโยชิเอื้อมมือยกขึ้นมาจิบ รสหวานปนขมแผ่ซ่านทั่วปากจนชายหนุ่มชะงัก โกโก้?” พูดพร้อมมองหน้าตัวการด้วยแววตาแค้นเคือง

     

               “กินคู่มาร์ชเมลโล่อร่อยนะ ไม่สนใจบรรยากาศมาคุที่เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลส่งมาทั้งยังยื่นขนมสุดโปรดตัวเองส่งมา หมายให้อีกฝ่ายลองชิมตามคำเชื้อเชิญนั้น แต่ใบหน้าเรียบนิ่งที่ส่งมาก็ทำให้คนยิ้มแป้นแล้นต้องล้มเลิกความคิดเสีย ฉันให้โชจังสืบแล้วล่ะ ดูเหมือนคราวนี้วินดีเช่จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องนะ

     

               “งั้นก็เป็นฝีมือของมาเฟียด้วยกันเอง สึนะโยชิพูดสรุปอย่างรวดเร็ว ไม่ต่างจากที่เขาคิดเท่าไหร่นัก มือเท้าคางใช้ความคิดในขณะที่อีกข้างที่ว่างอยู่ก็กดแป้นพิมพ์หาข้อมูลไปด้วย มีจุดประสงค์อะไรกันแน่...

     

               ดวงตาของสึนะโยชิเป็นประกายสวยยามสะท้อนกับแสงไฟจากจอคอม สีน้ำตาลเข้มหม่นจนคล้ายท้องฟ้ายามกลางคืนอันมืดสนิท ทว่าในความมืดมิดนั้นกลับมีบางอย่างดึงดูดให้อยากค้นหาอย่างน่าประหลาด เบียคุรันเคยได้ยินคำร่ำลืออยู่เสมอว่าบอสแห่งวองโกเล่นั้นเปรียบดังนภารุ่งสาง แต่สำหรับเขา สึนะโยชิคือนภากลางคืน

     

               สีดำกับสีขาว ขั้วตรงข้ามที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ งั้นหรือ..?

     

               ใครเป็นคนคิดวลีนั้นกันนะ นึกแล้วก็น่าขำ ยามนี้คนที่อยู่ตรงหน้าเขาก็คือผลจากการผสมผสานอันลงตัวของขั้วตรงข้ามที่ว่านั่นไม่ใช่หรือไรกัน

     

     

     

               ว่าแต่ตัวเขานั้นเป็นสีขาวหรือสีดำกันนะ?

     

     

               “เบียคุรัน..

     

               “อ๊ะ! ขอโทษทีฉันเหม่อไปหน่อย มีอะไรเหรอสึนะโยชิคุง ดึงสติตัวเองกลับมาปัจจุบันยามได้ยินเสียงที่เจือความคุกกรุ่นเรียกชื่อตน ทำไมถึงดูหงุดหงิดทุกครั้งที่อยู่กับเขากันนะ

     

               “นายไม่ตอบคำถามฉัน

     

               อา นี่เผลอจมอยู่กับความคิดนานขนาดไหนกัน ถึงไม่ได้ยินเสียงรอบข้างตัวเอง หืม ไหนลองถามใหม่สิ?”

     

               สึนะโยชิกระพริบตาสามสี่ครั้ง พอไม่ได้ดื่มกาแฟก็รู้สึกหนักตาจนแทบไม่ไหว คิดว่าพวกมันมีจุดประสงค์อะไรที่ทำแบบนี้

     

               “ตอบยากนะ แต่ธรรมชาติของมาเฟียก็ต้องเป็นการแสวงหาพลังอยู่แล้ว มือคลำถาดไปมาหมายจะหยิบมาร์ชเมลโล่กินก็พบแต่ความว่างเปล่า จึงได้แต่นั่งเลียไอซิ่งที่ติดปลายนิ้วแทน แล้วถ้าพูดอย่างนั้นแปลว่าตัวการจะเป็นแฟมิลี่ไหนก็ได้ไม่เว้นกระทั่งวองโกเล่หรือเจสโซ

