คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : R27 บทเรียน
Chapter NINE บทเรียน
หลงไหลวังวนความลุ่มหลง
ดำดิ่งในโคลนตมยากลึกเกินถอนตัว
อิตาลียามค่ำคืนเป็นสถานที่สวยงามเหมือนฝัน
หากในเบื้องลึกย่อมรู้แก่ใจว่าซุกซ่อนความเลวร้ายไว้มากเพียงใด ไร้ซึ่งมิตรแท้
กระหายซึ่งอำนาจและพร้อมกดขี่ผู้อ่อนแอ นั่นคือสิ่งที่อิตาลียามค่ำคืนแท้จริงเป็น
ประตูบาร์เปิดออกกระดิ่งร้านส่งเสียง
ความวุ่นวายหยุดชะงักทุกสายตาล้วนจับจ้องผู้มาใหม่
ตึก
ตึก...
จังหวะเดินเชื่องช้าเป็นท่วงทำนองสม่ำเสมอ
ร่างสูงภายใต้สูทสีดำสนิททรุดกายลงนั่งบนโซฟาตัวหนึ่งในมุมอับสายตา
กาแฟที่เจ้าตัวสั่งช่างขัดแย้งกับกลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งภายในร้าน
ความเงียบสงบเกิดขึ้นอย่างน่าประหลาด
คนในโลกมืดย่อมรู้ความเหี้ยมโหดของบุคคลชุดดำที่ซึ่งไม่ควรข้องเกี่ยวเป็นอย่างดี
โซฟาด้านหลังมีใครบางคนนั่งไม่ห่าง
มือเหี่ยวย่นยกแก้วเตกิล่าสีอำพันขึ้นเชยชมกลิ่นดื่มชิมอย่างละเมียดละไม
“สมกับเป็นเหล้าผิดกฎหมาย รสชาติแรงบาดคอจริงๆ”
แก้วกระทบโต๊ะก้องกังวาน
เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นลอยๆคล้ายบ่นเพียงลำพัง หากแต่บุคคลที่นั่งหันหลังประชิดรู้ดีว่าเอ่ยกับตน
บรรยากาศผ่อนคลายที่แผ่มาจากชายสูงวัยช่วยปัดเป่าความกดดันจากชายชุดดำให้คนในร้านพอมีโอกาสหายใจหายคอ
“สนใจลองหน่อยไหม วา..”
“ฉันทิ้งชื่อนั้นไปแล้ว”
เสียงทุ้มสวนขึ้นทันควัน
“โอ้... อย่าถือสาฉันเลย รีบอร์น คนแก่มักหลงลืม”
“ที่เรียกมามีธุระอะไรกันแน่”
ชายหนุ่มก้มมองแก้วกาแฟในมือ
ไม่ใส่ใจคู่สนทนา ดวงตาคู่คมฉายแววกร้าว
“อยากให้ฉันไปเป่าหัวใครบางคนงั้นหรือรุ่นที่เก้า”
“มากกว่านั้น”
ชายชราส่งเสียงหัวเราะเบาๆ
ทิ้งคำพูดสุดท้ายก่อนเดินจากไป
“ไม่ลองละมือจากการเข่นฆ่า มาเฝ้ามองการเติบโตดูบ้างล่ะ”
ชายหนุ่มไม่อาจเข้าใจความนัย
และไม่คิดจะเก็บคำพูดนั้นมาใส่ใจสักนิดเดียว....
เสียงหมัดกระทบเนื้อรุนแรงสลับกับเสียงครางเจ็บปวด
ชายหนุ่มอ้าปากหอบ กระบังลมปวดเกร็งจนหายใจลำบากจากการถูกอัดมาเต็มรัก
อาการบาดเจ็บและแผลปริแตกทั่วร่างพาลให้ร่างกายอ่อนล้าเต็มที
“ได้โปรดครับคุณรีบอร์น ผมไม่มีทางเลือกจริงๆ”
เขาส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
เมื่อขาถูกเท้าของอีกฝ่ายเหยียบขยี้ซ้ำรอยกระสุน
“เลยตอบแทนวองโกเล่ที่เลี้ยงดูอุ้มชูแกมาตลอดด้วยการเป็นสายให้ศัตรูงั้นสิ”
เมื่อไม่มีเสียงตอบรับเหล่าลูกน้องจึงเตะอัดใบหน้าเรียกสติอีกครั้ง
“ว่ายังไง”
นักฆ่าแห่งวองโกเล่ถามย้ำ
เขาเป็นคนไม่ชอบการลีลาดังนั้นปืนที่ปลดห้ามไกจึงจ่อแนบหัวอีกฝ่ายพร้อมลั่นได้ทุกเวลา
“มะ มันจะทำร้ายคนในครอบครัวผมถ้าหากผมไม่ทำ ขอโทษครับ! ผมขอโทษ...”
