คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : X27 เงาในดวงตา
ดวงตานั้นเป็นสิ่งยากจะคาดเดา..
เพราะมันสามารถดึงความอ่อนแอส่วนลึกในจิตใจคนออกมาได้
ซาวาดะ
สึนะโยชิ ฟื้นสติขึ้นบนเตียงกว้างสีสะอาดตา
หอบหายใจรุนแรงราวกับเพิ่งโผล่พ้นเหนือน้ำ สิ่งแรกที่เห็นมีเพียงความมืดมิด
เขาใจหายไปแวบหนึ่งก่อนจะยกมือสัมผัสผ้าพันแผลรอบดวงตาแผ่วเบา กลิ่นอายบรรยากาศอันไม่คุ้นเคยภายในห้องทำให้เขาพยายามระแวดระวังตัวเป็นพิเศษ
ไม่รู้ว่าตัวเองหมดสติไปนานเพียงใดและเกิดอะไรขึ้นกับแฟมิลี่บ้างยิ่งทำให้ในใจเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย
มือแตะบริเวณดวงตาอีกครั้งด้วยความรู้สึกลบที่ก่อตัว
ความกลัวเกาะกุมทำให้เขาตัดสินใจดวงตาตัวเองให้ถูกปิดไว้ทั้งแบบนั้น
ขยับกายหย่อนขาลงค่อยๆ พยุงกายเดินออกจากเตียง
"คิดจะไปไหน"
!
สึนะโยชิสะดุ้งหายใจเฮือกด้วยไม่คิดว่าจะมีคนอยู่ในห้องเดียวกับตน
พลางหันไปมาตามทิศทางของเสียงอย่างเก้ๆกังๆด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
ทว่าท่ามกลางความตื่นตระหนกเขากลับรู้สึกว่าน้ำเสียงแหบพร่านั้นช่างคุ้นหูเหลือเกิน
"ซันซัส?"
"เหอะ
สะดวกดีจังนะลางสังหรณ์สุดยอดเนี่ย"
ไม่ใช่นะ...
เขาอยากเถียงว่าเพราะน้ำเสียงของอีกฝ่ายมีเอกลักษณ์จนจำได้ไม่ยากต่างหาก
แต่ก็นึกเหตุผลไม่ออกว่าจะพูดอย่างไรไม่ให้คนขี้หงุดหงิดอาละวาด
สุดท้ายจึงก้มหน้ารับคำพูดนั้นอย่างไร้ซึ่งคำโต้แย้ง
ทันใดนั้นท่อนแขนของเขาก็ถูกผู้เป็นเจ้าของห้องกระชากกลับลงไปนอนบนเตียงด้วยแรงที่อดไม่ได้จะทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด
ซันซันกอดอกมองยืนมองดูคนบนเตียงโดยใช้ความเงียบกดดันเพื่อเค้นคำตอบที่ถูกถามออกไปในตอนแรก
"ฉันอยาก..ไปหาทุกคน"
สึนะโยชิหันหน้าหนีพยายามหลบดวงตาสีแดงชาดที่แผ่รังสีกดดันมาอยู่เนืองๆ
แต่เพราะมองไม่เห็น แทนที่จะหลบก็กลายเป็นหันไปสบหน้ากันตรงๆ เสียแทน
"ด้วยสภาพนี้น่ะเหรอ? เลือกวิธีตายได้สมเป็นสวะดี"
เพราะคำพูดนั้นสึนะโยชิที่ยังลังเลจึงตัดสินใจลองแกะผ้าพันแผลบนใบหน้าออก
แสร้งเมินจังหวะหัวใจตัวเองที่เต้นระรัวจนมือสองข้างสั่นคุมแทบไม่อยู่ เม้มปากแน่นข่มลางสังหรณ์ที่มีเพื่อรับรู้ความจริงด้วยตัวของตัวเอง
ซันซัสแค่นหัวเราะในลำคอยามสบตากับนัยน์เนตรสีน้ำตาลหม่นคู่นั้นที่สะท้อนภาพตัวเขาในแววตา
"ตาฉัน..."