     

               “วองโกเล่ไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า.. ให้ตาย ปวดหัวจนแทบระเบิดอยู่แล้ว สึนะโยชิมองเห็นคนตรงหน้ากำลังพูดอะไรบางอย่างแต่มันช่างเลือนลางเหลือเกิน กว่าจะรู้ตัวสติเขาก็ดับวูบไปเสียแล้ว

     

               ยามาโมโตะ ทาเคชิ อาสาเป็นคนมารับผู้เป็นบอสกลับปราสาทวองโกเล่เนื่องด้วยปัจจัยหลายอย่างผนวกกับอยากเห็นที่อู้งานประจำของเพื่อนสนิทสมัยเด็ก ทั้งยังนึกถึงใบหน้าเรียบนิ่งที่ได้แต่พูดอะไรไม่ออกหากเจอเขาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสนุกอยู่หน่อยๆ ร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีดำโปรยยิ้มแพรวพราวแก่สาวๆที่เดินผ่านจนมองเหลียวหลัง เหลือบเห็นร่างคุ้นตาเรือนผมสีน้ำตาลนั่งอยู่กับพันธมิตรผู้แผ่ออร่าขาวจนแสบตา ในใจที่กำลังคิดหาวิธีทำให้อีกฝ่ายตกใจก็พลันต้องปัดทิ้งไปกระทันหันยามเห็นร่างของผู้เป็นนายที่อยู่ดีๆก็ทรุดลงไปต่อหน้าต่อตา

     

               “สึนะ!” เผลอหลุดเสียงตะโกนจนคนในร้านหันมามอง ยามาโมโตะเมินคู่สนทนาของเจ้าของชื่อ พลางก้มลงสำรวจอีกฝ่ายอย่างละเอียด จนเมื่อรู้ว่าแค่หลับไปก็เผลอถอนหายโล่งอก เป็นแบบนี้ทุกที.. ฝืนตัวเองเกินไปจนร่างกายทนไม่ไหว คราวนี้คงได้บทเรียนบ้างแล้ว นึกพลางคว้าคนที่นอนฟุบโต๊ะขึ้นขี่หลังก่อนจะกล่าวลาแขกของบอสไปอย่างมีมารยาท ไม่ทันได้สังเกตุเห็น ดวงตาสีอเมทิสต์ที่มืดทึบลงด้วยความรู้สึกหลากหลายยามมองร่างของนภาที่ถูกพาออกไป

     

               “ปล่อยไว้ไม่ได้แล้วสิ...

     

     

     

     

     

               เพราะอาการเหนื่อยล้าสะสมบวกกับความเครียดที่รุมเร้าทำให้สึนะโยชิหลับไปถึงสามวันเต็ม เดือดร้อนจนเหล่าผู้พิทักษ์ทั่วโลกต้องเดินทางกลับมาเฝ้าไข้และรักษาการณ์แทนบอส ไม่เว้นกระทั่งนักฆ่าอันดับหนึ่งผู้เป็นครูสอนพิเศษนภาแห่งวองโกเล่ ยามลืมตาตื่นก็อดตกใจไม่ได้ที่เห็นทุกคนพร้อมเพรียงกันขนาดนี้ จนต้องเอ่ยปากขอโทษทุกคนที่ทำให้ลำบากเพราะเรื่องไม่เรื่องของตัวเอง

     

               “ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกน่า นานๆทีพักบ้างก็ไม่เสียหายหรอก ซาซางาวะ เรียวเฮ เอ่ยปลอบประโลมคนที่กล่าวโทษตัวเองพร้อมด้วยใบหน้าเห็นด้วยต่อคำพูดนั้นของเหล่าผู้พิทักษ์

     

