ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    GOT7 | KissMark ตราไว้ในใจนายคือของฉัน![END]

    ลำดับตอนที่ #7 : :: KISSMARK :: EP.7

    • อัปเดตล่าสุด 12 ม.ค. 58





               -JACKSON PART-



    “มีใครโทรมาบ้างมั้ยครับ?” ผมเดินมาถามผู้จัดการส่วนตัวที่นั่งรออยู่หลังจอคอมเพื่อดูภาพที่ผมเพิ่งจะถ่ายเสร็จไป




    “ไม่มีนะ ถามอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน” เขาตอบแบบรำคาญๆก่อนจะส่งโทรศัพท์มาให้ผมเช็คอีกที




    ไม่มีเลย



    เงียบกริบ




    นี่ก็อุตส่าห์เขียนเบอร์ลงไปใต้ลายเซ็นแล้วนะ




    เป็นแฟนคลับกัน ก็โทรมาหน่อยไม่ได้รึไงเล่า




    ผมคิดในใจพลางนึกถึงเด็กผู้ชายน่าตาน่ารัก ขี้เล่น ตลก และเป็นกันเองที่เจอบนเครื่องบินตอนบินมาเกาหลี มีคนที่ดูกีฬาไม่มากหรอกครับที่จะจำชื่อและหน้าตาของนักกีฬาได้ แถมนี่ยังเป็นเด็กอีกต่างหาก





    ตอนนั้น





    ผมนั่งมองเขาอยู่นานแล้ว ตั้งแต่ขึ้นเครื่องเลยก็ว่าได้ เขาเอาแต่มองออกนอกหน้าต่าง บ่นพึมพำ และอยู่ดีๆน้ำตาหยดใสก็ไหลออกมา ไม่รู้ว่าจะขำหรือจะสงสารดี ดูเหมือนเขาจะเป็นแฟนคลับผม รวมทั้งผมเองก็อยากรู้จักเขาด้วย เด็กอะไรก็ไม่รู้ทำให้ผมยิ้มได้ตลอดเวลาเลย





    “นายเอาเอกสารไปยื่นเองได้ใช่มั้ย ฉันมีธุระต่อ” ผู้จัดการหันมาบอกกับผมขณะที่กำลังเดินไปที่ลานรถด้านหน้า





    ความจริงเขาก็ไม่ใช่ผู้จัดการโดยตรงหรอก เขาเป็นโค้ชของผมมากกว่า แต่หลังจากที่ได้แชมป์มาแล้ว ก็ได้เขานี่แหละที่จัดการเรื่องทุกอย่างให้ เลยเรียกว่าผู้จัดการน่าจะเหมาะสมกว่า




    “ได้ครับ ผมจะได้ไปธุระต่อด้วยเหมือนกัน”



    “จะไปไหนต่อ?”



    “ธุระไง”



    เป็นอันว่าเข้าใจ ธุระก็คือธุระ



    ถ้าบอกว่าธุระนัยๆมันคือ อย่ายุ่ง!!




    ช่วงหลังมานี้ก็เริ่มไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองเป็นนักกีฬา หรือว่าเป็นดารากันแน่ ทั้งถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา เดินแบบ ออกงานสัมภาษณ์มากมาย เป็นนักแสดงรับเชิญในภาพยนตร์บางเรื่องอีกต่างหาก พอได้แชมป์มาแล้วเรื่องซ้อมก็เลยไว้ที่หลังสุด เพราะตอนแรกก็คิดไว้แล้วว่า ถ้าได้แชมป์แล้วก็จะกลับไปเรียนต่อให้จบหลังจากที่ขอดร็อปมาสองปี อายุอานามก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าช้ากว่านี้อีกได้กลายเป็นเด็กโข่งแน่ๆ