เสียงล่องลอยแผ่วเบาราวกระซิบ
ใบหน้าหวานซีดเซียวเบิกตาโพลงพลางกระพริบถี่ มือกวักกวาดอากาศอย่างลนลานขณะที่ลมหายใจเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นจังหวะกระชั้นชิด
แต่ไม่ว่าจะทำสักเท่าไร
ภาพที่มองเห็นก็มีเพียงความมืดมิด
"เออ แกตาบอด" ซันซัสพูดตอกย้ำความเป็นจริงที่เขาพยายามหลีกหนี
เดินกลับไปนั่งโต๊ะแล้วลงมือทานเนื้อสเต็กที่ยังค้างไว้ "ไม่ใช่แค่ชั่วคราวแต่เป็นถาวร"
"งะ งั้นเหรอ.." ใจสึนะโยชิกระตุกวูบ
ตอบรับเสียงสั่นก่อนจะจมเงียบอยู่กับความคิดตัวเองนานนับชั่วโมง
รู้สึกมืดแปดด้านไม่รู้หนทางที่จะก้าวเดินต่อ
กัดริมฝีปากแน่นจนเลือดซึมกล่าวโทษตัวเองที่ไร้พลัง
บางทีเขาอาจเป็นแค่สวะอย่างที่อีกฝ่ายบอกจริงๆ ก็ได้
"วองโกเล่.. ปราสาทวองโกเล่เป็นอย่างไรบ้าง"
เขาถามเมื่อเพิ่งหาเสียงตัวเองเจอ
ก้มใบหน้าต่ำจนแทบชิดอก ดวงตาสีหม่นสั่นเครือราวกับโลกทั้งใบพังทลายลงต่อหน้า
ซันซัสพรูลมหายใจหงุดหงิด กระแทกส้อมกับโต๊ะเสียงดังจนคนบนเตียงสะดุ้ง
แล้วก้าวอาดๆ เดินกลับมายืนปลายเตียงดั่งเมื่อครู่
หมัดลุ่นๆ
ซัดเข้าโหนกแก้มเต็มแรงจนหน้าหัน สึนะโยชินิ่งเงียบ
ใบหน้าปวดหนึบจนเริ่มชาลามลงมาถึงแนวกราม
คาวเลือดคละคลุ้งในปากจนได้รสชาติเลี่ยนเค็ม
ดุนลิ้นกระพุ้งแก้มที่ปริแตกก่อนเบนหน้ากลับมา ทว่าสายตาว่างเปล่ายังคงมองลึก... ลึกเข้าไปในตัวตนของดวงตาสีเลือด
"แกยังมีหน้ามาถามอีก"
"ทุกคนล่ะ ปลอดภัยไหม" เขาถามอีก กลืนเลือดในปากลงคออย่างฝืดเคือง
แม้มองไม่เห็นแต่ก็ได้ยินการเคลื่อนไหวของอีกคนชัดเจน
เสียงก่นด่า ทุบทำลายข้าวของ
และความแสบร้อนของเปลวไฟดับเครื่องชนที่ยิงเฉียดหน้าเขาไป
ลมหายใจหอบที่พยายามข่มอารมณ์ทำให้มือบางเคลื่อนออกไปก่อนความคิด
ดึงรั้งชายเสื้อคลุมของคนใจร้อนเบาๆ
"แกมัน!" ถึงตอนแรกจะตวาดกร้าวอย่างฉุนเฉียวแต่สุดท้ายก็ถอนหายใจพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงเต็มที
พลางโน้มหน้าผากลงมาสัมผัสซึ่งกันจนรับรู้อุณหภูมิกายร้อนผ่าว "ห่วงตัวเองบ้างสิไอ้สวะ"
นัยน์ตาเรียวแหลมจ้องมองคิ้วบางขมวดแน่นดวงตาสีสวยที่ทอดสายตาไกลออกไป
สึนะโยชิกำลังวิตก...
"บอสครับ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว"
ไม่รู้ประตูถูกเปิดตั้งแต่เมื่อไหร่
ท่ามกลางเสียงโครมครามวุ่นวายภายนอก กลับมีเสียงที่แฝงความร้อนรนของเลวี่อาแทน
ผู้พิทักษ์อัสนีแห่งวาเรียดังแทรกขึ้นมา
ซันซัสครางรับเบาๆ
นิ้วหัวแม่มือบรรจงเช็ดคราบเลือดแห้งกรังมุมปากร่างบาง
พูดทิ้งท้ายให้คนมองไม่เห็นรอจนกว่าตนจะกลับมา
แล้วเดินหายไปพร้อมลูกน้องที่ถูกตบหัวเพราะบังอาจเข้ามาโดยไม่เคาะประตูขออนุญาต
สิ้นเสียงประตูปิดลง
ความเอิกเกริกภายนอกก็เงียบหายไป ราวกับห้องนี้ถูกตัดขาดจากทุกสิ่ง
สึนะโยชิฝืนยิ้มภายใต้ใบหน้ามองหม่น ดวงตาสีสวยกระพริบปริบๆ ด้วยยังไม่เคยชิน
ความหวาดกลัว ความกังวล สิ่งเหล่านั้นมันกลับมาอีกครั้งเมื่อต้องอยู่คนเดียว... "ฮะๆ พอไม่โวยวายแล้วรู้สึกแปลกๆจัง"
สึนะโยชิไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ตัวตนของเขาถูกเรียกแทนว่า
จอมห่วย
อาจเป็นตอนที่ยังขี่จักรยานถอดล้อเสริมไม่ได้เหมือนเด็กวัยเดียวกัน...
หรือเป็นตอนที่กระโดดสูงได้น้อยกว่าที่ควรเมื่อเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน...
