คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : 10027 ยามวิหกขับขาน
ยามราตรีมืดมิดภายใต้ช่วงเวลาแห่งการหลับใหลค่ำคืนอันเงียบสงบ
ในมุมหนึ่ง..เสียงฝีเท้าย่ำจังหวะรัวเร็วดังแทรกความเงียบ เสียงหอบระรัว
ความอลหม่านเกิดขึ้นภายใต้ความเงียบงัน
"มันไปทางนั้น” เสียงของใครคนหนึ่งตะโกนบอกก่อนร่างในชุดสูทพร้อมอาวุธจะพากันกรูไปตามทิศราวกับมดงาน
ความวุ่นวายค่อยๆแผ่วลง.. แผ่วลง....
จนสุดท้ายก็เงียบสงัด
ร่างทั้งร่างทรุดลงแนบผนัง
ลมหายใจหอบยังคงรุนแรงไม่ทุเลา ฝ่ามือกดแน่นบริเวณหน้าท้องที่เกิดแผลฉกรรจ์จากกระสุน
บาดแผลมากมายจนราวกับกายนั้นถูกย้อมทับด้วยโลหิต
กึก.. กึก...
ลมหายใจขาดห้วง มีใครบางคนกำลังใกล้เข้ามา.. พยายามกัดฟันหยัดกายขึ้นยืนทว่าความจริงกลับขยับไม่ได้แม้ปลายนิ้ว
เสียเลือดเยอะเกินไป เขาตระหนัก ดวงตาพร่าเลือนพยาพยามฝืนรั้งอย่างสุดความสามารถที่มี
ทว่าสุดท้ายยามเมื่อปลายเท้านั้นเยื้อย่างมาประชิดตัวเขาก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งสติได้อีกต่อไป.......
สึนะโยชิเกลียดฤดูหนาว....
ไอเย็นที่กระทบใบหน้าจนชา ร่างกายที่ไม่ขยับดังที่คิด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนรบกวนจิตใจเขาจนพาลหงุดหงิดไปหมด
กระชับมือซุกกอดอกหาความอบอุ่นขณะกัดฟันรั้นห้ามร่างกายให้หายสั่นเทา
ดวงตาสีเปลือกไม้ทอดมองหิมะสีขาวโพลนที่โปรยลงมา ตกกระทบแล้วจางหาย
ราวกับเป็นเพียงภาพลวงตา เฉกเช่นตัวตนของชายหนุ่ม...
ย่ำเท้าเดินไปตามทางอย่างไร้จุดหมาย
อยากหายไปที่ไกลๆสักแห่งที่แม้ตัวเองก็ไม่เคยไปถึง
หลีกหนีภาระหน้าที่บนบ่ากลับสู่วิถีเดิมของตน
แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงพ่นลมหายใจพลางปลอบตัวเองว่าไม่เป็นไรตราบใดที่ยังมีพวกพ้องเคียงข้างตน
กรุ้งกริ้ง...
เสียงกระพรวนอันเล็กบนบานประตูไม้ส่งเสียงเบาๆยามมีแขกมาเยือน
ความอบอุ่นของฮีตเตอร์กับสถานที่อบอวลด้วยกลิ่นกาแฟหอมกรุ่น
ยามอากาศหนาวเหน็บกรีดแทง
ร้านเล็กๆนี้ช่างอบอุ่นดั่งกับเป็นบ้านหลังน้อยที่รอคอยการหวนกลับ
แก้วกาแฟวางลงรับผู้มาเยือน... ล่วงรู้การมาของลูกค้าขาประจำ
ควันจางๆลอยคละคลุ้งพาให้ผ่อนคลายจนลืมความเหน็ดเหนื่อยชั่วขณะ
สึนะโยชิผ่อนลมหายใจ เปลือกตาเลื่อนลงปิดลูกแก้วสีสวยยามยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม
“เจอเธออีกแล้วนะ”
สึนะโยชิปรายตาสบอเมทิสต์คู่คม
เมื่อพื้นที่ด้านหน้าที่มองเห็นทิวทัศน์ภายนอกกลับถูกบดบังด้วยใบหน้ายิ้มแย้มของแขกไม่ได้รับเชิญ
หาใช่มิตรสหาย แม้คนรู้จักก็ไม่อาจเป็น
เพราะต่างไม่เคยพูดคุยกัน..เพียงพบเจอทุกคราในร้านกาแฟเล็กๆแห่งนี้
เลื่อนสายตากลับมาวางที่แก้วกาแฟหอมกรุ่มไม่คิดเอ่ยทักทายหรือสนใจคนตรงหน้า ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไป
“กาแฟงั้นเหรอ ฉันว่าเธอเหมาะกับโกโก้มากกว่านะ”
เป็นคนช่างจ้อเสียกระไร ยามถูกเมินก็เรียกร้องความสนใจช่างคล้ายนิสัยเด็กซะจริง
แก้วกาแฟว่างเปล่าวางลงอย่างเชื่องช้าขัดกับในใจที่กำลังครุกกรุ่นยามร่างที่ต้องการผ่อนคลายกลับถูกเสียงรื่นรมย์ของคนตรงหน้าแทรกขึ้นมา
ไม่เอ่ยตอบใดๆเพียงเอนกายพิงพนัก ในขณะที่เรือนกายขาวสะอาดตาแย้มยิ้มหวานเอียงคอไปมาพลางยกมือเรียกเจ้าของร้าน
“ขอมาร์ชเมลโล่จัมโบ้เซ็ต” เปลี่ยนเรื่องง่ายดายราวกับมีรีโมตคอนโทรล...
รอบกายกลับมาสงบสุขอีกครั้งเมื่อคนช่างคุยตรงหน้าถูกทำให้ปากเต็มไปด้วยของหวานสุดโปรดของตัวเอง
ต่างฝ่ายต่างจมอยู่กับความคิดตัวเองไม่มีสิ้นสุด
ปล่อยเวลาให้ไหลผ่านเพียงช่วงเวลานี้ที่ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ มือเรียวที่มักจับปากกาเซ็นเอกสารเท้าคางมองผู้คนผ่านไปมาเลื่อนลอย
ท้องฟ้าสีครึ้มและหิมะที่หยุดตกเป็นสัญญาณเตือนว่าเวลาพักผ่อนอันน้อยนิดของเขาหมดลงเสียแล้ว
สึนะโยชิถอนหายใจอ่อนแรงพลางยันกายลุกเดินออกจากร้านโดยไม่ลืมวางเงินที่มากเกินราคากาแฟเพียงหนึ่งแก้วไปโขอย่างเคย
“วันนี้ก็รีบร้อนเหมือนเคยเลยนะ”
สึนะโยชิไม่คิดต่อบทสนทนา อันที่จริง..
