ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    GOT7 | KissMark ตราไว้ในใจนายคือของฉัน![END]

    ลำดับตอนที่ #46 : :: KISSMARK :: EP.46

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.95K
      62
      12 ม.ค. 58



    “เฮ้อออออออ~” เสียงถอนหายใจดังยาวราวกับต้องการระบายความอึดอัดในใจนี่ออกไปเต็มที




    ดวงตาคู่สวยทอดมองออกไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า สองขาชันขึ้นมาใช้แขนกอดมันเอาไว้เพื่อบรรเทาความเย็นจากลมที่พัดเข้าปะทะอยู่ตลอด เป็นเวลานานหลายสิบนาทีแล้วที่จินยองนั่งอยู่นิ่งๆ เอาแต่ถอนหายใจทุกๆหนึ่งนาที ไม่สนใจระดับน้ำทะเลที่มันค่อยๆขึ้น ไม่สนใจความมืดที่เข้าปกคลุมมากกว่าเดิม ไม่สนใจลมเย็นๆที่ตอนนี้ทำให้จมูกและหูของเขาเริ่มแดงหน่อยๆแล้ว




    ตั้งแต่เมื่อกี้ที่ได้คุยกับยูคยอม ประโยคของอีกฝ่ายก็วนอยู่ในหัวไม่ยอมหายไปซักที จินยองไม่ได้อยากคิดเรื่องแบมแบมมากขนาดนี้ซักหน่อย ไม่อยากคิดเลยด้วยซ้ำแต่ทำไมเขาถึงต้องเก็บมาคิดด้วยก็ไม่รู้ ก็แค่อยากรู้ว่าแบมแบมมีนิสัยแบบไหนถึงได้ทำให้มาร์คยิ้มได้ตลอด ทำให้มาร์คโวยวายจะหาอยู่ตลอดเวลา จะเป็นคนที่นิสัยแบบเขา น่าตาแบบเขาบ้างไม่ได้เลยรึไง ที่จะทำให้มาร์คยิ้มบ้าง




    มันจะเป็นไปไม่ได้เลยหรอ




    ฟุ่บ~




    “มานั่งทำห่าอะไรคนเดียววะ” เสียงทุ้มต่ำคุ้นหูถามหลังจากที่ถอดเสื้อแจ็กเก็ตตัวนอกออกแล้วสวมให้อีกคนแทน




    “ร้องเพลงเสร็จแล้วหรอ?” จินยองถามพร้อมรอยยิ้มบางที่ประดับขึ้นบนใบหน้าอย่างไม่รู้ตัว




    ก็แค่รู้สึกดีรู้สึกดีที่มาร์คถอดเสื้อตัวเองมาคลุมให้



    “อือ เสร็จแล้ว ไม่เข้าไปในงานอะ” ถามก่อนย่อตัวลงนั่งข้างๆ




    “แล้วทำไมมาร์คไม่เข้าไปล่ะ”




    “กูเข้าไปแล้ว แต่ยูคยอมบอกว่ามึงอยู่ที่หาดคนเดียว กูเลยออกมา”




    “แล้วออกมาทำไมอะ?”




    “แล้วมึงออกมาทำไมอะ?”




    “ผมก็แค่อยากอยู่คนเดียว”




    “งั้นกูก็คงไม่อยากให้มึงอยู่คนเดียว” มาร์คตอบเสียงเรียบก่อนหันไปมองจินยองที่มองตัวเองอยู่ก่อนแล้ว




