คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #31 : :: KISSMARK :: EP.31
-MARK PART-
พอ…
พอซักที!!
ผมทนเล่นสงครามประสาทบ้าๆนี่ ที่ไม่รู้ว่ามันเริ่มมาตั้งแต่ตอนไหนไม่ไหวแล้ว เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ ไอ้ยูคยอมนี่ได้ที่ก็เอาใหญ่ลูบหัว หยิกแก้ม อะไรกันนักกันหนาวะ ไอ้เด็กสองคนนี้นี่มันจะเกินไปหน่อยแล้ว!!
ตอนแรกก็คิดว่าจะให้จินยองมันนอนซะที่นี่ไปเลย แต่มันออกจะเกินไปหน่อยถ้าผมจะทำอย่างนั้น และก็ดูเหมือนว่าผมจะคิดผิดที่เป็นคนหยุดเล่นสงครามบ้าๆนี่ไปซะก่อน เพราะแบมแบมดันขออะไรที่มันขัดใจผมสุดๆ ผมเคยบอกไปแล้วว่าไม่ชอบให้ใครมาอยู่ด้วย แค่แบมแบมคนเดียวประสาทผมก็จะกินแล้ว…
เฮอะ!!
นอนที่ห้องหรอ?!
นี่มันก็เกือบจะเที่ยงคืนแน่นอนว่ามันดึกจนรถหมดไปแล้ว แท็กซี่ก็น่าจะหายาก และแน่นอนว่าผมไม่ไปส่งมันหรอก มันไม่ใช่ธุระอะไรของผมซักหน่อย ให้คนที่บ้านมันมารับหรืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่นอนที่นี่!!
‘ให้คนที่บ้านนายมารับสิ’
‘ผมอยู่บ้านคนเดียวครับ’
นั้นคือคำตอบที่ผมได้รับ พร้อมกับสายตาของแบมแบมที่ตวัดมาหาแบบดุๆ
มันจะดุได้ซักเท่าไหร่เชียวตาโตๆหวานแบบนั้น…
ผมก็ไม่ใช่คนที่ใจร้ายใจดำอะไรนะ ไหนๆมันก็ไม่มีทางที่จะให้กลับไปแล้ว ก็อยู่มันซะที่นี่แหละ…แน่นอนครับว่าไม่ใช่นอนในห้อง และก็ไม่ใช่บนโซฟา แต่เป็นห้องจินยอง ผมส่งข้อความไปหาและเขาก็อนุญาตให้ยูคยอมไปอยู่ได้ ผมเลยให้ไปหลังจากที่ส่งงานและเก็บของเรียบร้อยแล้ว
หมดตัวน่ารำคาญซะที!!
เหลือก็แต่คนที่ทำหน้ามุ่ยยืนพิงประตูห้องนอนอยู่นี่แหละ…
ไม่รู้ว่าจะหงุดหงิดอะไรนักหนามันควรจะเป็นผมมากกว่าที่ทำหน้ามุ่ยบอกบุญไม่รับ มันควรเป็นผมมากกว่าที่ทำแบบนั้นเพราะวันนี้ไม่ว่าอะไรมันก็ขัดใจผมไปเสียหมด ทั้งรถที่ไม่ชอบให้ใครมานั่งไอ้ยูคยอมก็มา บ้านที่ไม่ชอบให้ใครมาอยู่ไอ้ยูคยอมก็มา แล้วไหนจะที่แบมแบมดื้อกับผมอีก ก็ได้แต่หงุดหงิดอยู่ในใจพอได้คุยกับจินยองก็เหมือนจะลืมเรื่องที่หงุดหงิดไป แต่ก็ไม่ได้ลืมไปทั้งหมดนะครับ มันก็ยังมีอยู่แต่แค่ไม่ได้พูดอะไรออกไปเท่านั้น
“นี่! พี่มาร์คจะเลิกเล่นโทรศัพท์ได้รึยัง?” แบมแบมตะโกนถามเมื่อเห็นว่าผมเอาแต่นอนกดโทรศัพท์
“ซักพัก… ปิดไฟแล้วมานอนสิ” ผมตอบเสียงเรียบก่อนเปิดโคมไฟที่หัวเตียงเพื่อไม่ให้ไฟจากหน้าจอมือถือมันสว่างเกินไป
“เลิกเล่นแล้วนอนเถอะ แบมเหนื่อย” เขาบอกก่อนปิดไฟและถอนหายใจเฮือกใหญ่