ทุกสิ่งที่ทำให้เขาเป็นจอมห่วยก็แค่
แตกต่าง จากเด็กวัยเดียวกันเท่านั้นเอง
เพราะอย่างนั้นครั้งแรกที่มีเพื่อน
ครั้งแรกที่มีคนอื่นที่ไม่ใช่ครอบครัวมาใส่ใจ
มันทำให้ตัวตนจอมห่วยที่แสนเลือนลางกลายเป็นสิ่งที่มีความหมาย
เขาซุกหน้าลงกับเข่ากอดรัดร่างกายสั่นเทิ้มของตัวเอง
อยากปกป้องทุกคน ทุกคนที่เป็นแสงสว่างให้คนอย่างเขา
แต่ตอนนี้แม้แต่ตัวเองยังปกป้องไม่ได้เลย ยิ่งอยู่คนเดียวจิตใจก็ยิ่งฟุ้งซ่าน..
พลันเมื่อยามมองไม่เห็นประสาทหูก็ทำงานได้ดีขึ้น
สึนะโยชิลมหายใจสะดุดเงยหน้าขึ้นจากเข่าด้วยความลนลานเมื่อรับรู้ได้ถึงเสียงลมหายใจแผ่วเบาภายในห้อง
อะไร..
ใครกำลังมา
หัวใจเขาเต้นแรงจนแทบไม่ได้ยินเสียงใครอีกคน
และนั่นไม่ดีเลย.. ถอยหลังจนชิดกำแพงเมื่อฝีเท้าที่ย่ำพรมเนิบนาบนั้นเข้าใกล้มาเรื่อยๆ
ฉึก!!
"อ๊ากก!?"
เจ็บ..
เจ็บจนน้ำตาไหล ผ้าปูเตียงสีขาวสะอาดถูกย้อมเป็นสีแดงฉับพลัน
สึนะโยชิถูกกระชากลงมานอนหงายแล้วใช้ของมีคมแทงทะลุมือทั้งสองข้างตรึงแน่นกับเตียง
เม้มปากแน่นลืมความเจ็บตรงซีกแก้มไปหมดสิ้น น่ากลัว รอบตัวที่มีแต่ความมืดมิดช่างน่ากลัว
ขาทั้งสองพยายามดีดดิ้นถีบสะเปะสะปะก่อนถูกเรียวขาผู้บุกรุกกดทับจนขยับไม่ได้
ตอนนี้จึงกลายเป็นว่าเขาถูกคล่อมโดยใครบางคนอย่างสมบูรณ์
ใบหน้าครึ่งล่างถูกมือหนาบีบแน่นจนอึดอัด
สึนะโยชิสะอื้นฮักตัวสั่นคุมไม่อยู่ ยิ่งขยับคมมีดก็ยิ่งบาดลึกได้กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้ง
ลมหายใจขาดห้วงสติที่มีเริ่มจางหาย
ถ้าหากดวงตาเขายังมองเห็นบางทีมันคงเริ่มพร่าเลือนแล้วกระมัง
ภายใต้ความเงียบงันแว่วเสียงหัวเราะเอกลักษณ์ดังขึ้นมาจากตรงหน้า
จากที่เคยต่อต้านก็เปลี่ยนเป็นตะลึงงัน พึมพำชื่อของอีกคนด้วยความสับสน
ในหัวผุดคำถามมากมายจนคิดอะไรไม่ออก ทำไม.. "เบล.."
"สนุกพอหรือยัง?"
คำพูดราบเรียบกลบเสียงเรียกจนมิด
ทันใดนั้นราวกับห้วงเวลาถูกหยุดทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ภายใต้ความนิ่งสนิท
มีเพียงหยาดน้ำตาของร่างบางที่พรั่งพรูออกมาอย่างไม่หยุดหย่อนกับเสียงสะอื้นไห้แทบขาดใจ
ท่ามกลางจิตสังหารที่ฟาดฟันกันของสมาชิกหน่วยลอบสังหารวาเรีย
"อะไรกัน สควอโล่อยากเล่นด้วยเหรอ ไม่ได้หรอกนะ" ว่าพลางหัวเราะขึ้นจมูกตามแบบเจ้าตัว
อีกทั้งมือที่ละใบหน้าหวานให้เป็นอิสระก็เปลี่ยนมาหมุนควงมีดในมือ
เสียงตัดลมบาดหูจนคนนอนอยู่หวาดผวา
"งานของแกไม่ใช่เจ้านี่" เคลื่อนตัวเดินมาหยุดที่ปลายเตียง
แขนที่ถูกแทนด้วยดาบจ่อแนบลำคอคนที่นั่งหันหลังให้ บ่งบอกว่าเขาเอาจริง "ไปซะ ก่อนที่ฉันจะรายงานบอส"
"ชิ พ่อมือขวาดีเด่น" ส่งเสียงจิ๊ปากอย่างขัดใจก่อนจะแทงมีดลงกับเตียงอย่างรุนแรงบาดข้างลำคอเล็กเป็นทางยาว
แว่วเสียงครางด้วยความเจ็บปวดของคนเบื้องล่าง
เพียงเท่านั้นร่างกายสูงใหญ่ที่นั่งกดทับก็ลุกขึ้นพรวด
เดินล้วงกระเป๋าผ่านเจ้าของเรือนผมสีเงินไปพร้อมรอยยิ้มวิปริต
ถึงจะเสียดายอยู่บ้างแต่เขาไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้งตอนนี้หรอก
อย่างไรซะก็ยังมีเวลาให้เขาได้เจอกันอีกเยอะ
เบลเฟกอลเลียเลือดเปียกชุ่มบนฝ่ามือราวกับเป็นของหวานชั้นเลิศพร้อมกับเสียงหัวเราะไปตลอดทาง...