    เป็นเพราะมาร์คอยู่กับจินยองมานานนานมากพอที่จะรู้ว่าเวลาอีกฝ่ายอยู่คนเดียวนั้น มักจะเป็นช่วงเวลาที่มีเรื่องหนักใจ และจะเก็บเอาไว้คนเดียว สะสมไปเรื่อยๆ ไม่บอกใครก็เพราะไม่มีใครที่จินยองพอจะไว้ใจถึงขนาดเล่าเรื่องที่อึดอัดให้ฟังได้น่ะสิ พอไม่ได้เล่าให้ใครฟัง จินยองก็จะเก็บไปคิดเรื่อยๆ คิดอยู่คนเดียว และกลายเป็นคนคิดมากที่มีเรื่องเครียดอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ที่มาร์คได้รู้จักกับจินยอง ก็จะไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายได้อยู่คนเดียว ถ้าตัวเองไม่ว่างก็จะให้แจ็คสันมาอยู่เป็นเพื่อน อย่างน้อยๆก็ได้ระบายออกไปบ้าง ไม่ใช่สะสมไว้คนเดียว




    จินยองเป็นคนที่ดูไม่ได้จากภายนอก เป็นคนที่มีบุคลิกนิ่งๆ เดาความคิดไม่ออก ถึงแม้มาร์คจะเคยบอกว่าชอบเวลาที่จินยองยิ้มมากกว่าทำหน้านิ่งตามปกติ แต่ใครมันจะไปยิ้ม ทำน่าตาเป็นมิตรได้ตลอดล่ะ




    “ผมว่ามาร์คไม่ควรพูดแบบนี้เลยนะ” จินยองพูดเสียงเรียบก่อนจะหันกลับไปมองที่ทะเลเมื่อรู้สึกว่าตัวเองทนที่จะมองดวงตาอบอุ่นนั่นไม่ได้




    “ทำไม?”




    “ก็เพราะมันหมายถึงว่ามาร์คไม่อยากให้ผมอยู่คนเดียวไง นั่นมันคือมาร์คต้องอยู่กับผมตลอดผมหมายความว่าแบบนั้น”




    “แต่กูไม่ได้หมายความแบบนั้น” มาร์คขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจความคิดของอีกคน




    “ผมถึงได้บอกไงว่ามาร์คไม่ควรพูด”




    “กูก็แค่ไม่อยากให้มึงอยู่คนเดียว เพราะทุกครั้งที่มึงอยู่คนเดียวถ้ามึงไม่เศร้า มึงก็เครียดแบบโคตรๆอะ”




    “แต่สองปีที่มาร์คกับแจ็คสันหายไป ผมก็อยู่คนเดียวมาตลอดนะ”




    “มันไม่เหมือนกันดิ อันนั้นกูต้องไปจริงๆ แต่ตอนนี้มึงออกมาเอง”




    “ผมจะออกมาหรือมาร์คจะไป ยังไงผมก็ต้องอยู่คนเดียวอยู่ดี มันก็เหมือนกันนั้นแหละ”




    “เอ๊ะ! มึงนี่ยังไงกูเพิ่งพูดอยู่แป๊บๆว่าไม่อยากให้อยู่คนเดียว” มาร์คเริ่มขึ้นเสียง มันมีไม่บ่อยนักที่จินยองจะต่อปากต่อคำด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แววตานิ่งๆแบบนี้




    “ถ้าไม่ให้ผมอยู่คนเดียวมาร์คจะมาอยู่กับผมรึไงล่ะ?”




    “กูก็นั่งอยู่นี่ไง”




    ไม่ใช่!




    ไม่ใช่แบบนี้




    จินยองลอบถอนหายใจเบาๆอย่างหมดเรี่ยวแรงที่จะพูด มาร์คก็เป็นคนฉลาดนะ เขาพูดแบบนี้ก็นะเข้าใจว่าหมายถึงอะไร แต่ดูเหมือนมาร์คจะไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเอามากๆด้วย




    จินยองหันกลับมามองมาร์คที่กำลังนั่งดูคลื่นในทะเล ใบหน้าหล่อคมคายครึ่งเสี้ยวทำให้หัวใจของเขาเต้นถี่รัวขึ้น แม้ตอนนี้มาร์คจะไม่ได้มองเขาอยู่ และในความคิดก็อาจจะไม่มีเขาอยู่ด้วย จินยองรู้แต่การที่มาร์คมานั่งอยู่ข้างๆแบบนี้มันก็ทำให้เขาลืมเรื่องทั้งหมด และรู้สึกมีความสุข รู้สึกอยากหยุดเวลาตรงนี้เอาไว้




