คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : :: KISSMARK :: EP.4
-BAMBAM PART-
เจ็บ…
นี่เป็นคำอธิบายเดียวที่ตรงกับความรู้สึกของผมมากที่สุด ผมรู้สึกได้ถึงสัมผัสอ่อนโยนที่กุมมือของผมไว้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ผมได้บีบมือของเขาแน่นเพราะความกลัว ผมอยากถ่ายทอดความรู้สึกเจ็บขนาดนี้ออกไปเหลือเกิน…
ภาพตรงหน้าผมดำมืดไปหมด ผมพยายามจะยกเปลือกตาขึ้นแต่มันก็หนักเกินไป จมูกผมได้กลิ่นฉุนตามแบบฉบับของโรงพยาบาลไม่ว่าแห่งไหนในโลก แต่กลิ่นโรงพยาบาลจะเหมือนกันไปเสียหมด ผมได้ยินเสียงเรียกพร้อมสัมผัสข้างแก้ม ผมอยากรู้เหลือเกินว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่…
ผมยังคงพยายามลืมตา แต่พยายามได้ไม่นานก็มีเสียงคนวิ่งกันมายกใหญ่ เหมือนพื้นจะทรุดลงไป…
“อื้อ…” ผมร้องในลำคอที่แห้งผาก เมื่อแสงไฟสีส้มนวลถูกส่องเข้ามาในม่านตาของผม
อ่า!! เห็นแล้ว ชายชุดขาวแบบนี้ คุณหมอนี่เอง
“ลืมตาสิหนู” เสียงทุ้มต่ำพูดพลางคลึงรอบดวงตาผมเบาๆ จนเปลือกตาเริ่มลอยขึ้น
ผู้ชายในชุดเสื้อกราวน์สีขาวยืนล้อมรอบเตียงของผมสี่ห้าคน เหมือนมาดูสิ่งประหลาดกัน…
“หนูจำได้มั้ยว่าตัวเองเป็นใคร?” เมื่อเขาเห็นผมกระพริบตาถี่ๆก็เริ่มถาม
ผมหรอ?
ผมก็แบมแบมไง กำลังนั่งแท็กซี่ไปคอนโด แต่ทำไมมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้...
“จำได้ไหม?” เมื่อเห็นว่าผมยังไม่ตอบเขาก็ถามย้ำขึ้นมา
“เข้าใจภาษาเกาหลีรึเปล่า?” คราวนี้เป็นผู้ชายไม่ได้ใส่เสื้อกราวน์ ชายหน้าตาดีย้อมผมสีแดงทับทิมถามผม “ว่าไง?”
“ค…ครับ” ผมพูดเสียงแหบพร่าพร้อมพยักหน้าเบาๆ “ขอน้ำ...” อยากจะพูดอะไรมากกว่านี้แต่ก็ไม่ได้จริงๆ เหมือนคอมันจะแหลกเป็นผง
ผมดื่มน้ำในแก้วขนาดใหญ่ที่เขาเป็นคนรินให้จนหมด ผมตั้งสติและมองไปรอบๆอีกครั้ง ตอนนี้เหลือเพียงแค่คุณหมอกับผู้ชายผมสีทับทิม…นี่คือโรงพยาบาล และผมเป็นคนไข้…ผมเป็นอะไร??
“ชื่ออะไร?” ผู้ชายผมสีทับทิมถามขึ้น
“แบมแบมครับ” ผมตอบอย่างสุภาพก่อนจะเอ่ยถาม “ใครบอกผมได้บ้างว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
ผมใช้สายตามองสลับไปมาระหว่างคุณหมอและผู้ชายผมสีแดงน่าตาดี เขาสองคนมองหน้ากันก่อนที่คุณหมอจะเป็นคนเดินออกไป ปล่อยให้ผมอยู่กับเขา
“เออ...คือ...” เขาตะกุกตะกัก “ความจริงมันก็ไม่ใช่ความผิดของฉันทั้งหมดหรอกนะ” เขาเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะนั่งลงที่โซฟาข้างเตียง “แท็กซี่ที่นายนั่ง...ปาดหน้ารถฉัน ฉันก็เลยแซงขึ้นมา แล้วมันมีแท็กซี่อีกคันที่โผล่มาจากอีกแยก ตอนนั้นรถนายแซงขึ้นมา ฉันหักพวงมาลัยหลบรถที่มาจากอีกแยก มันเลยไปชนกับแท็กซี่ที่นายนั่งมา...เข้าใจใช่มั้ย”
รถชน... เขาชนรถผมหรอ?
