ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    GOT7 | KissMark ตราไว้ในใจนายคือของฉัน![END]

    ลำดับตอนที่ #52 : :: KISSMARK :: EP.52

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.87K
      70
      12 ม.ค. 58


    “พี่จะทำอะไรเนี่ยผมอยากพักนะ!”  


    มาร์คโวยวายเสียงดังแล้วขมวดคิ้วยุ่งเมื่อไดร์เป่าผมถูกเปิดและจ่อลงมาที่ศีรษะเขาเหมือนปืนที่กำลังเล็งเป้า  หลังจากที่แจ็คสันกลับไปถึงโซลไม่นานผู้จัดการของมาร์คก็เดินทางมาถึงที่โรงพยาบาล สอบถามอาการเขานิดหน่อย และไปคุยกับคุณหมอประจำไข้ก่อนจะจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายแล้วกลับมาหามาร์คอีกครั้งพร้อมกับสไตล์ลิสสองคน คนหนึ่งจัดการเรื่องเสื้อผ้า อีกคนหนึ่งจัดการเรื่องใบหน้าและทรงผมซึ่งมาร์คก็กำลังถูกไดร์ผมให้เรียบ และจัดเป็นทรงให้ตกลงมาปิดหน้าผาก


    มาร์คคิดว่าจะได้พักต่ออีกซักวันสองวันแต่ที่ไหนได้ ผู้จัดการทำเรื่องให้เขาย้ายกลับโซลเย็นนี้เลย แล้วอย่าได้หวังเลยนะว่ากลับไปถึงแล้วมาร์คจะยอมเข้าโรงพยาบาลน่ะ เขาอยากอยู่กับแบมแบมมากกว่าที่ต้องเจอหน้าผู้จัดการตัวเองเสียอีก ถ้าจะพูดให้ถูกคือ ตอนนี้มาร์คไม่อยากทำอะไรทั้งนั้นนอกจากคุยกับแบมแบม หรือได้อยู่กับแบมแบมแบบสองต่อสอง ไม่ใช่มีทั้งผู้จัดการทั้งสไตล์ลิส ทั้งคุณหมอทั้งพยาบาลที่ก็ไม่รู้ว่าจะเดินเข้ามาเมื่อไหร่แบบนี้


    “แล้วไปเครียดอะไรมาถึงได้ไมเกรนขึ้นเป็นลมเป็นแล้งไปขนาดนี้” เสียงแหลมใสของผู้จัดการถามอย่างจ้องจับผิดทำให้แบมแบมที่นั่งเงียบๆอยู่บนโซฟาต้องหันกลับมามอง


    “มีเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยครับ” มาร์คตอบเสียงเรียบ ทีจริงเขาอยากจะบอกว่าทะเลาะกับแฟนด้วยซ้ำไป แต่แบมแบมบอกเขาว่าไม่ให้บอกเรื่องนี้กับใครเพราะมันจะกระทบถึงตัวเขาเอง ซึ่งมาร์คก็ไม่เห็นว่ามันจะเสียหายตรงไหน


    “เรื่องอะไรล่ะ ไอ้เรื่องเข้าใจผิดน่ะ”


    “พี่ไม่รู้ซักเรื่องได้มั้ยครับ” มาร์คต้วนขอสาบานเลยนะว่านี่เป็นครั้งแรกที่พูดกับผู้จัดการตัวเองแบบนี้ ด้วยน้ำเสียงเรียบๆประมาณนี้ เพราะสถานะของมาร์คคือศิลปินในความดูแลของค่าย แล้วมันก็จำเป็นที่ศิลปินก็ต้องมีผู้จัดการ แล้วมาร์คก็เข้าใจดีในเรื่องที่ว่าห้ามศิลปินและผู้จัดการมีความลับต่อกัน เรื่องของศิลปินก็คือเรื่องของผู้จัดการ ถ้าจะเป็นศิลปินก็ตัดคำว่าชีวิตส่วนตัวออกได้เลย เพราะมาร์คก็เพิ่งบรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ


    “มาร์ค” ดวงตาคมจ้องจับผิดทำให้มาร์คยิ่งลำบากใจมากขึ้นไปอีก


    “ผมก็ไม่รู้จะบอกพี่ยังไงดี” ก็แบมแบมก็นั่งอยู่ตรงนั่นพูดตอนนี้ยังไงก็มีปัญหาแน่ “ไว้ผมจะบอกทีหลังนะครับ”


    “เมื่อไหร่?”


    “เมื่อมีโอกาสครับ” มาร์คตอบอย่างไม่มั่นใจนักว่าไอ้โอกาสที่ว่าน่ะมันเมื่อไหร่ แต่เขาก็อยากจะเคลียร์เรื่องนี้ให้มันจบๆไปซักที เรื่องระหว่างเขากับแบมแบมก็ลงตัวดีแล้ว เหลือก็แต่ว่าคนที่คอยดูแลเขาตลอดอย่างผู้จัดการจะว่าอย่างไง


    “ครั้งนี้ฉันเห็นว่านายป่วยนะเลยปล่อยไปก่อน แต่นายต้องรีบบอกฉันนะเดี๋ยวถ้ามีปัญหาอะไรขึ้นมาฉันจะได้แก้ทัน”