    “กูรู้ว่ากูหล่อ แต่ไม่ต้องมองขนาดนี้ก็ได้นะ” เสียงทุ้มเอยขึ้นแล้วหันกลับมามองจินยอง




    “เพิ่งรู้หรอว่าผมมองอะ” จินยองยู่หน้าล้อเลียนก่อนจะโดนนิ้วมือเรียวบีบเข้าที่ปลายจมูก




    “อือ หางตามันเห็นแล้วหน้ามึงก็อยู่ซะใกล้เลยเนี่ย”




    นี่ขนาดอยู่ใกล้ยังเห็นแค่หางตาเลยถ้าอยู่ไกลๆคงจะมองกันไม่เห็นเลยใช่มั้ย




    “แล้วนี่จะมองอีกนานมั้ย” ถามต่อเมื่ออีกคนยังไม่ยอมหันกลับไปซักที




    ถึงจะรู้จักกันมานานแต่ให้มานั่งใกล้ๆ มองหน้า จ้องตากันในระยะคืบกว่าๆนี่มาร์คก็รู้สึกแปลกๆอยู่เหมือนกันนะ




    “ผมก็มองมาร์คมานานแล้วนะนานมากแล้ว” จินยองพูดด้วยเสียงที่ค่อยๆแผ่วลง สายตายังไม่ละไปจากใบหน้าหล่อคม




    “กูถึงถามไงว่ามึงจะมองอีกนานมั้ย?”




    “ก็คงนานอะ เพราะผมก็มองมาร์คมาสามปีแล้วนี่มองต่อไปอีกหน่อยก็คงไม่เป็นไรมั้ง”




    “ปาร์คจินยอง




    มาร์คเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งหากแววตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ




    ไม่!!




    มาร์คไม่อยากเข้าใจต่างหาก ทำไมมาร์คจะไม่รู้ล่ะว่าที่จินยองพูดมันหมายถึงอะไร คนๆหนึ่งเฝ้ามองอีกคนมาตั้งสามปีมันคงไม่ใช่แค่การเฝ้ามองธรรมดาแล้วล่ะ มาร์ครู้เพียงแต่เขาไม่อยากที่จะรับรู้มัน ไม่อยากให้ตัวเองต้องไม่สบายใจแล้วก็ไม่อยากให้อีกคนต้องเจ็บ




    จินยองคลี่ยิ้มตอบรับการเรียกชื่อของอีกฝ่าย แม้ในใจมันจะไม่ได้ยิ้มตามไปด้วยก็ตาม ตอนนี้จินยองรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ตอนแรกมันก็ไม่เป็นหรอก แต่พอมาร์คเรียกว่า ปาร์คจินยอง…’ เขาก็รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่อก จุกจนเหมือนกับจะหายใจไม่ออก และอะไรบางอย่างก็ทำให้จินยองพยายามเค้นคำพูดออกไปทั้งๆที่รู้ว่ามันก็คงไม่มีประโยชน์อะไร




    “ผมน่ะมองมาร์คมานานมากแล้วนะ นานกว่าทุกคน นานกว่าแฟนคลับของมาร์ค นานกว่าค่ายเพลงที่มาร์คทำงานอยู่ แล้วก็นานกว่าเด็กคนนั้นแบมแบมแต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม ผมมองมาตั้งนานแต่ก็ยังทำได้แค่มองสามปีก่อนกับตอนนี้ทำไมมันเหมือนเดิมเลยล่ะครับ” จินยองพูดเสียงแผ่วก่อนจะแค่นหัวเราะในคอเบาๆอย่างสมเพชตัวเอง ขอบตามันก็เริ่มที่จะร้อนๆจนรู้สึกว่าภาพคนตรงหน้ามันชักจะเบลอๆ