    ผมขับรถออดี้สีดำมายังโรงเรียนที่ไม่ได้มาเยือนเป็นเวลาสองปีเต็มๆ จอดมองจากด้านนอกก่อนจะเลี้ยวรถเข้าไปและจอดสนิทเทียบพอดีกับตัวอาคารสีเหลืองสด




    เอาเอกสารไปยื่น แล้วเดินเล่นหน่อยดีกว่า




    ระลึกความหลังซักหน่อย




    หลังจากเอาเอกสารการขอเข้าเรียนไปยื่นที่ห้องพักครูเรียบร้อยแล้ว ผมก็เริ่มเดินเล่นไปรอบๆโรงเรียนขนาดใหญ่ ตึกหกชั้น สี่ตึกเรียงติดกัน และต่อด้วยหอพักด้านหลังอีกสองหอ ที่นี่จะแยกนักเรียนเป็นตึก เรียนดีก็ตึกเอ รองลงมาก็บี ไปเรื่อยๆจนถึงตึกดี สำหรับชั้นหกชั้น ก็คือเกรดของนักเรียนแต่ละชั้น เกรดต่ำอยู่ชั้นบนสุดเพราะอายุยังน้อย ส่วนพวกพี่ๆที่เกรดสูงๆก็อยู่ชั้นล่างสุด จะได้ไม่ต้องเดินทางไกล




    ผมเดินไปเรื่อยๆตามทางผ่านหน้าตึกของแต่ละตึก แต่แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับร่างคุ้นตาที่เดินอยู่ด้านหน้า




    ผมสีแดงทับทิมแบบนี้ ในประเทศไม่น่าจะมีคนอื่นแล้วล่ะ



    “ไอ้มาร์ค!!!” ผมตะโกนเรียกข้ามตึกด้วยเสียงอันดัง ทำให้เขาหันกลับมาทันที



    “ไงมึง?” เขาเพ่งมองก่อนตอบเป็นเสียงธรรมดา “ตะโกนทำห่าไร? หนวกหู” เมื่อเห็นว่าเป็นผมก็เริ่มด่าทันที



    อยากให้นักข่าวมาเห็นตอนมันพูดจาแบบนี้จัง



    “ก็ไม่ได้เจอเพื่อนตั้งสองปี มันก็คิดถึงไง” ผมตอบก่อนวิ่งเข้าไปหามัน



    “เอาความจริง”



    “ไม่มีใครให้กูด่า” ผมตอบเสียงเรียบๆก่อนใช้มือขยี้หัวมันเล่น



    “เฮอะ!! กูละเบื่อมึงจริงๆ”



    มันว่าขณะจัดผมตัวเองใหม่




    ถ้าคุณกำลังคิดว่าเขาคือ มาร์ค อิเอิ้น ต้วน คุณคิดถูกแล้ว!!





    เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ย้ายมาที่โรงเรียนนี้ เพราะเขาและผมไม่ใช่คนเกาหลีเหมือนกัน เขามาจากอเมริกา ผมก็มาจากฮ่องกง เราเลยคุยด้วยกันถูกคอตามประสาคนต่างชาติมากกว่าที่จะคุยกับคนเกาหลีจริงๆ เรื่องบางเรื่องก็ต้องคุยกับคนที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันมันถึงจะเข้าใจกันดีที่สุด หลังจากที่มันไปเป็นเด็กเทรน และผมไปจริงจังกับการซ้อมฟันดาบ เราเลยสรุปว่าจะดร็อปเรียนด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้ตกลงว่าจะมาเรียนด้วยกันใหม่ตอนไหน





    เหมือนเป็นปาฏิหาริย์ที่อยู่ๆเราก็มาเจอกันอีกทั้งๆที่ไม่ได้ติดต่อกันเลยตลอดสองปีที่ผ่านมา เพราะต่างคนก็ต่างยุ่งเรื่องของตัวเอง หรืออีกความหนึ่งก็คือ เราต่างคนก็ต่างโดนยึดโทรศัพท์เพราะจะได้มีสมาธิกับการซ้อมมาขึ้น