นายเหนื่อย ฉันก็เหนื่อยเหมือนกันนั้นแหละ…
ผมก็อยากจะนอนหรอกนะตอนนี้มันเลยเวลานอนของผมมาสามชั่วโมงได้แล้ว แต่ติดอยู่ที่ว่ายังส่งข้อความคุยกับจินยองอยู่ แล้วมันก็เป็นคนที่คุยสนุกซะด้วยสิ ผมรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่คุยกับจินยอง มันก็เหมือนกับแจ็คสันแหละครับ เป็นเพื่อนที่ดีมากๆคนหนึ่ง แต่นิสัยของจินยองจะไปทางเด็กส่วนแจ็คสันจะไปทางผู้ใหญ่มากกว่า
วันนี้เป็นครั้งแรกของการอยู่ร่วมกันมาเกือบสองเดือน เป็นครั้งแรกที่เรานอนหันหลังให้กัน แบมแบมนอนหันไปอีกฝั่งตามปกติอยู่แล้ว แต่ผมหันกลับมาอีกฝั่งเพราะว่าไม่อยากให้แสงจากจอมันออกไปทำลายความมืดมากกว่านี้ อีกทั้งอารมณ์ผมก็ยังไม่ค่อยจะดี ถ้าอีกคนหันมาแว๊ดๆใส่ผมคงระเบิดได้ง่ายๆ
ติ๊ด!
เสียงนาฬิกาดิจิตอลดังบอกเวลาขึ้นวันใหม่…
“พี่มาร์ค…”
“ยังไม่หลับอีกหรอ” ผมตอบเสียงเรียบ
“แสงไฟมันเข้าตา”
“ขอโทษนะแต่ถ้าฉันปิดโคมไฟสายตาฉันจะแย่ เอาผ้าปิดตามั้ย?” ผมตอบขณะที่กำลังพิมพ์ตอบจินยอง
“ไม่เป็นไรครับ” แบมแบมตอบพยายามข่มตาให้หลับแต่ก็ไม่ได้หันมาพูดกับผม ผมเลยลุกขึ้นนั่งเพื่อใช้ตัวบังแสงไฟ
“ดีขึ้นมั้ย?” ผมหันไปถามอีกครั้งแต่ก็เห็นว่าอีกฝ่ายลืมตาขึ้นมาก่อนจะนอนหงายมองเพดานที่สะท้อนเงาของผม
“เมื่อไหร่ขาแบมจะหายอะ?”
“ประมาณเดือนสองเดือนนั่นแหละ ร่างกายนายฟื้นฟูได้ดีนี่”
“งั้นก็แสดงว่าอีกเดือนสองเดือนแบมจะได้กลับไปที่บ้านตัวเองแล้วใช่มั้ย” แบมแบมละสายตาจากเพดานห้องมาจับจ้องอยู่ที่ผมซึ่งมีแสงไฟจากหน้าจอมือถือส่องสว่างอยู่
คนอยู่ในที่สว่างจะมองไม่เห็นคนในที่มืด…นั่นทำให้ผมต้องวางโทรศัพท์ลงไปกับเตียง ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้แบมแบมพูดแบบนี้ขึ้นมาอีก เขาเคยถามผมครั้งหนึ่งว่าขาจะหายเมื่อไหร่ และตอนนี้เขาก็ถามผมอีกแล้ว…
“ยูคยอมทำอะไรไม่ดีหรอ?” อยู่ๆแบมแบมก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องยูคยอมทำให้ผมหน้าตึงขึ้นมากะทันหัน
มันคงจะเป็นประโยคคำสั่งอัตโนมัติไปแล้วเวลาได้ยินแบมแบมพูดว่า แจ็คสัน หรือ ยูคยอม หน้าผมจะตึงไปทันทีเลย
“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ” ผมพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้ตวาดหรือตะโกนออกไป
“ก็พี่มาร์คดูไม่ค่อยลงรอยกับยูคยอมเท่าไหร่ เอะอะก็ตะโกนท่าเดียวเลย ดูไม่เมีเหตุผลเลยนะ”
“แล้วทำไมฉันต้องไปลงรอยกับมันด้วย?”
