ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    GOT7 | KissMark ตราไว้ในใจนายคือของฉัน![END]

    ลำดับตอนที่ #44 : :: KISSMARK :: EP.44

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.27K
      61
      12 ม.ค. 58




               เงียบ




    อึดอัด




    อึมครึม




    สามคำนี้คงเป็นคำที่สามารถอธิบายบรรยากาศตอนนี้ได้ดีที่สุด




    เฮ้อออออออ~ เด็กชายชเวเป็นอะไร ยิ้มหน่อยดิ ยิ้มหน่อยนะเสียงทุ้มพูดด้วยน้ำเสียงนิ่มที่สุดในชีวิตก่อนจะยื่นมือหนาออกไปดึงแก้มของคนที่นั่งอยู่บนเตียงให้ยกยิ้มขึ้น...




    แต่มันก็เปล่าประโยชน์ เพราะเด็กชายชเวก็คือเด็กชายชเว!! โกรธคือโกรธ งอนคืองอน อย่าหวังว่าจะได้อารมณ์ดีง่ายๆเลย ถ้าคนตรงหน้าไม่ทำอะไรให้ถูกใจจริงๆ ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ยินคำพูดดีๆอะไรจากปาก หรือได้เห็นรอยยิ้มสดใสที่มาพร้อมกับตาหมวยๆที่หยีลงนั่นน่ะ




    เด็กชายชเววววววววว~ กูไปทำอะไรให้มึงไม่พอใจหรออออออออ?” เจบีลากเสียงยาวก่อนจะกระโดดขึ้นเตียงไปนั่งอยู่ข้างหลังยองแจใช้อ้อมแขนกอดอีกฝ่ายจากด้านหลังแล้วโยกตัวเบาๆแบบที่เคยทำเวลาที่อีกคนงอน...




    แต่เจบีคงลืมไปแล้วว่า ครั้งล่าสุดที่เขาทำก็คือเมื่อห้าปีที่แล้ว ตอนนั้นเพิ่งเข้ามัธยมต้นกัน เจบีเลยค่อนข้างที่จะเห่อชีวิตวัยมัธยม เลิกเรียนก็จับกลุ่มไปเตะบอลกับเพื่อนใหม่ๆ ส่วนยองแจ...แน่นอนว่าคนนี้เล่นกีฬาอะไรแบบนี้ไม่ค่อยจะได้หรอก เลยนั่งรออยู่ริมสนาม...นั่งอยู่ริมสนาม...กับพื้นหญ้าเทียม....คนเดียว...คอยหลบลูกฟุตบอลที่หลงออกมา... ตอนยิงประตูไม่เข้าของคนสิบกว่าคน...เป็นเวลาสามชั่วโมง...




     “เห็นกูเป็นเด็กสามขวบหรือไงมาทำแบบนี้อะยองแจพูดเสียงประชดประชันแล้วตีมือที่ประสานกันอยู่ให้แยกออกไปจากบริเวณรอบคอ




    ก็เด็กสามขวบเวลางอนก็ไม่พูดกัน แล้วหน้าบึ้งแบบนี้แหละเจบีตอบเสียงเรียบยอมย้ายมือของตัวเองออกจากรอบคออีกคน แต่กลับเปลี่ยนมาโอบรอบเอวแล้วเอาคางแหลมเกยไว้บนไหล่เล็กๆของอีกฝ่ายแทน มึงงอนกูเรื่องไรอะ?”




    พูดว่าอะไรนะ?” คราวนี้ยองแจถามเสียงเหวี่ยงพร้อมกับเบนสายตาแบบที่จิกกัดเต็มที่ลงมาให้คนที่โยกหัวไปมาอยู่ที่ไหล่ตัวเอง




    ค เค้าทำอะไรให้เด็กชายชเวไม่พอใจหรอ? บอกเค้าหน่อยสิ...




    โอ้ยยยยยยยยยย กู! เจบีตะโกนในใจ เมื่อตอนนี้เขาต้องมาทำอะไรที่มันขัดกับตัวเองแบบสุดๆ เค้า เค้าหรอ....มุ้งมิ้งสัดๆอะ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องง้อยองแจ ทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองไปทำอะไรไว้เจบีคงไม่ได้ใช้คำพูดแบบนี้อีกแน่ๆ




    เด็กชายชเวเคยบอกเขาไว้ว่า เวลาที่ทะเลาะกันหรือมีใครงอนใคร ให้ใช้คำพูดที่ไม่ชวนทะเลาะไปมากกว่าเดิม นั้นก็คือไม่พูดคำหยาบใดๆทั้งสิ้นออกมา อย่างคำพื้นฐานลงท้ายประโยคอย่าง วะ ว่ะ เว้ย โว้ย อะไรแบบนี้ ก็ให้ตัดออกให้หมด  สรรพนามก็เปลี่ยนให้มันฟังแล้วลื่นหูกว่าเดิม...




