ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    GOT7 | KissMark ตราไว้ในใจนายคือของฉัน![END]

    ลำดับตอนที่ #5 : :: KISSMARK :: EP.5

    • อัปเดตล่าสุด 12 ม.ค. 58





                 -MARK PART-


     

    เป็นเวลาเนิ่นนานนักที่ผมได้แต่นั่งมองคนที่กำลังใช้หลังมือเช็ดน้ำตาไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้ว ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ไม่ใช่มีแค่เขาที่สูญเสีย ผมก็สูญเสียเหมือนกัน อุบัติเหตุครั้งนี้เราต่างก็แย่พอๆกัน น้ำตาหยดใสที่ไหลลงข้างแก้มของคนตรงหน้าทำให้สมองผมเต้นตุ้บๆ เพราะความเครียด เครียดเรื่องของตัวเองก็มากพอแล้วนี่ยังต้องมาอุดอู้นั่งฟังเสียงร้องไห้อีก




     

    จะบ้า!!




    ผมไม่ชอบให้ใครมาตะโกนใส่เพราะเสียงที่ดังเกินจำเป็นมันจะทำให้ผมเครียดและเริ่มโวยวายมากขึ้น ไม่รู้ว่าเขาจะโกรธอะไรนักหนา ถ้าเรื่องที่ผมขับรถชนเขาจนขาหักอันนี้ผมพอเข้าใจได้ แต่ไอ้หูฟังนั่นมันจะสำคัญอะไรถึงขนาดต้องร้องห่มร้องไห้ขนาดนี้




    นี่ก็ผ่านมาหลายสิบนาทีแล้วน้ำตานี่ไม่รู้จักหมดไปสักที



    “มีใครตายรึไงร้องไห้ขนาดนั้น?” ผมเริ่มทนไม่ไหวกับเสียงสะอื้น



    “ถ้าไม่คิดจะปลอบก็หุปปากได้มั้ยครับ” ทั้งๆที่สะอื้นอยู่แต่กลับพูดโดยไม่ติดขัดเลย



    “ทำไมฉันต้องปลอบนายด้วย”



    แบมแบมหันมาค้อนวงใหญ่ใส่ผมก่อนจะพูดขึ้น



    “ตอนอายุสิบเจ็ดพี่ขาหักรึเปล่า?”



    “เปล่า”



    เท่าที่จำได้ ผมแทบจะไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเลยด้วยซ้ำ หนักๆก็มีแค่ที่เครียดมากจนช็อก แค่ครั้งเดียว



    “ตอนอายุสิบเจ็ดพี่อยู่ตัวคนเดียวรึเปล่า?”



    “เปล่า”




    ผมมีครอบครัวขนาดใหญ่ แต่ว่าเราแค่อยู่กันคนละประเทศ เทคโนโลยีก็ทำให้เราติดต่อกันได้สะดวกมากขึ้น




    “ตอนอายุสิบเจ็ดพี่เคยมีของที่คนที่พี่รักให้มา แล้วมันหายไปบ้างรึเปล่า?”



    “ไม่มี”



    เพราะผมเป็นคนที่มีระเบียบ เรื่องของหายไม่ต้องพูดถึงเลย




    แต่เดี๋ยวนะ……!!



    คนที่รักหรอ



    นี่แบมแบมหมายถึงหูฟังที่แจ็คสันให้มารึเปล่า….?!



    คนที่รักหรอ….



    “แต่ตอนนี้ทั้งสามอย่างที่พูดมามันกำลังเกิดกับผม ผมไม่ควรร้องไห้หรอ?” เขาถามติดเสียงสะอื้น



    “มันก็ไม่ใช่แบบนั้น”




    ผมไม่เคยบาดเจ็บขั้นรุนแรงแบบนี้ ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุตอนเด็ก ไม่เคยอยู่คนเดียว ผมอยู่ท่ามกลางความสนใจของผู้คนมากมายมาโดยตลอด ไม่เคยเหงา ไม่เคยเสียใจ ผมมีญาติ มีครอบครัว ผมใช้ชีวิตอย่างเข้มแข็งมาตลอด ร้องไห้ก็นับครั้งได้ แต่ถ้าเทียบกับเด็กตรงหน้าผมแล้ว ชีวิตผมก็คงจะดีกว่าเขาอยู่เยอะเหมือนกัน ไม่มีญาติ แถมยังเกือบจะไม่มีขาอีกต่างหาก





    ผมคงพูดบางคำแรงเกินไป



    เขาถึงได้ร้องไห้ฟูมฟายขนาดนี้



    “ผมจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?” เขาเปลี่ยนเรื่องเมื่อน้ำตาเริ่มหยุดไหลลงมา



