ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    GOT7 | KissMark ตราไว้ในใจนายคือของฉัน![END]

    ลำดับตอนที่ #6 : :: KISSMARK :: EP.6

    • อัปเดตล่าสุด 12 ม.ค. 58





              -MARK PART-

     

    หลังจากที่กลับไปบ้านไปเอาของและกินข้าวเช้ามา ผมก็รีบมาเฝ้าไข้ไอ้เด็กนี่ทันที แต่กลับโดนพยาบาลสองคนไล่ให้ออกมารอข้างนอกเพราะเธอจะเช็ดตัวแบมแบม ผมก็ไม่เข้าใจว่าผมเป็นผู้ชายแล้วเธอเป็นผู้หญิง แต่เธอกลับไล่ผมออกมาอย่างไม่ใยดี…พวกเธอคงทำมันจนชิน




     

    ผมออกมารอได้ไม่นานเท่าไหร่ผู้จัดการก็เอาเอกสารรับรองว่าผมเป็นนักเรียนที่โรงเรียนแห่งหนึ่งมาให้ พร้อมกับบอกว่าชุดนักเรียนและเอกสารการเรียนต่างๆอยู่ที่บ้านเรียบร้อย เท่านี้ยังไม่พอ เธอยังฝากเอกสารการสมัครเรียนของแบมแบมมาให้อีกเพราะว่าเขาเพิ่งมาถึงเลยอาจจะไม่มีที่เรียน แล้วถ้าจะให้ไปหาที่เข้าเองก็คงจะยากอยู่





    ผมนั่งรอเป็นเวลานานกว่าที่พยาบาลสองคนนั้นจะเดินออกมา ผมถึงจะเข้าไปด้านในได้ พอเข้าไปแล้ว ภาพที่เห็นก็รู้สึกว่าคนที่อยู่บนเตียงไม่ได้เป็นคนป่วยเลย ถ้าหากเขาไม่มีเฝือกยักษ์พันอยู่ที่ขา เสียงหัวเราะคิกคัก พร้อมกับทุบเตียงดังปาปๆๆ!!! ทำให้ผมต้องหยุดดูว่าอะไรที่ทำให้คนตรงหน้ามีอาการแบบนี้





    ผมเดินช้าๆในใจขออย่าให้เป็นแบบที่ผมคิดไว้เลย



    มันต้องไม่ใช่!!



    มันนานมาแล้ว!!



    ทุกคนลืมมันไปแล้ว!!



    ผมค่อยๆก้าวมายืนข้างหน้าทีวีจอใหญ่ อีกคนก็หัวเราะโดยไม่สนใจผมเลยซักนิด




    เอ๊ะ!! เสียงประกอบแบบนี้



    ภาพพิธีกรแบบนี้




    “ตอนนี้เราก็อยู่กันที่” เสียงทุ้มคุ้นหูนั่นแทบจะทำให้ผมเป็นบ้า



    มันเป็นรายการเรียลลิตี้ ที่เรียลมากจริงๆ ผมปฏิเสธรายการบ้านี่ไปตั้งหลายครั้งหลายครา แต่ผู้จัดการก็รับมันมา ผมที่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตา ถ่ายทำจนเสร็จ เป็นรายการสมัยที่ผมยังเดบิวต์แรกๆ ทุกคนนึกภาพออกใช่มั้ยครับ อะไรๆมันก็ยังไม่เข้าที่เข้าทาง




    แจ้งเกิดตอนยุคมืดของตัวเอง




    นี่คงเป็นคำที่เหมาะสมที่สุดแล้ว!! ไม่รู้ว่าช่องไหนมันเอามาฉายใหม่น่าจะฟ้องให้ล้มละลายกันไปเลย



    นี่ก็หัวเราะอยู่นั่นละโว้ย!!!