เขาไม่ได้ต้องการเสวนากับอีกฝ่ายตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
เรือนกายสูงโปร่งกับแผ่นหลังตั้งตรงตระหง่านเพียงเดินจากไปโดยไม่คิดเหลียวหลังกลับ
ระหว่างเดินทอดน่องไปตามฟุตบาตก็ลองยกนาฬิกาเรือนแพงขึ้นมาดูเวลา
เป็นสิ่งที่มักทำทุกครั้งยามเดินออกมาจากสถานที่พักผ่อน สองทุ่มกับอีกสี่สิบห้านาที
อา... วันนี้ได้พักไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ ดวงตาเปลือกไม้เรียบนิ่งทอดมองรถลีมูซีนสีดำสนิทอย่างเฉื่อยชา
คนขับรถลงมาเปิดประตูพลางโค้งคำนับให้อย่างรู้งานในขณะที่เจ้าตัวก็เดินขึ้นไปนั่งอย่างว่าง่าย
ไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไปรถหรูคันยาวก็เลี่ยงออกนอกเมืองเข้าสู่เขตพื้นที่ใหม่
เหลือบมองทิวทัศน์คุ้นเคยที่เห็นมาตลอดสิบปีกว่าก็อดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
โยนความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป ดวงตากลับมาฉายแววมั่นคง
อันเปี่ยมด้วยพลังอำนาจอันน่าเกรงขาม หน้ากากแห่งวองโกเล่เดซิโม่ถูกสวมทับอีกครั้ง
ถึงเวลาทำงานแล้วสิ...
ปราสาทวองโกเล่ยังคงวุ่นวายเหมือนทุกครั้งที่ได้เห็น
เอกสารที่กองพะเนินจนล้นโต๊ะทั้งที่เจ้าตัวเพิ่งเคลียร์เสร็จไปก่อนหน้านี้ทำให้อดไม่ได้ที่จะนวดขมับอีกครั้ง
มือเรียวดันแว่นที่ตกยามก้มหน้าเซ็นเอกสารกลับเข้าที่
ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่สายตาแย่ลงจนต้องพึ่งอุปกรณ์ โกคุเดระ...
มือขวาที่เป็นเพื่อนรักสมัยเด็กมักบ่นอยู่บ่อยๆว่าให้เขาดูแลตัวเองเสียบ้าง
นึกทีไรก็พลันจุดรอยยิ้มมุมปาก
คนที่มัวแต่ห่วงเขาจนไม่มีเวลาโกนหนวดเคราต่างหากล่ะที่ควรดูแลตัวเอง
ฟังเสียงเข็มนาฬิกากับเสียงขูดขีดเอกสารจนงานที่มีหดหายไปในที่สุด
เงยหน้ามองนาฬิกาเรือนใหญ่นึกสงสัยว่าผ่านมากี่ชั่วยามแล้วกัน ใบหน้าขาวซีดพยักทำความเข้าใจกับตัวเองเบาๆ
“มีเวลานอนชั่วโมงครึ่ง”
กระซิบบอกด้วยเสียงแหบแห้งก่อนจะฟุบกายลงกับโต๊ะอย่างเหนื่อยอ่อน
เพียงชั่วครู่เสียงนาฬิกาที่ตั้งไว้ก็ร้องเตือน เปลือกตาบางเผยดวงตาเปลือกไม้ที่ยังมีเค้าความล้าไม่จางหาย
เวลาทำงานวนมาอีกครั้งทั้งที่ในความคิดเหมือนเพิ่งได้หลับตาไปเพียงวูบเดียว
อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นนั่งบิดขี้เกียจทว่าเสียงเคาะประตูก็ทำให้ความเหนื่อยล้าถูกเก็บซ่อน
เหลือไว้เพียงแต่โครงหน้าของผู้เป็นบอสอันทรงเกียรติ
“รุ่นที่สิบครับ เช้าวันนี้มีกำหนดการประชุมกับกลุ่มมาเฟียใหม่ที่ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นพันธมิตรครับ”
เอกสารรายละเอียดเกี่ยวกับบรรดามาเฟียหน้าใหม่ไม่ต่ำกว่ายี่สิบแฟมิลี่ที่หวังพึ่งใบบุญของวองโกเล่ผู้ยิ่งใหญ่
เจตนาแอบแฝงใครก็ดูออก หากแต่บางครั้งการยอมรับข้อเสนอเพื่อเรียนรู้ศัตรูอย่างใกล้ชิดก็ดีกว่าปล่อยให้อยู่ไกลหูไกลตาจนไม่อาจรู้วันถูกลอบกัด
สึนะโยชิอ่านผ่านๆอย่างไม่สนใจนัก
อย่างไรเสียมือขวาและมือซ้ายของเขาก็ทำหน้าที่ได้ดีเสมออยู่แล้ว
“สถานที่ล่ะ”
“ตึกบริษัทเอ็มไพน์กรุ๊ปครับ เป็นการประชุมในที่สาธารณะความปลอดภัยจากการถูกลอบโจมตีสูง”
“แต่ความเสี่ยงของการที่ข้อมูลจะรั่วไหลก็มีมาก”
มือซ้ายกล่าวเสริม
“ให้จางนินีแฮ็คระบบแล้วตรวจสอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดในตัวอาคาร หากติดตั้งฟังก์ชันดักฟังหรือกล้องไว้ก็ทำให้ใช้การไม่ได้ไปก่อนจนกว่าการประชุมจะเสร็จสิ้น
ส่วนเรื่องระบบรักษาความปลอดให้คงมาตราฐานเดิมไว้
อย่าชะล่าใจเพราะเห็นว่าเป็นที่สาธารณะ” สูดลมหายใจช้าๆ “อย่าลืมสิว่ากำลังเจอกับมาเฟียที่ทำได้ทุกอย่างเพื่ออำนาจ”
“รับทราบ!” โกคุเดระและยามาโมโตะขานรับอย่างแข็งขัน
หลายปีมานี้เพื่อนพวกเขาเติบโตมาเป็นคนที่สุดยอดจริงๆ
“แล้วก็นะ..”
ชั่วขณะที่ทั้งสองจะขอตัวลาไปทำตามคำสั่งของผู้นายก็ต้องชะงักตามเสียงทักเบาๆนั้น
สึนะโยชิลูบใบหน้าไปมาความเคร่งเครียดจางหายเหลือเพียงใบหน้าเรียบนิ่งทอประกายอ่อนแสง
“ขอเวลาฉันอาบน้ำห้านาที”
“ไม่ให้พวกผมเข้าไปจริงๆเหรอครับ”
โกคุเดระถามอย่างเป็นกังวล
ถึงจะรับรองเรื่องความปลอดภัยแต่เขาเองก็ไม่วางใจที่จะปล่อยบอสไว้เพียงลำพัง
แม้เพียงระยะกำแพงกั้น
“คิดว่าฉันคนนี้อ่อนแอจนดูแลตัวเองไม่ได้เลยหรือไง”
โกคุเดระส่ายหน้าพลางโค้งกายต่ำขออภัยในความผิดของตนแล้วหันหลังเดินจากไป
ในขณะที่ผู้เป็นบอสเปิดประตูเรือนใหญ่เข้าห้องประชุมไปอย่างผ่าเผย
ปัง!