    “ครับ” มันจะมีปัญหาก็เพราะพี่นี่แหละครับ ย้ำจังเลยว่าต้องบอกเนี่ย


    เมื่อเห็นว่ามาร์คไม่ได้พูดอะไรต่อแบมแบมก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจบทสนทนาของมาร์คกับผู้จัดที่เปลี่ยนเรื่องคุยไปแล้ว เป็นเรื่องที่จำแบมแบไม่จำเป็นต้องรู้เท่าไหร่ อย่างเรื่องหุ้นของบริษัทหรือต้นสังกัดของมาร์ค เรื่องของศิลปินต่างๆภายในค่าย แบมแบมไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนี้เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าจะเอาเรื่องเหลี้ไปคุยกับใครดี อีกอย่างแบมแบมเห็นว่ามันเป็นเรื่องภายในเขาเป็นคนนอกทำเป็นไม่รู้น่ะดีที่สุดแล้ว



    “เดี๋ยวนายไปเปลี่ยนชุดนะแล้วเก็บของกลับโซลกัน” 


    “ครับ” มาร์คตอบขณะดึงเข็มให้น้ำเกลือออกจากหลังมืออย่างแรงจนมีเลือดไหลออกมา


    “บอกให้เปลี่ยนชุดไม่ได้บอกให้ถอดสายน้ำเกลือ ฟังภาษาคนรู้เรื่องมั้ย” ผู้จัดการสาวว่าแล้วส่ายหน้าเอือมๆกับเด็กในการปกครอง


    “ผมจะบวมน้ำตายแทนไมเกรนแล้วครับ” มาร์คเถียงแล้วหันกลับไปมองแบมแบมที่ส่งสายตาดุๆมาเหมือนกับจะต่อว่าเรื่องที่เขาดึงสายน้ำเกลือโดยพลการ “แบมแบมมาช่วยพี่ใส่เสื้อหน่อยสิ”


    “ครับ” แบมแบมขานรับแล้วลุกจากโซฟาไปรับเสื้อที่สไตล์ลิสถืออยู่มาถือไว้เอง ก่อนจะเดินตามมาร์คเข้าไปในห้องน้ำ


    “เป็นอะไรหน้าบูดเชียว” เสียงทุ้มถามขำๆอย่างไม่ใส่ใจมากนักเมื่อได้ยินเสียงล็อกกลอนประตู ทีจริงเขารู้อยู่แล้วล่ะว่าทำไมแบมแบมถึงทำหน้าเง้างอขนาดนั้น


    “เจ็บมั้ย?” แบมแบมไม่สนใจคำถามแต่กลับมองไปที่รอยแดงบนหลังมือหนาแทน “เลือดออกเลย”


    “นิดหน่อยเอง” มาร์คตอบขณะเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างของเหลวสีแดงออกไป


    “ทำไมชอบทำร้ายตัวเองจัง”


    “เปล่าซักหน่อย”


    “ถ้าเปล่างั้นเรื่องที่เราคบกัน เรื่องที่ทำให้พี่มาร์คไมเกรนขึ้นจนสลบไปก็ไม่ต้องบอกความจริงกับผู้จัดการพี่นะครับ” แบมแบมพูดเสียงเรียบดวงตากลมมองใบหน้าหล่อผ่านเงาในกระจก


    “เรื่องนี้พี่จะตัดสินใจเอง” เขารู้อยู่แล้วว่าที่แบมแบมยอมเดินตามเข้ามาด้วยใบหน้าไม่พอใจก็เพราะเรื่องนี้นี่แหละ ตั้งแต่ครั้งก่อนแบมแบมก็กำชับว่าไม่ให้เขาบอกใครว่าคบกับตนเองนั้นก็เพราะกลัวว่ามันจะมีผลเสียตามมาแบบที่ตั้งรับไม่ไหว แบมแบมสังเกตได้ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วว่ามาร์คพยายามจะบอกแต่ก็ยังเกรงใจตัวเองอยู่เลยปฏิเสธไป


    แต่สำหรับมาร์คแล้วเขาไม่เห็นว่ามันจะแย่ตรงไหน มันกลับดีด้วยซ้ำที่เขาจะได้ทำอะไรเปิดเผยมากขึ้นไม่ต้องหลบๆซ้อนๆ ถ้ามีปัญหาก็จะได้ช่วยกันป้องกัน ไม่ใช่มาหาทางแก้กันทีหลัง อีกอย่างนี่ก็ผู้จัดการส่วนตัวเขามันต้องมีทางออกดีๆสำหรับเรื่องนี้อยู่แล้ว ไม่มีกฎข้อไหนห้ามศิลปินมีแฟนนี่นา


    “พี่มาร์คแบมไม่คิดว่าทุกอย่างมันจะผ่านไปด้วยดีหรอกนะ” แบมแบมพูดอย่างไรความหวังก่อนจะหันกลับไปหากำแพงเอาเสื้อเชิ้ตและกางเกงแขวนไว้บนราว


    “ทุกอย่างมันจะผ่านไปด้วยดี” บอกก่อนจะเอื้อมมือไปลูบเรือนผมสีน้ำตาลเข้มแล้วถอดเสื้อของโรงพยาบาลออก


    “แล้วถ้าเขาห้ามเราล่ะ ถ้าแฟนคลับพี่รู้ล่ะ”


