ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ KHR reborn ] short fic 1827 5927 6927 2718 X27 G27 10027 127 8027 R27 0027 All27

    ลำดับตอนที่ #7 : X27 เงาในดวงตา

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ค. 62


    T
    B








    Chapter FIVE เงาในดวงตา

    (เนื้อเรื่องตอนนี้ เป็นไทม์ไลน์สิบปีต่อมา ช่วงหลังจากที่สึนะโยชิทำลายแหวนวองโกเล่)






    ดวงตานั้นเป็นสิ่งยากจะคาดเดา..

    เพราะมันสามารถดึงความอ่อนแอส่วนลึกในจิตใจคนออกมาได้

     

     

     

                ซาวาดะ สึนะโยชิ ฟื้นสติขึ้นบนเตียงกว้างสีสะอาดตา หอบหายใจรุนแรงราวกับเพิ่งโผล่พ้นเหนือน้ำ สิ่งแรกที่เห็นมีเพียงความมืดมิด เขาใจหายไปแวบหนึ่งก่อนจะยกมือสัมผัสผ้าพันแผลรอบดวงตาแผ่วเบา กลิ่นอายบรรยากาศอันไม่คุ้นเคยภายในห้องทำให้เขาพยายามระแวดระวังตัวเป็นพิเศษ  ไม่รู้ว่าตัวเองหมดสติไปนานเพียงใดและเกิดอะไรขึ้นกับแฟมิลี่บ้างยิ่งทำให้ในใจเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย

     

                มือแตะบริเวณดวงตาอีกครั้งด้วยความรู้สึกลบที่ก่อตัว ความกลัวเกาะกุมทำให้เขาตัดสินใจดวงตาตัวเองให้ถูกปิดไว้ทั้งแบบนั้น ขยับกายหย่อนขาลงค่อยๆ พยุงกายเดินออกจากเตียง

     

                "คิดจะไปไหน"

     

     

                !

     

     

                สึนะโยชิสะดุ้งหายใจเฮือกด้วยไม่คิดว่าจะมีคนอยู่ในห้องเดียวกับตน พลางหันไปมาตามทิศทางของเสียงอย่างเก้ๆกังๆด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ทว่าท่ามกลางความตื่นตระหนกเขากลับรู้สึกว่าน้ำเสียงแหบพร่านั้นช่างคุ้นหูเหลือเกิน

     

                "ซันซัส?"

     

                "เหอะ สะดวกดีจังนะลางสังหรณ์สุดยอดเนี่ย"

     

                ไม่ใช่นะ... เขาอยากเถียงว่าเพราะน้ำเสียงของอีกฝ่ายมีเอกลักษณ์จนจำได้ไม่ยากต่างหาก แต่ก็นึกเหตุผลไม่ออกว่าจะพูดอย่างไรไม่ให้คนขี้หงุดหงิดอาละวาด สุดท้ายจึงก้มหน้ารับคำพูดนั้นอย่างไร้ซึ่งคำโต้แย้ง ทันใดนั้นท่อนแขนของเขาก็ถูกผู้เป็นเจ้าของห้องกระชากกลับลงไปนอนบนเตียงด้วยแรงที่อดไม่ได้จะทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด

     

                ซันซันกอดอกมองยืนมองดูคนบนเตียงโดยใช้ความเงียบกดดันเพื่อเค้นคำตอบที่ถูกถามออกไปในตอนแรก

     

                "ฉันอยาก..ไปหาทุกคน"

     

                สึนะโยชิหันหน้าหนีพยายามหลบดวงตาสีแดงชาดที่แผ่รังสีกดดันมาอยู่เนืองๆ แต่เพราะมองไม่เห็น แทนที่จะหลบก็กลายเป็นหันไปสบหน้ากันตรงๆ เสียแทน

     

                "ด้วยสภาพนี้น่ะเหรอ? เลือกวิธีตายได้สมเป็นสวะดี"

     

                เพราะคำพูดนั้นสึนะโยชิที่ยังลังเลจึงตัดสินใจลองแกะผ้าพันแผลบนใบหน้าออก แสร้งเมินจังหวะหัวใจตัวเองที่เต้นระรัวจนมือสองข้างสั่นคุมแทบไม่อยู่ เม้มปากแน่นข่มลางสังหรณ์ที่มีเพื่อรับรู้ความจริงด้วยตัวของตัวเอง

     

                ซันซัสแค่นหัวเราะในลำคอยามสบตากับนัยน์เนตรสีน้ำตาลหม่นคู่นั้นที่สะท้อนภาพตัวเขาในแววตา

     

                "ตาฉัน..."