สึนะโยชิกวาดตามองรอบห้อง
ผู้เข้าร่วมประชุมจากต่างแฟมิลี่รวมกว่ายี่สิบชีวิตตอนนี้กระจัดกระจายทั่วห้องไปหมด
กลิ่นคาวเลือดเหม็นคละคลุ้งจนหายใจลำบาก หยาดเลือดสีแดงชาดนองทั่วพื้นย้อมห้องนี้ให้เป็นสีแดง
ใบหน้าที่ยังมีสีหน้าหวาดผวาประดับไว้ การสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นในห้องประชุมโดยไม่มีใครรับรู้สักคน
!
โลหะเย็นเยียบแนบขมับ ท่อนแขนแกร่งเกี่ยวรั้งคอเขาจนลมหายใจติดขัด อา ใช่
มีกลิ่นเขม่าดินปืนด้วย.. นึกสงสัยเหมือนกัน หากเขาขัดขืนอีกฝ่ายแล้วหนีไปตอนนี้จะทำอย่างไรกันนะ
แต่ก็ได้เพียงคิดเมื่อคนด้านลดอาวุธในมือลงแล้วเปลี่ยนมาหมุนตัวเขาหันประจันหน้าก่อนจะยันหลังกระแทกกำแพงพร้อมกับใช้ศอกกดลำคอไว้
สึนะโยชิไอโคลกความทรมาณรุมเร้า ทว่าดวงตาคู่คมยังคงฉายแววเรียบสนิท “จะฆ่า... ฉัน อึก รึไง” เสียงขาดห้วงกับลมที่ใกล้หมดกล่าวออกมาทั้งใบหน้ายิ้มเยาะ
อีกครั้งที่ปืนในมือจ่อขมับ เสียงปลดลั่นไกดังขึ้นช้าๆราวนาฬิกานับถอยหลัง
นิ้วเรียวเกี่ยวรั้งลั่นไกปืนหมายคร่าชีวิต
แกร่ก...
เขาพยายามยิ้มแต่ก็เป็นเพียงแค่การกระตุกยิ้มเล็กๆเท่านั้น....
เจสโซแฟมิลี่ได้เข้ามาเป็นพันธมิตรกับวองโกเล่
หนึ่งในผู้ถูกเลือกจากทั้งหมด...
ท่ามกลางความสงสัยข่าวการสังหารหมู่ในวงมาเฟียกลับไม่เป็นที่พูดถึง เพราะเป็นแฟมิลี่เกิดใหม่เลยไม่ได้รับความสนใจหรือเพราะอิทธิพลของวองโกเล่ก็ไม่อาจทราบได้
ถึงจะใคร่รู้เพียงใดก็ไม่มีใครกล้าเอาหัวตัวเองมาเสี่ยงกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแน่
“เธอควรกลับได้แล้วนะ”
เสียงติดล้อเล่นเอ่ยทักคนที่ออกมาอู้งาน “สึนะโยชิคุง”
แก้วกาแฟที่กำลังยกขึ้นดื่มชะงักก่อนจะลดลงพร้อมกับสายตาฉายแววไม่พอใจจากเจ้าของชื่อ
เพียงครู่เดียวก็ยกขึ้นดื่มต่อทำหูทวนลมไปเสียอย่างนั้น
ฝ่ายถูกเมินยังคงยิ้มแย้มอย่างไม่รู้สึกรู้สา “กลับ
กัน เถอะ”
ไม่พูดเปล่าเขย่าโต๊ะสั่นสะเทือนจนคนถูกกวนโวยวายออกมาในที่สุด
“รำคาญน่าเบียคุรัน เลิกทำตัวเหมือนเจ้าพวกนั้นสักทีได้ไหม
แค่นี้ฉันก็ไม่มีเวลาเป็นของตัวเองแล้ว”
“งั้นมาอยู่กับเจสโซดีไหม” อีกฝ่ายเอ่ยตอบทันควัน
“ขอปฏิเสธ”
“เอ๋.. แฟมิลี่ฉันแย่กว่าวองโกเล่ตรงไหนกัน”
ว่าพลางหยิบมาร์ชเมลโล่มาเคี้ยวจนแก้มป่อง
กาแฟหมดแก้วแล้ว สึนะโยชิหยิบเสื้อนอกที่พาดบนตักมาสวมใส่ให้เรียบร้อย
ผุดลุกขึ้นยืนพลางสำรวจร่างกายตัวเองอีกครั้ง “เจสโซยังเป็นแค่แฟมิลี่ตั้งใหม่อย่างน้อยก็ควรขยายฐานอำนาจและรวมกำลังพลให้ได้เสียก่อน”
กล่าวทิ้งท้ายแค่นั้นแล้วเดินจากไปทันที
เบียคุรันทอดสายมองคนที่เดินจากไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย
เงาดำพาดผ่านใบหน้ายามทวนซ้ำคำพูดของอีกคนไปมา
“ขยายฐานอำนาจงั้นหรอ...”
ชายหนุ่มเรือนผมขาวพิสุทธิ์สะบัดหน้าไปมาไล่ความคิด
กัดมาร์ชเมลโล่เข้าปากเต็มแรง หวังให้ความหวานเลี่ยนช่วยไล่ความคิดอันฟุ้งซ่าน
“ไม่เจอกันนานนะครับ งานที่ญี่ปุ่นเป็นไงบ้างครับ”
ใบหน้าที่มักนิ่งสนิทเผยยิ้มบางๆมุมปากเอ่ยทักคนที่เพิ่งกลับมาจากงานที่เขามอบหมายให้ไปดูแล
“เรียบร้อยดี”
“อิจฉาจริงๆผมเองก็อยากไปบ้าง”
พูดพลางหัวเราะเบาๆด้วยรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ “คุณฮิบาริจะอยู่อิตาลีนานไหมครับ”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน มีอะไรหรือเปล่า?”
เอนกายพิงพนักพิงอย่างผ่อนคลาย
“อยากให้ช่วยสืบอะไรนิดหน่อยครับ..”
