ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    GOT7 | KissMark ตราไว้ในใจนายคือของฉัน![END]

    ลำดับตอนที่ #3 : :: KISSMARK :: EP.3

    • อัปเดตล่าสุด 12 ม.ค. 58




                -MARK PART-


               “มาร์ค!! เกิดอะไรขึ้น?!!” เสียงแหลมใสคุ้นหูดังขึ้นก่อนที่ผมจะได้เห็นตัวเธอเสียอีก



     

    ผู้จัดการรีบวิ่งเข้ามากุมมือที่เปียกชื้นของผมไว้


     

    “นายไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?” เธอถามพลางสำรวจรอบตัวของผม



    “ไม่พี่ ผมไม่เป็นไร ผมไม่เป็นอะไร ไม่ๆ” ผมปฏิเสธรัวๆทั้งๆที่รู้ว่ามันมีแผลถลอกอยู่ แต่ก็คงไม่เท่ากับคนที่นอนจมกองเลือดอยู่ในห้องไอซียูตอนนี้หรอก



    “มันเกิดอะไรขึ้นไหนเล่ามาซิ” เธอยังคงถามผม



    “ไม่ใช่ตอนนี้พี่ ไม่ใช่ตอนนี้” ไม่ว่าอยากจะเล่าให้ฟังสักแค่ไหน แต่มันก็ต้องไม่ใช่ตอนนี้แน่นอน



    ก่อนหน้านี้ผมทำข้อตกลงกับคนขับแท็กซี่ จ่ายค่ารักษาพยาบาล เย็บศีรษะสี่เข็ม แล้วก็จ่ายค่ารถกับค่าทำขวัญไป มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เราสรุปกันว่าจะไม่เอาเรื่องเพราะเขาก็ขับออกมาก่อนสัญญาณไฟเมื่อตกลงกันเสร็จผมก็ให้เขากลับไปพร้อมกับมารอดูอาการของเด็กผู้ชายอยู่หน้าห้องไอซียู




    “มาร์ค!! อย่าลนลานแล้วมีสติก่อน” ผู้จัดการยังคงจับมือผมไว้เมื่อเห็นผมมือสั่นไม่หยุด “ถ้ามีนักข่าวมาถามห้ามพูด ห้ามตอบอะไรทั้งนั้นเข้าใจมั้ย”


    “ครับ”


    “ติดต่อญาติเขาได้ไหม?”



    “โทรศัพท์มันแหลกไปแล้วครับ พร้อมๆกับขาของเขา” ผมตอบเสียงสั่นเครือ


    ถ้านักข่าวมากันตอนนี้ผมจะทำยังไงดี ถ้าเขาตายไปผมจะทำยังไงดี ถ้าเขาเป็นอะไรไปผมจะทำยังไง อนาคตผมจะเป็นยังไง แฟนคลับผมจะรู้สึกยังไง แล้วผมจะเป็นฆาตกรมั้ย หลายคำถามถาโถมเข้ามาในความคิดจนสมองแทบระเบิดออกมา ผมเพิ่งจะดังได้ขนาดนี้ไม่กี่ปีเองนะ ผมต้องดับแล้วหรอ ไม่นะ ไม่!!



    ผมตั้งคำถามกับตัวเองได้ไม่นานก็เริ่มมีสายนักข่าวมากันทีละคนสองคนจนผู้จัดการต้องบอกว่าจะจัดแถลงให้ ทางต้นสังกัดก็กำลังหาทางจัดการอยู่ เขาจะจัดการยังไง เขาจะให้ผมพักงานมั้ย ผมต้องกลับไปเรียนต่อรึเปล่า



    ผมได้แต่มุดหน้าที่เปียกเหงื่อชุ่มและคราบน้ำตาลงกับฝ่ามือหนาที่มีกลิ่นคาวเลือด เป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้วที่ยังไม่มีใครซักคนเดินออกมาจากห้องนั้น นาฬิกาก็เดินต่อไป ผมได้แต่ภาวนาขอให้เขาปลอดภัย ขอให้ทุกคนให้อภัยผมตอนนี้ผู้จัดการก็กลับไปที่ออฟฟิศแล้ว เธอบอกให้ผมกลับก็ได้ แต่ว่าผมอยู่ที่นี่น่าจะดีกว่า



    ปัง!