รีบอร์นค่อยๆหลับตา
ปืนในมือถูกลดลง
“ฉันเข้าใจ”
คำพูดนั้นราวกับเป็นเสียงสวรรค์ต่อผู้สดับฟัง
ชายหนุ่มแย้มยิ้มยินดีเอ่ยขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่เลย....ดุจมัจจุราชเขาเผยรอยยิ้มกว้างเมื่อสดับฟัง
“พาลูกเมียมันเข้ามา”
“อะไรนะ? ไม่!! ผมขอร้อง!”
พยายามดิ้นสุดแรงที่มีแต่ก็ไม่อาจขัดขืนแรงชายฉกรรจ์ที่กดทับตัว
“พ่อฮะ!..”
ปัง!
ปัง! ปัง!
เสียงกระสุนปืนดังกระหน่ำ
ปลิดชีวิตครอบครัวผู้หลงผิดให้ดับสิ้นอย่างอเนจอนาถ
ชายหนุ่มขยับปีกหมวกกระชับเสื้อสูทให้เข้าที่ ก่อนจะเดินข้ามผ่านซากไร้วิญญาณนั้นโดยไม่ไยดี
ยามเมื่อก้าวมาในโลกยามค่ำคืนก็อย่าหวังว่าจะออกไปได้ง่ายดาย
เพราะอิสระต้องจ่ายด้วยชีวิต
เหนือสิ่งอื่นใดหากนำภัยมาสู่วองโกเล่ไซร้
สิ่งแลกเปลี่ยนนั้นเท่าทวีคูณ...
หิมะแรกของฤดูตกแล้ว
ชายหนุ่มทอดสายตามองผ่านกระจกรถ
มันค่อยๆหล่นลงมาราวกับจะปิดทับมลทินของประเทศนี้ให้ขาวสะอาด
ทว่า...แม้ภายนอกงดงามเพียงใดใต้เนื้อในยังคงเน่าเฟะ
เมื่อหมดเวลาหิมะคงจางไปเผยความต่ำตมที่ซุกซ่อนเอาไว้ เปรียบดั่งจิตใจของมนุษย์
“คุณรีบอร์นครับ มีการติดต่อจากปราสาทวองโกเล่
รุ่นที่เก้าต้องการให้คุณไปพบเดี๋ยวนี้ครับ”
ชายหนุ่มหลุบตาต่ำ
เป็นตาแก่ที่เอาแต่ใจซะจริง คิดบ่นไปมาแต่ก็ไม่ได้โกรธเคืองจริงจังนัก
“เปลี่ยนเส้นทาง ไปปราสาทวองโกเล่”
ที่แห่งนี้เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง
รีบอร์นรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณอย่างล้นหลาม
ทุกสิ่งที่สถานที่นี้มอบให้คือที่ชีวิตใหม่
เขาอุทิศทุกสิ่งเพื่อความรุ่งเรืองของวองโกเล่
ยินยอมมือเปื้อนเลือดเพื่อกำจัดผู้ที่คิดทำลายแฟมิลี่ที่รักของตน
แต่ในบางครั้งเขาก็ตระหนักได้ว่า..
ชีวิตที่เริ่มต้นใหม่โดยไร้ซึ่งทุกสิ่งนั้น
มันกลับรู้สึกว่างเปล่าทุกครั้งที่ถลำลึกลงไป ราวกับชีวิตไม่ใช่ชีวิต
เขาไม่แน่ใจแล้วว่าบ้านหลังนี้ยังเป็นที่พักพิงใจตนได้อยู่หรือไม่
ในมือดวงใจเขาไร้ซึ่งความสุข...