    “เป็นไงบ้างมึงอะ?” หลังจากที่เดินเล่นกันมานาน เราสองคนก็มานั่งห้อยขาแกว่งเท้าเล่นกันในสระน้ำของโรงเรียน




    “ถามอย่างกับมึงไม่เห็นข่าวกู ออกมาได้ตลอด ไม่จบไม่สิ้นซักที” มาร์คตอบน้ำเสียงเรียบ



    “นั้นแหละ กูถึงได้ถามไงว่าเป็นไงบ้าง ทั้งมึง ทั้งเด็กที่มึงขับรถชนด้วย”



    “เครียดวะ กูพยายามมาทั้งชีวิตมึงก็รู้ นี่กูก็โดนพักงาน ไม่งั้นก็ไม่ได้มาเรียนหรอก ส่วนเด็กนั่นอะ” เขาหยุดพูดและหันมามองหน้าผม



    “มองกูทำไม?”



    “น้องเขาเป็นแฟนคลับมึงว่ะทีกูออกจะดังไม่รู้จัก เสือกไปรู้จักมึง



    “เอาน่า คนบนโลกก็ไม่ได้รู้จักมึงทุกคนหรอก น้องเขาจะรู้จักกูบ้างจะเป็นไรไป”



    “ก็กูเบื่อมึงไง เอะอะก็พี่แจ็คสันๆ กูเบื่อชื่อมึง”



    “ชื่อกูออกจะเพราะ”



    “แล้วมึงอะ เป็นไงบ้างเห็นออกข่าวมันทุกช่องเลยนี่”



    “ข่าวกูยังไม่เท่าข่าวมึงหรอกเพื่อน” ผมตบไหล่มันเบาๆก่อนลุกขึ้นยืน



    “มึงจะไปไหนอะ? ไม่ไปเยี่ยมแฟนคลับมึงที่กูขับรถชนหน่อยหรอ?”



    “กูก็อยากไปนะ แต่วันนี้กูมีที่ที่จะไปแล้วว่ะ”



    “ไปไหน?”



    “เรื่องของกูครับ”



    ตอนนี้แฟนคลับคนไหน ก็คงไม่สำคัญเท่ากับคนที่ผมจะไปหาหรอก



    “เออ ตามใจมึงแล้วกัน ไว้ค่อยเจอกันตอนเปิดเทอม” มันพูดก่อนจะลุกขึ้นยืนบ้าง



    “ไม่ต้องคิดถึงกูนะ อีกสองอาทิตย์ก็เจอกัน T^T



    “โอเว่อร์เหมือนเดิมนะมึงอะ กูละอยากให้แฟนคลับที่บอกว่ามึง สุขุมนุ่มลึกมาเห็นมึงตอนนี้เหลือเกิน”



    “ก็มึงมันเพื่อนรักกูนี่ กูไปละไว้ค่อยเจอกัน”




    ผมโบกมือให้เพื่อนรักก่อนเดินออกมาและปล่อยให้มันยืนอยู่คนเดียวข้างสระน้ำ มันเป็นฉากเดียวกับเมื่อสองปีที่แล้วแต่ว่าเราแค่สลับที่กันเท่านั้นเอง ถ้าตอนนั้นมันไม่ได้ไปเป็นเด็กเทรน ผมก็คงไม่ได้ซ้อมดาบอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อแข่งกับมันว่าใครจะประสบความสำเร็จก่อนกัน




    แล้วอีกอย่างผมก็ไม่ได้อยากจะสุขุมนุ่มลึกหรืออะไรหรอก แต่ภาพลักษณ์มันพาไป




    เอาล่ะ!! พอกับเรื่องเพื่อนก่อน ตอนนี้ผมมีคนที่ต้องไปหา



    สถานที่คือ คอนโดXX



    ในเมื่อเขาไม่โทรมา ก็ไปหาเองเลยแล้วกันวะ



    ผมขับรถไปตามถนนด้วยความเร็ว ตื่นเต้นที่จะได้เจอกับแบมแบมอีกครั้ง จากโรงเรียนไปคอนโดไม่ไกลกันมากนักผมจึงมาถึงเร็วกว่าที่คิดไว้เยอะ จะว่าไปเขาก็มีฐานะทางบ้านดีเหมือนกันนะถึงได้อยู่คอนโดหรูพอควรเลย



    อ่า!!!