“มีข้อมูลหรือเปล่า”
มือขาวซีดยกขึ้นเท้าคางพลางสบตากับคนที่นั่งอยู่กับโต๊ะทำงาน
สึนะโยชิถอนหายใจพลางส่ายหน้า ดวงตาฉายแววกังวลที่ซ่อนไว้ไม่มิด “แค่ลางสังหรณ์น่ะครับ”
ชายหนุ่มเรือนผมปีกกาพยักหน้ารับเบาๆ สำหรับวองโกเล่คำว่า ลางสังหรณ์ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเสมอ
ดวงตาทอดมองบอสผู้วัยเยาว์เคยเป็นเพียงคนอ่อนแอจนต้องลากเขามาพัวพันโดยไม่เต็มใจอยู่บ่อยๆ
แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มคนนั้นกลับเติบโตขึ้นมาอย่างสมภาคภูมิจนตัวเขา ฮิบาริ เคียวยะ
ผู้หยิ่งทระนง ยอมโค้งหัวสดุดีแต่ชายผู้นี้
แววอ่อนล้าฉายเห็นชัดจนขนาดคนที่ไม่ได้กลับมานานอย่างเขายังรับรู้ได้
นึกโทษเจ้ามือขวาซ้ายทั้งสองที่รับปากอย่างดีว่าจะคอยดูแลบอสระหว่างที่พวกผู้พิทักษ์คนอื่นกระจายไปทั่วโลกเพื่อดูแลเครือข่ายของแฟมิลี่แต่กลับปล่อยให้คนที่ชอบฝืนตัวเองทำตามใจอยู่เรื่อย
“ซาวาดะคุณควรพั..”
“อ้อ ใช่! ผมลืมไปสนิทเลย”
ไม่ทันที่ผู้พิทักษ์เมฆาจะเอ่ยจบ เสียงลนๆของคนที่เพิ่งนึกเรื่องที่ลืมไปออกก็ดังขัดขึ้นมา
“มีเจรจางานกับแฟมิลี่พันธมิตรที่ Caffe
Florian
เพราะงั้นฝากจัดการงานที่เหลือระหว่างที่ผมไม่อยู่ด้วยนะครับ”
แม้จะเป็นคำขอร้องแต่ก็แฝงด้วยการยัดเยียดให้อีกฝ่ายโดยไม่มีโอกาสปฏิเสธ
เนื่องจากเจ้าตัวทันทีที่พูดเสร็จก็ไม่รีรอรีบเปิดประตูเดินออกไปทันที
ฝ่ายคนที่ได้งานเพิ่มก็ได้แต่ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ
ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอท่าทีแบบนี้ของอีกฝ่ายซะที่ไหนกัน
ใจจริงก็ตั้งใจจะมาทำงานแทนอีกคนอยู่แล้วจึงไม่ได้โกรธเคืองนัก
เวลาผ่านไปก็ทำให้คนใจร้อนไม่ยอมใคร มีเหตุผลกับทุกสิ่งมากยิ่งขึ้น...
ทรุดกายลงนั่งโซฟาตัวยาวอีกครั้งหลังจากผุดลุกยืนมองส่งแผ่นหลังเล็กๆนั้นจนสุดสายตา
หยิบเอกสารในกองมาอ่านพลางๆ พลันนึกฉุกคิดคำพูดของคนที่เพิ่งจากไปขึ้นมาได้ “เจรจางาน? ที่ร้านกาแฟ….?”
“ช่วงนี้แฟมิลี่เล็กใหญ่ทั่วอิตาลีโดนกวาดล้างไปอย่างน่าสงสัย
หาตัวการเบื้องหลังไม่ได้ อีกทั้งก็ไม่รู้จุดร่วมที่กลุ่มมาเฟียถูกทำลายเลย”
คิ้วสีอ่อนขมวดเน้นขณะเพ่งสายตามองข้อมูลบนหน้าจอคอมใต้แผ่นเลนส์แว่นสีเงิน
แก้วเครื่องดื่มส่งควันฉุยวางลงตรงหน้า สึนะโยชิเอื้อมมือยกขึ้นมาจิบ
รสหวานปนขมแผ่ซ่านทั่วปากจนชายหนุ่มชะงัก “โกโก้?” พูดพร้อมมองหน้าตัวการด้วยแววตาแค้นเคือง
“กินคู่มาร์ชเมลโล่อร่อยนะ”
ไม่สนใจบรรยากาศมาคุที่เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลส่งมาทั้งยังยื่นขนมสุดโปรดตัวเองส่งมา
หมายให้อีกฝ่ายลองชิมตามคำเชื้อเชิญนั้น
แต่ใบหน้าเรียบนิ่งที่ส่งมาก็ทำให้คนยิ้มแป้นแล้นต้องล้มเลิกความคิดเสีย “ฉันให้โชจังสืบแล้วล่ะ ดูเหมือนคราวนี้วินดีเช่จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องนะ”
“งั้นก็เป็นฝีมือของมาเฟียด้วยกันเอง”
สึนะโยชิพูดสรุปอย่างรวดเร็ว ไม่ต่างจากที่เขาคิดเท่าไหร่นัก
มือเท้าคางใช้ความคิดในขณะที่อีกข้างที่ว่างอยู่ก็กดแป้นพิมพ์หาข้อมูลไปด้วย “มีจุดประสงค์อะไรกันแน่...”
ดวงตาของสึนะโยชิเป็นประกายสวยยามสะท้อนกับแสงไฟจากจอคอม
สีน้ำตาลเข้มหม่นจนคล้ายท้องฟ้ายามกลางคืนอันมืดสนิท
ทว่าในความมืดมิดนั้นกลับมีบางอย่างดึงดูดให้อยากค้นหาอย่างน่าประหลาด
เบียคุรันเคยได้ยินคำร่ำลืออยู่เสมอว่าบอสแห่งวองโกเล่นั้นเปรียบดังนภารุ่งสาง
แต่สำหรับเขา สึนะโยชิคือนภากลางคืน
สีดำกับสีขาว ขั้วตรงข้ามที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ งั้นหรือ..?
ใครเป็นคนคิดวลีนั้นกันนะ นึกแล้วก็น่าขำ
ยามนี้คนที่อยู่ตรงหน้าเขาก็คือผลจากการผสมผสานอันลงตัวของขั้วตรงข้ามที่ว่านั่นไม่ใช่หรือไรกัน
ว่าแต่ตัวเขานั้นเป็นสีขาวหรือสีดำกันนะ?
“เบียคุรัน..”
“อ๊ะ! ขอโทษทีฉันเหม่อไปหน่อย มีอะไรเหรอสึนะโยชิคุง” ดึงสติตัวเองกลับมาปัจจุบันยามได้ยินเสียงที่เจือความคุกกรุ่นเรียกชื่อตน
ทำไมถึงดูหงุดหงิดทุกครั้งที่อยู่กับเขากันนะ
“นายไม่ตอบคำถามฉัน”
อา นี่เผลอจมอยู่กับความคิดนานขนาดไหนกัน ถึงไม่ได้ยินเสียงรอบข้างตัวเอง “หืม ไหนลองถามใหม่สิ?”