“ตอนแรกนายหัวแตก ขาหัก อวัยวะช้ำ แต่ตอนนี้รู้สึกจะเหลือแค่ขาอย่างเดียวที่ยังไม่หาย นายสลบไปตั้งสองอาทิตย์”
“ขาผมหรอ?” ผมพึมพำก่อนเหลือบมองขาตัวเองที่ไม่มีความรู้สึก มันถูกเข้าเฝือกอย่างอลังการและยกขึ้นเหนือระดับเตียง “พี่ชนผมหรอ?!” ผมตะโกนถาม
“ก็ถ้ารถนายไม่ปาดหน้ารถฉัน มันก็คงไม่ชน” เขาตอบเสียงเรียบ
“พี่จะบอกว่าผมผิด ทั้งๆที่ผมมีสภาพแบบนี้”
“ฉันไม่ได้จะหมายความว่าอย่างนั้น แต่มันก็ประมาณนั้น...ว่าแต่นายมีญาติมั้ย”
“พี่คิดจะขอโทษที่ทำผมเป็นแบบนี้ก่อนไหม” ผมถามขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีท่าทีที่จะพูดขอโทษ
“ขอโทษนะ แต่ฉันเป็นคนเฝ้าไข้นายมาตลอดสองอาทิตย์กว่าๆ ชีวิตฉันก็พังยิ่งกว่าขาของนายอีก”
“ก็พี่บอกเองว่าเป็นคนชนผม”
“ฉันถึงได้มาเฝ้านายนี่ไง แล้วฉันไม่ใช่คนที่ผิดทั้งหมด สรุปแล้วนายมีญาติบ้างมั้ย”
เชื่อเขาเลย!! เขาเป็นใครผมก็ไม่รู้จักหรอก น่าตาก็ดีไม่น่ามีนิสัยแบบนี้เลย แค่คำว่า ‘ขอโทษ’ มันยากมากรึไง ผมโกรธจนแทบจะเป็นบ้าแต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะตอบโต้แต่อย่างใด ได้แต่ไฟลุกพรึ่บๆอยู่ในใจ...
“ไม่มี” ผมตอบห้วนๆ “แล้วพี่เป็นใคร?”
“นายไม่รู้จักฉันหรอ ถามจริง?” เขาพูดหน้าตาตื่น “เป็นคนประเทศอะไร?”
“เป็นคนไทย”
“ถึงว่า...” เขาลากเสียงเย้ยยั่น “ฉันชื่อมาร์ค มาร์ค อิเอิ้น ต้วน อยู่ๆไปแล้วนายก็จะรู้เองว่าฉันเป็นใคร”
มาร์ค...อิเอิ้น...ต้วน...คุ้นจังแฮะ เหมือนเคยได้ยิน
“นายชื่อแบมแบมใช่ไหม? แล้วอายุเท่าไหร่”
“สิบเจ็ด”
“งั้นฉันแก่กว่านายสามปี พูดจาให้มันรู้จักพี่รู้จักน้องหน่อยเถอะ”
“ขอโทษผมสิ”
“ไม่มีทาง” เขาพูดเสียงแข็งก่อนลุกขึ้นมายืนที่ข้างเตียงผม “ฉันบอกไปแล้วว่าฉันไม่ได้ผิดทั้งหมด”
“แต่ถึงยังไงผมก็เกือบพิการไปแล้วนะ เกือบตายด้วยซ้ำ!!” ผมตะโกน
“แต่ก็ยังอยู่นี่ รู้สึกว่าปากดีซะด้วยนะ” เขาแค่นเสียง “นายไม่รู้จักฉันจริงๆใช่ไหม?”
“...” ผมกลอกตาก่อนจะหันหัวไปอีกฝั่ง
กร๊อก!!
เสียงกระดูกต้นคอลั่นดัง ความเจ็บปวดแผ่ซ่านจนผมหน้าเหยเก
“เป็นอะไร? เจ็บหรอ? ตรงไหน?” เขาถามอย่างร้อนลน
“คงไม่ได้ขยับคอมาหลายวัน...” ผมตอบ
“ถ้าไม่เป็นอะไรก็อ่านนี่ซะ แล้วก็ฟังที่ฉันพูดด้วย” เขายื่นมือถือที่มีรูปเขาและตัวหนังสือเยอะแยะไปหมด ผมรับมาและดูอย่างถี่ถ้วน...
ประวัติรึ...คนประเภทไหนกันที่มีประวัติอยู่ในอินเทอร์เน็ต...
“ตอนนี้ชีวิตฉันต้องพังเพราะนาย ฉันโดนแคนเซิลงานทุกชิ้น โฆษณาทุกตัว โดนกักบริเวณ โดนพักงาน และอีกมากมายที่พูดไปนายก็คงไม่เข้าใจ ตอนแรกถ้านายยังมีญาติอยู่ฉันก็ว่าจะตกลงกันว่าจะทำยังไง ฉันถึงจะรับผิดชอบได้เต็มที่ แต่เพราะนายไม่มีญาติเลย ฉันก็จะทำตามคำสั่งที่ได้รับมาคือ ดูแลจนกว่านายจะหายดี ไม่ต้องคิดว่าฉันรู้สึกผิด หรือไปพิศวาทหน้าตาของนายนะ ฉันแค่ทำตามหน้าที่ที่ต้องทำ”
เขาหยุดพูดพอดีกับที่ผมอ่านจบทุกบรรทัดอย่างละเอียด
เป็นนักร้องหรอ...เป็นดาราหรอ...นายแบบหรอ...พิธีกรก็ด้วยหรอ…
อื้ม…ไม่ธรรมดา
นี่ผมไม่ได้โดนรถชนธรรมดานะครับ แต่ซุป’ตาร์เป็นคนชน ดีใจจนอยากกระโดดบีบคอ….
