คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : :: KISSMARK :: EP.6
-MARK PART-
หลังจากที่กลับไปบ้านไปเอาของและกินข้าวเช้ามา ผมก็รีบมาเฝ้าไข้ไอ้เด็กนี่ทันที แต่กลับโดนพยาบาลสองคนไล่ให้ออกมารอข้างนอกเพราะเธอจะเช็ดตัวแบมแบม ผมก็ไม่เข้าใจว่าผมเป็นผู้ชายแล้วเธอเป็นผู้หญิง แต่เธอกลับไล่ผมออกมาอย่างไม่ใยดี…พวกเธอคงทำมันจนชิน
ผมออกมารอได้ไม่นานเท่าไหร่ผู้จัดการก็เอาเอกสารรับรองว่าผมเป็นนักเรียนที่โรงเรียนแห่งหนึ่งมาให้ พร้อมกับบอกว่าชุดนักเรียนและเอกสารการเรียนต่างๆอยู่ที่บ้านเรียบร้อย เท่านี้ยังไม่พอ เธอยังฝากเอกสารการสมัครเรียนของแบมแบมมาให้อีกเพราะว่าเขาเพิ่งมาถึงเลยอาจจะไม่มีที่เรียน แล้วถ้าจะให้ไปหาที่เข้าเองก็คงจะยากอยู่
ผมนั่งรอเป็นเวลานานกว่าที่พยาบาลสองคนนั้นจะเดินออกมา ผมถึงจะเข้าไปด้านในได้ พอเข้าไปแล้ว ภาพที่เห็นก็รู้สึกว่าคนที่อยู่บนเตียงไม่ได้เป็นคนป่วยเลย ถ้าหากเขาไม่มีเฝือกยักษ์พันอยู่ที่ขา… เสียงหัวเราะคิกคัก พร้อมกับทุบเตียงดังปาปๆๆ!!! ทำให้ผมต้องหยุดดูว่าอะไรที่ทำให้คนตรงหน้ามีอาการแบบนี้
ผมเดินช้าๆในใจขออย่าให้เป็นแบบที่ผมคิดไว้เลย
มันต้องไม่ใช่!!
มันนานมาแล้ว!!
ทุกคนลืมมันไปแล้ว!!
ผมค่อยๆก้าวมายืนข้างหน้าทีวีจอใหญ่ อีกคนก็หัวเราะโดยไม่สนใจผมเลยซักนิด
เอ๊ะ!! เสียงประกอบแบบนี้
ภาพพิธีกรแบบนี้…
“ตอนนี้เราก็อยู่กันที่…” เสียงทุ้มคุ้นหูนั่นแทบจะทำให้ผมเป็นบ้า
มันเป็นรายการเรียลลิตี้ ที่เรียลมากจริงๆ ผมปฏิเสธรายการบ้านี่ไปตั้งหลายครั้งหลายครา แต่ผู้จัดการก็รับมันมา ผมที่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตา ถ่ายทำจนเสร็จ เป็นรายการสมัยที่ผมยังเดบิวต์แรกๆ ทุกคนนึกภาพออกใช่มั้ยครับ… อะไรๆมันก็ยังไม่เข้าที่เข้าทาง
แจ้งเกิดตอนยุคมืดของตัวเอง…
นี่คงเป็นคำที่เหมาะสมที่สุดแล้ว!! ไม่รู้ว่าช่องไหนมันเอามาฉายใหม่น่าจะฟ้องให้ล้มละลายกันไปเลย
นี่ก็หัวเราะอยู่นั่นละโว้ย!!!
“ไม่ต้องดู!!” ผมตะโกนใส่คนที่หัวเราะร่าก่อนเดินไปปิดจอและดึงปลั๊กออก
“ทำไมอะ หนุกดีออก ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” เขาหัวเราะรั่ว จนตัวงอ “โอ้ยเหนื่อย” หัวเราะเสร็จก็หอบแฮกๆ
“หนุกกับผีสิ”
“เออ เหมือนผีเลย” และก็ยังคงหัวเราะต่อไปโดยไม่สนใจไฟที่กำลังลุกท่วมตัวผมตอนนี้ “ถามจริงๆนะ นี่คิดว่าเรียลลิตี้มันต้องเรียลขนาดนั้นจริงๆหรอ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ”
ปาปๆๆๆ!!!
หัวเราะพร้อมทุบเตียงอย่างบ้าคลั่ง
ไม่ขำครับ…ไม่ตลกสักนิด…ไม่เลยสักนิด…
“ก็เพราะว่ามันเป็นเรียลลิตี้ไง!!” ผมตะคอกกลับก่อนปาซองสีน้ำตาลไปบนเตียง
“ก็เข้าใจนะ แต่แบบไม่ขำไม่ได้จริงๆ”
“หุบปากแล้วอ่านซะ”
ผมพยายามไม่สนใจอากับอาการของคนตรงหน้าที่ยังหัวเราะอย่างจริงจัง เหมือนกับวันนี้จะได้หัวเราะเป็นวันสุดท้ายในชีวิตแล้ว ผมเข้าใจนะที่เขาจะขำ แต่จะขำอะไรขนาดนั้น ความจริงในรายการนรกนั่นผมก็ไม่ได้ดูแย่อะไรมากมาย เพียงมันเป็นรายกายที่ถ่ายตอนไม่ได้เมคอัพหน้า ถ่ายในห้องที่ปิดไฟ มีเพียงแสงจากกล้อง มันเลยเป็นธรรมดาที่ภาพ แสง สี เสียง จะออกมาจนขำขนาดนั้น
“แหม่ ไม่เห็นต้องทำหน้าแบบนั้นเลยนี่”
ดูก็รู้ว่าพยายามกลั้นหัวเราะแบบสุดๆของชีวิต
เฮอะ!!