     

                เสียงล่องลอยแผ่วเบาราวกระซิบ ใบหน้าหวานซีดเซียวเบิกตาโพลงพลางกระพริบถี่ มือกวักกวาดอากาศอย่างลนลานขณะที่ลมหายใจเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นจังหวะกระชั้นชิด

     

     

                แต่ไม่ว่าจะทำสักเท่าไร ภาพที่มองเห็นก็มีเพียงความมืดมิด

     

     

                "เออ แกตาบอด"  ซันซัสพูดตอกย้ำความเป็นจริงที่เขาพยายามหลีกหนี เดินกลับไปนั่งโต๊ะแล้วลงมือทานเนื้อสเต็กที่ยังค้างไว้  "ไม่ใช่แค่ชั่วคราวแต่เป็นถาวร"

     

                "งะ งั้นเหรอ.."  ใจสึนะโยชิกระตุกวูบ ตอบรับเสียงสั่นก่อนจะจมเงียบอยู่กับความคิดตัวเองนานนับชั่วโมง รู้สึกมืดแปดด้านไม่รู้หนทางที่จะก้าวเดินต่อ กัดริมฝีปากแน่นจนเลือดซึมกล่าวโทษตัวเองที่ไร้พลัง บางทีเขาอาจเป็นแค่สวะอย่างที่อีกฝ่ายบอกจริงๆ ก็ได้

     

                "วองโกเล่.. ปราสาทวองโกเล่เป็นอย่างไรบ้าง"

     

                เขาถามเมื่อเพิ่งหาเสียงตัวเองเจอ ก้มใบหน้าต่ำจนแทบชิดอก ดวงตาสีหม่นสั่นเครือราวกับโลกทั้งใบพังทลายลงต่อหน้า ซันซัสพรูลมหายใจหงุดหงิด กระแทกส้อมกับโต๊ะเสียงดังจนคนบนเตียงสะดุ้ง แล้วก้าวอาดๆ เดินกลับมายืนปลายเตียงดั่งเมื่อครู่

     

                หมัดลุ่นๆ ซัดเข้าโหนกแก้มเต็มแรงจนหน้าหัน สึนะโยชินิ่งเงียบ ใบหน้าปวดหนึบจนเริ่มชาลามลงมาถึงแนวกราม คาวเลือดคละคลุ้งในปากจนได้รสชาติเลี่ยนเค็ม ดุนลิ้นกระพุ้งแก้มที่ปริแตกก่อนเบนหน้ากลับมา ทว่าสายตาว่างเปล่ายังคงมองลึก...  ลึกเข้าไปในตัวตนของดวงตาสีเลือด

     

                "แกยังมีหน้ามาถามอีก"

     

                "ทุกคนล่ะ ปลอดภัยไหม"  เขาถามอีก กลืนเลือดในปากลงคออย่างฝืดเคือง

     

                แม้มองไม่เห็นแต่ก็ได้ยินการเคลื่อนไหวของอีกคนชัดเจน เสียงก่นด่า ทุบทำลายข้าวของ และความแสบร้อนของเปลวไฟดับเครื่องชนที่ยิงเฉียดหน้าเขาไป ลมหายใจหอบที่พยายามข่มอารมณ์ทำให้มือบางเคลื่อนออกไปก่อนความคิด


                ดึงรั้งชายเสื้อคลุมของคนใจร้อนเบาๆ

     

                "แกมัน!"  ถึงตอนแรกจะตวาดกร้าวอย่างฉุนเฉียวแต่สุดท้ายก็ถอนหายใจพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงเต็มที พลางโน้มหน้าผากลงมาสัมผัสซึ่งกันจนรับรู้อุณหภูมิกายร้อนผ่าว  "ห่วงตัวเองบ้างสิไอ้สวะ"

     

                นัยน์ตาเรียวแหลมจ้องมองคิ้วบางขมวดแน่นดวงตาสีสวยที่ทอดสายตาไกลออกไป

     

     

                สึนะโยชิกำลังวิตก...

     

     

                "บอสครับ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว"

     

                ไม่รู้ประตูถูกเปิดตั้งแต่เมื่อไหร่ ท่ามกลางเสียงโครมครามวุ่นวายภายนอก กลับมีเสียงที่แฝงความร้อนรนของเลวี่อาแทน ผู้พิทักษ์อัสนีแห่งวาเรียดังแทรกขึ้นมา

     

                ซันซัสครางรับเบาๆ นิ้วหัวแม่มือบรรจงเช็ดคราบเลือดแห้งกรังมุมปากร่างบาง พูดทิ้งท้ายให้คนมองไม่เห็นรอจนกว่าตนจะกลับมา แล้วเดินหายไปพร้อมลูกน้องที่ถูกตบหัวเพราะบังอาจเข้ามาโดยไม่เคาะประตูขออนุญาต

     

                สิ้นเสียงประตูปิดลง ความเอิกเกริกภายนอกก็เงียบหายไป ราวกับห้องนี้ถูกตัดขาดจากทุกสิ่ง สึนะโยชิฝืนยิ้มภายใต้ใบหน้ามองหม่น ดวงตาสีสวยกระพริบปริบๆ ด้วยยังไม่เคยชิน ความหวาดกลัว ความกังวล สิ่งเหล่านั้นมันกลับมาอีกครั้งเมื่อต้องอยู่คนเดียว...   "ฮะๆ พอไม่โวยวายแล้วรู้สึกแปลกๆจัง"

     

     

     

                สึนะโยชิไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ตัวตนของเขาถูกเรียกแทนว่า จอมห่วย

     

     

     

                อาจเป็นตอนที่ยังขี่จักรยานถอดล้อเสริมไม่ได้เหมือนเด็กวัยเดียวกัน...

     

     

                หรือเป็นตอนที่กระโดดสูงได้น้อยกว่าที่ควรเมื่อเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน...