    แล้วคิดว่าตัวเองทำอะไรไว้ล่ะ?”




    ถ้ารู้แล้วกูจะถามมั้ยวะ...  คำพูดนี้เก็บไว้ในใจ ส่วนที่พูดออกไปจริงๆก็คือ




    เค้าไม่รู้อะ บอกเค้าเถอะนะ จะได้ง้อถูกไง?”




    นึกสิ




    นึกหรอ?”




    อือ




    ก็ตอนเช้าวันนี้เค้าตื่นโคตรเช้า...คือตื่นเช้ามากอะ ไปรับเด็กชายชเวที่บ้านไปเช็คชื่อที่โรงเรียน แล้วก็พาไปโรงพยาบาล รอ รอ รอแล้วก็รอเด็กชายชเวจนตรวจเสร็จ รับยา แล้วก็รับกลับไปทานข้าว ไปโรงเรียนต่อ พอเลิกเรียนก็รับเด็กชายชเวกลับมาบ้านเค้าเนี่ย เพราะเมื่อวานนู้นเด็กชายชเวบอกว่าอยากมาเล่นเกมที่ห้องเค้าอะ




    นึกได้แค่นี้หรอ?”




    อ่าว ก็เค้าไม่รู้จริงๆอะ




    พูดใหม่สิ เดี๋ยวใบ้ให้




    พูดอะไรอะ?”




    ก็เมื่อกี้อะ พูดใหม่




    เฮ้อออออออ~ กูหนอกู เจบีถอนหายใจในใจอย่างเหนื่อยใจก่อนจะเริ่มต้นพูดใหม่




    ก็ตอนเช้าวันนี้เค้าตื่นโคตรเช้า...คือตื่นเช้ามากอะ ไปรับเด็กชายชเวที่บ้านไปเช็คชื่อที่โรงเรียน แล้วก็พาไปโรงพยาบาล รอ รอ รอแล้วก็รอเด็กชายชเวจนตรวจเสร็จ รับยา-




    หยุดยองแจพูดเสียงเรียบขัดประโยค




    ไมอะ?”




    นั้นแหละหลังจากรับยาแล้วไปทำอะไร




    เค้าไปเอารถ ส่วนเด็กชายชเวไปรอที่สวน...




    อืมๆ แล้วยังไงต่อ




    ก็เค้าขับรถมาที่สวน แล้วรับเด็กชายชเวไปขึ้นรถไง




    แล้ว...




    แล้วก็ไปกินข้าวกันไง




    ไม่ใช่สิ ก่อนที่จะขึ้นรถอะ




    ก็ไปเอารถมารับเด็กชายชเวไง




    โอ้ย!!! เบบี้บีทำไมความจำปลาทองจังอะยองแจโวยวายเสียงดังแล้วสะบัดตัวลุกหนีอีกคนไปนั่งไขว้ห้างทำแก้มป่องน่าตาบอกบุญไม่รับที่โซฟาตัวยาวริมห้อง




    เบบี้บี...เบบี้ก็คือเด็ก แต่ไม่ใช่เด็กธรรมดา มันคือทารก...โคตรแห่งความเด็ก ส่วนบีก็คือเจบีหรือแจบอมนั้นแหละ รวมกันมันก็เป็นทารกเจบี ซึ่งเด็กกว่าเด็กชายชเวอีก ยองแจมักจะเรียกเจบีแบบนี้เสมอเวลาที่อีกคนทำอะไรให้ไม่พอใจ เพราะอะไรน่ะหรอ...ก็เพราะเจบีไม่ชอบมันน่ะสิ




    มันออกจะน่ารักเนอะ...




    น่ารักก็บ้า!!!




    มันอาจจะน่ารักในความคิดของยองแจและคนอื่นๆ แต่ไม่ใช่กับเจบี เขาไม่ใช่เด็กๆแล้ว เขาโตกว่ายองแจอีก ถึงจะเป็นเพื่อนกัน แต่เจบีก็โตกว่า สูงกว่า ดูเป็นผู้ใหญ่กว่า ไม่เอาแต่ใจ ไม่เคยงอแง และมักจะปกป้องอีกคนเสมอ หลังจากที่เจบีเรียกยองแจว่าเด็กชายชเวได้ไม่นาน เด็กชายชเวก็จัดการบัญญัติศัพท์ใหม่เวลาที่เห็นเจบีร้องไห้เพราะคิดถึงแม่ว่า เบบี้บี...