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“ถ้าความจำฉันสมบูรณ์ดี
นายเพิ่งเรียกฉันไปคุยเรื่องไร้สาระเมื่อสัปดาห์ก่อน”
เขาหมายถึงตอนที่พบกันในบาร์คราวนั้น
“สำหรับฉัน นั่นก็นานแล้ว”
รุ่นที่เก้าหัวเราะชอบใจ
ไม่ลืมผายมือเชื้อเชิญอีกฝ่ายให้นั่งโซฟาตรงข้ามตน
ขณะที่เหล่าผู้พิทักษ์และลูกน้องคนสนิทออกไปทำหน้าที่อารักขาด้านนอกเพื่อให้ทั้งสองมีพื้นที่ส่วนตัว
“ทำตัวเป็นคนแก่ต้องการลูกหลานมาเอาใจไปได้”
“ก็ใช่..บางทีฉันก็อยากให้พวกลูกชายมาอ้อนบ้าง”
สายตาของรีบอร์นลอบเห็นบางอย่างเล็กๆเคลื่อนไหวอยู่ด้านหลังโซฟาอีกฝ่าย
“นั่นอะไร”
ผู้ถูกถามเลิกคิ้วสงสัยก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มจนน่าประหลาด
“เกือบลืมแน่ะ สึนะโยชิคุงมานี่เดี๋ยวสิ”
ร่างนั้นสะดุ้งเมื่อถูกเรียกก่อนจะโผล่เสี้ยวหน้ามามองเล็กน้อยด้วยความหวาดหวั่น
ใช้เวลาครู่ใหญ่จึงยอมเดินเตาะแตะมานั่งตักชายสูงวัย
รีบอร์นมองตามเด็กชายอย่างพิจารณา
เส้นผมชี้ฟูสีน้ำตาลเข้มกับดวงตากลมโตสั่นๆคล้ายจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
โครงหน้าทางตะวันออกผิวขาวนวลตัดกับพวงแก้มสีเลือดฝาด อาการตื่นกลัวทุกครั้งที่เผลอสบตาทำเอาชายหนุ่มถอนหายใจอย่างหน่ายๆ
อ่อนแอจนดูไม่น่ามีชีวิตได้เพียงลำพัง
“ขอแนะนำ นี่คือซาวาดะ สึนะโยชิคุง ผู้สืบทอดวองโกเล่ลำดับที่สี่”
ดวงตาเขาเบิกกว้างเมื่อได้ฟัง
“อย่ามาเล่นตลก”
“ฉันพูดจริง”
“ฉันไม่ยอมรับเด็ดขาด”
ชายหนุ่มตวาดกร้าวจนเด็กชายสะดุ้งโหยงพลางซุกหน้ากับอกกว้างใหญ่
มือเหี่ยวย่นลูบศีรษะเล็กเบาๆเพื่อปลอบประโลม
“ไม่เป็นไร..ปู่อยู่นี่”
ทอดสายตามองอย่างเอ็นดูขณะเอ่ยคำถาม
“เคยได้ยินนามสกุลซาวาดะใช่ไหม”
“นามสกุลเจ้าอิเอมิสึ”
“ลูกชายเขาน่ะ”
รุ่นที่เก้าฮัมเพลงกล่อมเด็กน้อยเบาๆ
เมื่อคลายหวาดกลัวความง่วงก็เข้ามาแทนที่ ไม่นานก็ผล็อยหลับง่ายดายตามประสาเด็ก
“แล้วทำไมเจ้านั่นไม่ทำหน้าที่ตัวเอง ปล่อยลูกมาวิ่งเล่นถึงในปราสาทวองโกเล่”
บ่นอุบอิบถึงอดีตคู่หูผู้มีศักดิ์เป็นผู้ดูแลนอกแก๊ง
เจ้าบ้าอิเอมิสึกลับมาต้องโดนปืนฟาดหน้าสักที
ใบหน้าผ่อนคลายของโนโน่แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
แววตาแสดงความหนักใจเห็นได้ชัดจนคนถามสัมผัสได้
“นั่นคือเหตุผลที่ฉันเรียกนายกลับมา”
“เกิดอะไรขึ้น?”