    สายตาแบบนี้ผมไม่เคยชินกับมันเสียที ไม่รู้ว่าไอ้มาร์คมันทนได้ไง ที่มีคนจ้องมองมากขนาดนี้ ทุกฝีก้าว ทุกการกระทำ



    มัน!!


    น่า!!


    อึดอัด!!


    มาก!!


    เป็นเพราะสายตาพวกนั้นทำให้ผมต้องหยิบแว่นตาสีดำสนิทอันเดิมขึ้นมาใส่ เพราะผมไม่ชอบที่จะสู้กับสายตาคนเยอะๆแบบนี้ ผมไม่ใช่คนที่ต้องการเป็นจุดเด่นของสังคมแบบมาร์ค ขอแค่มีคนที่คอยมองผม ใส่ใจผม ไม่ต้องมากแต่ตลอดไปก็พอ



    “สวัสดีค่ะ” พนักงานสาวทักทายผมด้วยรอยยิ้มสดใส



    “ผมอยากทราบหมายเลขห้องอะครับ”



    “ขอทราบชื่อด้วยค่ะ”



    “แบมแบม กันต์พิมุก ภูวกุล ครับ” ผมรู้แค่ชื่อเล่นที่เขาบอกมา ส่วนชื่อจริงก็ใช้ความไวของสายตามองชื่อที่ติดกระเป๋าเดินทางเอาครับ



    ผมยืนรอพนักงานคีย์ชื่อลงในช่องค้นหาอย่างตื่นเต้น เหมือนเด็กที่กำลังรอของเล่นชิ้นใหม่



    และคำตอบของเขาก็แทบจะทำให้ผมทรุดได้เลย



    “ยังไม่เคยเช็คอินค่ะ”



    “หมายความว่ายังไงครับ”



    “คือคุณกันต์พิมุก ซื้อห้องมาจากที่ไทยแต่ว่ายังไม่เคยมาเช็คอินเข้าห้องเลยซักครั้งค่ะ ทางเราก็ติดต่อไม่ได้ค่ะ







    จุด จุด จุด



    สมองของผมขาวโผลนไปหมดไม่มีความคิดใดๆเลย..มีแต่ความรู้สึกเสียใจ



    ให้เบอร์ไปก็ไม่โทรมา



    อุตส่าห์มาหา แต่ก็ไม่เจอ



    จะให้ผมคิดว่ายังไงดี ถึงจะไม่เสียใจ ไม่เสียดาย ผมควรคิดเข้าข้างตัวเองแบบไหนดี



    แล้วน้องเขาไปอยู่ที่ไหนล่ะ ถ้าไม่ได้อยู่ที่นี่




    แต่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนบนโลก ผมก็อยากเจอเขาอีกสักครั้ง อีกสักครั้งก็ยังดี ยังอยากพูดด้วย อยากคุยด้วย อยากเล่นด้วย อยากหัวเราะเพราะเขาอีกครั้ง อยากให้เขาฟังเพลงและหนุนไหล่ของผมไปด้วย อยากเป็นคนที่คอยซับน้ำตาให้เขา อยากอยากและก็อยาก




    แต่มันก็เท่านั้น ผมไม่มีข้อมูลอะไรอีกนอกจากชื่อ และที่อยู่ไม่มีอะไรอีกเลย ไม่มีจริงๆ

     


    ----------------------------

    #fickissmark

    ---------------------------

     

     



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×