ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    GOT7 | KissMark ตราไว้ในใจนายคือของฉัน![END]

    ลำดับตอนที่ #40 : :: KISSMARK :: EP.40

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.93K
      79
      12 ม.ค. 58



             -JACKSON PART-



    “ผมไม่ไปครับ!!” เสียงทุ้มต่ำของมาร์คตะโกนลั่นห้องพักครูจนผมต้องสะกิดมันเบาๆให้รู้สึกตัว




    “ทำไมล่ะ ถ้าเธอไปงานเก็บชั่วโมงที่เหลืออยู่มันก็เสร็จแล้วนะ ไม่ต้องมาคอยทำงานทีละเล็กทีละน้อยอีก” ครูวัยกลางคนอธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาใช้สายตาคมมองลอดแว่นทรงปีกผีเสื้อออกมาจ้องมาร์ค




    “ผมไม่อยากไปครับ มันไม่ใช่หน้าที่ที่ผมต้องทำ ผมไม่ใช่พวกกรรมการนักเรียนซักหน่อย จินยองก็ไม่ได้ขอมา ทางต้นสังกัดผมก็ไม่ได้ขอ แล้วตอนนี้ผมก็ยังโดนกักบริเวณอยู่ด้วย ออกนอกโซลไม่ได้ ผมไม่ไปครับ...”




    มาร์คเริ่มอธิบายเป็นจังหวะเดียวกับที่ครูแกเริ่มถอนหายใจ...






    ตอนนี้ผมกับมาร์คอยู่ในห้องพักครู ซึ่งเป็นห้องพักครูของที่ปรึกษากรรมการนักเรียน เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรรมการนักเรียน หรือบุคลากรในห้องนี้ซักนิด แต่เราก็โดนเรียกตัวมากันทั้งคู่ เหตุผลก็คือ... สัปดาห์หน้าจินยองที่เป็นประธานนักเรียน และพวกกรรมการนักเรียนต้องไปดูสถานที่จัดการค่าย สองวันหนึ่งคืน ซึ่งโรงเรียนก็จะไม่มีคนที่คอยปกครองดูแลนักเรียนนับพันๆ






    จินยองกับยูคยอมต้องไปติดต่อประสานงานในส่วนต่างๆด้วยตัวเองเพื่อให้มันออกมาดีที่สุด พวกกรรมการนักเรียนอีก ยี่สิบสามคนก็ต้องไปดูสถานที่ ดูในเรื่องต่างๆว่ากิจกรรมที่พวกเขาเตรียมมามันจะใช้กับสถานที่ตรงนี้ได้รึเปล่า






    และเนื่องจากโรงเรียนไม่มีประธานและรองประธานนักเรียน ผมกับมาร์คที่เป็นเพื่อนกับประธานนักเรียนก็โดนเรียกตัวมา เพื่อให้ผมเป็นประธานนักเรียนชั่วคราว และมาร์คได้ไปดูสถานที่จัดค่ายกับพวกกรรมการนักเรียน  เพราะเขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงถึงตอนนี้จะพักงานอยู่แต่ว่า มาร์คก็ยังเป็นศิลปินอยู่ดี






    พวกครูคงคิดว่าให้มาร์คไปประสานงานด้วยน่าจะง่ายกว่า...






    มันก็จริงนะที่ว่าให้มาร์คไปประสานงานมันง่ายกว่า เพราะนอกจากเราจะเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงแล้ว ถ้าได้มาร์คไปคุยอีก อะไรๆมันอาจจะง่ายขึ้นด้วย เวลาจะจัดงานจัดอะไรเรียกมาร์คไปก็น่าจะได้ ให้มาร์คไปคุยให้ มันง่ายก็จริงแต่คุยกับมาร์คผมว่ายาก เพราดูว่ามาร์คจะไม่ยอมไปง่ายๆ






    “ผมบอกว่า ไม่ไปก็คือไม่ไปครับ งานเก็บเวลาให้ผมทำไปเรื่อยๆก็ได้”




    “ไม่ได้หรอก เพราะฉันจะให้เธอไปกับกรรมการนักเรียนด้วย กรรมการนักเรียนยี่สิบห้าคนรวมเธอก็เป็นยี่สิบหก แค่สองวันหนึ่งคืนไปคุยงานประสานงานตามที่ต่างๆแค่นี้มันยากมากรึไง”




    “มันไม่ยากหรอกครับ แต่มันไม่ใช่หน้าที่ของผม”




    “แต่เวลางานของเธอมันตั้งยี่สิบกว่าชั่วโมงเลยนะ”




    “เออ นั่นสิ มันเยอะนะ...” ผมขยับเข้าไปกระซิบอีกฝ่าย




    เพราะไอ้เวลายี่สิบกว่าชั่วโมงนี่แหละ ที่ทำให้ผมต้องยอมเป็นประธานนักเรียนชั่วคราวถึงสองวัน...




    กรรมเวรของกูจริงๆ งานธรรมดาก็เยอะจะตายห่าละ เห็นกูว่างมากดิ โธ่ววววววว!




    “เยอะก็เยอะสิ ก็กูไม่อยากไปอะ ไม่! อยาก! ไป!




    “ขอเหตุผล” ใบหน้าที่ถูกแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางหน้าเตอะเริ่มจริงจัง มือที่มีรอยเหี่ยวย่นกรีดนิ้วจับขาแว่นก่อนจะถอดมันออกมาวางทับหนังสือบนโต๊ะ




    “เพราะว่ามันไม่ใช่หน้าที่ที่ผมต้องไป ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกกรรมการนักเรียน ถึงผมจะเป็นเพื่อนกับกรรมการนักเรียน แต่เรื่องงานโรงเรียนผมไม่อยากยุ่ง ผมไม่อยากทำ ทางค่ายก็กักบริเวณผมอยู่ ออกจากโซลไม่ได้ถ้าไม่ใช่เรื่องที่จำเป็น ส่วนเวลาผมก็มีอีกตั้งเยอะที่จะเก็บให้ครบยี่สิบกว่าชั่วโมง จินยองไม่ได้ต้องการให้ผมไปเองหรอก ถ้าเขาจะให้ผมไปเขามาขอกับผมแล้ว จินยองเขาจะไม่ทำอะไรที่มันขัดใจผมหรอก แล้วที่สำคัญนะครับ ผมมีคนที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด คนพิเศษของผมน่ะ”




    แบมแบมสินะ...คนพิเศษที่มาร์คต้องดูแลอย่างใกล้ชิด...