    เรียกตอนเด็กๆมันก็ไม่เท่าไหร่ แต่พอเริ่มโตมา อายุเข้าเลขสองหลัก เจบีก็รู้สึกว่ามันฟังแล้วไม่ค่อยลื่นหูเท่าไหร่ เลยไม่อนุญาตให้เรียกตัวเองด้วยชื่อนี้ แน่นอน...ว่ายองแจเชื่อและไม่เรียก แต่ถึงอย่างนั้น ยองแจก็ยังเรียกในเวลาที่ทะเลาะกัน เริ่มงอน หรือว่าเวลาที่อีกคนทำอะไรให้ไม่พอใจ เพื่อให้รู้ว่ากูงอนละนะง้อด่วน!!




    และมันก็ต้องเป็นไปตามนั้น




    “เบบี้บีซื่อบื้อที่สุดอะ อะไรวะพอเลยไม่ต้องเลยนั่งอยู่บนเตียงนั้นแหละนึกออกค่อยมาคุยกัน!!” เด็กชายชเวพูดเสียงประชดประชันรู้สึกหงุดหงิดเต็มทน




    “ถ้าเค้านึกไม่ออกอะ?”




    “ก็นั่งคิดไปจนกว่าจะนึกออก”




    “ไม่เอาดิ”




    “ไม่เอาอะไร”




    “ให้เค้าอยู่ใกล้ๆเด็กชายชเวนะ เผื่อจะนึกออก” เจบีไม่พูดเปล่า แต่กลับลุกอย่างรวดเร็วเดินไปยืนหน้าโซฟา




    “เบบี้บีนี่น่าเบื่อที่สุดเลยอะ” ยองแจเบะปากออกเมื่อเบบี้บีที่น่าเบื่อเอนตัวลงนอนบนโซฟาหนุนตักตัวเอง




    “ก็พอมาจอดรถรอรับเด็กชายชเว เด็กชายชเวก็ไม่ยอมเดินมาซักทีเค้าก็เลยลงจากรถไปตามเด็กชายชเว”




    “แล้วยังไงต่อ นึกเร็วๆดิเบบี้บี”





    “ก็เด็กชายชเวทะเลาะปะ ทะเลาะกับใครนะ เด็กนั่นเป็นคนที่อยู่กับมาร์คต้วนส่วนอีกคน อืมคนในกลุ่มของประธานอะ ชื่ออะไรนะที่เป็นนักกีฬาใช่ปะ”




    “ประเด็นคือชื่อคนหรอเบบี้บี”




    “เค้าจะไปรู้หรอ?”




    “ประเด็นคือเบบี้บีลากเราออกมาทั้งๆที่ยังไม่ได้เคลียร์ให้จบเลย แทนที่เบบี้บีจะเคลียร์ให้แต่กลับลากเราออกมา แล้วบอกให้ไปเคลียร์ที่โรงเรียนต่อ มันใช่หรอเบบี้บี ถึงตอนนั้นก็หมดอารมณ์จะเคลียร์ทุกสิ่งอย่างล่ะ เบบี้บีรู้มั้ยมันเดินชนเราเลยนะ เดินชนอะ เราเจ็บนะตัวปลิวเลย เกือบล้มอะ มันไม่ขอโทษดีๆด้วย น่าโมโหชะมัด!!” ในที่สุดเด็กชายชเวก็หมดอารมณ์เล่นเกมทายปัญหาโดยการเฉลยประเด็นที่ทำให้ตัวเองหงุดหงิดมาครึ่งวันออกมา




    “แล้วสรุปมันชื่ออะไร?”




    “เห้ย!! แทนที่เบบี้บีจะถามว่าเราเจ็บมั้ย เป็นอะไรรึเปล่า หายโกรธรึยัง กลับถามว่ามันชื่ออะไรเนี่ยนะ!!




    “เอ้า! ก็เห็นอยู่อะ ว่าปกติดี นอกจากจะหายโกรธมันแล้ว ยังมางอนเค้าอีก เค้าก็แค่ถามชื่อจะได้ไปบอกประธานให้จัดการให้ เค้าไม่คอยอยากยุ่งกับคนในกลุ่มประธานเท่าไหร่”




    “ปกติหรอ ตรงไหนกันที่ปกติ แค่มองหน้าใช่มั้ย? ผิดแล้วๆเบบี้บีห่วยอีกแล้วอะ ข้างในใจนี้มันกำลังลุกเป็นไฟเลยนะ แล้วก็เจ็บด้วยที่เบบี้บีไม่สนใจเราอะ”




    “ไม่สนใจหรอ เค้าสนใจเด็กชายชเวตลอดเลยนะ”




    “ทำไมต้องเถียงด้วยอะ ให้เราบ่นไม่ได้หรอ?”