    เสียงประตูกระทบกำแพงอย่างแรงจนผมรีบลุกขึ้นก็เห็นชายร่างโปร่งอยู่ในชุดผ่าตัดสีเขียวเป็นเอกลักษณ์



    “คุณเป็นญาติคนไข้หรือครับ?” เขาหันมาถามเมื่อเห็นว่ามีผมคนเดียวที่อยู่ตรงนั้น


    “เปล่าครับ ผมขับรถชนเขาครับ” ผมตอบเสียงแผ่ว



    “ตอนนี้การผ่าตัดผ่านไปด้วยดีนะครับ คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้ว”



    ผมแทบจะทรุดลงไปนั่งกับพื้นด้วยความโล่งใจ เหมือนยกภูเขาครึ่งลูกออกไปจากอก



    “เขาเป็นอะไรมากรึเปล่าครับ?”



    “ศีรษะแตก ขาหัก และอวัยวะภายในช้ำครับ เดี๋ยวหมอจะย้ายคนไข้ไปห้องพักพิเศษรบกวนติดต่อญาติเขาได้มั้ยครับ”



    “โทรศัพท์ของเขาพังแล้วครับ แล้วก็ไม่มีที่ติดต่ออื่นเลย” ผมชูโทรศัพท์ที่เกือบจะแยกเป็นจิ๊กซอว์ให้หมอดู “ในนี้มีแต่เสื้อผ้า เขาเพิ่งลงจากเครื่องมาครับ เดี๋ยวผมเป็นญาติเขาให้ก่อนก็ได้”



    หลังจากกรอกข้อมูลทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากผู้จัดการว่าพรุ่งนี้จะมีงานแถลงข่าวเรื่องอุบัติเหตุ ซึ่งหลังจากแถลงข่าวเสร็จผมก็โดนพักงาน



    ผมจ้องมองใบหน้านิ่งเรียบของคนที่นอนใส่เฝือกเกือบทั้งตัว โดนพันจนเกือบเป็นมัมมี่ โผล่ออกมาแต่ใบหน้าขาวซีด ชีวิตของผมจะมาจบที่ตรงนี้ไม่ได้เด็ดขาด ผมพยายามมาทั้งชีวิต กว่าจะมาถึงจุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย



    แต่กฎก็ต้องเป็นไปตามกฏ



    ผมเลื่อนสายตามายังนาฬิกาที่ข้อมือ แปดโมงเช้า อีกไม่นานผมก็ต้องโดนเรียกตัวไปแถลงข่าว



    ครืด!



    ยังไม่ทันคิดจบผู้จัดการก็เปิดประตูเดินเข้ามาเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาของผมแล้ว



    งานแถลงข่าวครั้งยิ่งใหญ่ ใหญ่กว่าตอนที่เดบิวต์ครั้งแรกเสียอีกนักข่าวก็มากันทุกช่อง ทุกสายข่าว ทุกสำนักพิมพ์ สายข่าวบันเทิงพอเข้าใจได้ สายข่าวโศกนาฏกรรมพอเข้าใจได้ สายข่าวการเมืองมาทำไม??  มาเพื่อใคร ผมไปชนลูกนักการเมืองหรืออย่างไรครับได้แต่คิดแล้วก็สงสัยผมเล่าทุกอย่างตามความเป็นจริง ตรงไปตรงมา ตอบทุกคำถามที่จะตอบได้



     หลังจากงานแถลงข่าวจบ ก็ต้องไปพบเหล่าสปอนเซอร์ที่เตรียมจะถอนผมออกจากการเป็นพรีเซนเตอร์ สปอนเซอร์ที่ไม่ถอน ไม่ยกเลิกสัญญา ผมแทบจะอยากเข้าไปกราบงามๆซักสามครั้งเสียเหลือเกิน ผู้จัดการที่รับคำสั่งจากเบื้องบนลงมาก็เดินมาแจ้งผมต่อจากสปอนเซอร์



    “รู้มั้ยว่าจะโดนอะไรบ้าง?”



    “คิดว่ารู้ไม่หมดนะ” ผมตอบก่อนใช้มือกุมขมับที่เต้นตุ้บๆ



    “ฟังนะมาร์คตอนนี้นายกำลังดัง กำลังเป็นที่จับตามอง เป็นไอดอลวัยรุ่น แต่นายกลับทำเรื่องแบบนี้ขึ้นซะได้ ทางค่ายเขาจะพักงานนายไปก่อนอาจจะซักหกเดือน



    “หกเดือน!!” ผมตะโกนเสียงดัง



    “หรืออาจจะนานกว่านั้น จนกว่าข่าวจะหายไป รอภาพลักษณ์ของนายดีขึ้นและรอนายกลับมาอย่างเต็มภาคภูมิไง”



    “ผมไม่ได้อยากขึ้นเสตจตอนหัวหงอกนะ”



    “ฉันก็ไม่ได้อยากเป็นผู้จัดการนายตอนนั้นเหมือนกัน”



    “แล้วผมจะเอาเวลาไปทำอะไร?”