     

     

                ทุกสิ่งที่ทำให้เขาเป็นจอมห่วยก็แค่ แตกต่าง จากเด็กวัยเดียวกันเท่านั้นเอง

     

     

     

                เพราะอย่างนั้นครั้งแรกที่มีเพื่อน ครั้งแรกที่มีคนอื่นที่ไม่ใช่ครอบครัวมาใส่ใจ มันทำให้ตัวตนจอมห่วยที่แสนเลือนลางกลายเป็นสิ่งที่มีความหมาย

     

     

     

                เขาซุกหน้าลงกับเข่ากอดรัดร่างกายสั่นเทิ้มของตัวเอง อยากปกป้องทุกคน ทุกคนที่เป็นแสงสว่างให้คนอย่างเขา แต่ตอนนี้แม้แต่ตัวเองยังปกป้องไม่ได้เลย  ยิ่งอยู่คนเดียวจิตใจก็ยิ่งฟุ้งซ่าน..

     

                พลันเมื่อยามมองไม่เห็นประสาทหูก็ทำงานได้ดีขึ้น สึนะโยชิลมหายใจสะดุดเงยหน้าขึ้นจากเข่าด้วยความลนลานเมื่อรับรู้ได้ถึงเสียงลมหายใจแผ่วเบาภายในห้อง

     

     

                อะไร.. ใครกำลังมา

     

     

                หัวใจเขาเต้นแรงจนแทบไม่ได้ยินเสียงใครอีกคน และนั่นไม่ดีเลย.. ถอยหลังจนชิดกำแพงเมื่อฝีเท้าที่ย่ำพรมเนิบนาบนั้นเข้าใกล้มาเรื่อยๆ

     

     

     

        ฉึก!!

     

     

     

                "อ๊ากก!?"

     

                เจ็บ.. เจ็บจนน้ำตาไหล ผ้าปูเตียงสีขาวสะอาดถูกย้อมเป็นสีแดงฉับพลัน สึนะโยชิถูกกระชากลงมานอนหงายแล้วใช้ของมีคมแทงทะลุมือทั้งสองข้างตรึงแน่นกับเตียง เม้มปากแน่นลืมความเจ็บตรงซีกแก้มไปหมดสิ้น น่ากลัว รอบตัวที่มีแต่ความมืดมิดช่างน่ากลัว ขาทั้งสองพยายามดีดดิ้นถีบสะเปะสะปะก่อนถูกเรียวขาผู้บุกรุกกดทับจนขยับไม่ได้ ตอนนี้จึงกลายเป็นว่าเขาถูกคล่อมโดยใครบางคนอย่างสมบูรณ์

     

                ใบหน้าครึ่งล่างถูกมือหนาบีบแน่นจนอึดอัด สึนะโยชิสะอื้นฮักตัวสั่นคุมไม่อยู่ ยิ่งขยับคมมีดก็ยิ่งบาดลึกได้กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้ง ลมหายใจขาดห้วงสติที่มีเริ่มจางหาย ถ้าหากดวงตาเขายังมองเห็นบางทีมันคงเริ่มพร่าเลือนแล้วกระมัง

     

                ภายใต้ความเงียบงันแว่วเสียงหัวเราะเอกลักษณ์ดังขึ้นมาจากตรงหน้า จากที่เคยต่อต้านก็เปลี่ยนเป็นตะลึงงัน พึมพำชื่อของอีกคนด้วยความสับสน ในหัวผุดคำถามมากมายจนคิดอะไรไม่ออก ทำไม..  "เบล.."

     

     

                "สนุกพอหรือยัง?"

     

                คำพูดราบเรียบกลบเสียงเรียกจนมิด ทันใดนั้นราวกับห้วงเวลาถูกหยุดทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ภายใต้ความนิ่งสนิท มีเพียงหยาดน้ำตาของร่างบางที่พรั่งพรูออกมาอย่างไม่หยุดหย่อนกับเสียงสะอื้นไห้แทบขาดใจ ท่ามกลางจิตสังหารที่ฟาดฟันกันของสมาชิกหน่วยลอบสังหารวาเรีย

     

                "อะไรกัน สควอโล่อยากเล่นด้วยเหรอ ไม่ได้หรอกนะ"  ว่าพลางหัวเราะขึ้นจมูกตามแบบเจ้าตัว อีกทั้งมือที่ละใบหน้าหวานให้เป็นอิสระก็เปลี่ยนมาหมุนควงมีดในมือ เสียงตัดลมบาดหูจนคนนอนอยู่หวาดผวา

     

                "งานของแกไม่ใช่เจ้านี่"  เคลื่อนตัวเดินมาหยุดที่ปลายเตียง แขนที่ถูกแทนด้วยดาบจ่อแนบลำคอคนที่นั่งหันหลังให้ บ่งบอกว่าเขาเอาจริง  "ไปซะ ก่อนที่ฉันจะรายงานบอส"

     

                "ชิ พ่อมือขวาดีเด่น"  ส่งเสียงจิ๊ปากอย่างขัดใจก่อนจะแทงมีดลงกับเตียงอย่างรุนแรงบาดข้างลำคอเล็กเป็นทางยาว แว่วเสียงครางด้วยความเจ็บปวดของคนเบื้องล่าง เพียงเท่านั้นร่างกายสูงใหญ่ที่นั่งกดทับก็ลุกขึ้นพรวด เดินล้วงกระเป๋าผ่านเจ้าของเรือนผมสีเงินไปพร้อมรอยยิ้มวิปริต

     

                ถึงจะเสียดายอยู่บ้างแต่เขาไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้งตอนนี้หรอก อย่างไรซะก็ยังมีเวลาให้เขาได้เจอกันอีกเยอะ เบลเฟกอลเลียเลือดเปียกชุ่มบนฝ่ามือราวกับเป็นของหวานชั้นเลิศพร้อมกับเสียงหัวเราะไปตลอดทาง...