    “อ๋อออออ” แกลากเสียงยาวแล้วคลี่ยิ้มบาง




    บอกตรงๆว่าผมไม่ชอบเวลาครูแกยิ้มแบบนี้เลย มันดูมีอะไรแบบที่เราไม่สามารถจะขัดได้ ต้องจำยอม...




    “เรื่องต้นสังกัดฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว โทรไปถามผู้จัดการของเธอก็ได้นะเขาอนุญาตแล้ว เพราะในอนาคตทางโรงแรม และสถานที่ที่เราไปจัดค่ายกัน เขาอาจจะฉลองอะไรก็ได้ งานฉลองต้องมีเพลง เพลงก็ต้องมีคนร้อง แล้วนักร้องก็ต้องมีค่ายมีสังกัด นั้นคือค่ายของเธอนั้นแหละ เพราะฉะนั้นก็ไปนะเพราะค่ายอนุญาตแล้ว เรื่องนี้จินยองไม่ได้ขอก็จริง แต่ฉันจะให้เธอไป โรงเรียนเรามีนักร้อง มีคนดัง ก็ต้องทำให้เป็นหน้าเป็นตาของโรงเรียนสิ”




    “ถึงยังไงผมก็ยังมีคนที่ต้องดูแลอยู่ดี แบมแบมสัปดาห์หน้าเขาก็ตัดเฝือกแล้วนะครับ”




    “เธอเป็นหมอที่จะตัดเฝือกเขารึไง หรือว่าไม่มีเธอแล้วหมอจะตัดเฝือกไม่ได้หรอ”




    “เปล่าครับ ผมก็แค่อยากอยู่กับเขาตอนที่เขาหายดี เพราะผมเป็นคนทำให้เขาเจ็บ”




    “ไม่จำเป็นหรอก แจ็คสันไง ให้แจ็คสันดูแลแทนซักสองวันสิ สนิทกันนี่เธอสองคนน่ะ”




    “ไม่ครับ!” มาร์คปฏิเสธเสียงแข็งกว่าเดิม




    “ได้ครับ!” และเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมพูดพอดี




    ถ้ามาร์คไป ผมก็ได้อยู่กับแบมแบมสองวัน และหนึ่งคืน...




    “มึงไปเหอะ เดี๋ยวกูดูแลแบมแบมให้ สองวันเอง...”




    “ใครบอกว่ากูจะไป ฝันอีกแล้วนะมึง”




    “เดี๋ยวค่อยเถียงกันนะคะ สรุปว่า สัปดาห์หน้า มาร์คไปนะ มีปัญหาอะไรอีกมั้ย”




    “มีครับ” มาร์คตอบเสียงเรียบ



    “อะไรคะ?”




    “ผมไม่อยากไปครับ”




    “นั่นไม่ใช่ปัญหา...ถ้าเธอไม่ไป ก็ไปคุยกับทางค่ายเอาเองนะ ฉันขอตัวไปสอนก่อน เถียงกันเสร็จแล้วก็ขึ้นเรียนได้เลยนะ”




    “แต่...ครูครับ!




    พูดจบครูแกก็หอบข้าวหอบของรีบเดินออกไป ไม่สนใจเสียงเรียกของมาร์คที่เริ่มจะอาละวาด ถ้าไม่ได้อยู่ในห้องพักครู ตอนนี้เขาต้องตะโกนลั่นแล้วแน่ๆเลย สรุปก็คือ มาร์คต้องไปดูสถานที่จัดค่าย ส่วนผมก็แค่เป็นประธานนักเรียน หรือทาสครูแค่สองวัน แถมยังได้ดูแลแบมแบมอีก หึๆๆๆ ทายซิ ใครได้เปรียบ...




    “กูไม่ไปอะ!!” เมื่อออกมานอกห้องพักครูแล้วมาร์คก็ตะโกนออกมาพร้อมกับใบหน้าที่บอกบุญไม่รับสุดๆ




    “แล้วมึงขัดได้ป่ะล่ะ ไม่ไปได้ป่ะล่ะ”




    “ไม่ได้...”




    “เออไง ไม่ได้ หยุดตะโกนซักทีกูหนวกหู”




    “มึงไม่มาเป็นกู มึงแม่งไม่รู้หรอก”




    “มันจะอะไรนักหนามึงแค่ไปนอกสถานที่สองวันหนึ่งคืน จินยองกับยูคยอมก็ไปด้วย มึงไม่ได้ไปคนเดียวซักหน่อย เชื่อกูสิ จินยองไม่ปล่อยให้มึงลำบากหรอก”




    “กูไม่ได้ห่วงว่ากูจะลำบาก...แต่กูห่วงแบมแบม” มาร์คเบาเสียงลงแล้วเดินปึงปังไปนั่งที่บันไดขึ้นตึก




    ผมก็ห่วงไม่แพ้มันปะวะ หนึ่งวันมันได้อยู่กับแบมแบมมากกว่าผมเสียอีก




    “ถึงขาเกือบจะหายแล้ว แต่ว่าถ้ากูไม่อยู่สองวัน ใครจะดูแลแบมแบมวะ”




    “กูไง...”




    “ไม่!




    “อะไรของมึงเนี่ย? กูก็เพื่อนมึงปะ”




    “ก็เพราะมึงเป็นเพื่อนกูนี่แหละ”




    “เออ ก็ตอนมึงไม่อยู่เดี๋ยวกูดูแลแบมแทนมึงให้ ไปรับ ไปส่ง แล้วก็-”




    “ไม่เอาอะ!” ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ มาร์คก็ตะโกนขัดกลางประโยคขึ้นมา




    “มึงอย่ามางอแง อย่ามาเรื่องมากนะเว้ย! มึงเลือกไม่ได้ ยังไงมึงก็ต้องไป มึงก็พูดเองว่าห่วงแบมแบม เออ! กูก็จะดูแลให้ จะดูแลเขาแทนมึง แล้วมึงจะมาไม่เอาห่าอะไร”




    “ก็...” ใบหน้าขาวใสเริ่มบึ้งตึง



    มาร์คค่อยๆหลับตาลง และผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ คิ้วเข้มทั้งสองข้างคลายออกจากกัน และขมวดเข้ามาใหม่ เมื่อเปลือกตาที่มีขนตายาวเป็นแพหนาถูกเปิดขึ้น เสียงทุ้มต่ำก็เอ่ยออกมา...