สึนะโยชิกระพริบตาสามสี่ครั้ง พอไม่ได้ดื่มกาแฟก็รู้สึกหนักตาจนแทบไม่ไหว “คิดว่าพวกมันมีจุดประสงค์อะไรที่ทำแบบนี้”
“ตอบยากนะ แต่ธรรมชาติของมาเฟียก็ต้องเป็นการแสวงหาพลังอยู่แล้ว” มือคลำถาดไปมาหมายจะหยิบมาร์ชเมลโล่กินก็พบแต่ความว่างเปล่า
จึงได้แต่นั่งเลียไอซิ่งที่ติดปลายนิ้วแทน “แล้วถ้าพูดอย่างนั้นแปลว่าตัวการจะเป็นแฟมิลี่ไหนก็ได้ไม่เว้นกระทั่งวองโกเล่หรือเจสโซ”
“วองโกเล่ไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า..” ให้ตาย
ปวดหัวจนแทบระเบิดอยู่แล้ว
สึนะโยชิมองเห็นคนตรงหน้ากำลังพูดอะไรบางอย่างแต่มันช่างเลือนลางเหลือเกิน
กว่าจะรู้ตัวสติเขาก็ดับวูบไปเสียแล้ว
ยามาโมโตะ ทาเคชิ อาสาเป็นคนมารับผู้เป็นบอสกลับปราสาทวองโกเล่เนื่องด้วยปัจจัยหลายอย่างผนวกกับอยากเห็นที่อู้งานประจำของเพื่อนสนิทสมัยเด็ก
ทั้งยังนึกถึงใบหน้าเรียบนิ่งที่ได้แต่พูดอะไรไม่ออกหากเจอเขาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสนุกอยู่หน่อยๆ
ร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีดำโปรยยิ้มแพรวพราวแก่สาวๆที่เดินผ่านจนมองเหลียวหลัง
เหลือบเห็นร่างคุ้นตาเรือนผมสีน้ำตาลนั่งอยู่กับพันธมิตรผู้แผ่ออร่าขาวจนแสบตา
ในใจที่กำลังคิดหาวิธีทำให้อีกฝ่ายตกใจก็พลันต้องปัดทิ้งไปกระทันหันยามเห็นร่างของผู้เป็นนายที่อยู่ดีๆก็ทรุดลงไปต่อหน้าต่อตา
“สึนะ!” เผลอหลุดเสียงตะโกนจนคนในร้านหันมามอง
ยามาโมโตะเมินคู่สนทนาของเจ้าของชื่อ พลางก้มลงสำรวจอีกฝ่ายอย่างละเอียด
จนเมื่อรู้ว่าแค่หลับไปก็เผลอถอนหายโล่งอก เป็นแบบนี้ทุกที..
ฝืนตัวเองเกินไปจนร่างกายทนไม่ไหว คราวนี้คงได้บทเรียนบ้างแล้ว นึกพลางคว้าคนที่นอนฟุบโต๊ะขึ้นขี่หลังก่อนจะกล่าวลาแขกของบอสไปอย่างมีมารยาท
ไม่ทันได้สังเกตุเห็น
ดวงตาสีอเมทิสต์ที่มืดทึบลงด้วยความรู้สึกหลากหลายยามมองร่างของนภาที่ถูกพาออกไป
“ปล่อยไว้ไม่ได้แล้วสิ...”
เพราะอาการเหนื่อยล้าสะสมบวกกับความเครียดที่รุมเร้าทำให้สึนะโยชิหลับไปถึงสามวันเต็ม
เดือดร้อนจนเหล่าผู้พิทักษ์ทั่วโลกต้องเดินทางกลับมาเฝ้าไข้และรักษาการณ์แทนบอส
ไม่เว้นกระทั่งนักฆ่าอันดับหนึ่งผู้เป็นครูสอนพิเศษนภาแห่งวองโกเล่
ยามลืมตาตื่นก็อดตกใจไม่ได้ที่เห็นทุกคนพร้อมเพรียงกันขนาดนี้
จนต้องเอ่ยปากขอโทษทุกคนที่ทำให้ลำบากเพราะเรื่องไม่เรื่องของตัวเอง
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกน่า นานๆทีพักบ้างก็ไม่เสียหายหรอก” ซาซางาวะ เรียวเฮ
เอ่ยปลอบประโลมคนที่กล่าวโทษตัวเองพร้อมด้วยใบหน้าเห็นด้วยต่อคำพูดนั้นของเหล่าผู้พิทักษ์
สึนะโยชิผงกหัวรับ การได้นอนพักก็ทำให้เขามีเรี่ยวแรงขึ้นมาจริงๆ
รู้ดีเลยว่าฝืนตัวเองมากเพียงไหนกัน คอแห้งผากทั้งที่ดื่มน้ำไปมากโขตอนตื่น
แรมโบ้เล่าให้ฟังว่าช่วงที่เขาหลับไป
วาเรียได้เดินทางมาที่ปราสาททั้งยังอาละวาดวุ่นวายจนฮิบาริฟิวส์ขาดไล่ขย้ำเรียงคนอีก
แอบเสียดายที่ไม่ได้เห็นซันซัสสู้กับฮิบาริแต่พอเห็นร่องรอยความเสียหายทั้งปราสาท
ที่จนป่านนี้ก็ยังซ่อมแซมไม่เสร็จจนได้แต่ใช้ภาพมายาแก้ขัดไปก่อนก็พอจะเดาเรื่องราวได้
กลัดกระดุมคอพลางดึงเนคไทขึ้นสูง ได้เวลาทำงานเสียที...
“แปลกนะ”
น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นโดยสายตายังไม่ละจากเอกสารในมือราวกับต้องการทวนย้ำอีกครั้งให้แน่ใจ
“ใช่ไหมล่ะ ทั้งที่ก่อนหน้านี้อย่างกับเป็นหมาบ้าล่าเนื้อแท้ๆ
ทำไมอยู่ดีๆถึงเงียบหายไปกัน”
ยามาโมโตะเสริมพร้อมกับชี้ข้อมูลที่อยู่ในเอกสารให้โกคุเดระที่เอ่ยถามอย่างสงสัยดู
“เป็นไปได้ไหมที่พวกมันจะมีจุดประสงค์อื่น”
สึนะโยชิที่นั่งอยู่กับโต๊ะทำงานเกริ่น
“เรื่องแค่นี้ก็หัดคิดเองสิเจ้าห่วย”
“รีบอร์น!” ชายหนุ่มกัดฟันอย่างหมั่นเขี้ยว
ชอบทำเหมือนเขาเป็นเด็กยังไม่โตอยู่เรื่อย น่าหงุดหงิดจริงๆ
ทว่าชายร่างสูงในชุดสูทสีดำกับหมวกใบโปรดกลับไม่โต้ตอบ
ใบหน้าเคร่งขรึมนิ่งสนิทหากแต่ดวงนั้นฉายความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
เพราะอยู่ด้วยกันมาตลอดถึงรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังมีเรื่องหนักใจ...