    “ไม่ต้องดู!!” ผมตะโกนใส่คนที่หัวเราะร่าก่อนเดินไปปิดจอและดึงปลั๊กออก



    “ทำไมอะ หนุกดีออก ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” เขาหัวเราะรั่ว จนตัวงอ “โอ้ยเหนื่อย” หัวเราะเสร็จก็หอบแฮกๆ



    “หนุกกับผีสิ”



    “เออ เหมือนผีเลย” และก็ยังคงหัวเราะต่อไปโดยไม่สนใจไฟที่กำลังลุกท่วมตัวผมตอนนี้ “ถามจริงๆนะ นี่คิดว่าเรียลลิตี้มันต้องเรียลขนาดนั้นจริงๆหรอ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ”



    ปาปๆๆๆ!!!



    หัวเราะพร้อมทุบเตียงอย่างบ้าคลั่ง



    ไม่ขำครับไม่ตลกสักนิดไม่เลยสักนิด



    “ก็เพราะว่ามันเป็นเรียลลิตี้ไง!!” ผมตะคอกกลับก่อนปาซองสีน้ำตาลไปบนเตียง



    “ก็เข้าใจนะ แต่แบบไม่ขำไม่ได้จริงๆ”




    “หุบปากแล้วอ่านซะ”




    ผมพยายามไม่สนใจอากับอาการของคนตรงหน้าที่ยังหัวเราะอย่างจริงจัง เหมือนกับวันนี้จะได้หัวเราะเป็นวันสุดท้ายในชีวิตแล้ว ผมเข้าใจนะที่เขาจะขำ แต่จะขำอะไรขนาดนั้น ความจริงในรายการนรกนั่นผมก็ไม่ได้ดูแย่อะไรมากมาย เพียงมันเป็นรายกายที่ถ่ายตอนไม่ได้เมคอัพหน้า ถ่ายในห้องที่ปิดไฟ มีเพียงแสงจากกล้อง มันเลยเป็นธรรมดาที่ภาพ แสง สี เสียง จะออกมาจนขำขนาดนั้น



    “แหม่ ไม่เห็นต้องทำหน้าแบบนั้นเลยนี่”



     ดูก็รู้ว่าพยายามกลั้นหัวเราะแบบสุดๆของชีวิต



    เฮอะ!!



    ลองให้ไอ้รายการนี่ไปถ่ายแจ็คสันบ้างเถอะ จะพูดไม่ออก!!



    หล่อมาทั้งชีวิตเจอรายการนี้ เกือบดับกันหมดอะ



    “น่าจะปากแตก แทนขาหักนะ” ผมว่าขณะกระโดดขึ้นนั่งบนเตียง



    “นี่อะไรอะ?” เมื่อเปิดซองออกมาก็เริ่มถามทั้งที่ยังไม่ได้อ่านเลยด้วยซ้ำ



    “ใบกรอกประวัติ เพิ่งมานี่ยังไม่มีที่เรียนไม่ใช่หรอ หรือมีแล้ว?”



    “ยังไม่มี”



    “งั้นก็กรอกซะ ให้ครบทุกช่อง อีกสองอาทิตย์ก็เปิดเทอมแล้ว จะได้ไม่เสียการเรียน”



    “แต่ขาผม



    “ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันต้องดูแลนายนะอย่าลืมสิ”



    “โรงเรียนนี้มัน” เขาลากเสียงยาวจนผมสงสัย



    แบมแบมเม้มปากจนกลายเป็นขีดเส้นตรง ดวงตาใสมีน้ำเออคลอ



    เฮ้ย!! จะร้องไห้เรอะ



    “ทำไม? ร้องไห้ทำไม? ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” ผมรีบพูดเมื่อเขาทำท่าจะร้องไห้



    “เฮ้ย!!!!” ผมตะโกนลั่นเมื่ออยู่ๆอ้อมแขนบางก็มารั้งอยู่รอบเอวผมและใบหน้ามาซุกอยู่บริเวณหน้าท้องก่อนเอาหน้าไถไปมาจนผมรู้สึกจั้กจี้