    “แจ็คสัน มึงฟังกูนะ...”




    “...”




    “กูอะ เป็นคนที่ทำให้แบมแบมขาหัก ในตอนที่เขาเจ็บกูก็เป็นคนที่ดูแลเขาทุกอย่าง ในตอนที่เขาหายกูก็อยากเป็นคนที่อยู่ข้างๆเขา มึงเข้าใจกูปะ แล้วแบบให้กูไปทำเชี่ยอะไร ไร้สาระ คือไม่มีกูก็ทำงานกันได้ปะวะ ไอ้จินยองมันก็เก่งจะตาย ละให้กูไปอีก แม่ง...คนที่ได้ประโยชน์แม่งก็โรงเรียนกับต้นสังกัดกูปะวะ” มาร์คพยายามควบคุมอารมณ์ที่เริ่มครุกรุ่นเต็มที่ เขาค่อยๆพูด แต่ยิ่งพูดคำหยาบต่างๆก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น




    “ก็มึงเลือกไม่ได้ ยังไงมึงก็ต้องไป เขาสั่งมามึงก็ต้องทำ”




    “แล้วไงอะ!...กูก็อยากอยู่กับแบมแบมปะวะ”




    “มึงได้อยู่กับแบมแบมมากกว่ากูอีกนะ”




    “มันก็ถูกแล้ว...”




    “งั้นมึงเลิกโอดครวญซักทีได้ป่ะ ยังไงมึงก็ต้องไป แล้วกูจะดูแลแบมให้ โอเคป่ะ”




    “ไม่โอเคว่ะ”




    “ทำไม?”




    “ก็กูไม่โอเคอะ กูไม่โอเค มึงเข้าใจป่ะว่ากูไม่โอเค!!




    “มึงอย่าไม่มีเหตุผลสิวะ”




    “เหตุผลอะกูมี...”




    “งั้นบอกมา”




    “กูบอกไม่ได้”




    “ทำไม?”




    “มึงอย่าถามกูสิ กูบอกว่าบอกไม่ได้ไง มึงอย่ามาขี้สงสัยตอนนี้ดิ”




    “มึงก็อย่าไม่มีเหตุผลสิวะ กูโคตรเกลียดเวลาที่มึงเป็นแบบนี้ที่สุดเลย”






    ผมเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาหน่อยๆแล้ว นู้นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา ผมก็พยายามเข้าใจนะ ว่ามันไม่อยากไป มันอยากอยู่กับคนที่มันต้องดูแล คนที่มันทำให้ขาหัก คนที่อยู่กับมันมาตลอดสองเดือน แล้วเวลาแค่สองวันตอนนี้มันจะไปทำอย่างอื่นบ้างไม่ได้รึไง ยังไงมันก็ต้องไปอยู่ดี ให้ผมดูแลแบมแบมซักสองวันมันจะเป็นอะไรขึ้นมาวะครับ






    “มึงหยุดเอาแต่ใจ แล้วคิดนิดนึงสิ มึงต้องไป แล้วกูต้องอยู่ ถ้าไม่ใช่กูแล้วมึงจะให้ใครมาดูแลแบมแบม ถ้าไม่ใช่กูที่เป็นเพื่อนมึง ถ้าไม่ใช่กูที่เป็นห่วงแบมแบมไม่น้อยไปกว่ามึง หรืออาจจะมากกว่ามึงด้วยซ้ำ!




    “กูไม่ใช่แค่ห่วง กูทั้งหวง ทั้งหึงเลยล่ะ” มาร์คกัดฟันพูดก่อนจะยกมือขึ้นมาขยี้หัวตัวเองจนผมสีแดงทับทิมยุ่งเหยิงไปหมด




    “...”




    “มึงเข้าใจสิ่งที่กูกำลังจะพูดใช่มั้ย”




    กูก็ไม่ได้โง่ป่ะวะ...






    ทำไมผมจะไม่รู้ล่ะว่ามันหมายถึงอะไร ทุกครั้งที่ผมเข้าใกล้แบมแบม ทุกครั้งที่ผมพยายามจะเข้าไปดูแล เข้าไปพูดด้วย เล่นด้วย ผมก็จะถูกมาร์คกันออกมาตลอด ลากแบมแบมไปบ้าง เดินแทรกผมบ้าง ผลักผมบ้าง ดึงแบมแบมเข้าไปโอบบ้าง ทำขนาดนี้ ทำไมผมจะไม่รู้ มาร์คมันไม่เคยปิดบังอะไรได้อยู่แล้ว คนอารมณ์รุนแรงแบบมันอะ เก็บความรู้สึกไม่ได้หรอก สีหน้าและสายตาของมันจะออกมาก่อนเสมอ






    ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ ผมรู้แล้วก็สงสัยมาตลอด แต่ก็ไม่กล้าถามมาร์คหรือแบมแบม เพราะถ้าผมพูดออกไป บางอย่างมันอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ ถ้ามีคำถามมันก็ต้องมีคำตอบ แล้วมันก็อาจจะมีคนที่ต้องเสียใจเพราะคำตอบนั้น





    และคนนั้นมันก็อาจจะเป็นผมเอง...






    ผมวางมือหนาลงบนไหล่ของเพื่อนที่ผมรักมากที่สุด และออกแรงบีบเบาๆ มาร์คค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผม ดวงตาที่เคยสดใสกลับมีแต่ความกังวล คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถาม






    มาร์ค...มึง...ชอบแบมแบมหรอ?”