               สึนะโยชิผงกหัวรับ การได้นอนพักก็ทำให้เขามีเรี่ยวแรงขึ้นมาจริงๆ รู้ดีเลยว่าฝืนตัวเองมากเพียงไหนกัน คอแห้งผากทั้งที่ดื่มน้ำไปมากโขตอนตื่น แรมโบ้เล่าให้ฟังว่าช่วงที่เขาหลับไป วาเรียได้เดินทางมาที่ปราสาททั้งยังอาละวาดวุ่นวายจนฮิบาริฟิวส์ขาดไล่ขย้ำเรียงคนอีก แอบเสียดายที่ไม่ได้เห็นซันซัสสู้กับฮิบาริแต่พอเห็นร่องรอยความเสียหายทั้งปราสาท ที่จนป่านนี้ก็ยังซ่อมแซมไม่เสร็จจนได้แต่ใช้ภาพมายาแก้ขัดไปก่อนก็พอจะเดาเรื่องราวได้ กลัดกระดุมคอพลางดึงเนคไทขึ้นสูง ได้เวลาทำงานเสียที...

     

               “แปลกนะ น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นโดยสายตายังไม่ละจากเอกสารในมือราวกับต้องการทวนย้ำอีกครั้งให้แน่ใจ

     

               “ใช่ไหมล่ะ ทั้งที่ก่อนหน้านี้อย่างกับเป็นหมาบ้าล่าเนื้อแท้ๆ ทำไมอยู่ดีๆถึงเงียบหายไปกัน ยามาโมโตะเสริมพร้อมกับชี้ข้อมูลที่อยู่ในเอกสารให้โกคุเดระที่เอ่ยถามอย่างสงสัยดู

     

               “เป็นไปได้ไหมที่พวกมันจะมีจุดประสงค์อื่น สึนะโยชิที่นั่งอยู่กับโต๊ะทำงานเกริ่น

     

               “เรื่องแค่นี้ก็หัดคิดเองสิเจ้าห่วย

     

               “รีบอร์น!” ชายหนุ่มกัดฟันอย่างหมั่นเขี้ยว ชอบทำเหมือนเขาเป็นเด็กยังไม่โตอยู่เรื่อย น่าหงุดหงิดจริงๆ ทว่าชายร่างสูงในชุดสูทสีดำกับหมวกใบโปรดกลับไม่โต้ตอบ ใบหน้าเคร่งขรึมนิ่งสนิทหากแต่ดวงนั้นฉายความกังวลอย่างเห็นได้ชัด

     

               เพราะอยู่ด้วยกันมาตลอดถึงรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังมีเรื่องหนักใจ...

     

     

               “ทั้งสองคนช่วยออกไปก่อนที ฉันมีเรื่องจะคุยกับรีบอร์น ไม่รอให้เสียเวลามือขวาและมือซ้ายทั้งสองก็ขานรับคำสั่งแล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งบุคคลทั้งสองไว้ด้วยกัน

     

               “ฉันไม่ไว้ใจมัน

     

               “ใคร?” ประโยคสั้นๆที่โพล่งมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยสร้างความฉงนให้คนฟังยิ่งนัก สึนะโยชิมองผู้เป็นครูพิเศษขยับปีกหมวกกดต่ำจนบังดวงตา

     

               “เบียคุรัน เจสโซ

     

     

     

     

     

               ร้านกาแฟยังคงอบอุ่นเหมือนอย่างเคย เสียงเพลงทำนองหวานดังคลอเบาเป็นเอกลักษณ์แทรกด้วยกระดิ่งหน้าประตูที่ดังรับแขกผู้มาเยือน ยามเผยเห็นร่างของคนมาใหม่ ชายหนุ่มเจ้าของรอยสักใต้ตาก็เผยยิ้มกว้างจนตาหยี

     

               “กลับมาแข็งแรงแล้วสินะ เป็นห่วงแทบแย่แน่ะ มาร์ชเมลโล่ยังคงถูกสั่งมากินทุกครั้งที่พบเจอ ใบหน้าคมเข้มเอียงคอมองคนที่เดินมานั่งนิ่งๆหมายรอฟังสิ่งที่วองโกเล่ต้องการพูด จริงสิ ฉันยังไม่ได้ให้เขาเสิร์ฟกาแฟนะ กลัวมันหายร้อนก่อนสึนะโยชิคุงมา