    “คงอีกสามสี่วัน เพราะนอกจากขานายแล้วอย่างอื่นก็ไม่มีปัญหาอะไร”



    “ถ้าผมออกจากโรงพยาบาลแล้ว ไม่ต้องตามไปดูแลผมถึงที่บ้านหรอกนะ”



    “ใครบอก ว่าฉันจะตามไปดูแลนายถึงบ้าน”



    “ก็เห็นเมื่อกี้พูด” เขาตอบงงๆ



    “มันหมายถึงว่า นายต้องมาอยู่ที่บ้านฉันต่างหาก” ผมพูดก่อนเดินไปนั่งที่ขอบเตียง “ฉันไม่ชอบอยู่บ้านคนอื่นนะ”



    “ไม่เอาอะ!” เขาเริ่มเสียงดัง แต่มันไม่ใช่เสียงที่แข็งกระด้างเท่าเดิม คงเป็นเพราะตอนนี้ผมใช้เสียงที่นิ่มกว่าเดิมคุย




    “ขาเป็นแบบนี้จะทำอะไรได้ ฉันบอกแล้วว่าไม่ได้อยากจะทำเอง แต่มันเป็นคำสั่งและก็ขัดไม่ได้ นายก็เหมือนกัน”



    “ทำไมถึงขัดไม่ได้?”



    “เพราะว่าฉันยังไม่อยากดับอนาคตของตัวเองที่กำลังริบหรี่อยู่ไงละ ช่วยเข้าใจอะไรง่ายๆด้วยนะ”



    “ถ้าผมอยู่กับพี่ เราคงทะเลาะกันทุกวันแน่ แค่ยังไม่ถึงวันพี่ก็ทำผมร้องไห้แล้ว” เขาพูดก่อนเบ้ปาก



    “นายก็อย่ากวนอารมณ์ฉันสิ ฉันก็มีเรื่องเครียดเหมือนกันนะ ทำตัวเป็นเด็กดีแล้วฉันจะดีกับนาย ฉันไม่ใช่คนใจร้ายหรอกนะ” ผมพูดก่อนคลี่ยิ้ม



    “ถ้าพี่ต้องดูแลผมจริงๆ พี่ก็พูดดีๆกับผมบ้างสิ พี่ยังไม่เคยพูดดีๆกับผมเลยนะ”



    “อื้ม”



    ผมตอบเป็นเสียงในลำคอเมื่อเขาหยุดร้องไห้แล้วค่อยๆยิ้มออกมา



    “นอนซะสิ ร้องไห้จนตาบวมหมดแล้ว เรายังมีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะแบมแบม” ผมพูดขณะมองดวงตาที่แดงก่ำ



    “คือ” เขาลากเสียงยาว “ผมหิวอะ”



    “แล้วยังไง?” ผมถามขณะมองนาฬิกาข้อมือ บอกเวลาหกโมงเย็น อาหารของโรงพยาบาลก็คงจะเก็บไปหมดแล้ว



    “ก็หาอะไรให้ผมกินหน่อยสิ” แบมแบมทำเสียงอ้อนก่อนเม้มริมฝีปากเข้าหากันจนเป็นเส้นบาง



    “ไหนๆฉันก็ต้องดูแลนายอยู่แล้วนี่ จะกินอะไรล่ะ”



    “อะไรก็ได้



    “อือ เดี๋ยวฉันมาแล้วกัน”




    จะว่าไปเด็กนี่มันก็เข้ากับคนง่ายเหมือนกันแฮะ ตอนแรกนึกไว้ว่าตื่นมาจะกลายเป็นประเภทเด็กซึมเศร้าไม่พูดไม่จา หรือไม่ก็ช็อกเสียสติ หรือไม่ก็พวกเด็กก้าวร้าว แต่นี่กลับเป็นเด็กต่างชาติที่ฟังภาษาเกาหลีรู้เรื่อง พูดจาเข้าใจง่าย แต่ออกจะขี้งอแงไปหน่อย ถ้าผมต้องฟังเสียงร้องไห้แล้วได้กลับไปยืนบนเวทีอีกครั้ง มันก็คงจะคุ้มอยู่เหมือนกัน




    ถ้าเป็นก่อนเกิดอุบัติเหตุแล้วผมมาเดินอยู่ตามฟุตบาทแบบนี้คนคงมารุมกันจนผมไม่ได้ไปไหนแน่ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ สายตาทุกคนที่มองมา มันมีทั้งชื่นชมในตัวผม และสมเพชในการกระทำ มีบ้างที่มีคนเข้ามาขอถ่ายรูป ขอลายเซ็นต์แต่ก็ไม่เท่าก่อน ไม่มีนักข่าวมารุมล้อม ไม่มีกล้องเป็นสิบตัวคอยจับภาพ ก็รู้สึกดีไปอีกแบบ