    “ขอบคุณครับ พี่มาร์ค” เขาเงยหน้าขึ้นมาพูดก่อนคลายอ้อมกอดและกรอกประวัติลงในใบโดยมีผมนั่งให้คำปรึกษาเรื่องภาษาอยู่ริมขอบเตียง



    “ผมอยากเรียนที่นี่มาตั้งแต่อยู่ที่ไทยแล้ว นี่ก็คิดอยู่ว่าจะเข้ายังไงดี”



    “คราวหลังถ้าจะดีใจ ไม่ต้องมากอดแบบนั้นอีกนะ”



    “ก็ในเรื่องแย่ๆมันก็ยังมีเรื่องดีๆ ให้ผมดีใจนี่น่า”



    “ดีใจก็ดีใจสิ ทำไมต้องทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ด้วย ขี้แงชะมัด” ผมว่าพลางยื่นมือไปบีบจมูกคนตรงหน้าจนแดง



    “ก็มันเป็นเอง ไม่ได้อยากจะขี้แงซักหน่อย แล้วจะมาบีบจมูกผมทำไม เจ็บนะ!



    “ทำโทษเด็กขี้แง” ผมตอบขณะเก็บเอกสารลงซองตามเดิม “ฉันจะเอาเอกสารไปให้ผู้จัดการ แล้วก็ไม่ต้องดูรายการนรกนั่นอีกเลยนะ เพราะถึงจะอยากดูแต่ก็ดูไม่ได้หรอก ฉันถอดปลั๊กไฟแล้ว”



    “ใจร้ายอะ งั้นขอโทรศัพท์ไว้เล่นเกมส์หน่อยสิ” พูดพลางแบมือ



    “ตลก!! เราสนิทกันขนาดมายืมโทรศัพท์กันได้เมื่อไหร่ฮะ?”



    “ผมเป็นเด็กน้อยอายุสิบเจ็ดที่โดนพี่ขับรถชนจนขาหักนอนโรงพยาบาลอย่างเหงาหงอย เศร้าสร้อย โดดเดี่ยวไม่มีใครรู้จักเลยนะ ก็มีพี่นี่แหละ ไม่ให้ก็ไม่เล่นก็ได้” ว่าแล้วก็ทำแก้มป่องจนน่าเข้าไปหยิกซักที



    “เด็กน้อยอายุสิบเจ็ด!! กล้าพูดนะ”



    “รีบกลับมาแล้วกัน ผมเหงาอะ”



    “อือ” ผมตอบเป็นเสียงในลำคอก่อนเดินออกไป



    ไม่รู้ว่าเด็กนี่มันถูกดูแลมายังไง ถึงได้ทำตัวแบบนี้ รู้สึกว่าจะปรับตัวเก่งเหลือเกิน ไม่ทำตัวน่าอึดอัด เข้ากับคนที่เพิ่งเจอกันได้ดี แถมยังเป็นคนที่ทำให้ขาเขาหักแบบนั้นอีก เป็นเด็กที่นิสัยดี น่าเอ็นดูเลยทีเดียว



    ผมไม่เคยถูกคนกอดมาก็นานแล้ว เพราะเป็นไอดอล เป็นศิลปิน จะทำอะไรก็ต้องระวัง เวลามีมีตติ้งกับแฟนคลับก็จะให้แค่จับมือธรรมดา เพราะถ้าพวกเขามากอดผม ค่าบัตรก็คงแพงหูฉี่ ผมอยากจัดแฟนมีตติ้งแบบฟรีด้วยซ้ำไป แต่ค่ายคงไม่ยอม


    แต่จะว่าไปไอ้เด็กนี่มันก็น่ารักเหมือนกันแฮะ

     


    ----------------------------

    #fickissmark

    ---------------------------

     
     

     




     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×