     

               “ไม่เป็นไร ตอบปัดอย่างไม่ใส่ใจนัก พอดีวันนี้อยากกินโกโก้

     

     

               เบียคุรันยอมรับว่าวันนี้เขาค่อนข้างอารมณ์ดีกว่าปกติ ยามที่คนเป็น caffein addict ยอมเปลี่ยนมาลองโกโก้ตามที่เขาพยายามยุแยงอยู่หลายครั้ง อีกทั้งเจ้าตัวยังเป็นคนเอ่ยปากนัดเขามาเจอหลังจากที่ไม่ได้พบหน้ากันในรอบหลายวันมานี้ก็พลอยให้ชายหนุ่มเส้นผมขาวพิสุทธิ์แย้มยิ้มสุขใจ

     

               “ช่วงที่ฉันไม่อยู่มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นหรือเปล่า?”

     

               “หมายถึงเรื่องไหนล่ะ..? ถ้าเรื่องที่ฉันคิดถึงเธอก็ตลอดเวลา

     

               “แค่กๆๆ!”

     

               รสหวานปนขมแทรกขึ้นโพรงจมูกจนสำลัก สึนะโยชิกุมปลายจมูกที่แดงจัด หยาดน้ำตาเอ่อคลอเบ้า ยังคงแสบจมูกไม่หาย มือเรียวคว้าทิชชู่ที่อีกคนส่งให้อย่างไวๆ ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะปรับจังหวะหายใจให้กลับมาเป็นปกติ ส่วนฝ่ายตัวการก็กลับทำสีหน้าระริกระรี้ไม่ได้รู้สึกผิดแต่อย่างใด

     

               “ฮ่าๆ ล้อเล่นน่า หลุดเสียงหัวเราะดังลั่นร้าน ก่อนจะเปลี่ยนมาเคร่งขรึมทันควันจนคนฟังตามอารมณ์แทบไม่ทัน ดูเหมือนจิสโรเนโรจะมีปัญหาภายใน

     

               “ความขัดแย้งงั้นเหรอ?” แฟมิลี่เก่าแก่ที่มีประวัติยาวนานพอๆกับวองโกเล่ย่อมไม่มีใครไม่รู้จัก

     

               “ไม่ใช่หรอก เบียคุรันแย้ง นิ้วเรียวดีดมาร์ชเมลโล่ที่ตั้งอยู่ให้ล้มไม่เป็นท่า มีคนทรยศ

     

               แล้วนายล่ะ?”

     

               “หืม..ชายหนุ่มเท้าคางยิ้มรับส่งเสียงในลำคอ

     

               “จะไม่ทรยศฉันใช่ไหม

     

               เบียคุรันยิ้ม.. สบมองเจ้าของนัยน์ตาสีหม่นด้วยความรู้สึกหลากหลาย

     

     

               นั่นสินะ......

     

     

     

     

               “ฉันมีข้อเสนอ เสียงทุ้มเริงร่าเรียกความสนใจเหล่าผู้คนที่ต่างนั่งระแวงกันภายใต้ความเงียบงัน

     

               “หุบปากซะเจสโซ แกคิดจะปั่นหัวอะไรพวกเราอีก ชายวัยกลางคนตอบปัดอย่างรำคาญ

     

               “อยู่นิ่งๆไปซะไม่มีใครเชื่อแกทั้งนั้นแหละ อีกคนกล่าวต่อ

     

               “ก็แค่ข้อเสนอน่า ฉันไม่ได้บังคับพวกนายซะหน่อย พายมือออกขณะใช้วาทาศิลป์หว่านล้อมผู้คน

     

               “ลองพูดมาสิ หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในห้องเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเคร่งขรึม หล่อนดูภูมิฐานทว่ากลับกระหายอำนาจมากที่สุด