“แล้วทำไมจะลงรอยด้วยไม่ได้ล่ะ เขาเป็นเพื่อนแบมนะ”
“เพื่อนนายไม่ใช่เพื่อนฉัน อีกอย่างฉันก็รู้จักมันมาก่อนนายอีก ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้แหละ”
“หรอครับ แต่ถึงอย่างนั้นพี่มาร์คก็ดูไร้เหตุผลมากเลยนะ”
“ยังไง?”
“ก็ตอนที่พี่มาร์คให้แบมอยู่ห่างยูคยอม พี่มาร์คก็ไม่มีเหตุผลแล้ว นั่นเพื่อนแบมแล้วแบมก็ต้องทำงาน”
เหตุผลน่ะมันมี แต่มันเป็นเหตุผลจากอารมณ์นี่ครับ จะให้พูดไปมันก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่…ว่าแต่ว่าทำไมผมต้องห้ามเขาสองคนอยู่ใกล้กันด้วย…ก็เพราะเห็นแล้วมันหงุดหงิดนะสิ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ถ้าผมไม่ชอบแล้วไม่จำเป็นเป็นต้องมีเหตุผลอื่นมารองรับอีก และถ้าผมชอบมันก็เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอื่นมารองรับอีก
“ถ้าคราวหลังพี่มาร์คไม่มีเหตุผลอีกแบมจะโกรธจริงๆนะครับ”
“มันจะมากเกินไปหน่อยแล้วนะ เห็นฉันยอมเดี๋ยวนี้เลยกล้าว่าฉันแล้วใช่มั้ย”
“เปล่าครับ แบมก็แค่อยากให้พี่มาร์คใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์เท่านั้นเอง เพราะที่ขาแบมเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าพี่มาร์คใช้อารมณ์”
“ถ้าจะว่าฉันเรื่องนี้ก็พอได้แล้ว มันผ่านมาเป็นเดือนแล้ว แล้วนายก็ไม่ได้เดือดร้อนคนเดียวนี่ ความจริงฉันมีเหตุผลนะที่ห้ามนายใกล้ยูคยอม”
“บอกมาสิครับ?”
“ก็แค่ไม่ชอบ…” ผมตอบก่อนกลอกตาไปมา
“พี่มาร์คกลัวคนมาเห็นแล้วคิดว่าพี่มาร์คไม่ทำตามที่พูดหรอว่าจะดูแลแบม”
“เปล่า ฉันบอกแล้วนี่ว่าแค่ไม่ชอบ ทั้งนายกับแจ็คสันแล้วก็นายกับยูคยอม” และผมก็แทบจะสำลักน้ำลายตัวเองเมื่อได้ยินที่อีกคนพูด…
“หวงแบมหรอ?”
“ฉันน่ะนะ?”
ผมยกมือขึ้นชี้ตัวเองในสมองก็ประมวลผลไปด้วยว่าผมไปหวงไปหึงอะไรเด็กคนนี้…
‘เปล่า ฉันบอกแล้วนี่ว่าแค่ไม่ชอบ ทั้งนายกับแจ็คสันแล้วก็นายกับยูคยอม’
นั่นแหละครับไอ้ประโยคที่เพิ่งพูดออกมานั่นแหละครับ ทั้งประโยคเลย ทั้งหมดเลย ผมก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าพูดอะไรออกไป ด้วยความที่ธรรมดาก็ไม่ได้เป็นคนคิดก่อนพูดอยู่แล้ว เพราะผมเป็นคนพูดจาขวานผ่าซาก ผมพูดมันออกมาได้ยังไงน่ะ? มันถูกกลั่นออกมาจากสมองส่วนไหน? อะไรทำให้ผมพูดไปแบบนั้น? แต่จะว่าไปผมก็เหมือนจะหวงแบมอยู่เหมือนกันนะ…
เฮ้!!!
ผมยังไม่ได้ยอมรับนะ
แค่ไม่ชอบให้มองข้ามกันเฉยๆเท่านั้น
........มั้ง……
“นี่!” เมื่อเห็นว่าผมเงียบไปแบมแบมก็ใช้มือเล็กฟาดลงมาที่ต้นขาผมอย่างแรง “พี่มาร์ค…”
“อะไร?”