“ทั้งสองคนช่วยออกไปก่อนที ฉันมีเรื่องจะคุยกับรีบอร์น”
ไม่รอให้เสียเวลามือขวาและมือซ้ายทั้งสองก็ขานรับคำสั่งแล้วเดินออกจากห้องไป
ทิ้งบุคคลทั้งสองไว้ด้วยกัน
“ฉันไม่ไว้ใจมัน”
“ใคร?” ประโยคสั้นๆที่โพล่งมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยสร้างความฉงนให้คนฟังยิ่งนัก
สึนะโยชิมองผู้เป็นครูพิเศษขยับปีกหมวกกดต่ำจนบังดวงตา
“เบียคุรัน เจสโซ”
ร้านกาแฟยังคงอบอุ่นเหมือนอย่างเคย เสียงเพลงทำนองหวานดังคลอเบาเป็นเอกลักษณ์แทรกด้วยกระดิ่งหน้าประตูที่ดังรับแขกผู้มาเยือน
ยามเผยเห็นร่างของคนมาใหม่ ชายหนุ่มเจ้าของรอยสักใต้ตาก็เผยยิ้มกว้างจนตาหยี
“กลับมาแข็งแรงแล้วสินะ เป็นห่วงแทบแย่แน่ะ”
มาร์ชเมลโล่ยังคงถูกสั่งมากินทุกครั้งที่พบเจอ
ใบหน้าคมเข้มเอียงคอมองคนที่เดินมานั่งนิ่งๆหมายรอฟังสิ่งที่วองโกเล่ต้องการพูด “จริงสิ ฉันยังไม่ได้ให้เขาเสิร์ฟกาแฟนะ กลัวมันหายร้อนก่อนสึนะโยชิคุงมา”
“ไม่เป็นไร” ตอบปัดอย่างไม่ใส่ใจนัก “พอดีวันนี้อยากกินโกโก้”
เบียคุรันยอมรับว่าวันนี้เขาค่อนข้างอารมณ์ดีกว่าปกติ ยามที่คนเป็น caffein
addict ยอมเปลี่ยนมาลองโกโก้ตามที่เขาพยายามยุแยงอยู่หลายครั้ง
อีกทั้งเจ้าตัวยังเป็นคนเอ่ยปากนัดเขามาเจอหลังจากที่ไม่ได้พบหน้ากันในรอบหลายวันมานี้ก็พลอยให้ชายหนุ่มเส้นผมขาวพิสุทธิ์แย้มยิ้มสุขใจ
“ช่วงที่ฉันไม่อยู่มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นหรือเปล่า?”
“หมายถึงเรื่องไหนล่ะ..? ถ้าเรื่องที่ฉันคิดถึงเธอก็ตลอดเวลา”
“แค่กๆๆ!”
รสหวานปนขมแทรกขึ้นโพรงจมูกจนสำลัก สึนะโยชิกุมปลายจมูกที่แดงจัด หยาดน้ำตาเอ่อคลอเบ้า
ยังคงแสบจมูกไม่หาย มือเรียวคว้าทิชชู่ที่อีกคนส่งให้อย่างไวๆ ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะปรับจังหวะหายใจให้กลับมาเป็นปกติ
ส่วนฝ่ายตัวการก็กลับทำสีหน้าระริกระรี้ไม่ได้รู้สึกผิดแต่อย่างใด
“ฮ่าๆ ล้อเล่นน่า” หลุดเสียงหัวเราะดังลั่นร้าน ก่อนจะเปลี่ยนมาเคร่งขรึมทันควันจนคนฟังตามอารมณ์แทบไม่ทัน
“ดูเหมือนจิสโรเนโรจะมีปัญหาภายใน”
“ความขัดแย้งงั้นเหรอ?” แฟมิลี่เก่าแก่ที่มีประวัติยาวนานพอๆกับวองโกเล่ย่อมไม่มีใครไม่รู้จัก
“ไม่ใช่หรอก” เบียคุรันแย้ง นิ้วเรียวดีดมาร์ชเมลโล่ที่ตั้งอยู่ให้ล้มไม่เป็นท่า
“มีคนทรยศ”
“แล้วนายล่ะ?”
“หืม..” ชายหนุ่มเท้าคางยิ้มรับส่งเสียงในลำคอ
“จะไม่ทรยศฉันใช่ไหม”
เบียคุรันยิ้ม.. สบมองเจ้าของนัยน์ตาสีหม่นด้วยความรู้สึกหลากหลาย
นั่นสินะ......
“ฉันมีข้อเสนอ”
เสียงทุ้มเริงร่าเรียกความสนใจเหล่าผู้คนที่ต่างนั่งระแวงกันภายใต้ความเงียบงัน
“หุบปากซะเจสโซ แกคิดจะปั่นหัวอะไรพวกเราอีก”
ชายวัยกลางคนตอบปัดอย่างรำคาญ
“อยู่นิ่งๆไปซะไม่มีใครเชื่อแกทั้งนั้นแหละ”
อีกคนกล่าวต่อ
“ก็แค่ข้อเสนอน่า ฉันไม่ได้บังคับพวกนายซะหน่อย”
พายมือออกขณะใช้วาทาศิลป์หว่านล้อมผู้คน
“ลองพูดมาสิ”
หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในห้องเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเคร่งขรึม
หล่อนดูภูมิฐานทว่ากลับกระหายอำนาจมากที่สุด
“คิดจะเชื่อใจคนเจ้าเล่ห์แบบมันหรือไง”
ชายแก่ที่นั่งมองเหตุการณ์มาตลอดเอ่ยเตือน “อย่าลืมจุดประสงค์ของเราตอนนี้สิ”
ทุกคนในที่นี้ต่างตระหนักถึงจุดประสงค์ตนเองดี...
การอยู่ภายคุ้มครองของวองโกเล่
เกราะกำบังยิ่งใหญ่คุ้มกะลาหัวที่จะช่วยให้แฟมิลี่เล็กๆได้มีหน้าตาในวงการมาเฟีย
สังคมปลาใหญ่กินปลาเล็ก
ยามนี้ปลาเล็กจึงต้องหันไปพึ่งใบบุญเปลือกหอยใบใหญ่...