     

                "สะ..สควอโล่"

     

                สึนะโยชิส่งเสียงเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างยากลำบาก หายใจรวยริน ความเจ็บปวดที่มีทำเอาครองสติแทบไม่อยู่

     

                "นี่.."

     

                "เงียบก่อน"  ร่างสูงปราม สูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอดเพื่อปรับอารมณ์

     

                เมื่อรู้สึกว่าคนในห้องเริ่มเข้าสู่ภาวะความคิดส่วนตัว สึนะโยชิจึงเปลี่ยนใจจากที่จะขอให้อีกฝ่ายช่วยในตอนแรก ลองขยับมือไปมาเพื่อให้มีดหลุดออกจากมือทั้งสองข้างด้วยตัวเอง

     

                และดูท่าว่ามันจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเพียงแค่ขยับนิดเดียวความปวดร้าวก็แล่นลามไปทั่วปลายนิ้วจนด้านชา หยาดน้ำตาที่เหมือนจะแห้งเหือดไปเริ่มไหลลงมาอีกครั้ง ยามเรื่องร้ายๆ ประดังมาพร้อมกันก็ทำเอาคนมักยิ้มแย้มอย่างเข้มแข็งหมดแรงใจซะดื้อๆ

     

                สึนะโยชิหลับตาลง แม้จะมองไม่เห็นแล้วแต่ก็เคยชินในการเปิดเปลือกตามองรอบกายอยู่เสมอ ถอนหายใจอ่อนแรง พอแล้ว เขายอมแพ้แล้ว...

     

     

                "โว้ยยยย!! ไอ้ตุ๊ดบ้าลุสซูเลียอยู่ไหน มานี่เดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย!"

     

                เสียงโวยวายแปดหลอดดังลั่นห้องท่ามกลางความเงียบงัน สึนะโยชิตกใจเกือบยกมือมาปิดหูตามความเคยชินถ้าไม่ติดว่าความเจ็บมันเหนี่ยวรั้งไว้เสียก่อน

     

                รอไม่นานร่างสูงใหญ่ชายข้ามเพศในชุดฟูฟ่องก็เดินกรีดกรายเข้ามาอย่างไม่ทุกข์ร้อน มือเรียวภายใต้ถุงมือหนังสีขาวดันแว่นกันแดดมีจริตจะก้านแล้วเอ่ยถามโทนเสียงสูงถึงเหตุผลที่เรียกหาตน

     

                "อาวุธกล่องแกคือการรักษานี่ เอ้า! ทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อย"  กอดอกพยักเพยิดไปยังคนบาดเจ็บบนเตียง

     

                "ต๊ายตาย วองโกเล่นี่ปวกเปียกจังเลยนะฮ้า"  หล่อนพูดปนขบขันเมื่อสำรวจบาดแผลอย่างใกล้ชิดแล้ว

     

                สึนะโยชิพยายามลืมตามองตามทิศของเสียง หัวของเขาปวดหน่วงราวกับถูกทุบตีจนเสียงมันเลอะเลือนฟังไม่เป็นคำ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่กำลังพูดเป็นใครอยู่ตรงส่วนไหนในห้อง

     

                "เฮ้ย.. จะดึงเลยงั้นเหรอ"

     

                "หวังอะไรอยู่ยะ ฉันไม่มียาชาหรือยาสลบหรอกนะตัวเธอ"  ลุสซูเลียเชิดหน้าตอกกลับ เมื่อถูกรั้งขณะที่นิ้วงอนกำลังจะสัมผัสมีดที่จมมิดจนเห็นแค่ด้าม สำหรับวาเรียไม่มีที่สบายให้คนบาดเจ็บหรือผิดพลาดอยู่แล้ว แม้ตัวหล่อนจะเป็นนางฟ้าประจำแฟมิลี่ก็ต้องทำตาม อีกอย่างในยุคที่อาวุธกล่องเฟื่องฟูใครจะมามัวพกยาโบร่ำโบราณกัน?