"สะ..สควอโล่"
สึนะโยชิส่งเสียงเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างยากลำบาก
หายใจรวยริน ความเจ็บปวดที่มีทำเอาครองสติแทบไม่อยู่
"นี่.."
"เงียบก่อน" ร่างสูงปราม
สูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอดเพื่อปรับอารมณ์
เมื่อรู้สึกว่าคนในห้องเริ่มเข้าสู่ภาวะความคิดส่วนตัว
สึนะโยชิจึงเปลี่ยนใจจากที่จะขอให้อีกฝ่ายช่วยในตอนแรก
ลองขยับมือไปมาเพื่อให้มีดหลุดออกจากมือทั้งสองข้างด้วยตัวเอง
และดูท่าว่ามันจะเป็นไปไม่ได้เลย
เพราะเพียงแค่ขยับนิดเดียวความปวดร้าวก็แล่นลามไปทั่วปลายนิ้วจนด้านชา
หยาดน้ำตาที่เหมือนจะแห้งเหือดไปเริ่มไหลลงมาอีกครั้ง ยามเรื่องร้ายๆ ประดังมาพร้อมกันก็ทำเอาคนมักยิ้มแย้มอย่างเข้มแข็งหมดแรงใจซะดื้อๆ
สึนะโยชิหลับตาลง
แม้จะมองไม่เห็นแล้วแต่ก็เคยชินในการเปิดเปลือกตามองรอบกายอยู่เสมอ ถอนหายใจอ่อนแรง
พอแล้ว เขายอมแพ้แล้ว...
"โว้ยยยย!! ไอ้ตุ๊ดบ้าลุสซูเลียอยู่ไหน มานี่เดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย!"
เสียงโวยวายแปดหลอดดังลั่นห้องท่ามกลางความเงียบงัน
สึนะโยชิตกใจเกือบยกมือมาปิดหูตามความเคยชินถ้าไม่ติดว่าความเจ็บมันเหนี่ยวรั้งไว้เสียก่อน
รอไม่นานร่างสูงใหญ่ชายข้ามเพศในชุดฟูฟ่องก็เดินกรีดกรายเข้ามาอย่างไม่ทุกข์ร้อน
มือเรียวภายใต้ถุงมือหนังสีขาวดันแว่นกันแดดมีจริตจะก้านแล้วเอ่ยถามโทนเสียงสูงถึงเหตุผลที่เรียกหาตน
"อาวุธกล่องแกคือการรักษานี่ เอ้า! ทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อย" กอดอกพยักเพยิดไปยังคนบาดเจ็บบนเตียง
"ต๊ายตาย วองโกเล่นี่ปวกเปียกจังเลยนะฮ้า" หล่อนพูดปนขบขันเมื่อสำรวจบาดแผลอย่างใกล้ชิดแล้ว
สึนะโยชิพยายามลืมตามองตามทิศของเสียง
หัวของเขาปวดหน่วงราวกับถูกทุบตีจนเสียงมันเลอะเลือนฟังไม่เป็นคำ
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่กำลังพูดเป็นใครอยู่ตรงส่วนไหนในห้อง
"เฮ้ย.. จะดึงเลยงั้นเหรอ"
"หวังอะไรอยู่ยะ
ฉันไม่มียาชาหรือยาสลบหรอกนะตัวเธอ" ลุสซูเลียเชิดหน้าตอกกลับ
เมื่อถูกรั้งขณะที่นิ้วงอนกำลังจะสัมผัสมีดที่จมมิดจนเห็นแค่ด้าม
สำหรับวาเรียไม่มีที่สบายให้คนบาดเจ็บหรือผิดพลาดอยู่แล้ว
แม้ตัวหล่อนจะเป็นนางฟ้าประจำแฟมิลี่ก็ต้องทำตาม อีกอย่างในยุคที่อาวุธกล่องเฟื่องฟูใครจะมามัวพกยาโบร่ำโบราณกัน?