    “ถ้าไม่เถียงแล้วปล่อยให้บ่นจะหายงอนเลยป่ะ”




    “แล้วแต่อารมณ์หลังบ่นเสร็จ แต่เราก็เบื่อที่จะงอนเบบี้บีละ”




    “งั้นบ่น อยากพูดไรพูดเลย” เจบีรู้สึกถึงรังสีของความหงุดหงิดที่มันกำลังลดลง มือหนาจึงเอื้อมไปจับมือของเด็กชายชเวมาลูบเล่นก่อนจะหลับตาลงเตรียมใจฟังอีกคนบ่นเต็มที่




    ไม่ใช่ว่าไม่เคยโดนบ่นต้องเคยอยู่แล้ว รู้จักกันมามากกว่าสิบปีอีก เรียกได้ว่าทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้ ยองแจในทุกรูปแบบเขาเจอมาครบหมดแล้วล่ะ โดยเฉพาะเวลาที่ยองแจง้องแง้งงอแงจะเจอบ่อยเป็นพิเศษ ส่วนเวลาที่หงุดหงิดโกรธ หรือยองแจในโหมดดาร์กนั้นไม่ค่อยจะเจอ เพราะยองแจบอกว่าไม่อยากให้ตัวเองต้องทะเลาะกับเจบีบ่อยๆ เพราะถ้าเจบีเบื่อที่จะง้อเขาสองคนก็คงต้องตัดขาดกัน เพราะยองแจง้อใครไม่เป็น




    “เบบี้บี” ยองแจเรียกอีกฝ่ายแล้วก็เงียบไป




    “ถ้าเงียบเค้าพูดนะขอโทษนะที่ดึงออกมาอะ ขอโทษที่ไม่เคลียร์ให้ก่อน แต่ตอนนั้นมันมีรถมาต่อหลังถนนมันมีเลนส์เดียวอะ จำเป็นจริงๆนะ แล้วเค้าก็ไม่อยากให้เด็กชายชเวไปมีเรื่องอะไรแบบนั้นนะ มันผ่านแล้วก็ให้ผ่านไปเหอะนะ เดี๋ยวเค้าบอกประธานให้จัดการให้เนอะ ถึงจะกลุ่มเดียวกันแต่ประธานก็คงต้องพูดอะไรบ้างแหละ แต่เด็กชายชเวก็ไม่เป็นไรนี่เนอะ ยังมางอนเค้าได้นี่ก็แสดงว่าปกติดีแล้วล่ะ เค้าอะสนใจเด็กชายชเวตลอดแหละไม่งั้นก็ไม่ไปรับไปส่ง ไม่มานั่งง้อแบบนี้หรอก”




    “พูดได้ดีนี่เบบี้บี”




    “เลิกเรียกได้แล้ว เรียกเจบีเหอะ”




    เจบีลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อพูดประโยคยาวๆจบ นี่ถ้าพูดขนาดนี้ไม่หายงอนก็พอแล้ว เลิก! เลิกมันทุกอย่างแต่แน่นอนว่า เด็กชายชเวต้องหายงอนไง แต่ถ้าไม่หายงอนจริงๆก็คงต้อง




    ง้อต่อไปเรื่อยๆ เพราะเบบี้บีอยู่ไม่ได้หรอกถ้าไม่มีเด็กชายชเว




    “ยังไม่หายงอน” คำตอบสั้นๆนี่มันเหมือนกับมีไม้มาตีแสกกลางหน้าเจบีจนเขาต้องเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาที่จริงจังมากกว่าเดิมเป็นการบ่งบอกง่ายๆว่ากูเหนื่อยแล้วนะ!




    ต้องทำยังไงถึงจะหายงอนอะเด็กชายชเว




    คิดสิ




    เค้าไม่รู้หรอก เด็กชายชเวอยากได้อะไรอะ




    ไม่รู้!! ตอนนี้เจบีไม่รู้อะไรทั้งนั้น รู้แต่ว่าเมื่อไหร่คนตรงหน้านี่จะหายงอนซักที คิดว่าเจบีจะมีความอดทนง้อไปตลอดรึไงคิดว่าเจบีจะต้องง้อไปตลอดจนกว่าจะหายใช่มั้ย?




    เออ!! ก็ใช่ไง ง้อไปจนกว่าจะหายนี่แหละ เจบีสไตล์!




    แล้วเราเคยขออะไรเบบี้บีไว้แล้วเบบี้บีไม่ยอมอะ




    “...”