     

               “คิดจะเชื่อใจคนเจ้าเล่ห์แบบมันหรือไง ชายแก่ที่นั่งมองเหตุการณ์มาตลอดเอ่ยเตือน อย่าลืมจุดประสงค์ของเราตอนนี้สิ

     

               ทุกคนในที่นี้ต่างตระหนักถึงจุดประสงค์ตนเองดี... การอยู่ภายคุ้มครองของวองโกเล่ เกราะกำบังยิ่งใหญ่คุ้มกะลาหัวที่จะช่วยให้แฟมิลี่เล็กๆได้มีหน้าตาในวงการมาเฟีย

     

               สังคมปลาใหญ่กินปลาเล็ก ยามนี้ปลาเล็กจึงต้องหันไปพึ่งใบบุญเปลือกหอยใบใหญ่...

     

               ทว่าต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ หนอยู่รอดที่จำยอมทิ้งศักดิ์ศรี รอคอยเวลาที่ตนจะเติบใหญ่แล้วจึงทิ้งเปลือกหอยให้เน่าตาย การตลบหลังที่เห็นกันจนชินชา

     

               “ไม่เห็นต้องทำเรื่องยุ่งยากเลย เบียคุรันส่ายหน้าพลางถอนหายใจ ตามไม่ทันความคิดของพวกขี้ขลาดจอมเล่ห์กลจริงๆ ในเมื่อมารวมตัวกันเยอะขนาดนี้ ทำไมไม่ร่วมมือชั่วคราวช่วยกันฆ่าวองโกเล่เลยล่ะ? ไม่ต้องคอยก้มหัวให้ใคร แถมขึ้นเป็นหนึ่งในวัฏจักร ผู้โค่นล้มตำนานสี่ร้อยปี

     

               คำพูดลอยๆของชายหนุ่มไร้การตอบรับ แต่ในแววตาที่ฉายชัดความกระหายอำนาจของคนเหล่านั้นก็ทำให้เจ้าของรอยสักใต้ตาแย้มยิ้มกว้างอย่างครื้นเครง แต่ใครกันนะ.. เป็นที่หนึ่ง

     

               การปลุกปั่นความโลภในตัวคนให้ขาดสัมปชัญญะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเบียคุรัน ไม่นานเกินรอโศกนาฏกรรมละเลงเลือดก็ดำเนินขึ้นเคล้าเสียงหัวเราะสะใจของผู้รับชม

     

               ภาพดวงตาสีหม่นที่มองตรงมาอย่างไร้ความหวาดหวั่นฉายชัดในความทรงจำ เบียคุรันถือวิสาสะจับมือเย็นเฉียบของคนตรงหน้ามาแนบริมฝีปากตน จุมพิตบางเบา...

     

     

               “แค่เธอเท่านั้นที่ฉันจะไม่มีวันทรยศเด็ดขาด

     

     

               สึนะโยชิทอดมองชายหนุ่มเรือนผมขาวพิสุทธิ์ด้วยแววตาอ่อนแสง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เผลอใจไปกับคนๆนี้

     

     

     

     

     

               “รุ่นที่สิบแย่แล้วครับ! ฐานทัพย่อยของวองโกเล่ทั่วโลกถูกทำลาย ตอนนี้ศัตรูกำลังเคลื่อนพลบุกมาโจมตีปราสาท!!”

     

               “ส่งสัญญาณฉุกเฉิน เรียกทุกหน่วยให้มารวมกันที่ปราสาทวองโกเล่เดี๋ยวนี้ ขาเรียวก้าวฉับๆขณะสั่งการมือขวาคนสนิทให้ถ่ายทอดคำสั่ง ใบหน้าเรียบนิ่งฉายแววโกรธแค้นอย่างไม่มีปิดบัง สึยะโยชิกำลังโกรธมาก...

     

               ใครหน้าไหนบังอาจมาทำร้ายลูกน้องของเขา!!