    “เขาไม่ห้ามเราหรอก ไม่เชื่อพี่รึไง”


    “เปล่า แบมแค่” แบมแบมน้ำเสียงขาดหายไปเมื่อรับรู้ได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นที่ส่งผ่านมาทางแผ่นหลัง ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดอยู่บริเวณหลังใบหู ลำแขนแกร่งทั้งสองข้างลอดผ่านเอวมากอดประสานกันไว้ด้านหน้า เสียงและจังหวะการเต้นของหัวใจดวงใหญ่นั้นแบมแบมรับรู้มันได้อย่างชัดเจนว่ามันก็เต้นเร็วไม่แพ้เขาเหมือนกัน


    “กลัวหรอ?” มาร์คถามแล้วกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีก


    “แล้วพี่มาร์คไม่กลัวหรอ ถ้าบอกไปแล้วอะไรๆมันไม่ได้ออกมาดีล่ะ ไหนจะแฟนคลับพี่มาร์คอีก แบมไม่ได้เป็นคนทำให้พี่มีทุกวันนี้ได้นะ เงินที่มาร์คเอามาเลี้ยงดูแบมก็เงินพวกเขาทั้งนั้น”


    “ใครสอนให้คิดแบบนี้เนี่ย” เขากล่าวเชิงตำหนิแล้วกดริมฝีปากลงที่หลังใบหูเล็ก


    “ไม่ใช่เวลามาทำเรื่องแบบนี้นะ” แบมแบมพูดก่อนจะตีเข้าที่แขนแกร่ง


    “ก็อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับแฟนคลับสิ ไม่ใช่เรื่องซักหน่อย เงินที่ได้มามันก็มาจากการที่พี่ทำงาน มันเป็นงาน อย่าเอามาเทียบกันเลยมันเทียบกันไม่ได้หรอก พี่ว่าเราคุยเรื่องนี้จบกันไปแล้วนะ”


    “แต่แบมก็กลัวอยู่ดีนั้นแหละ”


    “ตราบใดที่พี่ยังอยู่ข้างๆไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น พี่จะไม่ปล่อยมือแบมง่ายๆหรอก” เสียงทุ้มกระซิบข้างหูหากแต่ในน้ำเสียงแผ่วเบานั้นกลับมีความรู้สึกมั่นใจอยู่เต็มเปี่ยม เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไม่เอาความมั่นใจพวกนี้มาจากที่ไหน อาจจะเป็นเพราะว่าเขาจะไม่ยอมเสียร่างเล็กง่ายๆไปอย่างที่พูดจริงๆก็ได้ “เชื่อใจพี่นะ


    “ครับ” แบมแบมตอบก่อนจะหันกลับมากอดร่างสูงบ้าง แบมแบมอยากจะกอดพี่มาร์คให้นานที่สุดเท่าที่แฟนคนหนึ่งจะทำได้ ถ้าพี่มาร์คมั่นใจว่าอะไรมันจะออกมาดีแบมแบมก็จะเชื่อว่ามันจะดี






    K  I S S M A R K



    “รอข้างนอกก่อนนะ เดี๋ยวพี่ออกมา” เสียงทุ้มกระซิบพร้อมกับใช้มือหนากดไหล่เล็กไหล่นั่งลงบนโซฟา


    “พี่มาร์ค” แบมแบมเรียกคนตรงหน้าเสียงอ่อยมือหนึ่งก็ยกขึ้นมาขยี้ตาตัวเองที่ยังเบลอๆเพราะยังตื่นไม่เต็มที่ อีกมือหนึ่งก็จับชายเสื้ออีกฝ่ายเอาไว้


    “แป๊บเดียวนะ รอพี่ตรงนี้นะ” มาร์คย้ำอีกครั้งแล้วลูบเรือนผมสีน้ำตาลเข้มเบาๆ


    “อือ” แบมแบมตอบได้แต่เป็นเสียงในลำคอในขณะที่ร่างสูงก็หันหลังเดินเข้าไปในบานประตูสูงจรดเพดดาน ด้านในดูเหมือนเป็นห้องประชุมขนาดเล็กเท่าที่แบมแบมจะมองได้ พอประตูบานใหญ่ปิดลงแบมแบมก็หาวออกมาวอดใหญ่แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟากำมะหยี่สีแดงเลือดหมู


    พอออกจากโรงพยาบาลแบมแบมก็นั่งเงียบมาตลอดทางไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรหรือทำตัวยังไงเวลาที่มีคนอื่นอยู่ด้วย ยิ่งเป็นเจ้านายของพี่มาร์คยิ่งแล้วใหญ่ แบมแบมค่อนข้างที่จะกดดันเลยเลือกไปนั่งที่เบาะหลังสุดคนเดียว แล้วให้พี่มาร์คนั่งกับผู้จัดการซึ่งอีกคนก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาก็คงเข้าใจการกระทำของแบมแบมอยู่บ้างแหละ พอนั่งเงียบๆนานๆเข้าไอ้ที่อดหลับมาทั้งคืนเพื่อเฝ้าไข้ก็เริ่มจะออกอาการตาเบลอๆ สมองขาดออกซิเจหาวแล้วหาวอีกก่อนที่แบมแบมจะเอนตัวลงนอนกับเบาะแล้วหลับไป


    รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่รถตู้แล่นเข้ามาจอดอยู่ที่หน้าตึกสูงระฟ้า แบมแบมหลับไปนานจนพระอาทิตย์หายลับขอบฟ้าไปเปลี่ยนเป็นพระจันทร์สีเหลืองนวลมาแทน ภาพวิวด้านนอกที่เป็นเมืองไม่คุ้นเคยก็กลายมาเป็นกรุงโซลที่มีแต่ตึก บ้านเมืองและคอนโด แสงไฟจากหลายๆที่ส่องสว่างจนไฟข้างถนนแทบจะไม่มีประโยชน์  แบมแบมลงจากรถและเดินตามมาร์คต้วนกับผู้จัดการเข้ามาในตึกเงียบๆ แม้ว่าจึกแล้วแต่ก็ยังมีคนมากมายที่ทำงานอยู่ มีหลายคนที่เข้ามาทักทายมาร์คและที่มาร์คเข้าไปทักทาย แบมแบมก็พลอยต้องทำความรู้จักไปด้วย ซึ่งแต่ละคนก็ดูว่าจะเอ็นดูเขาพอควรเลยแหละ


    “เรื่องมันเป็นยังไงไหนเล่ามาซิ” เสียงแหลมใสของผู้จัดการสาวถามร่างสูงทันทีที่เข้าทิ้งตัวลงบนเก้าอี้


    “รู้สึกเหมือนไม่ได้เข้ามาที่นี่นานแล้วเลย” มาร์คไม่ได้สนใจคำถามแต่เขากลับพูดพลางมองไปรอบๆห้องแทน


    ห้อประชุมขนาดเล็กที่มีโต๊ะกระจกตัวยูตั้งอยู่กลางห้อง มีเก้าอี้ล้อเลื่อนฝั่งละหกตัวและตรงหัวโต๊ะอีกหนึ่งตัว ซึ่งตอนที่มันก็เป็นที่ของผู้จัดการสาวเสียงแหลม จอโปรเจคเตอร์ถูกเก็บอยู่ที่แขวนติดผนังและเครื่องฉายถูกเก็ยอยู่ด้านบนเพดาน แจกันดอกไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่สามมุมห้อง และอีกหนึ่งมุมมีโพเดียมทรงประหลาดตั้งอยู่ กำแพงด้านข้างทำจากกระจกชนิดดีที่สามารถกันกระสุนได้ ทำให้ดวงตาคมมองออกไปเห็นวิวยามค่ำคืนของกรุงโซล ตึกสูงทรงสี่เหลี่ยมที่เห็นตั้งเด่นอยู่ไกลๆมันคือคอนโดของเขานั้นเอง


    “ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง บอกมาว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง” เสียงแหลมยังคงคะยั้นคะยอต่อไป ถ้าเป็นไปได้เธอก็ไม่ได้อยากจะรู้ทุกเรื่องของมาร์คหรอกนะ เพราะแต่ละเรื่องมันก็น่าปวดหัวทั้งนั้น แต่รู้ไว้ก่อนเกิดปัญหามันก็ดีกว่ารู้ตอนมีปัญหาแล้วมาแก้ให้ทีหลัง


    “เรื่องอะไรล่ะครับ?” มาร์คถามกลับอย่างจนใจ


    “แฟนของนายไง เป็นใคร แล้วคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ใช่คนในวงการรึเปล่า” ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้หรอกนะว่าผู้จัดการอยากรู้เรื่องอะไร แต่จะให้เสนอหน้าไปบอกก่อนมันก็ไม่ใช่เรื่อง เขาก็อยากมีความเป็นส่วนตัวบ้าง แต่สำหรับสถานะอย่างมาร์คแล้วมันคงยากที่จะมีเรื่องส่วนตัวที่ผู้จัดการไม่ควรรู้ เขาไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรเองได้ถ้าเกิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โตและพาคนอื่นเข้ามาเดือดร้อน เขาไม่มั่นใจเลยว่าเขาจะสามารถแก้ปัญหาเองได้ด้วยตัวเอง


    “ผม” มาร์คลากคำทิ้งไว้ขณะเดียวกันที่สมองก็คิดประมวลผล แบมแบมบอกว่าไม่ให้เขาบอกเพราะว่ามันอาจจะกระทบถึงงานได้ แต่ในความคิดเขาแล้วไอ้การที่ไม่บอกมันน่าจะกระทบมากกว่าอีก


    “ฉันรู้นะว่านายก็อยากมีความเป็นส่วนตัวบ้าง แต่มันไม่ใช่ตอนนี้นะมาร์ค ฉันเป็นผู้จัดการของนาย ฉันสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างให้มันเป็นไปในทางที่ดีได้นะ ไม่ต้องกลัวหรอก มันจะไม่มีอะไรที่แย่อีกแล้ว


    “ผมมีแฟนครับ เราเพิ่งตกลงคบกันเมื่อไม่นานมานี้เอง ไม่ใช่คนในวงการพี่ไม่ต้องห่วงหรอก เป็นคนที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักด้วยซ้ำไป” มาร์คหยุดพูดไป แม้ว่าแบมแบมจะไม่ใช่คนในวงการแต่การที่แบมแบมเคยออกข่าวในช่วงแรกที่เข้าโรงพยาบาลที่เขายังหมดสติอยู่ ตอนนั้นก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นให้มีคนมาสนใจแบมแบมบ้างก็ได้นะ ในฐานะเหยื่อของซุปเปอร์สตาร์