ลองให้ไอ้รายการนี่ไปถ่ายแจ็คสันบ้างเถอะ จะพูดไม่ออก!!
หล่อมาทั้งชีวิตเจอรายการนี้ เกือบดับกันหมดอะ…
“น่าจะปากแตก แทนขาหักนะ” ผมว่าขณะกระโดดขึ้นนั่งบนเตียง
“นี่อะไรอะ?” เมื่อเปิดซองออกมาก็เริ่มถามทั้งที่ยังไม่ได้อ่านเลยด้วยซ้ำ
“ใบกรอกประวัติ เพิ่งมานี่ยังไม่มีที่เรียนไม่ใช่หรอ หรือมีแล้ว?”
“ยังไม่มี”
“งั้นก็กรอกซะ ให้ครบทุกช่อง อีกสองอาทิตย์ก็เปิดเทอมแล้ว จะได้ไม่เสียการเรียน”
“แต่ขาผม…”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันต้องดูแลนายนะอย่าลืมสิ”
“โรงเรียนนี้มัน…” เขาลากเสียงยาวจนผมสงสัย
แบมแบมเม้มปากจนกลายเป็นขีดเส้นตรง ดวงตาใสมีน้ำเออคลอ…
เฮ้ย!! จะร้องไห้เรอะ
“ทำไม? ร้องไห้ทำไม? ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” ผมรีบพูดเมื่อเขาทำท่าจะร้องไห้
“เฮ้ย!!!!” ผมตะโกนลั่นเมื่ออยู่ๆอ้อมแขนบางก็มารั้งอยู่รอบเอวผมและใบหน้ามาซุกอยู่บริเวณหน้าท้องก่อนเอาหน้าไถไปมาจนผมรู้สึกจั้กจี้
“ขอบคุณครับ พี่มาร์ค” เขาเงยหน้าขึ้นมาพูดก่อนคลายอ้อมกอดและกรอกประวัติลงในใบโดยมีผมนั่งให้คำปรึกษาเรื่องภาษาอยู่ริมขอบเตียง
“ผมอยากเรียนที่นี่มาตั้งแต่อยู่ที่ไทยแล้ว นี่ก็คิดอยู่ว่าจะเข้ายังไงดี”
“คราวหลังถ้าจะดีใจ ไม่ต้องมากอดแบบนั้นอีกนะ”
“ก็ในเรื่องแย่ๆมันก็ยังมีเรื่องดีๆ ให้ผมดีใจนี่น่า”
“ดีใจก็ดีใจสิ ทำไมต้องทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ด้วย ขี้แงชะมัด” ผมว่าพลางยื่นมือไปบีบจมูกคนตรงหน้าจนแดง
“ก็มันเป็นเอง ไม่ได้อยากจะขี้แงซักหน่อย แล้วจะมาบีบจมูกผมทำไม เจ็บนะ!”
“ทำโทษเด็กขี้แง” ผมตอบขณะเก็บเอกสารลงซองตามเดิม “ฉันจะเอาเอกสารไปให้ผู้จัดการ แล้วก็ไม่ต้องดูรายการนรกนั่นอีกเลยนะ เพราะถึงจะอยากดูแต่ก็ดูไม่ได้หรอก ฉันถอดปลั๊กไฟแล้ว”
“ใจร้ายอะ งั้นขอโทรศัพท์ไว้เล่นเกมส์หน่อยสิ” พูดพลางแบมือ
“ตลก!! เราสนิทกันขนาดมายืมโทรศัพท์กันได้เมื่อไหร่ฮะ?”
“ผมเป็นเด็กน้อยอายุสิบเจ็ดที่โดนพี่ขับรถชนจนขาหักนอนโรงพยาบาลอย่างเหงาหงอย เศร้าสร้อย โดดเดี่ยวไม่มีใครรู้จักเลยนะ ก็มีพี่นี่แหละ ไม่ให้ก็ไม่เล่นก็ได้” ว่าแล้วก็ทำแก้มป่องจนน่าเข้าไปหยิกซักที
“เด็กน้อย…อายุสิบเจ็ด!! กล้าพูดนะ”
“รีบกลับมาแล้วกัน ผมเหงาอะ”
“อือ…” ผมตอบเป็นเสียงในลำคอก่อนเดินออกไป
ไม่รู้ว่าเด็กนี่มันถูกดูแลมายังไง ถึงได้ทำตัวแบบนี้ รู้สึกว่าจะปรับตัวเก่งเหลือเกิน ไม่ทำตัวน่าอึดอัด เข้ากับคนที่เพิ่งเจอกันได้ดี แถมยังเป็นคนที่ทำให้ขาเขาหักแบบนั้นอีก เป็นเด็กที่นิสัยดี น่าเอ็นดูเลยทีเดียว
ผมไม่เคยถูกคนกอดมาก็นานแล้ว เพราะเป็นไอดอล เป็นศิลปิน จะทำอะไรก็ต้องระวัง เวลามีมีตติ้งกับแฟนคลับก็จะให้แค่จับมือธรรมดา เพราะถ้าพวกเขามากอดผม ค่าบัตรก็คงแพงหูฉี่ ผมอยากจัดแฟนมีตติ้งแบบฟรีด้วยซ้ำไป แต่ค่ายคงไม่ยอม…
แต่จะว่าไปไอ้เด็กนี่มันก็น่ารักเหมือนกันแฮะ…
----------------------------
#fickissmark
---------------------------
ความคิดเห็น