    “จินยองมึงเมาป่ะเนี่ยไอ้ยูคยอมบอกว่ามันเอาเหล้ามาให้มึงดื่ม กูว่ามึงเมานะ?!” มาร์คเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพูดขึ้นมา ภาวนาให้อีกคนเมาแต่ยังไงเหล้าแก้วเดียวมันก็ไม่ทำให้คนเมาได้หรอก มาร์คแค่ไม่อยากให้จินยองพูดอะไรไปมากกว่านี้




    “เปล่าซักหน่อยผมน่ะ” หยุดคำพูดก่อนจะคลี่ยิ้มบางให้อีกฝ่าย




    “จินยองกูว่ามึงเมา




    “ผมน่ะชอบมาร์คมาตลอดจริงๆนะ”




    “จินยอง!!” มาร์คเรียกจินยองเสียงดัง อยากให้อีกฝ่ายตั้งสติให้มากกว่านี้เพราะถ้าอะไรที่พูดออกมามันก็อาจจะเปลี่ยนอนาคตไปทั้งหมดได้




    แต่ดูเหมือนมาร์คจะเรียกจินยองช้าไป




    “ผมพูดจริงๆนะ ผมน่ะ




    “พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว” มาร์คพูดแทรกพลางส่ายหัวไปมาก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วนึกถึงคำที่แบมแบมเคยพูดเอาไว้




    พี่จินยองน่ะ เขาชอบพี่มาร์คนะ อย่าเข้าไปอยู่ใกล้มากๆ อย่าเล่นกันแบบถึงเนื้อถึงตัว อย่าลูบหัว อย่าจับหลังและอีกมากมายสารพัดที่แบมแบมเคยพูดเอาไว้




    ไม่มีผิดเลยซักคำคงเป็นผมเองที่คิดน้อยไปจริงๆ คิดว่ามันเป็นรุ่นน้องเป็นเพื่อนคนหนึ่งมาตลอดโดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าสิ่งที่ผมทำให้ มันได้ทำให้อีกฝ่ายนั้นคิดไปไกลขนาดไหน




    “มาร์คทำไมเป็นผมไม่ได้ล่ะ คนที่จะอยู่ข้างๆมาร์ค คนที่จะทำให้มาร์คยิ้ม คนที่มาร์คจะอยู่ด้วยตลอด มันจะเป็นผมบ้างไม่ได้เลยหรอ?” จินยองถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพยายามกลั้นก้อนสะอื้นและน้ำตาเอาไว้ไม่ให้มันไหลออกมาแต่ความพยายามทั้งหมดมันก็พังทลายลงด้วยคำตอบของอีกฝ่าย





    “คงไม่ได้ว่ะ” มาร์คตอบเสียงเรียบ




    “ทำไมล่ะ?” ถามต่อไปทั้งๆที่ก็รู้คำตอบอยู่แก่ใจ




    “เพราะกูมีแบมแบมอยู่แล้ว แล้วมึงก็เป็นเพื่อนกู เป็นน้องกู กูชอบที่จะรักมึงแบบนี้ มากกว่าแบบอื่นนะเว้ย”




    “แต่ผมไม่ชอบ




    “จินยองกูไม่รู้ว่าจะพูดอะไรให้มึงรู้สึกดีขึ้นนะ แต่มึงอย่าพยายามให้อะไรๆมันแย่ลงไปเลย มึงอย่าพยายามตัดเส้นกั้นระหว่างกูกับมึงเลยนะ กูชอบที่จะเป็นพี่มึง ชอบที่จะเป็นเพื่อนมึง เพราะฉะนั้นกูขอนะ พอเถอะ




    มาร์คพูดก่อนจะเอื้อมมือไปบีบไหล่บางนั่นเบาๆ แล้วเลื่อนขึ้นมาใช้ปลายนิ้วเกลี่ยน้ำหยดใสที่กำลังไหลลงมาออกไปจากใบหน้าหวาน กระชับเสื้อคลุมให้อีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าแรงสั่นไหวของหัวไหล่เพื่อเก็บอาการสะอื้นนั่นจะทำให้เสื้อที่เขาคลุมให้กำลังเคลื่อนลงมา มาร์คชันขาก่อนจะลุกขึ้นมายืนเต็มความสูงยื่นก้มหน้าลงมามองคนที่กำลังเก็บเสียงสะอื้นเต็มที่