     

     

                "กล้าดียังไงเข้ามาในนี้"

     

                เสียงต่ำแหบพร่าดังสยบบทสนทนาคนทั้งสองในห้อง บอสแห่งวาเรียยืนทะมึนทึงจ้องมาด้วยความโกรธเกรี้ยวกว่าครั้งไหนๆ ปืนพกในมือถูกปลดห้ามไกก่อนจ่อตรงใบหน้าคนที่มายุ่งกับของของเขา

     

                ทั้งที่ใบหูอื้ออึ้งจนฟังเสียงคนใกล้ตัวไม่เป็นคำแท้ๆ แต่เสียงที่ดังตามอารมณ์ปะทุกลับเข้ามาในโสตประสาทชัดเจนจนน่าประหลาด กะแล้วเชียว เสียงของคนๆ นี้มีเอกลักษณ์ฝังลึกในหัวของเขา

     

                "แหกตาดูบ้างไอ้บอสเวรตะไล พวกฉันกำลังช่วยซาวาดะอยู่"

     

                ขณะที่ลุสซูเลียเหงื่อแตกพลั่ก สควอโล่กลับกล่าวขึ้นเฉื่อยชา ราวกับคนที่พร้อมอาละวาดฆ่าคนได้ทุกเมื่อหาได้น่ากลัวไม่

     

                "ซัน..ซัส"  สึนะโยชิกรอกตาหาภายใต้ความมืด และเสียงขานรับตอบกลับมาที่แม้เขาจะเปล่งไปเบาจนแทบไม่ได้ยินทำให้ร่างบางอุ่นใจวาบจนลืมความเจ็บชั่วขณะ ภาพที่เห็นนั่นทำให้ซันซัสแทบคลั่ง กำหมัดแน่นชกไปที่กระจกหน้าต่างจนแหลกละเอียดระบายความโกรธ

     

                "ไอ้ฉลามสวะ ไปฆ่าไอ้เวรนั่นเดี๋ยวนี้"

     

                สควอโล่พยักหน้ารับ ไม่ต่างจากที่เขาคาดไว้เท่าไหร่นัก ทำแผนการพังหมดแบบนี้บอสคงโกรธจริงๆ แล้ว  "เออ ให้ไปฆ่าแต่ไม่ถึงตายสินะ? รับทราบ"  เสียงยานคางพูดทวนคำสั่งชวนสับสนก่อนจะใช้อาวุธกล่องพาตัวเองออกไปตามล่าคนก่อเรื่อง

     

                "แล้วแกมัวรีรออะไร อยากตายรึไง!"  หันมากระแทกเสียงอีกครั้งเมื่อคนที่รับหน้าที่หมอจำเป็นมัวแต่นั่งทื่อไม่ยอมลงมือสักที

     

                ลุสซูเลียยกมือปาดเหงื่อข้างขมับปัดคำพูดของผู้พิทักษ์พิรุณที่ก่อกวนในหัวทิ้งไป แล้วลงมือถอนมีดออกทันที

     

                "ไม่!! อ๊า!"  เพราะปากแผลเริ่มแห้งแล้ว การถอนมีดที่ฝังลึกมิดด้ามยิ่งเป็นไปได้ยากใหญ่ สึนะโยชิร้องลั่นดีดดิ้นไปมาทำให้แผลเริ่มฉีกขาดจนมีเลือดไหลย้อมผืนเตียงเพิ่มขึ้นอีก

     

                "พอแล้ว ไม่เอา.. ฮึก"

     

                "หยุด"

     

                มีดที่ถูกดึงออกมาได้ครึ่งเล่มหยุดชะงักลงตามคำสั่งของผู้เป็นบอสทันทีที่ได้ยินเสียงสะอื้นครวญครางของร่างบาง ซันซัสยอมรับว่าเขาค่อนข้างตกใจเพราะไม่เคยเห็นสึนะโยชิในมุมนี้มาก่อน มุมที่อ่อนแอไร้กำลัง.. ใบหน้าคมแต้มรอยแผลเป็นแสยะยิ้มกว้าง ดูท่าว่าผลที่ได้มันช่างคุ้มค่าเกินกว่าที่คาดคิดไว้เสียจริง

     

                กายใหญ่ทรุดลงนั่งเหนือหัวร่างบาง ช้อนศีรษะหนุนตักง้างปากสีสดเผยเห็นรอยฟันและคราบเลือดมากมายในริมฝีปาก มือหนาแทรกเข้าวางตามแนวฟัน ท่ามกลางความสงสัยของคนทั้งสอง

     

                "ถ้าหากทนไม่ไหวก็กัดมือฉัน แต่ห้ามดิ้นเข้าใจไหม"

     

                แม้ยังสับสนอยู่บ้างแต่สึนะโยชิก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ทันใดนั้นความเจ็บปวดก็เสียดแทงฝ่ามือขึ้นมาอีกครั้งจนกลั้นไว้ไม่อยู่ เขาส่ายหน้าน้ำหูน้ำตาไหลพราก ทรมานทุกครั้งที่มันถูกดึงครูดผ่านแนวกระดูก จนเมื่อสุดปลายมีดดึงออกไปเหมือนได้มีแรงกลับมาหายใจอีกครั้ง หยดเลือดที่ไหลซึมเข้าปากทำให้ร่างบางเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อรู้ว่าตัวเองเผลอทำร้ายอีกฝ่ายจนเลือกตกยางออก..  คงไม่โดนฆ่าหรอกใช่ไหม?