     

               “เชเดฟอพยพคนเจ็บและพวกที่สู้ไม่ได้ไปฐานทัพลับ หน่วยลอบสังหารวาเรียให้แทรกแซงทัพศัตรูทำลายจากภายใน ผู้พิทักษ์ทุกคนมากับฉันเราจะเป็นแนวหน้าป้องกันการโจมตี ถุงมือถูกสวมพร้อมกับเปลวไฟทุกลุกโชนบนหน้าผาก ดวงตาสีส้มสุกสกาวกับเหล่าผู้พิทักษ์ทั้งหกที่พร้อมปกป้องแฟมิลี่ตน ก้าวเดินไปอย่างกล้าแกร่ง

     

               “พวกมันมาจากแฟมิลี่ไหน

     

               “มิลฟิโอเล่ แฟมิลี่ตั้งใหม่จากการรวมกันของจิสโรเนโรกับแจสโซ

     

     

               กึก..!

     

               จังหวะเดินชะงักลง สึนะโยชิหันไปสบตาคนพูดอีกครั้งเพื่อยืนยันคำตอบ  อะไรนะ...

     

               ฮิบาริมีสีหน้าแบ่งรับแบ่งสู้ จากที่ฉันไปสืบมาดูเหมือนการรวมกันครั้งนี้จิสโรเนโรจะไม่เต็มใจ ดวงตาสีดำสนิทมองสบคนที่มีสีหน้าตื่นตระหนกอย่างปิดไม่มิด แจสโซอาศัยโอกาสนี้ใช้งานคนทรยศกุมจุดอ่อนของจิสโรเนโร

     

               “งั้นก็แปลว่าพวกมันทำลายสัญญาพันธมิตรและโจมตีเรางั้นสิ! เวรเอ้ย!!” โกคุเดระสบถอย่างหัวเสีย

     

               ความลังเลปรากฏในดวงตาสีส้มจนผู้พิทักษ์ทุกคนรับรู้ได้ เปลวไฟดับลง สึนะโยชิลืมตาขึ้นอีกครั้งเผยนัยน์ตาสีน้ำตาลหม่นลุ่มลึก อาจไม่ใช่ก็ได้.. ทางที่ดีเราลองคุ....

     

     

               บึ้ม!!!

     

     

               แรงระเบิดจากด้านหลังกลบคำพูดของนภาไปหมดสิ้น เหล่าผู้พิทักษ์รีบออกมาเตรียมอาวุธพร้อมโจมตีเพื่อปกป้องบอส ยามเมื่อควันจางลงปรากฏร่างคนที่บุกเข้ามา ร่างกายของสึนะโยชิก็แข็งทื่อจนทำอะไรไม่ถูก

     

               บิงโก เจอสึนะโยชิคุงแล้ว

     

               ในสายตาของอีกฝ่ายดูไม่ได้สนใจผู้พิทักษ์วองโกเล่ที่จู่โจมเขาพร้อมๆกันสักนิด ยังคงมองตรงมา.. จับจ้องไม่ละสายตา รอยยิ้มเย็นฉีกกว้าง ทันใดนั้นลางสังหรณ์เขาก็ร้องเตือนถึงบางสิ่งบางอย่าง ไม่นะ.. ไม่... สึนะโยชิพยายามส่งเสียงห้ามเพื่อนพ้องของตน ลำคอตีบตันจนหายใจไม่ออก ใบหูอื้ออึงดวงตาพร่ามัว ภาพที่มองเห็นตัดสลับไปมาแทรกความคิดเจ็บปวดราวกับสมองจะแตกเป็นเสี่ยงๆ... หยุดนะ!”

     

               ทันทีที่เสียงเขาไปถึง ร่างของเหล่าผู้พิทักษ์ก็ล้มลงไปกองกับพื้นเสียแล้ว สึนะโยชิมือสั่นจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ กลิ่นคาวเลือดรุนแรงจนแสบจมูก ใบหน้านองน้ำตาอย่างไม่อาจอดกลั้น มองหยาดเลือดที่สาดกระเซ็นใส่ทั้งตัวเขาและเบียคุรัน.. เขาเคยเห็นคนตายไม่นับถ้วน แต่ไม่.. ไม่ใช่กับเพื่อนๆ ไม่ใช่คนที่เป็นครอบครัวของเขา..