    “กูรู้ว่ามึงต้องใช้เวลา กลับไปร้องไห้ที่ห้องนะตรงนี้มันเริ่มหนาวแล้ว”




    ทำไมมาร์คต้องตอกย้ำด้วยว่าเขาต้องร้องไห้ ทำไมมาร์คต้องให้เขาหยุดความพยายาม ทำไมต้องใช้คำที่เจ็บๆพูดกลับมาทุกที ทำไมต้องให้กลับไปที่ห้อง นั่งอยู่ตรงนี้ด้วยกันซักพักก็ไม่ได้หรอ




    “ผมไม่มีแรงแม้แต่จะยืนหรอก




    “กูปลอบมึงไม่เป็นหรอกนะแต่ถ้าจะให้กูไปนั่งฟังมึงร้องไห้อะได้ เพราะกูเป็นคนที่จะรับฟังมึงเสมอ เป็นพี่ที่คอยให้คำปรึกษามึง เป็นเพื่อนที่จะพามึงลืมเรื่องร้ายๆ แล้วก็หัวเราะด้วยกันเหมือนอย่างเก่า แจ็คสัน มาร์ค จินยอง” มือหนาถูกยื่นออกไปตรงหน้าเพื่อให้อีกคนจับมันเอาไว้




    “เรื่องร้ายๆที่ว่า ตอนนี้มาร์คกำลังเป็นคนสร้างมันขึ้นมานะ” จินยองพูดเสียงติดสะอื้นแล้วจับมือหนาไว้ แค่มาร์คออกแรงดึงเบาๆเขาก็ตัวลอยขึ้นมายืนได้อย่างง่ายๆ




    “เดี๋ยวมึงจะรู้สึกดีขึ้นนะ แค่มึงให้เวลากับตัวเอง แค่มึงลองมองใครใหม่ที่ไม่ใช่กู




    “มาร์ค” เรียกเสียงแผ่วขณะที่กระชับเสื้อคลุมให้มันเข้าที่




    “ว่าไง?”




    “ผมขอกอดมาร์คหน่อยสิ




    “กอดในฐานะอะไร?”




    ฐานะอะไรงั้นหรอ?




    มันก็มีให้เลือกแค่เพื่อนกับพี่น้องแค่นี้แหละถ้าเป็นเพื่อน หน้าที่ตรงนั้นให้แจ็คสันทำก็คงจะเหมาะกว่า สำหรับตอนนี้จินยองขอเป็นเพียงเด็กขี้แงคนหนึ่งแล้วกัน




    “พี่น้องครับ”




    สิ้นคำพูดมาร์คก็ค่อยๆก้าวเข้ามาแล้วดึงจินยองเข้าไปใกล้ตัวเองมากขึ้นสองแขนแกร่งโอบลอดแขนบางไปลูบแผ่นหลังที่กำลังสั่นน้อยๆ จินยองฝังใบหน้าเนียนลงที่ไหล่กว้างก่อนจะปล่อยให้หยาดน้ำตามันไหลออกมาเรื่อยๆ ระบายความรู้สึกเจ็บแปล๊บในใจออกมา มือหนาข้างหนึ่งเลื่อนขึ้นจากแผ่นหลังมาที่กลุ่มผมสีดำขลับแล้วลูบเบาๆ




    ไม่มีคำพูดใดๆที่มาร์คจะเลือกเอามาปลอบอีกฝ่ายเพราะรู้ดีว่าพูดไปมันก็ไม่ได้ช่วยอะไร สิ่งที่มาร์คควรทำก็คือเชื่อแบมแบมตั้งแต่แรก จินยองจะได้ไม่คิดอะไรไปไกลขนาดนี้ แต่เพราะความที่รู้จักกันมานานจะให้ไปคิดว่าอีกคนนั้นคิดอะไรกับตัวเองมันก็คงไม่ได้ เลยกลับกลายเปนว่าเป็นเขาเองที่ทำให้เรื่องมันซับซ้อนขึ้น ทำให้อีกคนคิดอะไรไปเอง ให้ความหวังไปโดยไม่รู้ตัว