               

                พอจะอ้าปากพูดมือหนาก็ถูกดันเข้ามาลึกกว่าครั้งก่อนจนส่งเสียงไม่ถนัด  "อีกข้างนะ"  ซันซัสพูดกับเขา ทว่าน้ำเสียงนั้นช่างอ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆ หยาดน้ำตาหยุดไหลเขาหลับตาเตรียมรับความทรมานเกินทนอีกครั้ง

     

     

                เวลาเพียงไม่กี่นาทีช่างนานนับชั่วนิรันดร์ สึนะโยชิสลบไปด้วยความเหนื่อยล้า บาดแผลถูกไฟธาตุอรุณเยียวยาจนกลับมาเป็นปกติราวกับไม่เคยมีแผลมาก่อน ภายในห้องที่ร่างบางหลับใหลมีร่างสูงใหญ่ของคนสองคนยืนมองเขาอยู่ไม่ห่าง

     

                "จัดการคนหมดแล้วจะให้ทำไงต่อ"

     

                "เผาทิ้งไปซะ"

     

                งึมงัมตอบรับลอบถอนหายใจ พลางเหลือบสายตาไปมองคนบนเตียงชั่วครู่

     

                "จะปล่อยไว้แบบนี้เหรอ"

     

                "..มันไม่จำเป็นต้องรู้"

     

     

     

     

                ซันซัสเกลียดดวงตาคู่นั้น...

     

     

                ลูกแก้วสีเปลือกไม้ที่สั่นวูบไหวยามจ้องลึกทะลุเข้ามาสู่จิตใจ พยายามเก็บซ่อนตัวตนแห่งบาปในห้วงลึก ปกปิดความผิดที่แบกรับบนบ่าใหญ่

     

     

                อย่ามองนะ

     

     

                เขาพร่ำบ่นซ้ำๆ ตัวตนแข็งแกร่งที่คอยห่อหุ้มก้อนเนื้ออ่อนไหวสั่นเทา หวาดกลัวเหลือเกิน.. ว่าจะถูกเผยความอ่อนแอที่มี

     

                กระชับปืนในมือทั้งสองแน่น จ่อตรงไปยังเจ้าของดวงตาคู่นั้น แม้จะแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มก็ยังทำเหมือนมองเห็นตัวตนเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง

     

                'อย่างแกมันจะไปรู้อะไร!?'

     

     

                ยิ่งหวั่นเกรงก็ยิ่งต่อต้าน

     

     

                เหนี่ยวไกกัมปนาทพร้อมแผดเสียงร้องคำรามลั่น ความรัก ความอบอุ่น แม้ไม่เคยได้สัมผัสแต่ทุกคราก็เหยียดเย้ยว่ามันช่างไร้ค่ายิ่งนัก จะโหยหาไปเพื่ออะไร? สุดท้ายแล้วพลังอำนาจคือสิ่งที่มนุษย์ล้วนแก่งแย่งชิงเพื่อเป็นใหญ่ไม่ใช่หรือ

     

                'รู้สิ'

     

                อีกแล้ว.. พูดจาโอ้อวดแสร้งแสดงความเห็นใจน่าสะอิดสะเอียน ไม่ต่างจากตาแก่นั่นสักนิด ลมหายใจหอบถี่ขึ้นยามเมื่อระยะห่างค่อยๆร่นเข้ามาตามจังหวะเดินของอีกฝ่าย ไม่จำเป็นต้องทำเป็นเห็นใจ ไม่ได้ต้องการสักนิด เพราะมันยิ่งไล่ต้อนให้ตัวตนนั้นด้อยค่ายิ่งกว่าเศษสวะที่น่ารังเกียจเสียอีก

     

                ไอเย็นไล่จากขาขึ้นมาถึงบั้นเอว ซันซัสกัดฟันกรอดพยายามขืนตัวหนีออกแต่มันเป็นไปไม่ได้เลย ร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยแผลจากการแช่แข็งในอดีตมันปวดร้าวตอกย้ำสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง เขาสบถไล่เจ้าของเปลวไฟโชติช่วงอย่างแค้นเคือง ก่อนเสียงนั้นจะกลืนหายไปใต้ก้อนน้ำแข็งที่ปกคลุม ทว่าดวงตาสีสวยคู่นั้นกลับฉายแววเจ็บปวดเหลือคณา...

     

     

                นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่ายังมีคนที่เข้าใจตัวเขาอย่างถ่องแท้อยู่

     

     

     

     

        ตูม!!!

     

     

                "แย่แล้ว! ศัตรูบุก อ๊าก!?"

     

                "พะ พวกมันแข็งแกร่งเกินไป"

     

                "ปกป้องรุ่นที่สิบเร็วเข้า!"

     

     

                เสียงหวีดสัญญาณเตือนภัยดังลั่นจนปวดหู สึนะโยชิสูดลมหายใจเข้าออกทางปากหยัดยืนด้วยร่างกายสะบักสะบอม เปลวไฟดับเครื่องชนบนหน้าผากแผ่วลงคล้ายจะดับไปได้ทุกเมื่อ แผ่นหลังแนบชิดผู้พิทักษ์ทั้งหกที่ย่ำแย่ไม่ต่างกันหันอาวุธประจันหน้าศัตรูที่เข้าล้อมรอบ สถานการณ์ย่ำแย่บีบบังคับให้เหล่าวองโกเล่ตกอยู่ในสถานะจนมุม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงต่อสู้เคียงข้างกันจนถึงที่สุด

     

                พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแฟมิลี่ไหนที่บุกเข้ามา หน้ากากเหล็กครึ่งหน้าสีดำนั้นช่างแปลกตา ไม่มีทั้งแหวนหรืออาวุธกล่องประจำกลุ่ม หรืออาจมีแต่ถูกซ่อนไว้... ลางสังหรณ์ของสึนะโยชิบอกเขาว่าคนพวกนี้ปกปิดตัวตนด้วยพลังสายหมอก ต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกันถึงหลอกสายตานภาและผู้ใช้มายาแห่งวองโกเล่ได้

     

                "รุ่นที่สิบ!!"