ชายชราขมวดคิ้ว พูดเสียงเบาคล้ายเกรงว่าร่างในอ้อมอกจะได้ยิน
“เป็นข้อมูลลับ เมื่อสองสัปดาห์ก่อนคนของตระกูลซาวาดะถูกลอบสังหาร”
เว้นจังหวะสูดลมหายใจ “มีเพียงเด็กคนนี้ที่รอด”
ความจริงที่ได้ยินทำเอาบรรยากาศรอบห้องหม่นหมองไปหมด
รีบอร์นสบตาอีกฝ่ายอย่างต้องการคำยืนยันที่แน่ชัด
แต่ดวงตาที่ส่งกลับมาก็ตอกย้ำความจริงจนสมองตื้อไปหมด
มันเป็นเรื่องธรรมดาในโลกกลางคืน
แต่พอเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่ มนุษย์ช่างลำเอียงเสียจริง
“แล้วคิดจะลากเด็กแค่นี้มาอีกฝั่งแถมวางตำแหน่งใหญ่โต
ต้องการจะให้ตายอีกคนหรือไง”
มือหนาลูบใบหน้าตัวเองพลางทอดถอนหายใจแรงขณะตั้งคำถาม
“พ่อแม่ก็ตายจะไปทำอะไรได้ มีชีวิตเองจะรอดหรือเปล่ายังไม่รู้เลย”
“ดังนั้นฉันถึงอยากให้นายเป็นคนจัดการไงล่ะ”
รีบอร์นขมวดคิ้วมุ่น ส่งเสียงครางอย่างไม่พอใจ
“อะไรนะ”
“นี่เป็นคำสั่งจากนี้ไปนายต้องกลับมาประจำที่ปราสาทวองโกเล่ในฐานะครูสอนพิเศษของผู้สืบทอดตำแหน่งรุ่นที่สิบ”
ชายชราเว้นจังหวะดูท่าทีอีกฝ่าย
“ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น สึนะโยชิต้องเป็นหนึ่ง จงสาบานจะปกป้องด้วยชีวิต!”
เป็นจังหวะประจวบเหมาะสิ้นเสียงนั้นเด็กน้อยก็ลืมตาตื่น
โครม! เพล้ง!?
โต๊ะถูกถีบล้มลงกับพื้น
แก้วกาแฟและแจกันดอกไม้ร่วงแตกส่งเสียงดังจนคนเพิ่งตื่นสะดุ้งโหยง
สึนะโยชิเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยความหวาดกลัว ดวงตาสีดำสนิทกับชุดสูทมองเหยียดหยาม
บรรยากาศกดดันราวกับลำคอถูกบีบด้วยดวงตาคู่นั้น กลัว..
เด็กน้อยร้องไห้เสียงดังพยายามซุกอ้อมกอดอุ่นที่คอยลูบปลอบ
“รุ่นที่เก้า! คุณรีบอร์น! เป็นอะไรหรือเปล่าครับ!?”
เหล่าผู้พิทักษ์และบอดี้การ์ดกรูเข้ามาทันทีที่ได้ยินเสียงดังเมื่อครู่
รีบอร์นเดาะลิ้นเดินฝ่าฝูงคนออกไป
“ถึงเวลาคิดคำตอบของคำถามฉันได้แล้วล่ะ”
พูดทิ้งท้ายเตือนความจำอีกฝ่าย
เขารู้ดีว่านักฆ่าหนุ่มต้องการเวลาแต่เด็กน้อยในอ้อมกอดไม่มีเวลาให้เขามากนัก
‘ไม่ลองละมือจากการเข่นฆ่า มาเฝ้ามองการเติบโตดูบ้างล่ะ’
เพียงคนเดียวที่ไว้ใจ...
“บ้าบอสิ้นดี”
ลมหายใจพ่นออกเป็นไอควันจางๆ อากาศกลางคืนหนาวเหน็บจนอุณหภูมิกายเย็นเฉียบ
รีบอร์นทอดสายตามองหยาดหิมะโปรยปล่อยความคิดให้เป็นอิสระ
ภายใต้ปราสาทวองโกเล่ยามราตรี
ตึก..