“ไม่ต้องก็ได้นะ ไม่ได้ขอ” ผมปฏิเสธ ขนาดไม่รู้จักกันอยู่กันคนละประเทศ มาถึงก็ขาหัก ถ้าอยู่ด้วยกันสงสัยไม่ตายก็คงเลี้ยงไม่โต
“อย่าเรื่องมากน่า ฉันก็ไม่ได้อยากจะทำมากเท่าไหร่หรอก แต่มันต้องทำโดยไม่มีข้อแม้ นายก็ไม่มีญาติไม่ใช่รึไง?”
“ผมดูแลตัวเองได้…ว่าแต่มือถือของผมอยู่ไหน”
“พังแล้ว” เขาตอบสั้นๆก่อนล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์คุ้นตาที่พังแบบไม่สงสารคนเป็นเจ้าของเลย ละเอียดแบบนี้ถ้าจับไปมันจะบาดมือไหมเนี่ย “ถ้าจะใช้ก็เอาของฉันไปใช้ก่อนได้นะ”
จะใช้อะไรล่ะ จะให้โทรหาใคร ญาติก็ไม่มีเหลือ เพื่อนก็จะมาช่วยอะไรได้ตอนนี้…
‘งั้นไว้เจอกันใหม่นะ ถ้ามีอะไรก็โทรมาได้’ อยู่ๆผมก็นึกถึงที่พี่แจ็คสันพูด
“พี่เห็นหูฟังผมมั้ย ที่อยู่ในกล่องใสๆ”
“โทรศัพท์ยังขนาดนั้น แล้วคิดว่าหูฟังจะขนาดไหน กล่องมันแตกไปหมดแล้ว หูฟังก็ไม่น่าจะใช้ได้อีก”
“แล้วมันอยู่ที่ไหน?” หัวใจผมหล่นวูบ พี่แจ็คสันอุตส่าห์ให้มา ลายเซ็นต์ก็ยังดูไม่เต็มที่เลย
“กลางถนนมั้ง” เขาตอบแบบไม่แน่ใจ
“เห็นแล้วทำไมไม่เก็บมา!” ผมตะโกน
“แล้วฉันจะเก็บมาทำไมเล่า!! อย่ามาตะโกนแบบนี้ใส่ฉันนะ!” เขาตะโกนแข่ง “ของมันพังแล้วใช้ไม่ได้แล้ว เก็บมาก็เป็นขยะเปล่าๆ”
“ขยะหรอ…?” ผมพูดเสียงแผ่ว “คนใจร้าย หยาบคายที่สุด ไม่ขอโทษผมก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่อย่ามาพูดว่าของๆผมเป็นขยะนะ”
“ก็แค่หูฟัง จะเอาอีกกี่อัน สักร้อยอันฉันก็หามาให้นายได้”
ถึงเอามาอีกสักร้อยอันพันอันมันก็เทียบไม่ได้กับของที่พี่แจ็คสันให้ผมมาหรอก…
“พี่แจ็คสันเขาให้ผมมานะ ถึงพี่จะหามาอีกมากเท่าไหร่มันก็เทียบไม่ได้หรอก แค่คำขอโทษยังให้ไม่ได้เลย”
ผมพูดด้วยดวงตาร้อนผ่าว หัวใจเต้นแรงจนแทบจะบุบสลาย ของชิ้นเดียวผมยังดูแลไม่ได้เลย เขาอุตส่าห์ให้ผมไว้ใช้ แต่ผมกลับทำมันหายไปที่ไหนก็ไม่รู้ เขาเซ็นต์อะไรให้ก็ยังดูไม่ละเอียด นี่ถ้าเขารู้ก็ไม่รู้ว่าจะเสียความรู้สึกขนาดไหน
“ใครให้นะ?” เขาถามย้ำ
“พี่แจ็คสัน แจ็คสัน หวัง ทีมชาติฮ่องกงอะรู้จักมั้ย!!” ผมตะโกนพร้อมน้ำตา
นิสัยขี้แงนี่แก้ไม่หายเสียที บ้าชะมัด!!
“ฉันเป็นดารา เป็นนักร้องนี่ไม่รู้จัก แต่ไปรู้จักไอ้หวัง เออดี!!” เขากระแทกเสียง “แล้วก็ฉันบอกนายรอบที่สองแล้วนะว่าอย่าตะโกนใส่ฉันแบบนี้”
“อย่าเรียกว่าไอ้นะ” ผมพูดพร้อมใช้หลังมือปาดน้ำตา “พี่ขับรถชนผมจนขาหัก โทรศัพท์พัง หูฟังหาย ผมยังเรียกพี่ว่าพี่เลยนะ ผมโกรธจนจะฆ่าพี่ได้แล้วรู้มั้ย แต่รู้ว่าโกรธไปขาก็ไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมหรอกเลยเลือกที่จะพูดด้วยดีๆไง พี่ช่วยใจเย็นๆแล้วก็เห็นใจผมหน่อยนะครับ”
ความคิดเห็น