    ไม่ใช่ไม่ตอบเพราะไม่รู้ เพราะรู้นี่แหละเลยไม่อยากตอบ




    ขอหรอยองแจไม่ค่อยขออะไรเจบีหรอกส่วนมากก็อ้อนเล่นๆแต่คิดจริง เจบีก็ทำให้จริงๆเพราะรู้ว่าถ้าอีกฝ่ายไม่อยากได้ก็ไม่อ้อนขอหรอก แต่มีอย่างหนึ่งที่เจบีไม่ยอมเด็ดขาดเลย




    ย้อนไปเมื่อสมัยมัธยมต้นที่ยองแจยังร่างกายอ่อนแอกว่าตอนนี้มาก เขาเคยอ้อนขอมาเล่นมาเกม ขอมาดูหนัง ขอมานั่งเล่นนอนเล่นที่บ้านเจบี ซึ่งมันไม่มีปัญหา แต่ปัญหาที่มีก็คือยองแจอยู่จนดึกดื่นแถมยังขอนอนค้างที่บ้านเขาอีก ไอ้อยู่จนดึกมันก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะยังไงเจบีก็พาไปส่งที่บ้านได้ ปัญหามันอยู่ที่ยองแจขอนอนค้างที่บ้านนี่แหละ ไม่ว่ายังก็ไม่ได้เด็ดขาด!




    เพราะบ้านของเจบีอยู่ไกลจากโรงพยาบาลพอสมควร ถ้าเกิดว่ายองแจเกิดเป็นอะไรกลางดึกขึ้นมาการที่จะเรียกรถพยาบาลมารับ หรือพาไปส่งโรงพยาบาลมันจึงต้องใช้เวลาที่มากขึ้นด้วย ไม่ใช่ว่าเจบีไม่อยากให้อีกคนมานอนค้าง เขาอยากให้ยองแจย้ายมาอยู่เลยด้วยซ้ำ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ เลยได้แต่ปฏิเสธไปทุกครั้งที่อีกฝ่ายขอ




    ตอนนี้เราโตแล้วนะ สูงจะเท่าเบบี้บีแล้วด้วย




    แต่ว่า...




    ไม่ว่ายังไงเจบีก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาคนที่แย่ก็คือยองแจ แต่คนที่แย่กว่าก็คือตัวเขาเอง




    ไม่ตกลงก็ได้ แล้วก็ไม่ต้องมาคุยกับเราอีกนะ เราจะป่วยไข้ขึ้นสูงแค่ไหนก็ไม่ต้องมาหา ยิ่งได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนี้มันก็ยิ่งทำให้เขาไม่สบายใจเข้าไปใหญ่ ไม่คุยอะได้ แต่ป่วยแล้วไม่ไปหานี่สิได้คลั่งตายก่อนแน่ๆ




    เอาวะคืนเดียวคงไม่เป็นไรหรอก




    ก็ได้!! ยอมก็ได้ เค้ายอมก็ได้




    “ไม่เป็นไร ไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไร เรื่องแบบนี้มันต้องเต็มใจกันทั้งสองฝ่าย”




    ใช่ ถ้าไม่เต็มใจตลอดคืนมันก็คงเป็นบรรยากาศที่อึดอัดแย่




    “เค้าเต็มใจเสมอ ถ้าเพื่อเด็กชายชเว”




    “จริงนะ”




    “จริงสิ เดี๋ยวพรุ่งนี้เค้าโทรให้คนที่บ้านเด็กชายชเวเอาชุดยูนิฟอร์มมาส่งเลยจะได้ไปโรงเรียนพร้อมกัน”




    “เบบี้บีน่ารักที่สุดเลย!! มากอดหน่อยดิ”




    พูดจบเด็กชายชเวก็โผเข้ากอดอีกคนที่กำลังนั่งฉีกยิ้มอย่างสบายใจก็บอกแล้วว่าถ้าไม่ได้อะไรที่ถูกใจไม่มีวันอารมณ์ดีหรอกแต่ตอนนี้ก็ได้แล้ว เด็กชายชเวอารมณ์ดีแล้ว หายโกรธเป็นปลิดทิ้ง หายงอนด้วย หายหน้าบึ้งด้วย




    ส่วนเจบีก็กำลังภาวนาให้คืนนี้ผ่านไปด้วยดี
















     

    ย้อนกลับไปสองชั่วโมงก่อนหน้านี้




    เหนื่อย




    นี่เป็นคำๆเดียวที่มาร์คสามารถสัมผัสได้ตอนนี้ เพราะตั้งแต่ถึงที่หมายเขาก็ต้องเข้าประชุมกับพวกกรรมการนักเรียนทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องใดๆนอกจากมาตามคำสั่งของทางค่าย พอประชุมเสร็จมาร์คก็ตามจินยองไปประสานงานกับทางโรงแรมจัดเตรียมค่ายตามจุดต่างๆ ตั้งแต่ที่พักยันเรื่องความปลอดภัยของการลงเล่นน้ำทะเล ซึ่งกว่าจะเสร็จก็ใช้เวลาร่วมหลายชั่วโมง