เสียงเดินแผ่วเบาปลุกประสาทนักฆ่าให้ไหวตัว เขาปลดห้ามไกจ่อปืนตรงไปยังตำแหน่งเสียง
ดวงตาฉายแววกร้าว
“ออกมา..ก่อนที่ฉันจะยิง”
ไม่กี่อึดใจร่างเล็กเรือนผมฟูฟ่องก็เผยตัว
ก่อนจะหลุบตามองพื้นแล้วเดินเข้ามาหาช้าๆ
“....”
สำเนียงญี่ปุ่นพูดสั่นๆเสียงกระซิบ
รีบอร์นขมวดคิ้วเขาไม่ได้มีปัญหากับภาษาญี่ปุ่นแต่เป็นระดับเสียงที่เบาจนฟังไม่ได้ศัพท์นั่นต่างหาก
“อะไร”
ตอบกลับเสียงแข็งด้วยภาษาเดียวกัน
จนสึนะโยชิแหงนมองด้วยความแปลกใจก่อนจะก้มหน้างุดอีกครั้งเมื่อเผลอสบตาสีดำสนิท
“ขะ ขอโทษครับ...”
เขาไม่ตอบเพียงจับจ้องทุกการกระทำของเด็กตรงหน้าคล้ายจะประเมิณท่าที
“คุณปู่บอกว่า... จะหาคนมาอยู่เป็นเพื่อนให้ ตะ แต่ว่าคุณดูโกรธมาก
ผมเลย..มา มาขอโทษ”
สึนะโยชิกัดฟันแน่นขอบตาร้อนผ่าว รู้สึก้หมือนตัวเองเป็นเหยื่อที่ถูกสัตว์ร้ายจ้องมอง
เด็กน้อยรวบรวมความกล้าทั้งหมดเงยหน้าสบตาชายหนุ่มพูดสารภาพความในใจ
“ขอร้องอย่าโกรธคุณปู่เลยนะครับ.. คนที่ผิด ฮึก คนที่ผิดคือผมเอง...”
รีบอร์นมองร่างสั่นสู้ของสึนะโยชิด้วยความรู้สึกหลากหลาย
ใบหน้านองน้ำตาแต่ดวงตาสีเปลือกไม้ยังประกายสดใสท่ามกลางความมืด
อา...ใช่ เขาเคยเห็นดวงตาแบบนั้นมาก่อน
‘....’
เค้าโครงหน้าอันคุ้นเคยทว่านึกเท่าไรก็นึกไม่ออก
‘....’
ใบหน้านั้นช่างแสนเลือนลางแต่บางครั้งกลับแจ่มชัดในความทรงจำ
ทำไมถึงไม่ได้ยิน กำลังพูดอะไรอยู่กัน
‘....’
อีกแล้ว
ใครกัน กำลังเรียกชื่อเขาอยู่งั้นหรือ....
‘....’
ทำไมถึงมีสีหน้าเศร้าสร้อยแบบนั้นกัน เพราะชื่อของเขาหรือ?
แล้วชื่อของเขา
‘....’
คืออะไร?
“ลูเช่...”
สายลมพัดผ่าน หิมะหยุดตกแล้ว
“คุณร้องไห้..”
“ฉันไม่ได้ร้อง”
“แต่คุณตัวสั่น”
สึนะโยชิท้วง แขนเล็กๆเอื้อมไปโอบกอดรอบต้นขาชายหนุ่ม
“แม่บอกว่าการที่ใครบางคนยืนตัวสั่นท่ามกลางหิมะเพียงลำพัง
คนๆนั้นไม่ได้หนาว แต่เขากำลังปกปิดความเศร้าของตัวเองอยู่
ดังนั้นการกอดจึงไม่ใช่แค่การมอบความอบอุ่น
แต่เป็นการสื่อให้เขารับรู้ว่ายังมีเราคอยช่วยแบ่งเบาความเศร้าของเขาอยู่”
ทั้งที่ก่อนหน้ายังกลัวเขาแทบเป็นแทบตาย
ตอนนี้กลับมากอดขาแถมพูดอะไรยาวเหยียดอีก พิลึกคนนัก
รีบอร์นเพียงเหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปมองทิวทัศน์ยามค่ำคืน
โดยมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆพ่วงเกาะมา
เอาเถอะ เขาก็ไม่ได้รังเกียจนักหรอก
กลับกันเขารู้สึกอบอุ่น...