     

               ปัง!

     

               กระสุนปืนเจาะทะลุหน้าท้องแบนราบ สึนะโยชิทรุดลงกับพื้นพลางหายใจหอบ ทิวทัศน์ที่เห็นราวกับเป็นภาพจากสัญญาณทีวีพังๆ

     

               ปัง!ปัง!ปัง!

     

               ไม่ใช่เขาแต่กลับเป็นคนที่ยิงสึนะโยชิก่อนหน้านี้ที่กลายเป็นร่างไร้วิญญาณเสียเอง ชายหนุ่มเงยหน้ามองตามทิศของกระสุน เขาเห็นเบียคุรันในสีหน้าที่ไม่เห็นมาก่อน ความโกรธแค้นที่ราวกับจะฆ่าคนได้ทั้งโลก ใครให้แกยิงสึนะโยชิคุงกัน!!”

     

               เบียคุ..อึก

     

               มีคำถามในหัวเต็มไปหมด ทำไม ไหนว่าจะไม่ทรยศกัน? ความผิดหวังความเสียใจรุมเร้าจนกลายเป็นความโกรธแค้น ร่างกายอาบเลือดผุดยืนด้วยสภาพโงนเงน หลบการโจมตีและวิถีกระสุนที่มิลฟิโอเล่โจมตี เขาตวัดขาฟาดคู่ต่อสู้ทำการหักคอและแย่งอาวุธยิงเจาะกระโหลกพวกที่เหลือจนหมดสิ้น

     

               การฆ่าคนโดยไม่ลังเลครั้งแรก..

     

               จ่อกระบอกปืนใส่หน้าคนที่ยืนมองอยู่นิ่งๆ กดเหนี่ยวไกกลับไร้ซึ่งกระสุน แค่นหัวเราะกับตัวเองเบาๆก่อนจะโยนปืนทิ้ง เหมือนกับตอนนั้นไม่มีผิดเลย

     

               พบกันในห้องนองเลือดกับปืนพกที่ไร้กระสุน.....

     

               ทำไมถึงทรยศฉัน

     

               ฉันไม่เคยทรยศเธอ

     

               สึนะโยชิหัวเราะ นึกสมเพชตัวเองเหลือเกิน ต้องการอะไรกันแน่

     

               ในตอนนั้นภายในดวงตาของเบียคุรับกลับวูบไหวเพียงครู่เดียวก่อนจะกลับมานิ่งสนิทดังเดิม เธอ..

     

     

     

     

              

               ทำไมถึงมาเป็นมาเฟีย ทั้งที่เกลียดซะขนาดนั้นล่ะ

     

               นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มสบมองคนถามนิ่งจนอีกฝ่ายต้องหลบสายตาด้วยความรู้สึกประหลาดภายในอก เพื่อให้มีพลังมากพอ ที่จะปกป้องพวกนั้น..

     

               งั้นตอนนี้ก็ไม่จำเป็นแล้วนี่

     

               นั่นสินะ.. เหม่อมองผู้คนเดินสัญจรไปมา บางทีฉันคงไม่สิทธิ์โหยหาชีวิตธรรมดา ทันทีที่ตัดสินใจเลือกทางนี้แล้วล่ะมั้ง

     

     

     

     

               เลิกเล่นลิ้นสักที สึนะโยชิตวาดกร้าว ถ้าอยากได้วองโกเล่ฉันก็จะทำลายมันทิ้ง ถ้าอยากได้ชีวิตฉัน ฉันคนนี้นี่แหละที่จะเอาชีวิตแกไป!!”