    “อือ” คำตอบสั้นๆที่ออกมาทำให้สติผมหลุดไปชั่ววูบ มือที่วางอยู่บนไหล่อีกฝ่ายเมื่อครู่ก็ตกลงมาอยู่ข้างลำตัว “แล้วมึงชอบแบมแบมรึเปล่า?”




    แล้วมึงชอบแบมแบมรึเปล่า...




    ผมหรอ...




    ผมน่ะ...




    ไม่ใช่แค่ชอบหรอก...




    “สำหรับกู...มันมากกว่าคำว่ารักด้วยซ้ำ”








     

    -MARK PART-       



    สำหรับกู...มันมากกว่าคำว่ารักด้วยซ้ำ




    “...!!”




    ผมแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินคำตอบของแจ็คสัน ตกใจนะที่มันพูดออกมาตรงๆแบบนี้ แต่ก็พอทำใจมาแล้ว อีกทั้งตอนนี้แบมแบมก็เป็นแฟนกับผม เรื่องที่แจ็คสันมันจะชอบหรือไม่ชอบ ผมก็แค่อยากรู้ยังไงๆ มันก็ไม่มีทางได้แบมแบมไปหรอก ผมไม่เจ็บ ผมไม่โกรธ และผมก็ไม่แคร์ด้วย เพราะปรบมือข้างเดียวยังไงมันก็ไม่ดัง ถ้าแบมแบมไม่เล่นด้วยซะอย่าง ต่อให้มันชอบ มันรักมากแค่ไหน มันก็ทำได้แค่นั้นแหละ...




    งั้น...มึงกับกู...ก็เป็นคู่แข่งกันหรอวะแจ็คสันพูดช้าๆ ดวงตาที่เคยมีแต่ความอบอุ่นลบหายไปในพริบตา




    นิสัยชอบเอาชนะของมัน ก็เป็นสิ่งที่ผมเกลียด พอๆกับที่มันเกลียดเวลาผมไม่มีเหตุผลนั้นแหละ




    เปล่า...มึงคือเพื่อนกู เพื่อนที่กูรักมากที่สุด...พูดก่อนจะคลี่ยิ้มให้มัน




    แต่กูกับมึงชอบคนๆเดียวกันนะ




    แล้วไง...มึงไม่ใช่คู่แข่งกูหรอก ไม่ต้องพยายามที่จะแข่งอะไรกับกูทั้งนั้น กูขอร้อง...




    ยังไงแจ็คสันมันก็ไม่ใช่คู่แข่งของผมอยู่แล้ว จะมาแข่งอะไรกับคนที่ได้คนที่มันชอบมาเป็นแฟนแล้ว...




    กูขอร้องมึงจริงๆนะ ไม่ใช่แค่พูดไปอย่างนั้น ในใจกูก็ขอร้องมึงเหมือนกัน เพราะสำหรับกูไม่ว่ายังไง มึงก็คือเพื่อนเพื่อนดีๆ ไม่ได้หากันง่ายๆนะเว้ย ยิ่งเป็นมึงแล้วกูจะไม่ยอมเด็ดขาด ยังไงมึงก็ต้องเป็นเพื่อนกับกู




    ไอ้แจ็คสัน เวลามันจะแข่งอะไรซักอย่างที่มันจริงจังขึ้นมาจริงๆ มันไม่เคยมีคำว่าแพ้เลย...ที่ผมไม่อยากแข่งกับมัน ไม่ใช่เพราะว่าผมไม่อยากแพ้มัน ผมไม่กลัวที่จะแพ้มันหรอก แต่ผมกลัวที่จะเสียเพื่อนที่ดีมากคนหนึ่งไป ผมกลัวที่จะเสียแบมแบมไป ผมกลัวว่าอะไรๆมันจะไม่เหมือนเดิม กลัวว่ามันจะแย่ลงไปกว่านี้




    มึงพูดจริงดิแจ็คสันถามย้ำ




    เออสิวะผมตอบก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง




    ตอนนี้แววตาเดิมของแจ็คสันกลับมาแล้วเพียงไม่กี่ประโยคที่ผมบอกกับมันไป ความคิดที่มันจะให้ผมเป็นคู่แข่งก็หายไปทันที เห็นมั้ยล่ะ ว่าแจ็คสัน มันเป็นเพื่อนที่ดีขนาดไหน




    ผมจะไม่ยอมเสียเพื่อนคนนี้ไปเด็ดขาด




    งั้นมึงจะยอมไปค่ายโดยให้กูดูแลแบมแบมได้รึยัง




    ได้ตั้งนานละ...แต่มึงแม่งไม่น่าไว้ใจวะ




    ก็ถ้าไม่ใช่มันจะให้ใครดูแลแทนล่ะครับ คำสั่งของโรงเรียนผมยังพอไม่ทำตามได้ แต่คำสั่งของทางค่ายยังไงมันก็อยู่ในสัญญา แถมตอนนี้ความฝันที่ผมจะได้กลับไปยืนบนเวทีก็กำลังกระพริบๆ จะดับหรือจะติดก็ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้น การทำตามคำสั่งจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด




    มึงน่าไว้ใจตายห่าเลย




    ก็อยู่ด้วยกันมาสองเดือนอะ น่าไว้ใจปะล่ะ....ทำหน้าเยาะเย้ยมันไปทีก่อนจะหันหลังก้าวเท้าขึ้นบันไดตึก




    สรุปคือมึงให้กูดูแลแบมแบมแล้วนะมันจิปากแล้วเดินตามขึ้นมา




    เออ




    แล้วมึงจะไปดูสถานที่ค่ายแล้วใช่มั้ย




    เออ




    แล้วมึงกับกูจะเป็นเพื่อนกันตลอดไปใช่มั้ย




    เออ




    มึงจะไม่โกรธกูใช่มั้ยเวลากูอยู่ใกล้แบมแบม




    เออ




    งั้นถ้ากูจีบแบมแบม แล้วเขามาชอบกู มึงไม่โกรธกูนะ




    สัด…”




    ด่ากูทำไม




    ก็มึงแม่งพูดอะไรออกมาล่ะ จะทำอะไรก็นึกถึงหน้ากูก่อนทำด้วย…” ผมหยุดประโยคแล้วหันไปแยกเขี้ยวใส่มัน