ราวกับใครบางคนที่จากไปนานได้ย้อนกลับมาหาอีกครั้ง
“ฮึก.. อะ อื้อ!”
ชายหนุ่มกัดฟันแน่นมือกดรั้งต้นคออีกฝ่ายขณะปลดปล่อยความปรารถณา ปลายลิ้นไล่เลียทั่วแก่นกายกวาดกินหยาดน้ำขาวขุ่นราวกับเด็กน้อยที่อยากของหวาน
ผ่านไปชั่วอึดใจใบหน้าเล็กก็เป็นอิสระ
เสียงสูดลมหายใจเข้าปอดดังสลับกับเสียงครางหวานด้วยแรงอารมณ์
“อ้าปากสิ”
มือหนาเชยคางอีกฝ่ายเอ่ยประโยคสั่งด้วยน้ำเสียงตวาดกร้าวแต่การกระทำช่างนุ่มลึกจนเผอลไผล
อ้าปากแลบลิ้นที่กลืนกินจนไร้ซึ่งคราบคาวตามสั่งแต่โดยดี
“ดีมากสึนะ ดีมาก...”
เผยรอยยิ้มกว้างลูบหัวปลอบประโลม
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความสัมพันธ์ดำเนินมาจนถึงจุดนี้
“รีบอร์น ผม... ฮึก อยากไป”
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สิ่งผิดบาปเหล่านี้กลายเป็นเรื่องสามัญ
“เธอไม่ควรทำแค่การอ้อนวอนนะ... รู้ไหมฉันหมายถึงอะไร”
ใบหน้าคมเล้าโลมปลายติ่งหูร่างเล็ก
ลมหายใจร้อนเป่ารดจุดเร้าอารมณ์กระซิบเสียงแหบพร่าทลายสติหมดสิ้น
“ทำตามที่ฉันเคยสอน แล้วเธอจะได้ทุกอย่างที่ต้องการ”
ดวงตาสีทมิฬลึกล้ำเกินคาดเดา รอยยิ้มเยาะมุมปาก ขณะมองร่างเล็กหย่อนกายรับความร้อนรุ่มอย่างใจเย็น....
“สึนะโยชิคุงจะถูกถอดจากตำแหน่งผู้สืบทอดวองโกเล่”
“คิดจะกลับคำหรือไง”
รีบอร์นตอกกลับเสียงแข็งพลางขยับปีกหมวกบดบังใบหน้า
“ซันซัสกำลังตามล่าเขา โลกฝั่งนี้อันตรายเกินไป”
รุ่นเก้าเอ่ยด้วยความเหนื่อยล้าเต็มทน เขาเสียลูกชายทั้งสามไปหมดสิ้นแล้ว
ครานี้จะไม่ยอมเสียสึนะโยชิไปอีก
“พาเขาหนีไป หนีให้ไกลจากวองโกเล่”
แกร่ก...
“คงไม่ได้หรอกครับคุณปู่...”
ปลายกระบอกปืนจ่อแนบขมับชายสูงวัย
โนโน่เบิกตากว้างมองหลานชายตนด้วยความสับสน
“สึนะโยชิคุงคิดจะทำอะไรกันแน่”
เสียงฝีเท้ากระทบพื้นเป็นจังหวะเนิบนาบ
ผ่านนักฆ่าหนุ่มที่กระชับอาวุธจับตาดูท่าที
“สืบทอดวองโกเล่ขึ้นเป็นรุ่นที่สิบ มั้งครับ?”
“คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะทำแบบนี้ ล้มเลิกเสียเถอะ มันอันตรายเกินไป”
สึนะโยชิยิ้มกว้างจ่อปืนยังใบหน้าอีกฝ่าย
เสียงปลดลั่นไกดังขึ้นราวกับเป็นเสียงกระซิบของมัจจุราช
“ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ พวกลูกชายของคุณผมยังฆ่าได้ง่ายๆเลย”
พลั่ก!