    ทั้งๆที่ให้สัญญามาโดยตลอดว่าจะเป็นพี่ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี คอยปกป้องไม่ให้อีกฝ่ายต้องเจ็บต้องเสียใจ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม เรื่องไหนที่ทำให้ได้ก็จะทำให้ อะไรที่ช่วยได้ก็จะช่วย แต่กลับเป็นเขาเองเสียอีกที่ทำให้อีกฝ่ายต้องเสียใจ ต้องเจ็บ เจ็บแบบไม่มีทางรักษาต้องใช้เวลาช่วยอย่างเดียว เขาก็เข้าไปทำอะไรไม่ได้ ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะยิ่งช่วยก็จะยิ่งเหมือนว่าเขายิ่งทำร้ายอีกฝ่ายซ้ำๆลงไปอีก






    “มาร์ค!!!!เสียงดังโกนดังฝ่าเสียงลมและเสียงคลื่นมากระทบหูเจ้าของชื่อจนเขาต้องหันไปมองต้นเสียง




    ร่างโปร่งคุ้นตาในความมืด และเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้เขาเดาได้ไม่ยากนัก




    “แจ็คสัน” มาร์คพึมพำแผ่วเบา แต่ก็ดังพอที่จินยองจะได้ยิน




    “เชี่ยเอ้ย!!!แจ็คสันสบถเสียงดังกว่าเดิมยกมือขึ้นชี้มาทางมาร์คก่อนจะหมุนตัวกลับแล้วออกวิ่ง 




                 ดวงตาคมเพ่งมองตามหลังไป มือทั้งสองข้างที่กอดจินยองอยู่ก็ค่อยๆล่วงลงเมื่อเห็นว่าแจ็คสันกำลังวิ่งตามร่างของใครอีกคนที่เห็นเพียงเงารางๆก็จำได้





    คนตัวเล็กๆ ที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งอย่างยากลำบาก วิ่งไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ล้มลง ก่อนจะรีบลุกแล้ววิ่งต่อไปอีก มาร์คมองตามไปด้วยหัวใจที่กำลังหล่นวูบ ใบหน้าซีดเผือด เหงื่อเริ่มผุดขึ้นมา ความรู้สึกผิดและอึดอัดถาโถมเข้ามาอย่างนับไม่ถ้วน เมื่อเห็นคนที่แจ็คสันกำลังวิ่งตามไปหกล้มครั้งแล้วครั้งเล่า
















     

    ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก




    เสียงเข็มนาฬิกาติดผนังเดินทำหน้าที่ของมันทุกๆหนึ่งวินาทีเพื่อทำลายความเงียบที่ปกคลุมอยู่ แล้วนี่ก็ผ่านมานานกว่าสิบนาทีแล้วที่ในห้องทรงสี่เหลี่ยมกว้างๆนี่มีแต่เสียงนาฬิกาเดิน ทั้งๆที่ปกติแล้วแทบจะไม่ได้ยินเลยด้วยซ้ำ




    ฟืด




    จินยองทำจมูกฟุดฟิดไล่ของเหลวหนืดที่ขัดขวางการหายใจออกไป กระพริบดวงตาที่แดงระเรื่อเนื่องจากผ่านการร้องมาอย่างหนักหน่วง ตอนนี้จินยองหยุดร้องไห้แล้ว จะเหลือก็แต่อาการสะอื้นที่ไม่รู้ว่าทำไมมันไม่หมดไปซะที สะอื้นจนตัวสั่นไปหมด สองขาเรียวถูกยกชันขึ้นมากอดไว้แน่นก่อนจะเอาคางแหลมวางลงไป มองภาพร่างสูงที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่ที่ปลายเตียง