    เออ






    คราวนี้เป็นแจ็คสันบ้างที่ตอบเออกลับมา พร้อมกับรอยยิ้มที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้า ผมไม่รู้หรอกนะว่าถ้าเป็นเรื่องแบบนี้ คนอื่นจะทะเลาะกันรึเปล่า แต่ผมไม่ยอมแน่ที่จะเสียเพื่อนที่ดีไป ผมไม่ยอมเด็ดขาด สำหรับผม พวกพ้องคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต แม้ว่าผมไม่มีอะไรเลย ขอแค่มีเพื่อนที่อยู่ข้างๆแค่นั้นก็พอ ในวันที่ผมเป็นแค่มาร์ค ต้วนเด็กนักเรียนธรรมดา แจ็คสันก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม ในวันที่ผมเป็นซูเปอร์สตาร์ เป็นคนดัง แจ็คสันก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม และในวันนี้ ที่เรารักคนๆเดียวกัน ผมก็ยังอยากให้เขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมอยู่เหมือนเดิม...






    แจ็คสัน หวัง และมาร์ค อีเอิ้น ต้วน เพื่อนที่ชอบอะไรเหมือนๆกัน  เกือบทุกอย่างในชีวิตที่เราเหมือนกัน และในที่สุด คนที่เรารัก ก็ไม่ใช่แค่เหมือนกัน...แต่มันคือคนๆเดียวกัน...






    การกระทำในวันนี้ผมคิดว่ามันถูกต้องที่สุดแล้วไม่มีใครที่จะห้ามความรู้สึกของตัวเองได้หรอก ผมรู้ดีเพราะผมก็ห้ามไม่ได้เหมือนกัน ถึงได้รักแบมแบมมากมายขนาดนี้ แจ็คสันเองก็ไม่ได้ทำผิดอะไร มันก็แค่ตอบคำถามที่ผมถามไปว่ามันชอบแบมแบมรึเปล่า แล้วคำตอบก็คือ มากกว่าคำว่ารักผมไม่มีสิทธิ์จะไปบอกมันให้เลิกชอบหรือให้ไปชอบคนอื่น ถ้าผมกับมันจะแตกกันก็ต้องไม่ใช่เพราะเรื่องแบบนี้ แล้วถ้าเราแตกกันเลิกเป็นเพื่อนกัน ก็ไม่ใช่ว่าผมกับมันจะเลิกชอบแบมแบมซักหน่อย เพราะฉะนั้น มันไม่มีประโยชน์อะไรที่เราะมาทะเลาะกันเอง






    ผมได้เปรียบที่ตอนนี้เป็นแฟนกับแบมแบมอยู่ ถึงจะไม่มีใครรู้เพราะแบมแบมไม่ให้บอก แต่ผมก็รู้อยู่แก่ใจ แจ็คสันมันจะพูดอะไรมันก็ไม่ผิดหรอก เพราะมันไม่รู้ว่าสถานะของผมกับคนที่มันชอบไม่ใช่แค่คนรู้จัก พี่น้อง หรืออะไรอีกต่อไปแล้ว มันไปไกลมากกว่านั้น






    ผมไม่ควรโกรธแต่ควรสงสารและเห็นใจมันมากกว่า ที่ไม่รู้อะไรเลย




     

    -JB PART-



    เบื่อ





    เบื่อหมอ เบื่อพยาบาล เบื่อบุรุษพยาบาล เบื่อรถพยาบาล เบื่อเสื้อกราวน์ เบื่อสีขาว เบื่อเตียงคนป่วย เบื่อเก้าอี้วีลแชร์ เบื่อเสียงที่จะดังก็ไม่ดังจะเบาก็ไม่เบาในโรงพยาบาล เบื่อกลิ่นฉุนที่เป็นเอกลักษณ์ เบื่อเบื่อเบื่อเบื่อโว้ยยยย!!






    เบื่อจริงๆนะ ชีวิตนี้ป่วยหนักเข้าโรงพยาบาลก็นับครั้งได้ แต่การที่ต้องมาโรงพยาบาลบ่อยๆเพื่อเฝ้าไข้ใครคนหนึ่ง และรับกลับ มันบ่อยจนผมเริ่มจะเบื่อและเกลียดโรงพยาบาลแล้วล่ะ ไม่มีอะไรที่มันน่าตื่นเต้น ท้าทายหรือหวือหวาเลยซักนิด ไม่รู้ว่าหมอไม่เบื่อกันบ้างหรือไงที่ต้องถามทุกคนเลย ว่า เป็นอะไรมาแล้วก็ทำอะไรซ้ำๆกับที่เดิมๆ แค่เปลี่ยนคนไข้เท่านั้นเอง






    รอนานมั้ย?” เสียงคุ้นหูถามก่อนที่ปลายนิ้วเรียวจะสะกิดเบาๆที่หัวไหล่ผม




    ไม่หรอก ไปกันเถอะ เด็กชายชเว…” ผมคลี่ยิ้ม




    เบื่อโรงพยาบาล เบื่อการที่ต้องมานั่งเฝ้าไข้ เบื่อการมารอรับก็จริง แต่ไม่เคยเบื่อคนที่ผมต้องมาเฝ้าไข้ คนที่ผมต้องมารอรับนะครับ




    เรียกแค่ตอนอยู่กันสองคนสิ เดี๋ยวคนอื่นมาได้ยินก็ตลกแย่ ลูกชายนักการเมืองมีชื่อเล่นว่าเด็กชายชเว เสียภาพพจน์พ่อกันพอดี




    พ่อมึงอะนะมึงไข้ขึ้นจนเข้าโรงบาล แค่โทรมาหายังไม่โทรเลย เฮอะ!ผมแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างหงุดหงิดใจก่อนหยิบกระเป๋าที่เอาใส่เสื้อผ้ามาให้ยองแจเปลี่ยนแล้วเดินนำเขาออกไปหน้าลิฟท์




    พ่ออาจจะติดงานอยู่ก็ได้นะ




    กูก็ขอให้เป็นแบบนั้น…”