ปืนพกถูกเตะปลิวออกจากมือ
สึนะโยชิกัดฟันกรอดเอี้ยวตัวไปโจมตีร่างสูงในชุดสูทหากแต่เขาช้าเกินไป
เข่าโดนถีบจนเสียการทรงตัวทรุดลงข้อมือทั้งสองถูกจับไขว้หลังขณะที่กายสูงใหญ่โถมตัวกดทับจนหลุดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
“ระ รีบอร์น อึก!”
“ช้าไป ฉันสอนแล้วไงว่าอย่าประมาทศัตรู”
เสียงราบเรียบไร้อารมณ์พูดกึ่งดุเหมือนอาจารย์ที่กำลังสั่งสอนลูกศิษย์เฉกเช่นปกติ
“ช่างน่าเสียดาย....”
ชายสูงวัยผุดลุกจากเก้าอี้ โน้มลงเก็บปืนที่กระเด็นมาปลายเท้า
ลูกชายที่ฟูมฟักมาทั้งสามถูกเด็กชายที่รักเหมือนหลานแท้ๆทำลาย
ความเจ็บปวดคับแค้นใจยากเกินจะเอ่ย
เขาสูดลมหายใจเก็บซ่อนความรู้สึกขณะหันปลายปืนใส่คนเบื้องล่าง
ดวงตาของสึนะโยชิฉายแววโรจน์
“การหักหลังเป็นสิ่งที่ฉันรับไม่ได้ที่สุด”
ปัง!
เสียงปืนดั่งสนั่น กลิ่นเขม่าปืนอบอวล ควันจางๆลอยฟุ้งจากปลายกระบอกปืน
“อั่ก! ทะ.. ทำไม”
กระสุนเจาะทะลุหัวไหล่ ความปวดร้าวและความร้อนแผ่ทั่วแขนจนไม่อาจขยับ
เขาทรุดตัวลงมือกุมบาดแผลที่หยาดเลือดไหลไม่ยอมหยุด
สึนะโยชิหัวเราะในลำคอ
ค่อยๆยันกายขึ้นยืนด้วยการประคองจากร่างสูงในชุดสูทผู้เหนี่ยวไกใส่อีกฝ่าย
ดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้มองเหยียดต่ำเต็มไปด้วยความแค้น
“ไม่ใช่คุณปู่หรือครับ ที่ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้”
‘สึนะ ทักทายรุ่นที่เก้าสิ’
‘เรียกฉันว่าปู่เถอะ สึนะโยชิคุงยินดีที่ได้รู้จัก’
‘...สวัสดีครับ’
เปลวไฟที่ส่องสว่างอยู่ในกายเด็กน้อยทำให้ดวงตาของชายชราเบิกกว้าง
‘อิเอมิสึ เด็กคนนี้ช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง’
‘ใช่ครับ พวกเราถึงย้ายมาที่ญี่ปุ่น สึนะไม่ควรข้องเกี่ยวกับมาเฟีย’
‘ไม่.. เด็กคนนี้จะนำความรุ่งเรืองมาให้วองโกเล่
เขาต้องได้รับการฝึกฝนที่สมควร’
‘ท่านครับ ไม่เด็ดขาด ผมไม่ต้องการให้สึนะรับรู้โลกฝั่งนั้น!’
‘ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าครอบครัวเธอเป็นตัวขัดขวางอำนาจวองโกเล่’
เปลวไฟบนปลายนิ้วสัมผัสแผ่วเบาบนหน้าผาก ชั่วพริบตาสติของเด็กน้อยก็ดับวูบ
“รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“ไม่ใช่ผมหรอกครับ”
สึนะโยชิคลี่ยิ้มหวานเกี่ยวกระหวัดแขนโอบรั้งรอบลำคอของร่างสูง
“ทรยศฉันงั้นหรือรีบอร์น”
เปลวไฟบนยอดคฑาเรืองโรจน์ เกล็ดน้ำแข็งปกคลุมทั่วอาณาเขตห้อง
เดือดทะลุจุดศูนย์ที่รุ่นแรกคิดค้น อาวุธสุดท้ายที่โนโน่จะใช้จัดการคนทั้งสอง...