“อย่าหาเรื่องชวนแบมทะเลาะอีกนะ มันเหนื่อย” แบมแบมพูดหน้าซีเรียส
ผมก็ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าครั้งนี้เราทะเลาะกันหรือผมแค่เล่นสงครามประสาทคนเดียว แต่มันก็ดูเหมือนว่าเราจะเหนื่อยใจด้วยกันทั้งคู่ ถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่ได้อยากจะทะเลาะด้วยหรอกนะแต่บางครั้งอารมณ์มันก็พาไปจริงๆ รวมถึงครั้งนี้ด้วย เพราะผมก็แค่ไม่ชอบ…
นึกไม่ถึงเลยว่าเด็กที่ผมขับรถชนจนทำให้เขาขาหัก และทำให้ผมเกือบดับอนาคตตัวเองจะมีอิทธิพลกับผมมากขนาดนี้ ระยะวลาแค่เกือบสองเดือนไม่นับรวมกับที่ผมไปนั่งเฝ้าก่อนที่เขาจะฟื้นขึ้นมา ผมกลับรู้สึกผูกพันอย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนกับว่าเรารู้จักกันมาเป็นปีๆ อาจจะเป็นเพราะว่าเราอยู่ด้วยกันทุกวัน และก็เป็นตัวของตัวเองกันแบบสุดๆ ผมปฏิเสธไม่ได้เลยนะว่ามันรู้สึกดีมากขนาดไหนที่มีเด็กคนนี้มาอยู่ด้วย
ถึงการเริ่มต้นที่ทำให้เรารู้จักกันมันจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่การที่แบมแบมเป็นคนที่ไม่คิดเล็กคิดน้อย อะไรที่ผ่านแล้วก็ให้มันผ่านไป ไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น เฮฮา และมีเหตุผลมันทำให้ผมสบายใจกับการที่มีเขามาอยู่ร่วมห้องด้วย มันก็ไม่ได้เลวร้ายมาก แต่กลับดีด้วยซ้ำที่ชีวิตได้มีอย่างอื่นนอกจาก เสียงเพลง เกม หนัง มันดีมากจริงๆ ดีจนไม่อยากให้เขาไปอยู่ที่อื่นแล้ว
แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าความผูกพันที่เกิดอย่างรวดเร็วแบบนี้มันอยู่ในความรู้สึกแบบไหนกันแน่ คงไม่มีพี่น้องคู่ไหน นอนกอดกันทุกคืนใช่มั้ยครับ คงไม่มีพี่น้องคู่ไหนจับมือกันตลอดเวลาใช่มั้ยครับ และก็คงไม่มีพี่น้องคู่ไหนรู้สึกไม่ชอบเวลาเห็นพี่ หรือน้องตัวเองไปยุ่งกับคนอื่นใช่มั้ยครับ…นั่นแหละครับที่ผมไม่มั่นใจ เพราะว่าผมทำและเป็นแบบนั้นตลอดสองเดือน… สามสิบเปอร์เซ็นคือการรักษาคำพูด ส่วนอีกเจ็ดสิบเปอร์เซ็นผมมั่นใจว่ามันคือการทำความต้องการตัวเอง…
ผมนอนหงายมองเพดานครุ่นคิดเรื่องต่างๆตลอดสองเดือน คิดแล้วก็คิดอีก และเหมือนผลลัพธ์มันก็ไม่ชัดเจนซักที อยากจะหยุดคิดเพราะสมองและร่างกายเหนื่อยล้าเต็มทีแต่เหมือนว่าภาพของคนข้างๆมันก็ลอยเข้ามาเรื่อยๆ ผมหลับตาลงหลังจากเอื้อมมือไปปิดโคมไฟให้ในห้องเหลือแต่ความมืด และยังไม่ทันถึงสามสิบวินาทีผมก็ต้องลืมตาขึ้นมาใหม่…
“พี่มาร์ค…”
“อะไรอีก?”
“กอดแบมหน่อยสิ…”
----------------------------
#fickissmark
---------------------------
ความคิดเห็น