     

               เปลวไฟนภาลุกโชนทั่วร่างผู้พิทักษ์ดั่งพิธีส่งวิญญาณ ดวงตาสีหม่นสะท้อนแสงเปลวไฟที่โหมกระหน่ำบนข้อนิ้วพลังมหาศาลที่ถูกปลดปล่อย เสียงปริแตกดังขึ้นสิ้นเสียงนั้นเปลวไฟก็ดับหายไป พร้อมกับร่างนภาแห่งวองโกเล่และผู้พิทักษ์ที่หายไปโดยไม่หลงเหลือร่องรอยใดๆทิ้งไว้เลย...

     

     

     

               ยามราตรีมืดมิดภายใต้ช่วงเวลาแห่งการหลับใหลค่ำคืนอันเงียบสงบ ในมุมหนึ่ง..เสียงฝีเท้าย่ำจังหวะรัวเร็วดังแทรกความเงียบ เสียงหอบระรัว ความอลหม่านเกิดขึ้นภายใต้ความเงียบงัน

     

                "มันไปทางนั้นเสียงของใครคนหนึ่งตะโกนบอกก่อนร่างในชุดสูทพร้อมอาวุธจะพากันกรูไปตามทิศราวกับมดงาน ความวุ่นวายค่อยๆแผ่วลง.. แผ่วลง....

     

               จนสุดท้ายก็เงียบสงัด

     

                ร่างทั้งร่างทรุดลงแนบผนัง ลมหายใจหอบยังคงรุนแรงไม่ทุเลา ฝ่ามือกดแน่นบริเวณหน้าท้องที่เกิดแผลฉกรรจ์จากกระสุน บาดแผลมากมายจนราวกับกายนั้นถูกย้อมทับด้วยโลหิต

     

              กึก.. กึก...

     

               ลมหายใจขาดห้วง มีใครบางคนกำลังใกล้เข้ามา.. พยายามกัดฟันหยัดกายขึ้นยืนทว่าความจริงกลับขยับไม่ได้แม้ปลายนิ้ว เสียเลือดเยอะเกินไป เขาตระหนัก ดวงตาพร่าเลือนพยาพยามฝืนรั้งอย่างสุดความสามารถที่มี ทว่าสุดท้ายยามเมื่อปลายเท้านั้นเยื้อย่างมาประชิดตัวเขาก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งสติได้อีกต่อไป.......

     

               เบียคุรันโอบอุ้มคนบาดเจ็บไว้แนบอก ลมหายใจแผ่วบางทำเอาใจเขากระตุกวูบหวาดหวั่นว่าคนในอ้อมแขนจะเป็นอะไรไป ใบหน้าคมโน้มลงต่ำแนบริมฝีปากอย่างอ่อนหวาน พรมจูบทั่วใบหน้าอย่างรักใคร่

     

               ฉันจะปลอดปล่อยเธอให้เป็นอิสระเอง...

     

               ไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้ง เพียงแค่อยู่ข้างกายเขา ไม่ว่าอะไรก็จะหามาให้ได้ทุกสิ่ง เป็นนกน้อยในกรงของเขาเพียงผู้เดียว.....

     

               

     

        

     

     

     

     

     

    Talk with (FONG)Writer    

     

        หนูเบียจ้ะ.. คือคำว่าอิสระมันไม่ใช่แบบนั้นนะ (ฮ่า)

       สรุปแล้วเนื้อเรื่องในตอนนี้ไม่เกี่ยวกับคำโปรยหรือชื่อเรื่องใดๆเลยค่ะ *ปาดน้ำตา*

     

        ขอโทษที่หายไปนานนะคะพอดีเข้าช่วงสอบแล้วเลยไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่

        ตอนหน้าเป็นตอนพิเศษขอบคุณยอดเฟบเกินสองร้อยท่านนะคะ

     

        สึนะโยชิเป็นโรค caffein addict หรือโรคติดกาแฟ เสพติดคาเฟอีนซึ่งมีผลเสียต่อสุขภาพนั่นเองค่ะ

     

     

    ด้วยรัก

    ฟง จิ้งจอกสีชาด

     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×