“ไม่ได้นะครับ”
ชั่วพริบตาน้ำแข็งที่เป็นนิจนิรันดร์กลับถูกละลายหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน สึนะโยชิยิ้มกว้างเผยแหวนนภาที่ส่องประกายบนข้อนิ้วของตน
“ทรยศงั้นหรือ? ไม่ใช่หรอก ฉันทำตามที่นายขออย่างไม่มีบกพร่องเลยต่างหาก”
ปืนกระบอกเดิมที่ร่วงข้างกายชายชรากลับสู่มือเจ้าของอีกครั้ง
สึนะโยชิย่อกายจนระดับสายตาตรงกับอีกฝ่าย
แย้มยิ้มภาคภูมิใจราวกับต้องการคำชื่นชมจากปากคนเป็นครู
วินาทีนั้นเขาก็ตระหนักได้..
เด็กคนนี้ใสซื่อเกินไปจนถูกแต่งแต้มป้ายสีให้ดำมืดได้ง่ายดาย
แต่ถึงอย่างนั้นแม้จะโสมมก็ยังบริสุทธิ์
“ทำไมต้องดึงสึนะโยชิคุงมาข้องเกี่ยวความทะเยอทะยานของนายด้วย”
ทว่าคนตอบคำถามกลับเป็นเด็กชายตรงหน้า
“คนที่ดึงผมมาพัวพันกับโลกมาเฟียคือคุณปู่ไม่ใช่หรือครับ?”
คำพูดของผู้เปรียบดั่งหลานชายทำโนโน่สะอึก
เขาหน้ามืดตามัวอยากให้แฟมิลี่รุ่งเรืองโดยไม่สนใจว่าจะทำลายชีวิตของสึนะโยชิไปมากน้อยเพียงใด
สำนึกอะไรได้ตอนนี้ก็สายเกินแก้แล้ว...
“จริงสิ คำถามที่นายชอบถามฉันบ่อยๆนั่นน่ะ”
รุ่นที่เก้าขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัยแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ขยายความให้กระจ่างแต่อย่างใด
“ฉันเลือกไม่ได้หรอก”
‘ไม่ลองละมือจากการเข่นฆ่า มาเฝ้ามองการเติบโตดูบ้างล่ะ’
“แต่พอได้เจอสึนะ ฉันก็เลยฉุกคิดขึ้นมาได้”
ฝ่ามือหนาลูบศีรษะฟูฟ่องของร่างเล็กด้วยแววตาหลากหลายอารมณ์
“ว่าการเข่นฆ่าและเฝ้ามองการเติบโตไปด้วยมันดีกว่าเป็นไหนๆ”
ปลายกระบอกปืนแนบชิดศีรษะ ชายชราเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนกไม่นานก็เรียบเฉยและศิโรราบลง
“คุณปู่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะสานต่อวองโกเล่ในแบบที่คุณต้องการให้เอง”
ปัง!
วองโกเล่ได้เข้าสู่ยุคมืดอันรุ่งเรืองแล้ว....
Talk with (FONG)Writer
สวัสดีวันแรงงานค่ะ
จริงๆในมุมของนักศึกษาอย่างฉันวันนี้ก็แค่วันธรรมดาทั่วไป
แต่ในฐานะนักเขียนมันเป็นวันพักผ่อนที่ดีที่สุดจนบางครั้งก็อยากให้หนึ่งมีวันแรงงานสัก
365 วันเลยค่ะ อ่ะ
แต่ถ้ามากไปมันคงไม่ใช่วันพิเศษสินะคะ น่าเสียดายจริงๆ
ไฟล์งานที่หายไปไม่สามารถกู้ได้จริงๆค่ะ
บางทีฉันคงต้องหาแหล่งเก็บข้อมูลพร้อมกันหลายๆที่เพื่อความปลอดภัยคงจะดีกว่า
วันก่อนกลับไปนั่งฟังเพลงเปิดของรีบอร์นทุกเพลงมา
พอได้เห็นสึนะโยชิที่ค่อยๆเติบโตขึ้นมารู้ตัวอีกทีก็เผลอร้องไห้เสียแล้ว
เหมือนว่าพวกเราต่างคนต่างเติบโตไปพร้อมกัน คิดถึงสมัยนั้นจังเลยค่ะ
จะว่าไปรีบอร์นนี่เข้าข่ายพรากผู้เยาว์นะคะ....
ด้วยรัก
ฟง จิ้งจอกสีชาด
ความคิดเห็น