ทว่าต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ หนอยู่รอดที่จำยอมทิ้งศักดิ์ศรี รอคอยเวลาที่ตนจะเติบใหญ่แล้วจึงทิ้งเปลือกหอยให้เน่าตาย
การตลบหลังที่เห็นกันจนชินชา
“ไม่เห็นต้องทำเรื่องยุ่งยากเลย”
เบียคุรันส่ายหน้าพลางถอนหายใจ ตามไม่ทันความคิดของพวกขี้ขลาดจอมเล่ห์กลจริงๆ “ในเมื่อมารวมตัวกันเยอะขนาดนี้ ทำไมไม่ร่วมมือชั่วคราวช่วยกันฆ่าวองโกเล่เลยล่ะ? ไม่ต้องคอยก้มหัวให้ใคร แถมขึ้นเป็นหนึ่งในวัฏจักร ผู้โค่นล้มตำนานสี่ร้อยปี”
คำพูดลอยๆของชายหนุ่มไร้การตอบรับ แต่ในแววตาที่ฉายชัดความกระหายอำนาจของคนเหล่านั้นก็ทำให้เจ้าของรอยสักใต้ตาแย้มยิ้มกว้างอย่างครื้นเครง
“แต่ใครกันนะ.. เป็นที่หนึ่ง”
การปลุกปั่นความโลภในตัวคนให้ขาดสัมปชัญญะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเบียคุรัน
ไม่นานเกินรอโศกนาฏกรรมละเลงเลือดก็ดำเนินขึ้นเคล้าเสียงหัวเราะสะใจของผู้รับชม
ภาพดวงตาสีหม่นที่มองตรงมาอย่างไร้ความหวาดหวั่นฉายชัดในความทรงจำ
เบียคุรันถือวิสาสะจับมือเย็นเฉียบของคนตรงหน้ามาแนบริมฝีปากตน จุมพิตบางเบา...
“แค่เธอเท่านั้นที่ฉันจะไม่มีวันทรยศเด็ดขาด”
สึนะโยชิทอดมองชายหนุ่มเรือนผมขาวพิสุทธิ์ด้วยแววตาอ่อนแสง
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เผลอใจไปกับคนๆนี้
“รุ่นที่สิบแย่แล้วครับ! ฐานทัพย่อยของวองโกเล่ทั่วโลกถูกทำลาย
ตอนนี้ศัตรูกำลังเคลื่อนพลบุกมาโจมตีปราสาท!!”
“ส่งสัญญาณฉุกเฉิน เรียกทุกหน่วยให้มารวมกันที่ปราสาทวองโกเล่เดี๋ยวนี้” ขาเรียวก้าวฉับๆขณะสั่งการมือขวาคนสนิทให้ถ่ายทอดคำสั่ง ใบหน้าเรียบนิ่งฉายแววโกรธแค้นอย่างไม่มีปิดบัง
สึยะโยชิกำลังโกรธมาก...
ใครหน้าไหนบังอาจมาทำร้ายลูกน้องของเขา!!
“เชเดฟอพยพคนเจ็บและพวกที่สู้ไม่ได้ไปฐานทัพลับ หน่วยลอบสังหารวาเรียให้แทรกแซงทัพศัตรูทำลายจากภายใน
ผู้พิทักษ์ทุกคนมากับฉันเราจะเป็นแนวหน้าป้องกันการโจมตี”
ถุงมือถูกสวมพร้อมกับเปลวไฟทุกลุกโชนบนหน้าผาก
ดวงตาสีส้มสุกสกาวกับเหล่าผู้พิทักษ์ทั้งหกที่พร้อมปกป้องแฟมิลี่ตน
ก้าวเดินไปอย่างกล้าแกร่ง
“พวกมันมาจากแฟมิลี่ไหน”
“มิลฟิโอเล่ แฟมิลี่ตั้งใหม่จากการรวมกันของจิสโรเนโรกับแจสโซ”
กึก..!
จังหวะเดินชะงักลง สึนะโยชิหันไปสบตาคนพูดอีกครั้งเพื่อยืนยันคำตอบ “อะไรนะ...”
ฮิบาริมีสีหน้าแบ่งรับแบ่งสู้ “จากที่ฉันไปสืบมาดูเหมือนการรวมกันครั้งนี้จิสโรเนโรจะไม่เต็มใจ” ดวงตาสีดำสนิทมองสบคนที่มีสีหน้าตื่นตระหนกอย่างปิดไม่มิด “แจสโซอาศัยโอกาสนี้ใช้งานคนทรยศกุมจุดอ่อนของจิสโรเนโร”
“งั้นก็แปลว่าพวกมันทำลายสัญญาพันธมิตรและโจมตีเรางั้นสิ! เวรเอ้ย!!” โกคุเดระสบถอย่างหัวเสีย
ความลังเลปรากฏในดวงตาสีส้มจนผู้พิทักษ์ทุกคนรับรู้ได้ เปลวไฟดับลง
สึนะโยชิลืมตาขึ้นอีกครั้งเผยนัยน์ตาสีน้ำตาลหม่นลุ่มลึก “อาจไม่ใช่ก็ได้..
ทางที่ดีเราลองคุ....”
บึ้ม!!!
แรงระเบิดจากด้านหลังกลบคำพูดของนภาไปหมดสิ้น เหล่าผู้พิทักษ์รีบออกมาเตรียมอาวุธพร้อมโจมตีเพื่อปกป้องบอส
ยามเมื่อควันจางลงปรากฏร่างคนที่บุกเข้ามา ร่างกายของสึนะโยชิก็แข็งทื่อจนทำอะไรไม่ถูก
“บิงโก เจอสึนะโยชิคุงแล้ว”
ในสายตาของอีกฝ่ายดูไม่ได้สนใจผู้พิทักษ์วองโกเล่ที่จู่โจมเขาพร้อมๆกันสักนิด
ยังคงมองตรงมา.. จับจ้องไม่ละสายตา รอยยิ้มเย็นฉีกกว้าง ทันใดนั้นลางสังหรณ์เขาก็ร้องเตือนถึงบางสิ่งบางอย่าง
ไม่นะ.. ไม่... สึนะโยชิพยายามส่งเสียงห้ามเพื่อนพ้องของตน ลำคอตีบตันจนหายใจไม่ออก
ใบหูอื้ออึงดวงตาพร่ามัว ภาพที่มองเห็นตัดสลับไปมาแทรกความคิดเจ็บปวดราวกับสมองจะแตกเป็นเสี่ยงๆ...
“หยุดนะ!”
ทันทีที่เสียงเขาไปถึง ร่างของเหล่าผู้พิทักษ์ก็ล้มลงไปกองกับพื้นเสียแล้ว
สึนะโยชิมือสั่นจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ กลิ่นคาวเลือดรุนแรงจนแสบจมูก
ใบหน้านองน้ำตาอย่างไม่อาจอดกลั้น มองหยาดเลือดที่สาดกระเซ็นใส่ทั้งตัวเขาและเบียคุรัน..
เขาเคยเห็นคนตายไม่นับถ้วน แต่ไม่.. ไม่ใช่กับเพื่อนๆ
ไม่ใช่คนที่เป็นครอบครัวของเขา..
ปัง!
กระสุนปืนเจาะทะลุหน้าท้องแบนราบ สึนะโยชิทรุดลงกับพื้นพลางหายใจหอบ
ทิวทัศน์ที่เห็นราวกับเป็นภาพจากสัญญาณทีวีพังๆ
ปัง!ปัง!ปัง!