    แล้วนี่มึงไม่ไปโรงเรียนหรอ




    ก็กูมารับมึงกลับบ้านไง…”




    แล้วจินยองไม่ว่าหรอ มารับกูอะ แบบว่า...คนที่บ้านกูก็มีไรงี้




    ขนาดคนที่บ้านมึงมี มึงยังป่วยเข้าโรงพยาบาลได้เลย แล้วกูก็บอกประธานไว้แล้วว่าลาหยุด มึงไม่สบายกูไปเรียนไม่ได้หรอก




    แล้วมึ…”




    นี่! เด็กชายชเวจะมีคำถามอะไรมากมายวะห้ะ? ไม่เอา ไม่ถาม ขี้เกียจตอบแล้ว เงียบไปเลย…” ผมยกนิ้วขึ้นมาชี้คนตรงหน้าด้วยความหงุดหงิดเต็มที่ ไม่รู้เหมือนกันว่าหงุดหงิดอะไร แต่มันหงุดหงิดอะ!!




    คงจะเป็นเพราะผมเกลียดโรงพยาบาลจริงๆซะแล้วมั้ง




    “ก็ได้...” ยองแจตอบเสียงอ่อยแล้วเม้มริมฝีปากเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง




    อยู่ในลิฟท์ไม่นาน ก็ลงมาที่ชั้น G ผมเดินนำยองแจไปที่รถเงียบๆ ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะ...ผมเป็นคนที่อารมณ์แปรปรวนก็จริง แต่ว่ามันก็มีเหตุผลทุกครั้งที่ผมจะหงุดหงิดหรือว่าอารมณ์ดี แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกหงุดหงิดแบบที่บอกไม่ถูก เกลียดโรงพยาบาลก็คงเป็นสาเหตุหนึ่งแต่ความรู้สึกผมมันบอกว่าไม่ใช่ทั้งหมด...




    งงตัวเองว่ะ





    “กู...พูดได้ป่ะ?” นั่งเงียบๆในรถมานานยองแจก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบลง




    “พูดได้...”




    “มึงเป็นอะไรอะ หงุดหงิดอะไรมา”




    “เปล่านี่...” ผมปฏิเสธ เพราะไม่รู้จริงๆว่าหงุดหงิดอะไรมา




    “กูเป็นเพื่อนกับมึงมากี่ปีแล้ววะ”




    “ก็...”




    เท่าไหร่วะ ผมกับยองแจรู้จักกันตั้งแต่เด็กๆเลยนะ เพราะพ่อเราเป็นเพื่อนกัน ไม่เคยนับเลย...ก่อนประถม ประถม มัธยมต้น มัธยมปลาย...เอ่อ...




    “มากกว่าสิบปี” ผมตอบ




    “เพราะงั้นอย่าโกหกกูว่ามึงไม่ได้หงุดหงิดอะไรมา...”




    “หายป่วยแล้วปากดีนะมึงอะ” ผมพูดก่อนจะกลั้วหัวเราะในลำคอแล้วปล่อยมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยส่งไปขยี้กลุ่มผมของคนข้างๆ




    “ไม่ได้ปากดีซักหน่อย กูก็แค่อยากรู้ว่ามึงเป็นอะไร เวลามึงหงุดหงิดแล้วเงียบแม่งโคตรน่ากลัวเลย...”




    “โห้ยยยยย เวลามึงนอนป่วยกูว่าน่ากลัวกว่าอีกนะ”




    “ทำไมอะ หน้ากูซีดใช่ป่ะ กูไม่หล่อกูไม่น่ารักใช่มั้ยอะ” พูดพร้อมกับยกมือขึ้นมาทาบที่แก้มตัวเอง




    “เปล่า...”




    “อ้าว แล้วมึงกลัวอะไร”




    “กูกลัวว่ามึงจะเป็นอะไรไปน่ะสิ...กลัวว่ามึงจะป่วยหนักขึ้นมาจริงๆ กลัวว่ามึงจะทิ้งกูไป กลัวว่าพ่อมึงจะมาด่ากูว่าดูแลลูกเขาไม่ดี กลัวว่ามึงจะไม่ฟื้นขึ้นมา กลัวว่ามึงจะเจ็บจะทรมาน...”




    แล้วก็กลัวว่ามึงจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีกู




    ถ้าวันหนึ่งผมอยู่ในสถานะที่มาดูแลมันแบบนี้ไม่ได้แล้ว ผมยังคิดไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นยังไง แล้วผมจะเป็นยังไง




    “กูไม่เป็นอะไรหรอก...ตราบใดที่มึงยังอยู่ข้างๆกู กูไม่เป็นอะไรไปหรอก กูไม่ทิ้งมึงไปไหนหรอก แต่มึงนั้นแหละจะทิ้งกูไปไหนรึเปล่า”




    “อยู่ที่ว่ามึงจะให้กูไปรึเปล่า ถ้ามึงไม่ให้กูไป...กูก็จะไม่ไป แต่ถ้ามึงให้กูไป...กูก็จะไป...แล้วก็กลับมาดูแลมึงให้ดีที่สุด”




    “มึงพูดเหมือนว่ามึงกำลังจะไปไหนเลยนะ...เจบี”




    “กูยังไม่ไปไหนหรอก แต่มึงต้องไปแล้ว...”




    “กูหรอ กูต้องไปไหน” ยองแจถามหน้าตาตื่น




    “ถึงบ้านมึงแล้ว...” ผมพยักเพยิดไปที่กระจกหน้าซึ่งประตูขนาดใหญ่กำลังเปิดออก




    “มึงก็เข้าไปเล่นกับกูก่อนดิ บ้านกูไม่มีใครเลยนะเว้ย ใจคอนี่มาส่งกูละก็จะกลับไปเลยใช่ป่ะ”




    “อือ”




    “อือ อือ! อือหรอ มึงไม่คิดจะเข้าไปในบ้านเลยหรอ บ้านมึงไม่หนีไปไหนหรอก ไปเล่นกับกูก่อนดิ”




    “เล่นห่าอะไร กี่ขวบละมึงอะ”




    “ไหนบอกว่าสำหรับมึงกูก็เป็นเด็กชายชเวเสมอไง”




    “โอเค ไป...อยากเล่นอะไรล่ะครับ เด็กชายชเว”




    และมันก็เป็นเด็กชายชเวจริงๆ ยองแจตอนป่วยก็ป่วยจริงๆ ป่วยแบบที่ผมกลัวว่ามันจะเป็นอะไรไป พอหายป่วย ก็กลับเป็นเด็กชายชเวที่เอาแต่ใจ งอแง ขี้เล่น แล้วก็ทำให้ผมหัวเราะได้อยู่ตลอดเวลาเหมือนเดิม เพราะแบบนี้ไง มันถึงได้เป็นเด็กชายชเว ที่เอาแต่ใจ แล้วก็ชอบทำให้ผมเป็นห่วง...