    แน่นอนว่ามาร์คไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเพราะปกติมันคือหน้าที่ของผู้จัดการ เขามีหน้าที่แค่ทำตามคำสั่ง แต่พอถึงคราวที่ตัวเองต้องมาเป็นคนออกสั่งคำ เป็นคนประสานงานส่วนนั้นส่วนนี้มันก็ออกจะยากและเหนื่อยพอควร ต่างกับจินยองที่ทำงานคล่องตัว พอเสร็จส่วนของตัวเองถึงได้รีบปรี่เข้ามาช่วย ไม่อย่างนั้นแม้พระอาทิตย์ตกดินไปแล้วมาร์คก็คงยังทำไม่เสร็จ และคงจะยังไม่ได้มานอนแผ่หลาอยู่บนเตียงแบบในตอนนี้




    “โอ้ยยยยยยยยยยย!! กว่ากูจะได้พัก” เสียงทุ้มโอดครวญระบายความเหนื่อยออกมาก่อนที่มือหนาจะเลื่อนขึ้นมาปลดกระดุมเสื้อออกไปสองสามเม็ด




    “นี่ไม่คิดจะถอดรองเท้าก่อนขึ้นไปนอนบนเตียงเลยหรอ” จินยองพูดเสียงเรียบขณะปลดเนคไทด์ให้หลวมแล้วยืนเท้าเอวมองคนที่ขึ้นไปนอนหมดสภาพอยู่บนเตียง




    “จินยองมึงเข้ามาทำไม นี่ห้องกูครับ” มาร์คผุดขึ้นมานั่งสะบัดขาเบาๆให้รองเท้าหนังราคาแพงกระเด็นหลุดไป




    “ใครบอก




    “อะไร?”




    “ตอนแรกนี่มันห้องผม ห้องมาร์คเจ้าของเขายังไม่เช็คเอ้าท์ผมก็เลยสลับให้มาร์คมาห้องผม แล้วผมไปห้องมาร์คแทน มาร์คจะได้นอนพักไปก่อน เดี๋ยวต้องไปร้องเพลงไม่ใช่รึไง”




    “เออ ทำดีๆ” มาร์คพึมพำก่อนเสยผมสีแดงที่ปรกหน้าผากให้เลิกขึ้นแล้วใช้หลังมือปาดหยาดน้ำที่กำลังเปียกออก




     “จากตอนนี้ก็ฟรีไทม์ ผมขอใช้ห้องน้ำหน่อยนะ เหงื่อเต็มหลังไปหมดแล้ว”




    “อือ”




    ความจริงอากาศข้างนอกมันก็ไม่ได้ร้อนอะไรมากมาย ขนาดที่เข้ามาในห้องที่แอร์ต่ำกว่าอุณหภูมิมาตรฐานเหงื่อยังออกเต็มหลัง แต่เหงื่อที่ออกมันเป็นเพราะมาร์คต่างหาก




    ตอนนี้จินยองอยู่กับมาร์คสองต่อสองมาร์คคงไม่รู้ว่าไอ้การที่ตัวเองเดินเข้ามาถึงในห้องแล้วก็ลงไปนอนแผ่บนเตียงปลดกระดุมจนเห็นแผงอกขาวที่มีเหงื่อซึมอยู่ให้จินยองเห็น มันทำให้อีกคนหัวใจเต้นแรงแค่ไหน




    ปัง!




    “มึงจะพังห้องน้ำกูรึไง!” มาร์คตะโกนตามเข้ามาหลังจากที่จินยองกระแทกประตูปิดแบบลืมตัว




    ก็มันมักจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งเวลาที่จินยองตื่นเต้น แล้วหัวใจเต้นแรงมากกว่าปกติ ไอ้อาการลนลานเผลอปิดประตูแรงๆ หรือไอ้การที่เหงื่อแตกท่วมตัวแบบนี้ มันไม่ได้เป็นบ่อยๆหรอก เพราะนานๆทีที่เขาจะได้มีโอกาสอยู่กับมาร์คแบบนี้ แบบที่มีแค่สองคนไม่มีใครมายุ่งวุ่นวายอีก




    “ใจเย็นๆปาร์คจินยอง” จินยองพูดกับตัวเองขณะสูดหายใจลึกๆเพื่อไล่ไอ้ความตื่นเต้นที่เข้ามานี่ออกไป