ไม่ใช่เขาแต่กลับเป็นคนที่ยิงสึนะโยชิก่อนหน้านี้ที่กลายเป็นร่างไร้วิญญาณเสียเอง
ชายหนุ่มเงยหน้ามองตามทิศของกระสุน เขาเห็นเบียคุรันในสีหน้าที่ไม่เห็นมาก่อน ความโกรธแค้นที่ราวกับจะฆ่าคนได้ทั้งโลก
“ใครให้แกยิงสึนะโยชิคุงกัน!!”
“เบียคุ..อึก”
มีคำถามในหัวเต็มไปหมด ทำไม ไหนว่าจะไม่ทรยศกัน? ความผิดหวังความเสียใจรุมเร้าจนกลายเป็นความโกรธแค้น
ร่างกายอาบเลือดผุดยืนด้วยสภาพโงนเงน หลบการโจมตีและวิถีกระสุนที่มิลฟิโอเล่โจมตี
เขาตวัดขาฟาดคู่ต่อสู้ทำการหักคอและแย่งอาวุธยิงเจาะกระโหลกพวกที่เหลือจนหมดสิ้น
การฆ่าคนโดยไม่ลังเลครั้งแรก..
จ่อกระบอกปืนใส่หน้าคนที่ยืนมองอยู่นิ่งๆ กดเหนี่ยวไกกลับไร้ซึ่งกระสุน
แค่นหัวเราะกับตัวเองเบาๆก่อนจะโยนปืนทิ้ง “เหมือนกับตอนนั้นไม่มีผิดเลย”
พบกันในห้องนองเลือดกับปืนพกที่ไร้กระสุน.....
“ทำไมถึงทรยศฉัน”
“ฉันไม่เคยทรยศเธอ”
สึนะโยชิหัวเราะ นึกสมเพชตัวเองเหลือเกิน “ต้องการอะไรกันแน่”
ในตอนนั้นภายในดวงตาของเบียคุรับกลับวูบไหวเพียงครู่เดียวก่อนจะกลับมานิ่งสนิทดังเดิม
“เธอ..”
‘ทำไมถึงมาเป็นมาเฟีย ทั้งที่เกลียดซะขนาดนั้นล่ะ’
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มสบมองคนถามนิ่งจนอีกฝ่ายต้องหลบสายตาด้วยความรู้สึกประหลาดภายในอก
‘เพื่อให้มีพลังมากพอ ที่จะปกป้องพวกนั้น..’
‘งั้นตอนนี้ก็ไม่จำเป็นแล้วนี่’
‘นั่นสินะ..’
เหม่อมองผู้คนเดินสัญจรไปมา ‘บางทีฉันคงไม่สิทธิ์โหยหาชีวิตธรรมดา
ทันทีที่ตัดสินใจเลือกทางนี้แล้วล่ะมั้ง’
“เลิกเล่นลิ้นสักที”
สึนะโยชิตวาดกร้าว “ถ้าอยากได้วองโกเล่ฉันก็จะทำลายมันทิ้ง
ถ้าอยากได้ชีวิตฉัน ฉันคนนี้นี่แหละที่จะเอาชีวิตแกไป!!”
เปลวไฟนภาลุกโชนทั่วร่างผู้พิทักษ์ดั่งพิธีส่งวิญญาณ
ดวงตาสีหม่นสะท้อนแสงเปลวไฟที่โหมกระหน่ำบนข้อนิ้วพลังมหาศาลที่ถูกปลดปล่อย
เสียงปริแตกดังขึ้นสิ้นเสียงนั้นเปลวไฟก็ดับหายไป
พร้อมกับร่างนภาแห่งวองโกเล่และผู้พิทักษ์ที่หายไปโดยไม่หลงเหลือร่องรอยใดๆทิ้งไว้เลย...
ยามราตรีมืดมิดภายใต้ช่วงเวลาแห่งการหลับใหลค่ำคืนอันเงียบสงบ
ในมุมหนึ่ง..เสียงฝีเท้าย่ำจังหวะรัวเร็วดังแทรกความเงียบ เสียงหอบระรัว
ความอลหม่านเกิดขึ้นภายใต้ความเงียบงัน
"มันไปทางนั้น” เสียงของใครคนหนึ่งตะโกนบอกก่อนร่างในชุดสูทพร้อมอาวุธจะพากันกรูไปตามทิศราวกับมดงาน
ความวุ่นวายค่อยๆแผ่วลง.. แผ่วลง....
จนสุดท้ายก็เงียบสงัด
ร่างทั้งร่างทรุดลงแนบผนัง
ลมหายใจหอบยังคงรุนแรงไม่ทุเลา ฝ่ามือกดแน่นบริเวณหน้าท้องที่เกิดแผลฉกรรจ์จากกระสุน
บาดแผลมากมายจนราวกับกายนั้นถูกย้อมทับด้วยโลหิต
กึก.. กึก...
ลมหายใจขาดห้วง มีใครบางคนกำลังใกล้เข้ามา.. พยายามกัดฟันหยัดกายขึ้นยืนทว่าความจริงกลับขยับไม่ได้แม้ปลายนิ้ว
เสียเลือดเยอะเกินไป เขาตระหนัก ดวงตาพร่าเลือนพยาพยามฝืนรั้งอย่างสุดความสามารถที่มี
ทว่าสุดท้ายยามเมื่อปลายเท้านั้นเยื้อย่างมาประชิดตัวเขาก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งสติได้อีกต่อไป.......
เบียคุรันโอบอุ้มคนบาดเจ็บไว้แนบอก ลมหายใจแผ่วบางทำเอาใจเขากระตุกวูบหวาดหวั่นว่าคนในอ้อมแขนจะเป็นอะไรไป
ใบหน้าคมโน้มลงต่ำแนบริมฝีปากอย่างอ่อนหวาน พรมจูบทั่วใบหน้าอย่างรักใคร่
“ฉันจะปลอดปล่อยเธอให้เป็นอิสระเอง...”
ไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้ง เพียงแค่อยู่ข้างกายเขา
ไม่ว่าอะไรก็จะหามาให้ได้ทุกสิ่ง เป็นนกน้อยในกรงของเขาเพียงผู้เดียว.....
Talk
with (FONG)Writer
หนูเบียจ้ะ..
คือคำว่าอิสระมันไม่ใช่แบบนั้นนะ (ฮ่า)
สรุปแล้วเนื้อเรื่องในตอนนี้ไม่เกี่ยวกับคำโปรยหรือชื่อเรื่องใดๆเลยค่ะ *ปาดน้ำตา*
ขอโทษที่หายไปนานนะคะพอดีเข้าช่วงสอบแล้วเลยไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่
ตอนหน้าเป็นตอนพิเศษขอบคุณยอดเฟบเกินสองร้อยท่านนะคะ
สึนะโยชิเป็นโรค caffein addict หรือโรคติดกาแฟ
เสพติดคาเฟอีนซึ่งมีผลเสียต่อสุขภาพนั่นเองค่ะ
ด้วยรัก
ฟง
จิ้งจอกสีชาด
ความคิดเห็น