"กล้าดียังไงเข้ามาในนี้"
เสียงต่ำแหบพร่าดังสยบบทสนทนาคนทั้งสองในห้อง
บอสแห่งวาเรียยืนทะมึนทึงจ้องมาด้วยความโกรธเกรี้ยวกว่าครั้งไหนๆ
ปืนพกในมือถูกปลดห้ามไกก่อนจ่อตรงใบหน้าคนที่มายุ่งกับของของเขา
ทั้งที่ใบหูอื้ออึ้งจนฟังเสียงคนใกล้ตัวไม่เป็นคำแท้ๆ
แต่เสียงที่ดังตามอารมณ์ปะทุกลับเข้ามาในโสตประสาทชัดเจนจนน่าประหลาด กะแล้วเชียว
เสียงของคนๆ นี้มีเอกลักษณ์ฝังลึกในหัวของเขา
"แหกตาดูบ้างไอ้บอสเวรตะไล พวกฉันกำลังช่วยซาวาดะอยู่"
ขณะที่ลุสซูเลียเหงื่อแตกพลั่ก
สควอโล่กลับกล่าวขึ้นเฉื่อยชา
ราวกับคนที่พร้อมอาละวาดฆ่าคนได้ทุกเมื่อหาได้น่ากลัวไม่
"ซัน..ซัส" สึนะโยชิกรอกตาหาภายใต้ความมืด
และเสียงขานรับตอบกลับมาที่แม้เขาจะเปล่งไปเบาจนแทบไม่ได้ยินทำให้ร่างบางอุ่นใจวาบจนลืมความเจ็บชั่วขณะ
ภาพที่เห็นนั่นทำให้ซันซัสแทบคลั่ง กำหมัดแน่นชกไปที่กระจกหน้าต่างจนแหลกละเอียดระบายความโกรธ
"ไอ้ฉลามสวะ ไปฆ่าไอ้เวรนั่นเดี๋ยวนี้"
สควอโล่พยักหน้ารับ
ไม่ต่างจากที่เขาคาดไว้เท่าไหร่นัก ทำแผนการพังหมดแบบนี้บอสคงโกรธจริงๆ แล้ว "เออ ให้ไปฆ่าแต่ไม่ถึงตายสินะ?
รับทราบ" เสียงยานคางพูดทวนคำสั่งชวนสับสนก่อนจะใช้อาวุธกล่องพาตัวเองออกไปตามล่าคนก่อเรื่อง
"แล้วแกมัวรีรออะไร อยากตายรึไง!" หันมากระแทกเสียงอีกครั้งเมื่อคนที่รับหน้าที่หมอจำเป็นมัวแต่นั่งทื่อไม่ยอมลงมือสักที
ลุสซูเลียยกมือปาดเหงื่อข้างขมับปัดคำพูดของผู้พิทักษ์พิรุณที่ก่อกวนในหัวทิ้งไป
แล้วลงมือถอนมีดออกทันที
"ไม่!! อ๊า!" เพราะปากแผลเริ่มแห้งแล้ว
การถอนมีดที่ฝังลึกมิดด้ามยิ่งเป็นไปได้ยากใหญ่
สึนะโยชิร้องลั่นดีดดิ้นไปมาทำให้แผลเริ่มฉีกขาดจนมีเลือดไหลย้อมผืนเตียงเพิ่มขึ้นอีก
"พอแล้ว ไม่เอา.. ฮึก"
"หยุด"
มีดที่ถูกดึงออกมาได้ครึ่งเล่มหยุดชะงักลงตามคำสั่งของผู้เป็นบอสทันทีที่ได้ยินเสียงสะอื้นครวญครางของร่างบาง
ซันซัสยอมรับว่าเขาค่อนข้างตกใจเพราะไม่เคยเห็นสึนะโยชิในมุมนี้มาก่อน
มุมที่อ่อนแอไร้กำลัง.. ใบหน้าคมแต้มรอยแผลเป็นแสยะยิ้มกว้าง
ดูท่าว่าผลที่ได้มันช่างคุ้มค่าเกินกว่าที่คาดคิดไว้เสียจริง
กายใหญ่ทรุดลงนั่งเหนือหัวร่างบาง
ช้อนศีรษะหนุนตักง้างปากสีสดเผยเห็นรอยฟันและคราบเลือดมากมายในริมฝีปาก
มือหนาแทรกเข้าวางตามแนวฟัน ท่ามกลางความสงสัยของคนทั้งสอง
"ถ้าหากทนไม่ไหวก็กัดมือฉัน แต่ห้ามดิ้นเข้าใจไหม"
แม้ยังสับสนอยู่บ้างแต่สึนะโยชิก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
ทันใดนั้นความเจ็บปวดก็เสียดแทงฝ่ามือขึ้นมาอีกครั้งจนกลั้นไว้ไม่อยู่
เขาส่ายหน้าน้ำหูน้ำตาไหลพราก ทรมานทุกครั้งที่มันถูกดึงครูดผ่านแนวกระดูก
จนเมื่อสุดปลายมีดดึงออกไปเหมือนได้มีแรงกลับมาหายใจอีกครั้ง
หยดเลือดที่ไหลซึมเข้าปากทำให้ร่างบางเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อรู้ว่าตัวเองเผลอทำร้ายอีกฝ่ายจนเลือกตกยางออก..
คงไม่โดนฆ่าหรอกใช่ไหม?