    “ใครล่ะ?” เธอถามเสียงนิ่ง ภายในหัวเริ่มเกิดอาการสับสนว่าเขาควรจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดี


    “แบมแบม” มาร์คสูดลมหายใจเข้าปอดลึกแล้วตอบออกมาด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ


    “แบมแบมไหน”เธอถามเสียงแผ่วนึกกลัวอยู่ลึกๆในใจว่ามันจะเป็นแบมแบมที่เธอรู้จัก


    “แบมแบม ที่ผมขับรถชน ที่นั่งอยู่หน้าห้องตอนนี้อะครับ” มาร์คตอบเสียงเรียบสายตาผลุบลงต่ำไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าผู้จัดการทั้งๆที่ปกติแล้วเขาแทบจะไม่ให้ความเคารพเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้มาร์คทั้งกลัวแล้วก็อายไปในเวลาเดียวกัน เขากลัวว่าผู้จัดการตัวเองจะไม่ยอมรับแล้วไม่อนุญาต ผู้จัดการก็เหมือนกับพ่อแม่คนที่สองเลยนะสำหรับพวกศิลปินเด็กๆ เขาอายที่ต้องเปิดเผยแฟนตัวเอง เหมือนกับเขาป่าวประกาศเปิดตัวแฟนอย่างไงอย่างงั้น เขาไม่เคยพูดเรื่องทำนองนี้กับผู้จัดการเลยซักครั้ง


    “ฉันไม่มีเวลามาเล่นกับนายนะ”


    “ผมดูเหมือนคนกำลังเล่นรึไง”


    ไม่ใช่ทำไมผู้จัดการจะไม่รู้ว่ามาร์คพูดจริง เขารู้อยู่แล้วเพราะว่าเขาเองก็ดูแลมาร์คมานาน พอที่จะรู้จักนิสัยจริงๆของอีกฝ่าย จากท่าทางและสายตาของมาร์คตออนนี้ไม่มีอะไรเลยที่บอกว่าเขาพูดเล่น มาร์คไม่ได้เรียนการแสดงเพราะฉะนั้นตัดเรื่องการแสดงละครออกไปได้เลย มีแต่ความจริงล้วนๆ ทั้งความหวังในดวงตาคม ความไม่มั่นใจลึกๆจนต้องเม้มริมฝีปากจนบาง ความเขินอายจากแก้มสีแดงระเรื่อ ทุกอย่างมันคือมาร์ค มาร์คที่ไม่เคยโกหกผู้จัดการของตัวเองเลยซักครั้ง


    “ฉันจะทำยังไงดีฉันจะทำยังไงดี” ผู้จัดการสาวบ่นถามตัวเองซ้ำๆ นิ้วมือเรียวก็เริ่มเคาะโต๊ะกระจกระบายความกังวล


    “พี่ไม่ต้องทำอะไรหรอก ผมบอกให้พี่รู้เฉยๆ”


    “ฉันจะไม่ทำอะไรเลยได้ยังไงล่ะมาร์ค...” เขาถามเสียงสั่นสมองขาวโพลนคิดอะไรไม่ออก จากที่ตอนแรกก็คิดอะไรไม่ออกอยู่แล้วตอนนี้มันยิ่งตันเข้าไปใหญ่ “แบมแบมน่ะเป็นเด็กผู้ชายนะ”


    “ผมรู้


    “นายชอบแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร่กัน ทำไมฉันดูไม่ออกเลย ฉันจะบอกคนอื่นว่ายังไงเนี่ยยยยยย” เสียงแหลมเริ่มคร่ำครวญในตอนที่ใบหน้าของประธานค่ายแวบเข้ามา ถึงประธานค่ายจะดูเป็นคนตลกแต่เขาอาจจะตลกไม่ออกกับเรื่องแบบนี้ก็ได้


    “ผมไม่ได้ชอบแบบนี้” มาร์คเริ่มเสียงแข็งขึ้นมา “ผมชอบแบมแบม พี่ไม่ต้องบอกคนอื่นก็ได้นะทีจริงนี่มันเป็นเรื่องของผม ผมบอกพี่ในฐานะที่พี่เป็นผู้จัดการ เผื่อว่ามันมีปัญหาจะได้ช่วยกันแก้”


    “ต้องแก้ที่นายแล้วล่ะ”


    “แก้อะไรที่ผม พี่บ้ารึเปล่า”


    “นายน่ะสิบ้า! คิดอะไรอยู่ถึงไปชอบแบมแบมฮะ นายมีแฟนคลับตั้งเท่าไหร่ ถ้าพวกเขารู้ว่าไอดอลที่ชื่นชอบเป็นเกย์ขึ้นมานี่ฝันสลายเลยนะไม่คิดบ้างรึไง”


    “ผมไม่ได้ป็นเกย์”


    “แต่นายชอบผู้ขาย”