    -BAMBAM PART-



     ผมนอนมองเพดานสีขาวสะอาดของโรงพยาบาล ก็นึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาเมื่อภาพที่ผมเคยนอนเฝ้าป้าที่ป่วยอยู่สองปีเต็มๆผุดขึ้นมาในหัว หญิงชราท่าทางใจดี แม้ท่านจะป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาลแต่ท่านก็ไม่เคยแสดงท่าทีว่าป่วย ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองเจ็บหนักขนาดไหน แม้กระทั่งลมหายใจสุดท้าย ท่านก็เป็นห่วงผมมากกว่าตัวท่านเองเสียอีก กลัวว่าผมจะอยู่คนเดียวไม่ได้ กลัวว่าจะไม่มีใครคอยช่วยเหมือนเมื่อก่อน กลัวว่าจะไม่มีใครคอยปลอบ ไม่มีใครคอยซับน้ำตาให้




    ป้าสบายดีไหมครับ…?



    แบมคิดถึงป้านะครับป้าเป่าเพี้ยง!ให้แบมทีขาแบมจะได้หายเร็วๆ



    แบมจะเข้มแข็งนะครับ



    ผมบอกกับตัวเองก่อนจะพาสติทั้งหมดกลับสู่ปัจจุบัน



    โดนซุปตาร์ขับรถชน มีแฟนคลับพี่แกคนไหนอยากโดนมั้ยครับ ผมขอเป็นให้พี่แจ็คสันชนได้มั้ย ถ้าเป็นเขาต่อให้นอนโรงพยาบาลทั้งชีวิตแล้วเขาต้องมาดูแล แบมยอมมมมมมมมมมมมม ><




    แต่มันไม่ใช่!!



    ไอ้แบมตื่นโว้ย!!



    ผมไม่ใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อย เจ้าคิดเจ้าแค้นอะไร ในเมื่อเรื่องมันเกิดมาแล้ว ขาก็หักไปแล้ว ตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว พี่มาร์คก็บอกว่าจะดูแลจนกว่าจะหาย มันก็คือดี เป็นคนดัง เป็นคนของประชาชนก็ไม่น่าจะเลวร้ายอะไรมากมาย ผมเลยเชื่อใจเขาไปแล้วครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งก็เหลือแต่นิสัยนี่แหละว่าจะยังไง…    -_-‘




    ครืดดดด~




    เสียงบานประตูเลื่อนทำให้ผมอยากชะโงกหน้าไปดูเสียเหลือเกิน แต่ก็ทำไม่ได้



    “รอนานมั้ย?” ร่างสูงโปร่งที่เพิ่งเดินเข้ามาถามพลางชูอาหารในมือ



    ” ผมไม่ตอบอะไรเพียงแต่ส่ายหัวเบาๆ และดูเขาเทของเกือบเหลวลงในชามกระเบื้อง



    “กินซะ กินเองได้ใช่มั้ย” เขาบอกขณะเลื่อนโต๊ะสำหรับวางอาหารมาที่เตียง



    “ขอบคุณครับ แต่พี่ช่วยพยุงผมลุกขึ้นนั่งหน่อยได้มั้ย?”



    “มันก็ต้องได้อยู่แล้ว”



    เขาตอบก่อนสอดมือหนาเข้าที่ไหล่บางและดันให้ผมลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าแหยเกเพราะความเจ็บที่ไม่ได้ขยับตัวมาหลายวัน ผมบิดตัวไปมาเล็กน้อยก่อนลงมือทานข้าวต้มตรงหน้า



    อาหารมื้อแรกที่เกาหลีตอนแรกที่คิดไว้ไม่ใช่แบบนี้แน่นอน ไม่ใช่ข้าวต้ม ไม่ใช่โรงพยาบาลแน่



    “ผมเรียกพี่ว่า พี่มาร์คได้มั้ยครับ” ผมหันไปถามคนที่กำลังนั่งกดโทรศัพท์อยู่ที่โซฟา



    “อยากเรียกอะไรก็เรียกเถอะ ความจริงนายพูดเป็นกันเองกับฉันก็ได้นะ เราต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน” เขาเงยหน้าจากโทรศัพท์ขึ้นมาตอบ “อิ่มแล้วก็บอกฉันแล้วกัน”



    “พี่มาร์ค



    “หื้มว่าไง”



    “เปิดทีวีให้ดูหน่อยสิ”



    “ไม่เอา ฉันไม่ชอบดูทีวี” เขาตอบเสียงเรียบก่อนหันไปสนใจโทรศัพท์ในมือต่อ



    “งั้นเปิดเพลงให้ผมฟังก็ได้”



    “ฉันไม่อยากได้ยินเสียงเพลงตอนนี้ ฉันเป็นนักร้องที่ถูกพักงานนะ ฉันจะไม่ได้ขึ้นเสตจตั้งหกเดือนเห็นใจหน่อยเถอะ”



    “แล้วผมล่ะ เห็นใจผมบ้างสิ มีแต่ขาวๆเต็มห้องไปหมด” ผมพูดพลางมองไปรอบๆห้องที่หันไปทางไหนก็มีแต่สีขาว



    ใครมันกำหนดวะ? ว่าโรงพยาบาลต้องสีขาว!!