    ตั้งแต่เมื่อกี้ที่ชายหาดตอนจินยองขอกอดมาร์ค เขาก็แค่อยากกอดร่างสูงบ้างก็เท่านั้น รู้จักกันมาตั้งหลายปีแต่จินยองก็ไม่เคยได้รับการกอดที่อบอุ่นแบบนี้ แม้ว่าจะไม่มีคำพูดใดๆ จินยองก็รู้สึกได้ว่าสภาพจิตใจของเขามันกำลังฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วภายในอ้อมกอดนั้นเพียงไม่กี่นาที อาจจะเป็นเพราะจินยองไม่ใช่คนอ่อนแอ และมาร์คก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจความรู้สึกที่เขาบอกออกไป ถึงแม้ว่าจะปฏิเสธมันอย่างไม่ไยดีก็เถอะจินยองเข้าใจ




    ปาร์ค จินยอง เข้าใจและยอมรับการตัดสินใจของมาร์คเสมอ




    แจ็คสัน…’ จินยองได้ยินเสียงพูดพึมพำที่ข้างหูก่อนที่มือหนาที่ลูบกลุ่มผมของตัวเองอยู่มันจะตกลงสู่ข้างลำตัว มาร์คดันจินยองออกเพื่อที่จะมองเจ้าของชื่อนั่นให้ชัดเจน




    เขาทำเพียงแค่มองมองแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ดวงตาคมฉายแววเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ไม่มีทีท่าว่ามาร์คจะออกวิ่งตามไป เขายืนนิ่งๆอยู่แบบนั้นจนร่างทั้งสองคนลับสายตา ถึงได้หันกลับมาหาจินยองแล้วเดินนำเข้าไปในโรงแรม จินยองเลือกที่จะไม่พูด ไม่ถามอะไร เพราะอย่างที่บอกเขาเคารพการตัดสินใจของอีกฝ่ายเสมอและอีกอย่างก็คงเป็นความรู้สึกนึกคิดลึกๆในใจแล้ว ในตอนนี้เขาก็อยากอยู่กับมาร์คให้นานที่สุดเหมือนกัน




    เมื่อขึ้นมาบนห้องจินยองก็เดินไปนั่งเงียบๆบนเตียง มองร่างสูงที่เดินกลับไปกลับมาอยู่บริเวณปลายเตียง ซักพักเขาก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาถอนหายใจต่อกันสองสามทีก่อนจะหันกลับมามองจินยองที่กำลังสะอื้นเล็กน้อย




    “จะตามแบมแบมไปก็ได้นะ ผมอยู่คนเดียวได้”




    จินยองบอกเสียงเรียบเมื่อเห็นสายตาที่ดูเป็นกังวลอย่างปิดไม่ได้หันมามอง เขาก็ไม่ได้เป็นคนเห็นแก่ตัวขนาดนั้นซักหน่อย แล้วก็ไม่ได้เห็นแก่แบมแบมนะ แต่เห็นแก่มาร์คที่ดูเหมือนว่าโลกทั้งโลกของเขาตอนนี้กลายเป็นสีเทา จินยองก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแหละ เป็นใครก็คงเข้าใจผิดกัน แล้วนี่ยิ่งเป็นเขากับมาร์คด้วยคงไม่แปลกที่แบมแบมจะวิ่งหนีไปขนาดนั้น




    แต่มันแปลกตรงที่มาร์คไม่วิ่งตามไปนี่แหละ เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วที่โรงเรียนตอนนั้นที่มาร์คลืมเวลาว่าต้องขึ้นไปรับแบมแบมลงมาทานข้าว เพราะว่าจินยองให้ลงมาช่วยจัดเอกสารและไล่เอาแฟ้มที่ติดฝุ่นตีกันจนจินยองต้องกระโดดขี่หลังร่างสูงไว้ แบมแบมเปิดประตูข้ามาเห็นแล้ววิ่งออกไปโดยที่ยังไม่มีใครได้พูดอะไร ตอนนั้นเป็นจินยองเองที่ดึงแขนมาร์คไว้ ไม่ให้ตามไปแต่ครั้งนี้กลับเป็นมาร์คเองที่ไม่ตามไป ทั้งๆที่จินยองก็ไม่ได้ห้าม