    “ผมเป็นผู้ชายที่ชอบผู้ชายคนหนึ่ง” เขาเถียงกลับทันควันหัวคิ้วเรียวเริ่มขมวดเข้าหากันจนเป็นปม หัวใจที่ต้นไม่เป็นจังหวะก็เต้นถี่เร็วขึ้นอีก ก้อนเนื้อในสมองก็เต้นตุ้บๆจนเขารู้สึกว่ามันจะระเปิดออกมาพร้อมกันทั้งหมดทั้งหัวใจแล้วก็สมอง “ผมชอบแบมแบม เพราะว่าผมชอบแบมแบม ไม่ได้ชอบเพราะเป็นอะไรทั้งนั้น” มาร์คพูดต่อขณะพยายามสงบสติอารมณ์


    ทำไมเขาจะไม่เคยคิดในข้อนี้ว่าเขาเปลียนเพศตัวเองไปแล้วรึเปล่า แต่มันก็ไม่ใช่ เขาชอบแค่แบมแบมคนเดียว แค่แบมแบมคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง ที่ทำให้เขามีความสุข ทำให้เขาคิดถึง โหยหาแทบเป็นบ้าในเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ทำให้เขาทุกข์ใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ รู้จักแคร์คนอื่น คิดถึงจิตใจของคนอื่นขึ้นมาบ้าง เขายอมทุกอย่างให้แค่แบมแบมคนเดียว กับจินยองเขาก็ไม่เป็นแบบนี้ทั้งๆที่รู้จักกันมานานเวลาเล่นกันก็ถึงเนื้อถึงตัว แต่ใจก็ไม่เต้นแรงไม่มีความรู้สึกใดอื่น


    มาร์คสรุปได้ว่าเขายังปกติดี เขายังคงมองผู้หญิงเวลาเดินไปข้างนอก เขายังมีความสนใจที่จะมองหน้าอกหลากไซส์แล้วประเมินมันผ่านสายตา เขายังสนใจที่จะมองเรียวขายาวสวยของผู้หญิงนุ้งสั้นๆที่เดินสวนกัน เขายังสนใจและชอบใบหน้าสวยอันไร้ที่ติของผู้หญิงที่เจอ เขายังมองบั้นทาย ข้อเท้า แขน ไหล่เล็ก เรือนผม และเขายังชื่นชอบวงเกิร์ลกรุ๊ปอยู่ เขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย สิ่งที่เปลี่ยนก็คือเขารักแบมแบมมาก ถึงแม้จะมองในสิ่งที่ได้บอกมาแต่ก็แค่มอง หน้าอก เรียวขา ใบหน้า บั้นท้าย ข้อเท้า แขน ไหล่เล็ก เรือนผม ที่เขาชอบจริงๆมันต้องเป็นของแบมแบมเท่านั้น ถ้าพูดอีกนัยนึงก็คือเขาชอบทุกอย่างที่เป็นแบมแบม แค่แบมแบมคนเดียว


    “แล้วน้องเขาว่ายังไงบ้าง คบกับนายปัญหาน่าจะเยอะอยู่นะ”


    “พี่จะว่าผมเป็นตัวปัญหาหรอ” มาร์คถามในใจก็นึกขุ่นเคืองขึ้นมา


    “จะพูดแบบนั้นก็ได้”


    “พี่นาบี!!” มาร์คเรียกชื่อผู้จัดการตัวเองอย่างหงุดหงิด ไม่บ่อยนักหรอกที่เขาจะเรียกชื่อผู้จัดการ นี่เขาจะให้มาช่วยกันหาทางแก้ปัญหาล่วงหน้า หรือจะให้มาโดนว่ากันแน่มาร์คก็เริ่มไม่มั่นใจแล้ว โดนเหน็บแนมตลอด


    “อะไร เรียกทำไม สรุปว่าน้องเขาว่าอะไรบ้าง มีปัญหาอะไรรึเปล่า” ผู้จัดการถามเสียงเรียบนึกเหนื่อยใจเต็มทีที่ต้องดูแลคนอย่างมาร์คต้วนต่อไป ช่างป็นคนที่นำพาปัญหามาให้ได้ทุกเวลาจริงๆ


    “ไม่มีปัญหาอะไรครับ แบมแบมเขาไม่ให้ผมบอกพี่ด้วยซ้ำ เขากลัวว่าพี่จะผิดหวังในตัวผม กลัวว่ามันจะกระทบถึงงาน...


    “น้องเขาคิดถูกแล้วล่ะ” พูดก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “แล้วจะเอายังไงต่อ”


    “ก็คบกันต่อ ไม่เห็นมีอะไร”


    “มาร์ค ที่ฉันรียกมาคุยเนี่ยก็เพราะว่านายต้องกลับมาเดบิวต์อีกรอบนะ ไม่อยากให้มีเรื่องอะไรมากวนใจ อยากให้มีโฟกัสแค่เรื่องงานให้มันคงที่ก่อนมากกว่า” เสียงแหลมพูดเบาๆหากแต่มันก็ยังดังก้องอยู๋ในห้องประชุมแห่งนี้ “เรื่องความรักฉันไปห้ามอะไรพวกนายไม่ได้หรอก


    “ถึงพี่จะห้าม ผมก็ไม่เลิกหรอก”