    “โอเคๆ ทีวีนะ” เขามองผมที่กำลังทำหน้าเหงาหงอยก่อนจะเดินไปเปิดโทรทัศน์จอแบนติดผนัง



    จะว่าไป ที่นี้ก็หรูใช่เล่นเลยแฮะ



    “อยากดูไรก็ดู” พูดพร้อมโยนรีโมทมาให้ดีที่มันไม่โดนขา



    ผมเคี้ยวข้าวต้มไปกดรีโมทไป รันไปเรื่อยๆมีสามร้อยช่องก็กดมันทุกช่องจนพี่มาร์คหันมามองว่าผมจะดูอะไรกันแน่ นี่ก็ข่าว นั่นก็ซีรีย์ นู้นก็โฮมช็อปปิ้ง



    “ช่องไหนสนุกอะ?” เมื่อเริ่มเมื่อยนิ้วก็หันไปถามคนที่จ้องผมอยู่นาน



    “ไม่รู้สิ ฉันเลิกดูนานแล้ว”



    “อ๊ะ!! เห้ย” เมื่อหันมาอีกรอบก็เจอใบหน้าของคนที่อยู่ข้างๆอยู่บนจอ “ออกข่าวด้วยอะ เรื่องผมนี่” เมื่อฟังเนื้อข่าวก็รู้ว่ามันเป็นข่าวที่เขาขับรถชนผม มาถ่ายกันถึงหน้าห้องเลย “ทำไมไม่มีผมอะ?”




    “แล้วทำไมต้องมี” เขาถามก่อนเดินมาแย่งรีโมทไป



    “ก็ผมเป็นคนถูกกระทำ เอาคืนมานะ”



    “คนจะได้สงสารว่างั้นเถอะ” เขาพูดขณะเปลี่ยนช่องเรื่อยๆอีกครั้ง



    “เปลี่ยนทำไม?”



    “แล้วจะอยากดูทำไม”



    เออ นั่นสิ จะดูทำไม



    “เฮ้ย!! หยุดๆ” ผมตะโกนลั่น



    “บอกแล้วว่าอย่าตะโกน”



    “ย้อนก่อนๆ เอารีโมทมาๆ” ผมหันไปบอกพลางเอื้อมมือจะดึงรีโมทกลับ แต่มันยากนักเกิดมาแขนก็สั้น ขาก็สั้น แถมยังหักอีกต่างหาก



    “ไม่เห็นมีอะไรน่าดูซักนิด” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็ยอมย้อนช่องให้อยู่ดี



    “หยุด” ผมหันไปกระตุกแขนเสื้อเขาให้หยุด ก่อนหันกลับมามองที่จอ



    ใบหน้าคุ้นตา ที่กำลังให้สัมภาษณ์พร้อมรอยยิ้ม แว่นกันแดดสีดำสนิทที่เขาจะใส่มันอยู่ตลอดทำให้ผมจำเขาได้ทันที ถึงแม้ทรงผมจะเปลี่ยนไปจากเดิม ผมมองภาพบนจอด้วยรอยยิ้มและหัวใจเต้นแรง พร้อมกับความรู้สึกผิดสุดๆ




    “เฮอะ!!” พี่มาร์คแค่นเสียงก่อนหันมามองผม



    “ทำไม?” ผมถามเสียงแข็ง



    “ชอบมันรึไง?” เขาถามขณะพยักเพยิดไปยังทีวีจอใหญ่ที่พี่แจ็คสันกำลังยิ้มอยู่



    “แล้วชอบไม่ได้รึไง” ผมพูดพร้อมยิ้มร่า ต่างกับพี่มาร์คที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับ



    เขาโยนรีโมทคืนมาให้ผมอย่างแรงก่อนเดินปึงปังไปนั่งกดโทรศัพท์ตามเดิมที่โซฟา และมองค้อนผมเป็นระยะๆ ไม่รู้ว่าจะไม่ชอบอะไรพี่แจ็คสันนักหนา….



    น่าตาก็ดี


    ประวัติก็ดี


    นิสัยก็ดี


    เพอร์เฟ็คที่สุดอะ!!!

     


    ----------------------------

    #fickissmark

    ---------------------------


     themy butter


     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×