    ย้อนไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน....ในตอนที่อิม แจบอม และชเว ยองแจเพิ่งจะอายุห้าขวบ





    กล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ถูกตั้งไว้บนแท่นสูงที่ประดับด้วยดอกไม้สวยงามแต่เมื่อมองดูดีๆแล้ว ดอกไม้พวกนี้มันกำลังร้องไห้ ร้องไห้ไปพร้อมๆกับเด็กชายที่นั่งตัวสั่นคลอนพยายามกลั้นน้ำตา แต่ว่ามันก็ไหลออกมาไม่หยุด เขาอยากจะเข้มแข็งเหมือนพ่อที่ไม่เคยมีน้ำตา ไม่มีความรู้สึกใดๆออกมาทางแววตาเมื่อมองไปยังกรอบรูปที่เป็ยใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังยิ้มอย่างอ่อนโยน





    ความรู้สึกของเด็กอายุห้าขวบที่ต้องเสียผู้เป็นแม่ไปอย่างไม่ทันตั้งตัว มันเป็นความรู้สึกที่เศร้า และขมขื่นเกินกว่าเด็กวัยนี้จะรับไหว ชุดสูทสีดำที่สั่งตัดมาเป็นพิเศษตอนนี้รอบปกมันเปียกชื้นไปเพราะหยดน้ำตาหมดแล้ว






    “แจบอม ออกไปล้างหน้าล้างตาหน่อยเถอะ ดีแล้วค่อยเข้ามา” เสียงทุ้มต่ำของผู้เป็นพ่อกระซิบบอกและดันหลังเด็กตัวเล็กให้เดินออกจากจุดที่เอาไว้เคารพ และขอขมาศพ




    “ครับ...” เขาก้มหัวลงก่อนจะเดินออกไปล้างหน้าที่ห้องน้ำตามคำสั่ง แล้วไปนั่งพักกลั้นน้ำตาอยู่บริเวณห้องว่างที่ไม่ค่อยมีคน



    ถ้าเป็นเด็กคนอื่น คงไม่เพียงร้องไห้กระซิกๆแบบนี้แน่ๆ แต่คงจะต้องร้องไห้ฟูมฟาย งอแงไม่เป็นอันทำอะไร ใครพูดอะไรก็ไม่ฟัง หรืออาจจะสติแตกไปเลยก็ได้




    แจบอมเด็กที่เห็นผู้เป็นแม่หมดลมหายใจไปต่อหน้าต่อตา... ถ้าไม่เป็นเพราะเขายืนเหม่อมองรถคันหรูที่กำลังแล่นในถนนอีกเลนส์ตอนที่เขากำลังข้ามทางม้าลาย แล้วไฟเปลี่ยนสี มือของแม่ที่เขาไม่ได้จับไว้ก็หายไปไหนแล้วไม่รู้ ไฟสัญญาณของทางม้าลายเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดง พร้อมกับร่างของแม่ที่กำลังวิ่งกลับมารับเขา




    ร่างบางของหญิงสาวล้มลงกลางถนนเพราะรถที่ออกตัวมา โดยดูแต่สัญญาณไฟไม่ได้ดูว่าใครจะยืนหรือจะวิ่งอยู่บนทางม้าลายข้างหน้า ของเหลวสีแดงสดไหลออกมาจากร่างที่นอนหมดสติอย่างรวดเร็ว และก่อนที่เด็กอายุห้าขวบจะตั้งสติกับเหตุการณ์ตรงหน้าได้ ลมหายใจที่แผ่วเบาเต็มทีก็หมดไปจากร่างของผู้เป็นแม่ โดยที่ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าลูกของเธอจะปลอดภัยจากการที่ยืนอยู่กลางถนนรึเปล่า...




    “อิม แจบอม...” เสียงเล็กเรียกคนที่กำลังนั่งกอดเข่าอยู่มุมห้องก่อนจะใช้มือสะกิดที่หัวไหล่ซึ่งสั่นเบาๆ




    “หื้ม?” เขาตอบกลับเป็นเสียงในลำคอหลังจากเงยหน้ามองคนตรงหน้าที่กำลังคลี่ยิ้มให้เหมือนทุกครั้งที่เจอกัน




    “แจบอมเป็นอะไร ร้องไห้หรอ? ร้องไห้ทำไม?” ถามพร้อมกับใช้มือเล็กเช็ดใบหน้าที่เปียกชื้น




    “นิดหน่อยน่ะ มีอะไรรึเปล่า”




    “ไปเล่นกันนะ...ไม่มีอะไรทำเลย พ่อก็คุยกับใครไม่รู้เยอะแยะไปหมด เราไม่มีอะไรทำเลย เบื่อจะแย่แล้ว”




    “ขอโทษนะยองแจ แต่วันนี้เราคงเล่นด้วยไม่ได้ ไว้ครั้งหน้านะ” แจบอมพยายามกลั้นก้อนสะอื้นและวางมือลงบนเรือนผมสีดำขลับของคนที่ตัวเล็กกว่าแล้วลูบมันไปมา




    “แจบอมร้องไห้ทำไมหรอ?” ดวงกลมโตใสซื่อจ้องเขาด้วยความอยากรู้




    ยองแจรู้อยู่แล้วว่าคนที่นอนอยู่ในโลงคือแม่ของแจบอม แต่ยองแจไม่เคยมีแม่...พอเธอคลอดยองแจ เธอก็เสียชีวิต ความรู้สึกที่จะไม่มีแม่อีกต่อไปแล้ว เขาเลยไม่เข้าใจมัน เพราะเขาไม่เคยมีตั้งแต่แรก...