    “ก็เพราะฉันรู้ไงว่านายดื้อด้านขนาดไหนห้ามไปก็เหนื่อยเปล่าๆ” เธอพูดเรียบๆท่าทางค่อนข้างสิ้นหวัง แต่มันก็ไม่ได้สิ้นหวังไปซะทีเดียวหรอก แค่อาจจะช็อกอีกสักประเดี๋ยวก็หาย เพราะมาร์คก็ไม่ใช่กรณีแรก “ตอนนี้นายจะทำอะไรยังไงก็ได้ แต่ถ้านายเดบิวต์รอบที่สองแล้ว ระวังเรื่องข่าวเรื่องปาปารัสซี่ไว้ให้ดีล่ะ นายไม่ใช่พวกนักร้องกิ๊กก๊อกนะ นายมันระดับประแทศ จำเอาไว้ด้วย”


    “ครับ ผมจะระวังให้มากๆ”


    “แล้วถ้ามันมีข่าว มีรูปอะไรออกมานายจะตอบคำถามพวกนักข่าวว่ายังไง ความลับไม่มีในโลกหรอกนะ”


    “ผมก็จะตอบตามความจริง ส่วนผลลัพธ์หลังจากตอบผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมแยกเวลางานกับเวลาส่วนตัวได้นะ แล้วแฟนคลับเขาก็น่าจะเข้าใจผม เห็นเคยจับผมจิ้นกับไอ้แจ็คสันด้วย ขนลุก ตอนนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหามากมั้ง” มาร์คตอบด้วยท่าทางมั่นใจหากแต่ลึกๆนั้นเขาก็กังวลอยู่ไม่น้อยเลย


    “งั้นก็ดี ฉันไม่แนะนำให้นาย เอาแบมแบมออกสื่อนะ ไม่แนะนำให้ทำอะไรต่อหน้าคนมากๆ ฉันไม่ได้ห้ามแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสนับสนุนนะ นายก็โตแล้วน่าจะพอคิดอะไรเองได้บ้าง ก็ดีแล้วที่บอกกันตรงๆถ้ามีเรื่องอะไร คนที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวแบบฉันก็จะได้จัดการให้ก่อน มันไม่ใช่ส่งผลแค่นายคนเดียว มันจะลามไปถึงทางบริษัท แล้วก็ตัวแบมแบมด้วย ชีวิตน้องเขาอาจจะเปลี่ยนไปเลยถ้าคนอื่นรู้ว่าเขาคบกับนาย มันอาจจะดีขึ้หรืออาจจะแย่ลงก็ได้ จะทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลังให้ดีก่อนนะ” เสียงแหลมพูดอย่างเป็นห่วงเป็นใย อีกทั้งก็หนักใจที่ต้องรับรู้ปัญหาและเตรียมหาทางแก้ไขไว้ล่วงหน้า เพราะมาร์คเป็นนักร้องอันดับต้นๆที่ทำกำไรให้บริษัท ตอนรถชนหุ้นก็ตกแบบฉุดไม่อยู่เลย


    “ก็เพราะผมรู้ไงว่ามันจะมีผลกับใครบ้างผมถึงเลือกที่จะบอกทั้งๆที่ผมไม่บอกก็ได้ ผมจะโกหกพี่ว่าอะไรก็ได้ พี่ไม่มีทางรู้หรอก แต่ผมว่ามันต้องไม่ดีแน่ๆถ้าทำอย่างนั้นไป”


    “คิดได้ก็ดีแล้ว” เธอตอบขณะพยายามเค้นรอยยิ้มให้ออกมา “โตขึ้นมากแล้วนะมาร์ค ต้วน


    “พูดอย่างกับตอนนั้นผมเด็กมากงั้นแหละ”


    “ในสายตาฉันนายก็เป็นเด็กตลอดแหละ สร้างเรื่องให้ได้ทุกเวลา” ผู้จัดการส่ายหน้าเบาๆ “ตอนนี้ไหนๆนายก็เรียนแล้วก็เรียนไปให้จบ แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยมาเดบิวต์ใหญ่อีกรอบ ระหว่างนี้นายก็ออกพวกตามอีเว้นท์ไปก่อนแล้วกัน ฉันส่งตารางงานให้หลังจากนายกลับมาจากค่ายที่โรงเรียน โอเคมั้ย?”


    “โอเคครับ” อย่าว่าแต่โอเคเลย ตอนนี้มาร์คโอเคมากๆกับทุกรื่องเลย แค่เรื่องแบมแบมผ่านไปด้วยดีเขาก็ไม่กังวลใจกับอะไรอีกแล้ว ไว้ค่อยไปกังวลอีกทีตอนมีภาพไปเดทลงหน้าหนึ่งก็แล้วกัน


    “ส่วนเรื่องแบมแบมฉันจะไม่เข้าไปยุ่งนะ นายเลือกที่จะทำแบบนี้เองก็อย่าให้มันมีปัญหาอะไรมาก ฉันเป็นผู้จัดการนาย ไม่รับปรึกษาปัญหาความรัก เข้าใจข้อนี้เอาไว้ด้วย ถ้ามีข่าวอะไรออกมาก็ตอบไปแบบที่นายอยากจะตอบฉันจะอธิบายให้บอสเข้าใจเอง