พอจะอ้าปากพูดมือหนาก็ถูกดันเข้ามาลึกกว่าครั้งก่อนจนส่งเสียงไม่ถนัด
"อีกข้างนะ" ซันซัสพูดกับเขา ทว่าน้ำเสียงนั้นช่างอ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆ
หยาดน้ำตาหยุดไหลเขาหลับตาเตรียมรับความทรมานเกินทนอีกครั้ง
เวลาเพียงไม่กี่นาทีช่างนานนับชั่วนิรันดร์
สึนะโยชิสลบไปด้วยความเหนื่อยล้า
บาดแผลถูกไฟธาตุอรุณเยียวยาจนกลับมาเป็นปกติราวกับไม่เคยมีแผลมาก่อน
ภายในห้องที่ร่างบางหลับใหลมีร่างสูงใหญ่ของคนสองคนยืนมองเขาอยู่ไม่ห่าง
"จัดการคนหมดแล้วจะให้ทำไงต่อ"
"เผาทิ้งไปซะ"
งึมงัมตอบรับลอบถอนหายใจ
พลางเหลือบสายตาไปมองคนบนเตียงชั่วครู่
"จะปล่อยไว้แบบนี้เหรอ"
"..มันไม่จำเป็นต้องรู้"
ซันซัสเกลียดดวงตาคู่นั้น...
ลูกแก้วสีเปลือกไม้ที่สั่นวูบไหวยามจ้องลึกทะลุเข้ามาสู่จิตใจ
พยายามเก็บซ่อนตัวตนแห่งบาปในห้วงลึก ปกปิดความผิดที่แบกรับบนบ่าใหญ่
อย่ามองนะ
เขาพร่ำบ่นซ้ำๆ
ตัวตนแข็งแกร่งที่คอยห่อหุ้มก้อนเนื้ออ่อนไหวสั่นเทา หวาดกลัวเหลือเกิน..
ว่าจะถูกเผยความอ่อนแอที่มี
กระชับปืนในมือทั้งสองแน่น
จ่อตรงไปยังเจ้าของดวงตาคู่นั้น
แม้จะแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มก็ยังทำเหมือนมองเห็นตัวตนเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง
'อย่างแกมันจะไปรู้อะไร!?'
ยิ่งหวั่นเกรงก็ยิ่งต่อต้าน
เหนี่ยวไกกัมปนาทพร้อมแผดเสียงร้องคำรามลั่น
ความรัก ความอบอุ่น แม้ไม่เคยได้สัมผัสแต่ทุกคราก็เหยียดเย้ยว่ามันช่างไร้ค่ายิ่งนัก
จะโหยหาไปเพื่ออะไร? สุดท้ายแล้วพลังอำนาจคือสิ่งที่มนุษย์ล้วนแก่งแย่งชิงเพื่อเป็นใหญ่ไม่ใช่หรือ
'รู้สิ'
อีกแล้ว..
พูดจาโอ้อวดแสร้งแสดงความเห็นใจน่าสะอิดสะเอียน ไม่ต่างจากตาแก่นั่นสักนิด
ลมหายใจหอบถี่ขึ้นยามเมื่อระยะห่างค่อยๆร่นเข้ามาตามจังหวะเดินของอีกฝ่าย
ไม่จำเป็นต้องทำเป็นเห็นใจ ไม่ได้ต้องการสักนิด
เพราะมันยิ่งไล่ต้อนให้ตัวตนนั้นด้อยค่ายิ่งกว่าเศษสวะที่น่ารังเกียจเสียอีก
ไอเย็นไล่จากขาขึ้นมาถึงบั้นเอว
ซันซัสกัดฟันกรอดพยายามขืนตัวหนีออกแต่มันเป็นไปไม่ได้เลย
ร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยแผลจากการแช่แข็งในอดีตมันปวดร้าวตอกย้ำสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
เขาสบถไล่เจ้าของเปลวไฟโชติช่วงอย่างแค้นเคือง
ก่อนเสียงนั้นจะกลืนหายไปใต้ก้อนน้ำแข็งที่ปกคลุม ทว่าดวงตาสีสวยคู่นั้นกลับฉายแววเจ็บปวดเหลือคณา...
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่ายังมีคนที่เข้าใจตัวเขาอย่างถ่องแท้อยู่
ตูม!!!
"แย่แล้ว!
ศัตรูบุก อ๊าก!?"
"พะ
พวกมันแข็งแกร่งเกินไป"
"ปกป้องรุ่นที่สิบเร็วเข้า!"
เสียงหวีดสัญญาณเตือนภัยดังลั่นจนปวดหู
สึนะโยชิสูดลมหายใจเข้าออกทางปากหยัดยืนด้วยร่างกายสะบักสะบอม
เปลวไฟดับเครื่องชนบนหน้าผากแผ่วลงคล้ายจะดับไปได้ทุกเมื่อ
แผ่นหลังแนบชิดผู้พิทักษ์ทั้งหกที่ย่ำแย่ไม่ต่างกันหันอาวุธประจันหน้าศัตรูที่เข้าล้อมรอบ
สถานการณ์ย่ำแย่บีบบังคับให้เหล่าวองโกเล่ตกอยู่ในสถานะจนมุม
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงต่อสู้เคียงข้างกันจนถึงที่สุด
พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแฟมิลี่ไหนที่บุกเข้ามา
หน้ากากเหล็กครึ่งหน้าสีดำนั้นช่างแปลกตา ไม่มีทั้งแหวนหรืออาวุธกล่องประจำกลุ่ม
หรืออาจมีแต่ถูกซ่อนไว้...