    “ผมอยู่ได้ ผมไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย” เขาพยายามคลี่ยิ้มแต่มีหรอคนอย่างมาร์คต้วนจะดูไม่ออกว่ามันเป็นการแกล้งยิ้มที่ไม่เนียนเอาซะเลย




    “ตามไปตอนนี้ก็ไม่ช่วยอะไรหรอก กูรอให้แบมใจเย็นลงก่อน” เสียงทุ้มตอบกลับมาก่อนจะกลั้วหัวเราะในลำคอเมื่อจินยองเบ้ปากลงแล้วส่ายหัวเบาๆ “ทำไม จะไล่กูหรอ?”




    “เปล่า ก็แค่ไม่อยากให้เข้าใจผิดกัน”




    ไม่หรอกมั้งถ้ากูอธิบายแบมก็ต้องเข้าใจสิ”




    “มาร์ค” จินยองเรียกร่างสูงน้ำเสียงเหนื่อยเต็มที




    “พอเลยๆ ถ้าจะพูดอะไรก็นอนไปเลยดึกแล้ว แล้วนี่ก็เรื่องของกูไม่เกี่ยวกับมึงโอเคป่ะ”




    “มาร์ค









    “มาร์คฮยอง




    “อะไร จะเรียกอะไรกูนักหนา” มาร์คเริ่มโวยวายเมื่อจินยองยังเซ้าซี้ไม่เลิก “จะกลับไปเรียกเหมือนเมื่อก่อนหรอ มาร์คฮยอง~ มาร์คฮยอง~” มาร์คทำเสียงล้อเลียนริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มก่อนเดินไปหาอีกฝ่ายที่เตียง




    “ไม่เอาอะ เรียกมาร์คเฉยๆเนี่ยดีแล้ว ดูเสมอกันดี”




    “ไอ่เชี่ย” มาร์คพึมพำเบาๆก่อนจะกลบคำด่าด้วยเสียหัวเราะในลำคอ วางมือหนาลงบนกลุ่มผมนุ่มของจินยองแล้วขยี้มันเบาๆ “นอนเถอะมึงอะ ตาบวมแล้ว”




    “มาร์ค




    “อะไรอีก”




    “ผมไม่อยากให้เขาเข้าใจผิดจริงๆนะ แบมแบมอะ”




    “อือ”




    “ถ้ามาร์คไม่ชอบผมก็รีบไปง้อนะเว้ย ไม่งั้นผมแย่งมาร์คคืนจริงๆด้วย”




    “เออหน่า”




    “แล้วถ้าคืนดีกันแล้วเด็กนั่นทำให้มาร์คเสียใจก็กลับมาหาผมได้นะ”




    “อือ”




    “ผมไม่อยากให้เข้าใจผิดกันจริงๆนะ ให้ผมร้องไห้คนเดียวก็พอแล้ว”




    “อือ แล้วคิดว่ากูอยากให้เข้าใจผิดรึไง มึงอะนอนไปได้แล้วพูดมากว่ะ”




    ใช่คิดว่ามาร์คอยากให้เข้าใจผิดหรอ คิดว่ามาร์คอยากให้แบมแบมมาเห็นตัวเองกอดอยู่กับจินยองแล้วเข้าใจผิดแบบนั้นหรอ ทั้งที่แบมแบมพยายามบอกแท้ๆว่าอย่าไปอยู่ใกล้มาก อย่ากอด อย่าจับ อย่ามองตา อย่าลูบหัว อย่ากอดแขน อย่าโอบไหล่ ไอ้ทุกอย่างที่ห้ามมามาร์คก็ทำมันหมด มันไม่ใช่แค่แบมแบมที่เข้าใจผิดหรอก ตัวเขาเองก็ทำผิดด้วยต่างหาก


    -----------------------------------

    #fickissmark

    -----------------------------------

     
     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×