    “อาบเร็วๆนะ!!” มาร์คตะโกนเร่งเสียงดัง




    ใครมันจะไปอาบเร็วๆได้วะ




    จินยองคิดในใจเมื่อนึกถึงเวลาที่ตัวเองต้องออกไปอยู่กับมาร์ค อยู่กันตามลำพังมันก็ดีอยู่หรอก มีความสุขดี แต่ว่ามันก็ประหม่าอยู่ไม่น้อยเลยนะ จินยองไม่รู้ว่าเวลาอยู่กับมาร์คสองคนแบบว่างๆตัวเองควรทำอะไร พูดอะไร หรืออยู่ตรงไหน มือไม้มันเกะไปหมด ทำตัวไม่ถูก ลุกลี้ลุกลน เหงื่อก็แตกพลั่ก ไหนจะหัวใจเต้นเร็ว หน้าแดงหูแดงอีก ไอ้ความลุกลี้ลุกลนมันก็พอจะบรรเทาได้ แต่หน้าแดงนี่สิ ธรรมชาติส่งแก้มขาวๆเลือดฝาดเยอะๆมาก็ดี แต่ตอนนี้มันคงจะดีเกินไป




    เมื่อจัดการถอดเสื้อผ้าตัวเองกองไว้กับพื้นเสร็จ ขาเรียวๆก็ก้าวลงในอ่างที่ให้คนเตรียมไว้ให้ก่อนขึ้นมา ทั้งๆที่ตอนแรกเตรียมไว้ให้มาร์คแท้ๆ แต่ตัวเองกลับต้องมาใช้ก่อนเพราะทนสภาพความกดดันไม่ไหวมันไม่มีใครกดดันหรอก นอกจากตัวเขาเองน่ะ แย่ชะมัด




     “จินยองมึงตั้งสติก่อน” เสียงทุ้มหวานพึมพำกับตัวเองก่อนเอาหน้าจุ่มลงไปในน้ำเพื่อเรียกสติ





    น้ำอุ่นๆที่สัมผัสกับใบหน้าขาวใสมันไม่ได้ช่วยเรียกสติของเขามากเท่าไหร่ แต่มันกลับเรียกความคิดที่ทำให้ได้สติมากกว่า




    การที่จินยองได้มาอยู่กับมาร์คแบบสองต่อสองแบบนี้ อาจจะเป็นของขวัญจากพระเจ้าก็ได้พระเจ้าท่านอาจจะเห็นใจในตอนที่มาร์คไปเป็นศิลปินอยู่สองปีเต็มๆทำให้เขาไม่ได้เจอกัน ไม่ได้อยู่ด้วยกันอย่างที่มันควรจะเป็น แถมตอนกลับมา ก็ยังไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก เพราะมาร์คต้องคอยดูแลเด็กคนหนึ่งที่ชื่อว่าแบมแบม




    ใช่!! ต้องใช่แน่ๆ โอกาสแบบนี้พระเจ้าต้องประทานให้เขาแน่ๆ ถ้าพระเจ้าให้มา จะปล่อยเวลาให้ผ่านไปเฉยๆก็คงไม่ได้




    จินยองมึงต้องใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงนี้ให้คุ้ม!! อย่างน้อยๆ ได้พูดอะไรไปบ้างก็คงจะดี




    แน่นอนว่าไอ้ที่บอกว่าได้พูดอะไรไปบ้าง จินยองไม่ได้หมายถึงการบอกรักแน่ๆ เพราะยังไงเขาก็ยังไม่อยากจะตัดความสัมพันธ์กับมาร์คตอนนี้ ถ้าบอกไปแล้วอีกคนคิดไม่เหมือนกันอะไรๆมันก็คงจะไม่เหมือนเดิม ไม่ว่าอยากจะบอกอยากจะพูดอะไรมากแค่ไหนก็คงทำได้แค่พูดกับตัวเองในใจว่ามันเป็นไปไม่ได้




    จินยองไม่ใช่คนโง่ที่จะดูไม่ออกว่ามาร์คไม่ได้ได้มีใจให้ตัวเองจินยองรู้ เพราะรู้ถึงได้ไม่บอก ไม่พูด ไม่พยายามทำอะไรที่มันเกินคำว่าเพื่อน หรือรุ่นน้องที่สนิทกัน ทำได้แค่คอยดูอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ ห่วงว่ามาร์คจะรักอีกคนมากกว่าตนเองและไอ้การที่คอยดูอยู่ห่างๆนี่แหละถึงทำให้รู้ว่า สิ่งที่มาร์คทำให้ตัวเองเมื่อเทียบกับแบมแบมแล้ว มันแทบจะไม่มีค่าอะไรเลยด้วยซ้ำ