ลางสังหรณ์ของสึนะโยชิบอกเขาว่าคนพวกนี้ปกปิดตัวตนด้วยพลังสายหมอก
ต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกันถึงหลอกสายตานภาและผู้ใช้มายาแห่งวองโกเล่ได้
"รุ่นที่สิบ!!"
โล่วายุเคลื่อนมาบังกระสุนเปลวไฟดับเครื่องให้ร่างบางที่เผลอจมอยู่กับความคิดตัวเอง
แต่ก็แลกกับการที่เขาต้องถูกธนูอัสนีปักต้นแขนโดยไร้ซึ่งโล่กำบัง
"โกคุเดระคุง!" เขาตะโกนเรียกมือขวาคนสนิทด้วยความเป็นห่วง
มือกางเปลวไฟปัดป้องมีดเมฆาให้ผู้พิทักษ์พิรุณข้างกายที่ประดาบกับศัตรูอยู่
ระเบิดลูกใหญ่ถีบพวกเขาทั้งเจ็ดปลิวกระเด็นออกจากกัน
ความรุนแรงของมันทำเอาสมองมึนเบลอไปชั่วขณะ
สึนะโยชิกัดฟันกรอดเปลวไฟดับเครื่องชนมอดไปแล้ว ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ไปใหญ่
เขากวาดสายตารีบเร่งใช้ความคิดพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นผู้พิทักษ์อัสนีที่ยังนอนสลบไม่ได้สติ
แชนเดอเรียแก้วเหนือหัวโคลงเคลงตามแรงระเบิดก่อนจะร่วงลงมาตามแรงโน้มถ่วง
ไวกว่าความคิดเขาวิ่งไปคว้าตัวเด็กหนุ่มวัยมัธยมออกมาแทรกตัวเข้าไปแทนตามแรงเหวี่ยง
สึนะโยชิเบิกตาโพลงใบหน้าเปื้อนฝุ่นขาวซีดจนไร้สีเลือดฝาด
ภาพสุดท้ายที่เห็นคือเหล่าผู้พิทักษ์ที่ส่งเสียงร้องเรียกตัวเขาละทิ้งการต่อสู้แล้วพยายามเร่งรุดเข้ามา
ก่อนที่เศษแก้วยักษ์จะลงมาปิดทับจนทุกสิ่งมืดสนิท
เพล้ง!!
โรคุโด
มุคุโร่ เคลื่อนกายออกมาจากซากปรักหักพังอย่างยากลำบาก ร่างของโคลมบาดเจ็บหนักเกินไปทำให้เวลาที่เขามีในร่างนี้เริ่มถอยหลังลงไปเรื่อยๆ
เอนกายนั่งพิงเสากุมท้องที่มีเลือดไหลออกมาไม่หยุดดวงตาต่างสีฉายแววอาฆาตยามมองไปยังศัตรูภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้ม
"เป็นคุณเองเหรอครับ"
เขาหัวเราะกลั้วยังเป็นคนที่กระหายอำนาจเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ
ร่างของชายผมเงินผู้สวมหน้ากากเหล็กสีดำค่อยๆ
หมุนกายมาทางเขาอย่างช้าๆ พร้อมกับนภาแห่งวองโกเล่ที่ถูกย้อมไปด้วยสีแดงชาดทั่วร่างจนแทบไม่เห็นทางรอดในอ้อมแขน
หมอกมายาปกคลุมทั่วร่างเผยเรือนผมสีรัตติกาล ใบหน้าดุดันแต้มรอยแผลเป็นทั่วร่าง
ดวงตาสีแดงก่ำเหลือบมองผ่านเขาไปเหมือนเป็นเพียงเศษขยะหรืออะไรที่ยิ่งกว่านั้น
"ซันซัส...?"
เสียงเรียกแผ่วเบาดึงตัวเขาออกจากการนั่งจมอยู่กับความคิด
มองเห็นเจ้าของดวงตาไร้แววกวาดมือไปมาหาตัวเขา "ฉันอยู่นี่"
ดึงมือขาวซีดมากุมไว้กับตัก
"บอกมาสักที ผู้พิทักษ์ฉัน.. แฟมิลี่ฉันอยู่ที่ไหน" แววตาคู่นั้นฉายแววสิ้นหวังเสียงสั่นๆ ถามออกมาอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
มือที่ถูกกุมเคลื่อนมารั้งขยำอกเสื้อคนตรงหน้าเพื่อเค้นคำตอบ
"ปราสาทวองโกเล่ถูกทำลายแล้ว เพื่อความปลอดภัยของตัวแกทุกคนเลยเห็นว่าจากนี้ไป แกต้องย้ายมาอยู่ในความคุ้มครองของวาเรีย"
"งั้นทุกคนก็ยังมีชีวิตอยู่สินะ" แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นวาเรีย
แทนที่จะเป็นกลุ่มผู้ดูแลนอกแก๊ง แต่คำพูดรวมๆ นั่นก็ทำให้เขาตีความไปว่าเหล่าเพื่อนสนิทยังอยู่ดี
รอยยิ้มฉายชัดในดวงตา ปล่อยเสื้ออีกฝ่ายที่กำไว้จนขึ้นข้อขาว
ภาพของซันซัสยังคงสะท้อนอยู่ในแววตา บอสวาเรียจุดยิ้มมุมปาก ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีเสียจริง
"ฉันไปหาทุกคนได้ไหม"
ซันซัสหุบยิ้ม
มือหนากอบกุมรอบลำคอเล็ก
มันขยับขึ้นลงเบาๆเมื่อคนมองไม่เห็นลอบกลืนน้ำลายด้วยความหวาดกลัว
แรงบีบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนได้ยินเสียงครางลอดออกมา คอเล็กๆนั่น.. ถ้าเผลอบีบรัดแรงเกินไปจะทำให้ไอ้สวะนี่ตายหรือเปล่านะ?