    “เราแค่เสียใจ ไว้ครั้งหน้าเราค่อยมาเล่นกันนะ”




    “วันนี้ไม่ได้หรอ เราเบื่ออะ...”




    “ครั้งหน้านะ ไว้ครั้งหน้า”




    “...ก็ได้...แต่ว่าถ้าวันนี้ไม่เล่นกับเรา ต่อไปเวลาเราขอให้เล่นด้วย แจบอมห้ามปฏิเสธนะ”




    “อือ”




    “เราไม่อยากเห็นแจบอมร้องไห้อะ ไม่ร้องไม่ได้หรอ ไหนแจบอมเคยห้ามเราไม่ให้ร้องไห้ไง”




    “ขอโทษนะ แต่ว่าขอแค่ครั้งนี้นะ”




    “ไม่เอาอะ!” ร่างเล็กโวยวายเสียงดังแล้วลุกขึ้นยืน “วันนี้แจบอมไม่ทำตามที่เราขอเลยซักอย่าง เราจะกลับไปหาพ่อแล้ว นั่งร้องไห้ไปเลย เราไม่สนใจแจบอมแล้ว!




    ยังไงคุณหนูก็ยังเป็นลุกคุณหนูวันยังค่ำ การที่มีพ่อเลี้ยงมาคนเดียว การถูกตามใจเลยเป็นของที่มาควบคู่กัน วันนี้ยองแจรู้สึกว่าแจบอมที่เคยตามใจเขาทุกเรื่อง กลับขัดใจเขาไปเสียหมด เล่นด้วยก็ไม่เล่นด้วย ให้หยุดร้องไห้ก็ไม่หยุด เขาไม่อยากอยู่กับคนที่ขัดใจตัวเอง กลับไปนั่งเบื่อๆกับพ่อซะยังดีกว่า




    “เดินกลับไปคนเดียวได้หรอ?”




    “เราเดินมาได้ ทำไมจะกลับไม่ได้”




    “ก็ยองแจเป็นเด็กชายชเวของเรานี่น่า เกิดหกล้มไปจะทำยังไง”




    “แจบอมก็เป็นเด็กชายแจบอมเหมือนกันนั้นแหละ เราจะกลับไปหาพ่อแล้ว ร้องไห้ต่อไปเลย”




    “เราไม่ได้เป็นเด็กชายแจบอมซักหน่อย เราเป็นแค่เจบี เจบีของเด็กชายชเว




    “เราไม่สน เราจะกลับไปหาพ่อแล้ว”




    “เดินดีๆนะ พื้นมันลื่น ระวังหกล้มนะ” ถึงตอนนี้ตัวเองจะยังมีคราบน้ำตาไหลอาบข้างแก้มอยู่ แต่ว่าก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงคนที่ตัวเล็กกว่า อยากจะเดินกลับไปส่งแต่ว่าถ้าพ่อยังเห็นเขาร้องไห้อยู่ละก็คงจะไม่ดีแน่




    ตุ้บ!!




    ทว่ายังไม่ทันขาดคำ เท้าที่ก้าวแรงๆก็ไถลไปกับพื้น คนตัวเล็กลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่ที่พื้นพร้อมกับเบะปากออกมาก่อนจะร้องโวยวาย




    “โอ้ยยยยยยยยยยย!! เจ็บอะเจ็บ!! เจ็บ!!!



    “ก็บอกว่าพื้นมันลื่น ให้เดินดีๆไง” แจบอมเริ่มบ่นขณะเดินเข้าไปหาทั้งน้ำตา




    “แจบอมว่าเราหรอ?! แจบอมว่าเรา! แจบอมว่าเรา! แจบอมว่าเรา!




    “อย่าโวยวายสิ...” เขายกมือขึ้นจุปากแล้วประคองคนตัวเล็กให้ลุกขึ้นยืนและกลับไปยังมุมห้องที่เขานั่งอยู่เมื่อครู่




    “โวยวายคืออะไร?”




    “โวยวายคือสิ่งที่นายทำไปเมื่อกี้ มันไม่ดีนะ ห้ามทำอีกนะ”




    “งั้นแจบอมก็หยุดร้องไห้ซักทีสิ หน้าเปียกหมดแล้ว”




    “ก็น้ำตามันไหลไม่หยุดอะ เราห้ามไม่ได้นี่น่า...”




    “งั้นก็เช็ดหน้าให้แห้งสิ”




    “เราไม่มีผ้าเช็ดหน้า...”




    “แต่เรามี” ยองแจคลี่ยิ้มแล้วก้มลงไปล้วงผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กออกมาจากกระเป๋ากางเกง




    “มี ก็เช็ดให้เราหน่อยสิ มือเราสั่นไปหมดแล้ว...” แจบอมแบมือทั้งสองข้างที่สั่นเบาๆเพราะแรงสะอื้นออกมาตรงหน้า ก่อนที่มือเล็กๆของยองแจจะรวบทั้งสองมือไปจับเอาไว้ แล้วใช้อีกมือหนึ่งค่อยๆซับน้ำตาที่ใบหน้าอีกฝ่าย




    “เราเช็ดหน้าให้แล้ว ต่อไปนี้แจบอมต้องดูแลเราด้วยนะ ถ้าเราร้องไห้แจบอมต้องเช็ดหน้าให้เรานะ ถ้าเราล้มแบบเมื่อกี้ แจบอมต้องจับเราไว้นะ”




    “ได้สิ”



    “สัญญานะ”



    “สัญญา”



    “ทำไมสัญญาง่ายจังอะ” ยองแจเกิดคำถามอีกแล้ว ก็เมื่อกี้แจบอมยังขัดใจเขาตั้งเยอะแยะแล้วตอนนี้ก็มาตามใจเขาเฉยเลย



    “ก็เพราะนายเป็นเด็กชายชเวที่ชอบทำให้เราเป็นห่วงไง...”

    -------------------------------

    #fickissmark

    -------------------------------
     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×