    จินยองมาก่อนชอบก่อนรักก่อนแต่ทำไมเขาถึงไม่ได้อะไรที่ควรจะได้บ้าง อย่างการที่มีมาร์คมาดูแลแบบใกล้ชิด เพราะอะไร เพราะจินยองโตแล้ว เพราะจินยองไม่ได้ขาหัก ไม่ได้เข้าเฝือก เพราะเราสนิทกันมากเกินไปหรือเพราะจินยองไม่ใช่แบมแบม




    “กูจะเอาตัวเองไปเทียบกับไอ้เด็กนั่นทำไมวะ?” เป็นคำพูดกับตัวเองคำแรกเมื่อเขาหยุดความคิดไว้กับน้ำวนที่กำลังไหลลงสู่ท่อในอ่าง ก่อนจะเปิดน้ำอุ่นใส่ทิ้งไว้ให้มาร์คที่คงกำลังนอนอยู่บนเตียง




    ปาร์คจินยองมึงไม่โอกาสแบบนี้ไม่มาก เพราะฉะนั้นใช้ให้คุ้ม




    แกร๊ก!




    เมื่อพูดกับตัวเองเสร็จจินยองในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวบางกับกางเกงขาสองส่วนสีครีมก็เดินออกมาจากห้องน้ำ หวังจะเรียกให้คนที่กำลังนอนอยู่ลุกขึ้นไปอาบน้ำบ้าง แต่พอเดินมาดูดีๆบวกกับความเงียบที่มีมานานเขาก็สรุปกับตัวเองได้ว่าอีกคนนั้นหลับไปแล้ว




    “มาร์ค” แม้จะรู้ว่าอีกคนหลับไปแล้วแต่จินยองก็ยังเรียกด้วยเสียงแผ่วเบาพร้อมกับค่อยๆขยับขึ้นไปนั่งบนเตียง




    “ขึ้นร้องเพลงสามทุ่มนี่ก็หกโมงกว่าๆนอนซักพักคงไม่เป็นไรเนอะ”




    ผิดคาดมาร์คยังไม่ได้หลับและตอบกลับมาเสียงอู้อี้ ดวงตาคมค่อยๆปรือขึ้นมองก่อนจะปิดกลับตามเดิมเมื่อเห็นว่าจินยองส่งยิ้มบางให้เป็นการอนุญาต




    “เหนื่อยมากเลยหรอ




    “อือ”




    “งั้นเดี๋ยวพอใกล้ถึงเวลาผมจะปลุกแล้วกัน”




    “อือ”




    “มาร์คตอนนอนนี่ไม่เหมือนกับมาร์คคนที่ใช้ผมทำกิจกรรมทุกอย่างของโรงเรียนเมื่อสองปีที่แล้วเลยนะ ตอนนั้นมาร์คโคตรโหดอะ” จินยองยังคงไม่ละสายตาไปจากใบหน้าหล่อที่เริ่มจมเข้าสู่ห้วงนิทราทีละนิด




    “ก็กูอยากให้มึงเก่ง” คนโคตรโหดหลับตาพูดเสียงอู้อี้




     “แล้วตอนนี้ผมเก่งรึยัง?”




    “เก่งมากให้รางวัลกูด้วยล่ะ สอนมึงไปตั้งหลายอย่าง”




    “มาร์คอยากได้อะไรอะ?”




    “กูขอนอนกอดมึงซักสองชั่วโมงแล้วกัน”




    “ห้ะ…!!” จินยองทำได้เพียงแค่ตกใจ พอสิ้นคำพูดอู้อี้มาร์คก็ขยับตัวเข้ามายกหัวตัวเองขึ้นหนุนหมอนแล้วใช้แขนกอดรอบเอวบางไว้




    มาร์คก็แค่ทำตามความเคยชินที่ปกติแล้วต้องนอนกอดแบมแบม แต่ตอนนี้ไม่มีแบมแบม ไม่มีหมอนข้างสิ่งที่จะช่วยให้มาร์คนอนหลับสนิทได้ก็คือจินยองมาร์คก็แค่คิดว่าจินยองคือแบมแบม จินยองคือหมอนข้าง โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าอีกคนนั้นไม่ได้คิดเหมือนตัวเอง แล้วก็คิดไปไกลแล้วด้วย




    มาร์คไม่ควรทำแบบนี้




    แม้กระทั่งจินยองเองก็ยังคิดว่ามาร์คไม่ควรทำแบบนี้

    ----------------------------------

    #fickissmark

    --------------------------------

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×