ชักอยากรู้แล้วสิ
"อึก.. ซันซัส เป็นอะไร..เนี่ย"
เค้นเสียงพูดยากเย็นแต่ก็พอให้อีกคนได้สติ
ละมือออกมาวางข้างตัว เผลอออกแรงบีบเสียจนเป็นรอยนิ้วเด่นชัด
นี่ไม่ต่างจากการตีตราว่ามันเป็นของเขาเลยไม่ใช่หรือไง แค่นหัวเราะให้กับความคิดประหลาดของตัวเอง
"ก็ได้ เจ้าพวกนั้นจะได้เห็นว่าทุกสิ่งที่มันพยายามทำ
สำหรับแกมันไม่มีค่าอะไรเลย"
"ไม่ใช่นะ!"
เสียงแหบพร่ากระซิบข้างหูเยาะเย้ย
"น่าสนุกดีไอ้สวะ
ถ้ามันรู้ว่าบอสตาบอดแบบนี้คงพากันวิ่งแจ้นไปหาเจ้านายใหม่"
ไม่มีทาง...
ต่อให้เกิดอะไรขึ้นพวกนั้นก็ไม่มีวันทิ้งเขา สึนะโยชิขมวดคิ้วมุ่น
ทุกสิ่งมันสั่นคลอนจิตใจเติมเต็มด้วยความวิตกหวาดระแวง เขาไม่แน่ใจเลย
หากทุกคนเปลี่ยนไป หากเป็นอย่างนั้นจริงๆ เขาที่ไม่เหลืออะไรเลยจะเป็นเช่นไร
ใบหน้าหวานหม่นหมอง
ทรุดกายพิงอกกว้างอย่างอ่อนแรง
หากเป็นอย่างนั้นสิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็มีเพียงการรอคอย รอสักวัน..
ที่เพื่อนๆทุกคนพร้อมยอมรับสิ่งเขาที่เป็น
ดวงตาสีน้ำตาลหม่นมองเลื่อนลอยไร้จุดหมาย ไม่มีใครในสายตา นอกจากร่างสูงตรงหน้า
หากสึนะโยชิไม่ได้ตาบอด
เขาคงมองเห็นรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าเหี้ยมโหดของบอสวาเรีย ยิ้ม..
ที่ได้ครอบครองคนที่ตนปรารถนามาเนิ่นนาน
Talk
with (FONG)Writer
จริงๆความรู้สึกของซันซัสยังไม่เชิงเป็นความรักค่ะ
สิ่งที่เขารู้สึกต่อสึนะโยชิเป็นความคิดที่ของคนที่ไม่เคยได้สัมผัสความรักความอบอุ่นแล้ววันหนึ่งก็ได้พบกับคนที่เข้าใจตัวเอง
ผันเปลี่ยนความคิดกลายเป็นอยากครอบครอง อยากให้คนๆนั้นสนใจแต่ตัวเอง
และกำจัดคนที่อีกฝ่ายให้ความสนใจมากกว่าตัวเอง ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆคือซันซัสเป็นฝ่ายที่ต้องการความรัก
มันเป็นอาการยันเดเระที่ถูกแสดงมาในรูปแบบนิสัยซันซัสค่ะ
แต่ในเนื้อเรื่องไม่ได้ย้ำปมนี้นักเลยยกมาคุยในทอล์คแทน
แนะนำตัวอีกครั้ง ชื่อ ฟง
ค่ะ นักอ่านทุกท่านเรียกฉันด้วยชื่อได้นะคะ เวลาถูกเรียกว่าไรต์ทีไรไม่ชินเอาซะเลย
*หัวเราะ* ความจริงก็แค่อยากสนิทกับทุกคนนั่นแหละค่ะ
ด้วยรัก
ฟง จิ้งจอกสีชาด
ปล. ส่วนใหญ่ทุกคนชอบให้สึนะโยชิคู่กับใครบ้างเหรอคะ บางทีฉันก็คิดว่าอยากลองแต่งคู่ที่มีแนวโน้มมากที่สุดของกลุ่มผู้ติดตามดู ท่าทางน่าสนุกดีนะคะ
ความคิดเห็น