    “ขอบคุณมากครับ” มาร์คกล่าวขอบคุณพร้อมรอยยิ้มสดใสประดับขึ้นมาบนใบหน้าอย่างอัตโนมัติ วันนี้เป็นวันที่เขารู้สึกโชคดี แล้วก็รู้สึกรักผู้จัดการของตัวเองขึ้นมาทันที ถึงจะจู้จี้ขี้บ่นแต่พอมีเรื่องขึ้นมาจริงๆเธอก็จะเข้าใจเขาเสมอ เธอจะเป็นคนที่แก้ปมเชือกให้เขาได้ ไม่ว่าปมนั้นมันจะแน่นแค่ไหนก็ตาม แต่ซักวันเขาจะต้องแก้ปมที่เขาผูกเอาไว้เองไห้ ในวันที่เขาโตขึ้นกว่านี้ เข้าใจคนและเข้าใจโลกมากกว่านี้ เขาจะดูแลตัวเองไปพร้อมกับดูแลแบมแบมได้อย่างไม่มีข้อบกพร่อง


    “ไม่ต้องขอบคุณหรอก อย่าเอาปัญหาอะไรมาให้ฉันอีกก็พอ”


    “ไม่หรอกหน่า


    “ก็แบบนี้ทุกครั้ง”


    “ต่อไปนี้ผมจะพยายามแก้ปัญหาของผมเองแล้วล่ะ”


    “หน้าที่ผู้จัดการไม่ได้มีไว้เพื่อจัดตารางงานอย่างเดียวนะ หน้าที่หลักจริงๆคือแก้ปัญหาให้นายรู้ไว้ด้วย” เสียงแหลมพูดอย่างชินๆกับการที่มีปัญหาคนอื่นเข้ามาในชีวิต แต่มันก็เป็นเรื่องปกติจริงๆนั้นแหละ เพราะมาร์คก็เพิ่งจะอายุยี่สิบเองเป็นผู้จัดการของศิลปินที่ไม่รู้จักโตซักทีก็น่าปวดหัวแบบนี้ “มันดึกแล้วนายกลับไปได้แล้วล่ะ รถตู้น่าจะจอดอยู่หน้าตึก” เธอพูดพลางจ้องมองไปที่ท้องฟ้าสีดำมือไร้แสงดาว


    ช่างเป็นคืนที่มืดมนอะไรเช่นนี้


    “ครับ ขอบคุณพี่มากเลยนะครับ” มาร์ครับคำอย่างว่าง่ายก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มให้ผู้จัดการสาว “ราตรีสวัสดิ์ครับพี่ผู้จัดการนาบี”


    “ราตรีสวัสดิ์ ฝากลาแบมแบมด้วยล่ะ”


    “ครับผม” มาร์คตอบหลังจากโค้งทำความเคารพที่ไม่ได้ทำมานาน ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับออกไปพร้อมความรู้สึกใหม่


    มาร์ครู้สึกว่าในใจมันโล่งไปหมด อะไรที่เคยแบกเอาไว้เหมือนจะโยนมันไปให้คนอื่นได้แล้ว แต่มันก็ไม่ได้เรียกว่าโยนปัญหาให้คนอื่นซะทีเดียวหรอก ตอนนี้มันยังไม่มีอะไรที่เป็นปัญหาเลยด้วยซ้ำ ทุกอย่างมันกำลังจะลงตัว เขารู้สึกว่าจิตใจมันสงบแล้วก็มีความสุขแบบที่ไม่ได้เป็นมานาน รู้สึกว่าอะไรๆมันจะดีขึ้นกว่าแต่ก่อน แล้วมันก็จะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ

    “แบมแบม” มาร์คเรียกคนที่นั่งหลับตาพริ้มบนโซฟาด้วยเสียงแผ่ว


    ” ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา แบมแบมยังคงนิ่ง แก้มยุ้ยๆนั้นมันทำให้เขาอยากจะก้มลงไปหอมซักฟอด แต่ก็ติดที่ว่าแถวนี้คนจะผ่านเยอะ


    “แบมแบมตื่นได้แล้ว” เรียกอีกครั้งพร้อมกับนิ้วมือเรียวที่สะกิดเรียกบริเวณแขนเล็ก


    “หือ?” ดวงตากลมปรือขึ้นมามองใบหน้าหล่อตรงหน้าก่อนจะพยายามเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างยากลำบาก “คุยกับผู้จัดการเสร็จแล้วหรอครับ” ถามพลางยกมือขึ้นมาขยี้ดวงตาแล้วปิดปากเพื่อหาววอดใหญ่


    “เสร็จแล้ว” ตอบขณะยื่นมือไปให้แบมแบมจับไว้เพื่อลุกขึ้นจากโซฟา


    “เป็นไงบ้างอะ”


    “เรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไร”


    “อะไรเรียบร้อยครับ” แบมแบมถามน้ำเสียงงัวงเงยขาเรียวก็ก้าวตามร่างสูงที่อยู่ข้างๆ


    “ทุกอย่างครับ”


    “ทุกอย่างเลยหรอ?”


    “ครับ ทุกอย่างเลย” มาร์คตอบอย่างมั่นใจ ในหัวใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเมื่อแบมแบมเลื่อนมือจากชายเสื้อมาจับมือเขาไว้แล้วบีบเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าหวาน รอยยิ้มที่มักจะมีให้เขาเสมอ


    พี่รักแบมแบมนะ


    #fickissmark

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×