     

                โล่วายุเคลื่อนมาบังกระสุนเปลวไฟดับเครื่องให้ร่างบางที่เผลอจมอยู่กับความคิดตัวเอง แต่ก็แลกกับการที่เขาต้องถูกธนูอัสนีปักต้นแขนโดยไร้ซึ่งโล่กำบัง

     

                "โกคุเดระคุง!"  เขาตะโกนเรียกมือขวาคนสนิทด้วยความเป็นห่วง มือกางเปลวไฟปัดป้องมีดเมฆาให้ผู้พิทักษ์พิรุณข้างกายที่ประดาบกับศัตรูอยู่

     

                ระเบิดลูกใหญ่ถีบพวกเขาทั้งเจ็ดปลิวกระเด็นออกจากกัน ความรุนแรงของมันทำเอาสมองมึนเบลอไปชั่วขณะ สึนะโยชิกัดฟันกรอดเปลวไฟดับเครื่องชนมอดไปแล้ว ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ไปใหญ่ เขากวาดสายตารีบเร่งใช้ความคิดพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นผู้พิทักษ์อัสนีที่ยังนอนสลบไม่ได้สติ แชนเดอเรียแก้วเหนือหัวโคลงเคลงตามแรงระเบิดก่อนจะร่วงลงมาตามแรงโน้มถ่วง

     

                ไวกว่าความคิดเขาวิ่งไปคว้าตัวเด็กหนุ่มวัยมัธยมออกมาแทรกตัวเข้าไปแทนตามแรงเหวี่ยง สึนะโยชิเบิกตาโพลงใบหน้าเปื้อนฝุ่นขาวซีดจนไร้สีเลือดฝาด ภาพสุดท้ายที่เห็นคือเหล่าผู้พิทักษ์ที่ส่งเสียงร้องเรียกตัวเขาละทิ้งการต่อสู้แล้วพยายามเร่งรุดเข้ามา ก่อนที่เศษแก้วยักษ์จะลงมาปิดทับจนทุกสิ่งมืดสนิท

     

     

     

        เพล้ง!!

     

     

     

                โรคุโด มุคุโร่ เคลื่อนกายออกมาจากซากปรักหักพังอย่างยากลำบาก ร่างของโคลมบาดเจ็บหนักเกินไปทำให้เวลาที่เขามีในร่างนี้เริ่มถอยหลังลงไปเรื่อยๆ เอนกายนั่งพิงเสากุมท้องที่มีเลือดไหลออกมาไม่หยุดดวงตาต่างสีฉายแววอาฆาตยามมองไปยังศัตรูภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้ม

     

                "เป็นคุณเองเหรอครับ" เขาหัวเราะกลั้วยังเป็นคนที่กระหายอำนาจเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ

     

                ร่างของชายผมเงินผู้สวมหน้ากากเหล็กสีดำค่อยๆ หมุนกายมาทางเขาอย่างช้าๆ พร้อมกับนภาแห่งวองโกเล่ที่ถูกย้อมไปด้วยสีแดงชาดทั่วร่างจนแทบไม่เห็นทางรอดในอ้อมแขน หมอกมายาปกคลุมทั่วร่างเผยเรือนผมสีรัตติกาล ใบหน้าดุดันแต้มรอยแผลเป็นทั่วร่าง ดวงตาสีแดงก่ำเหลือบมองผ่านเขาไปเหมือนเป็นเพียงเศษขยะหรืออะไรที่ยิ่งกว่านั้น

     

     

     

     

                "ซันซัส...?"

     

                เสียงเรียกแผ่วเบาดึงตัวเขาออกจากการนั่งจมอยู่กับความคิด มองเห็นเจ้าของดวงตาไร้แววกวาดมือไปมาหาตัวเขา "ฉันอยู่นี่" ดึงมือขาวซีดมากุมไว้กับตัก

     

                "บอกมาสักที ผู้พิทักษ์ฉัน.. แฟมิลี่ฉันอยู่ที่ไหน"  แววตาคู่นั้นฉายแววสิ้นหวังเสียงสั่นๆ ถามออกมาอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ มือที่ถูกกุมเคลื่อนมารั้งขยำอกเสื้อคนตรงหน้าเพื่อเค้นคำตอบ

     

                "ปราสาทวองโกเล่ถูกทำลายแล้ว เพื่อความปลอดภัยของตัวแกทุกคนเลยเห็นว่าจากนี้ไป แกต้องย้ายมาอยู่ในความคุ้มครองของวาเรีย" 

                "งั้นทุกคนก็ยังมีชีวิตอยู่สินะ"  แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นวาเรีย แทนที่จะเป็นกลุ่มผู้ดูแลนอกแก๊ง แต่คำพูดรวมๆ นั่นก็ทำให้เขาตีความไปว่าเหล่าเพื่อนสนิทยังอยู่ดี รอยยิ้มฉายชัดในดวงตา ปล่อยเสื้ออีกฝ่ายที่กำไว้จนขึ้นข้อขาว ภาพของซันซัสยังคงสะท้อนอยู่ในแววตา บอสวาเรียจุดยิ้มมุมปาก ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีเสียจริง  "ฉันไปหาทุกคนได้ไหม"

     

                ซันซัสหุบยิ้ม

     

                มือหนากอบกุมรอบลำคอเล็ก มันขยับขึ้นลงเบาๆเมื่อคนมองไม่เห็นลอบกลืนน้ำลายด้วยความหวาดกลัว แรงบีบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนได้ยินเสียงครางลอดออกมา  คอเล็กๆนั่น.. ถ้าเผลอบีบรัดแรงเกินไปจะทำให้ไอ้สวะนี่ตายหรือเปล่านะ? ชักอยากรู้แล้วสิ

     

                "อึก.. ซันซัส เป็นอะไร..เนี่ย"

     

                เค้นเสียงพูดยากเย็นแต่ก็พอให้อีกคนได้สติ ละมือออกมาวางข้างตัว เผลอออกแรงบีบเสียจนเป็นรอยนิ้วเด่นชัด นี่ไม่ต่างจากการตีตราว่ามันเป็นของเขาเลยไม่ใช่หรือไง  แค่นหัวเราะให้กับความคิดประหลาดของตัวเอง

     

                "ก็ได้ เจ้าพวกนั้นจะได้เห็นว่าทุกสิ่งที่มันพยายามทำ สำหรับแกมันไม่มีค่าอะไรเลย"

     

                "ไม่ใช่นะ!"

     

                เสียงแหบพร่ากระซิบข้างหูเยาะเย้ย  "น่าสนุกดีไอ้สวะ ถ้ามันรู้ว่าบอสตาบอดแบบนี้คงพากันวิ่งแจ้นไปหาเจ้านายใหม่"

               

                ไม่มีทาง... ต่อให้เกิดอะไรขึ้นพวกนั้นก็ไม่มีวันทิ้งเขา สึนะโยชิขมวดคิ้วมุ่น ทุกสิ่งมันสั่นคลอนจิตใจเติมเต็มด้วยความวิตกหวาดระแวง เขาไม่แน่ใจเลย หากทุกคนเปลี่ยนไป หากเป็นอย่างนั้นจริงๆ เขาที่ไม่เหลืออะไรเลยจะเป็นเช่นไร

     

                ใบหน้าหวานหม่นหมอง ทรุดกายพิงอกกว้างอย่างอ่อนแรง หากเป็นอย่างนั้นสิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็มีเพียงการรอคอย รอสักวัน.. ที่เพื่อนๆทุกคนพร้อมยอมรับสิ่งเขาที่เป็น ดวงตาสีน้ำตาลหม่นมองเลื่อนลอยไร้จุดหมาย ไม่มีใครในสายตา นอกจากร่างสูงตรงหน้า

     

     

     

     

                หากสึนะโยชิไม่ได้ตาบอด เขาคงมองเห็นรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าเหี้ยมโหดของบอสวาเรีย ยิ้ม.. ที่ได้ครอบครองคนที่ตนปรารถนามาเนิ่นนาน

      




     



     


     

    Talk with (FONG)Writer    

     

           จริงๆความรู้สึกของซันซัสยังไม่เชิงเป็นความรักค่ะ สิ่งที่เขารู้สึกต่อสึนะโยชิเป็นความคิดที่ของคนที่ไม่เคยได้สัมผัสความรักความอบอุ่นแล้ววันหนึ่งก็ได้พบกับคนที่เข้าใจตัวเอง ผันเปลี่ยนความคิดกลายเป็นอยากครอบครอง อยากให้คนๆนั้นสนใจแต่ตัวเอง และกำจัดคนที่อีกฝ่ายให้ความสนใจมากกว่าตัวเอง ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆคือซันซัสเป็นฝ่ายที่ต้องการความรัก

     

          มันเป็นอาการยันเดเระที่ถูกแสดงมาในรูปแบบนิสัยซันซัสค่ะ แต่ในเนื้อเรื่องไม่ได้ย้ำปมนี้นักเลยยกมาคุยในทอล์คแทน

     

         แนะนำตัวอีกครั้ง ชื่อ ฟง ค่ะ นักอ่านทุกท่านเรียกฉันด้วยชื่อได้นะคะ เวลาถูกเรียกว่าไรต์ทีไรไม่ชินเอาซะเลย *หัวเราะ* ความจริงก็แค่อยากสนิทกับทุกคนนั่นแหละค่ะ

     

     

    ด้วยรัก

    ฟง จิ้งจอกสีชาด

     

    ปล. ส่วนใหญ่ทุกคนชอบให้สึนะโยชิคู่กับใครบ้างเหรอคะ บางทีฉันก็คิดว่าอยากลองแต่งคู่ที่มีแนวโน้มมากที่สุดของกลุ่มผู้ติดตามดู ท่าทางน่าสนุกดีนะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×