    “เรียนไง นายยังเรียนไม่จบนี่ ก็ไปเรียนต่อให้จบซะ”



    “กว่าผมจะมาตรงนี้มันยากมากเลยนะ” ผมพูดเสียงสั่นเครือ ไม่ใช่เพราะต้องพักงานไปเรียน ไม่ใช่เพราะขับรถชนใคร แต่เป็นเพราะความกลัว กลัวว่าจะไม่ได้กลับมาที่ตรงนี้อีก “ผมจะได้กลับมาใช่มั้ย?”



    “กลับซิ นายเก่งอยู่แล้วนี่ นอกจากต้องไปเรียนแล้วเด็กที่นายขับรถชน นายต้องดูแลเขาจนกว่าจะหาย ถ้าออกจากโรงพยาบาลก็ต้องไปอยู่ที่บ้านนาย”


    “บ้านผม!” ผมตะโกนขึ้นมาทั้งน้ำตาอีกครั้ง



    “ใช่บ้านนาย หรือนายรู้จักบ้านของเขาหรือไง เหลือเวลาอีกเดือนกว่าๆ กว่านายจะเปิดเทอม เดี๋ยวฉันจะติดต่อกับทางโรงเรียนนายให้ ส่วนนายก็มีหน้าที่ดูแลเด็กนั่นไป”


    “ชีวิตผม” ผมพูดเสียงแผ่ว “จบสิ้นแล้ว



    “ยังหรอกมาร์ค มันเป็นเพียงอุปสรรคเฉยๆ ฉันอยากช่วยนายนะ แต่ฉันช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ นายเข้าใจใช่มั้ย”



    “อื้ม



    “ยังไงฉันก็ยังเป็นผู้จัดการของนายอยู่นะ ช่วงนี้ก็อย่าเพิ่งไปไหนมาไหน อยู่เฝ้าเด็กนั่นจะดีที่สุด คนเขาจะได้ให้อภัยเร็วๆ ตามเพจ ตามโซเชียลต่างๆก็ไปโพสต์ขอโทษด้วยเข้าใจมั้ย”



    “อื้ม”



    “เดี๋ยวฉันจะไปส่งนายที่โรงพยาบาลนะ ถือว่าพักร้อนแล้วกัน กระแสข่าวจะออกมาเป็นยังไงก็ไม่ต้องไปสนใจ ถ้าจะมีคนแอนตี้ก็อย่าไปตอบโต้ทางต้นสังกัดเขาจะจัดการเอง”



    แน่นอนว่าผมเข้าใจการกระทำของทางค่าย ของทางต้นสังกัดผมจึงยอมทำตามทุกคำสั่ง แม้จะไม่อยากทำก็เถอะ มันไม่มีทางเลือกอื่นในเมื่อผมถูกแคนเซิลงานแบบข้ามคืน มันไม่เหลืออะไรให้ผมทำอีกแล้ว นอกจากทำตามคำสั่งทางค่ายอย่างเดียว ผมอาจจะไม่ได้กลับมาที่จุดนี้อีกก็ได้ อาจจะไม่มีใครให้อภัยนักร้องวัยรุ่นที่ขับรถประมาทแบบผมก็ได้



    แต่พอมาคิดดีๆแล้ว ผมไม่ใช่คนที่ผิดทั้งหมดซักหน่อย แท็กซี่เองก็ผิดที่ขับออกมาก่อนสัญญาณไฟ ถึงได้ชนกันแบบนี้ แต่ผมก็ต้องรับข้อหาความผิดทั้งหมดไว้คนเดียวอยู่ดี ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งโกรธ ยิ่งเห็นข่าวก็ยิ่งเสียใจ ชีวิตที่กำลังไปได้สวยงามไร้ที่ติ กลับต้องจบลง ต้องหยุดเพราะเด็กที่นอนไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียง เพราะแท็กซี่ที่ขับออกมา ผมรู้สึกเหมือนไฟสปอร์ตไลท์ที่เคยส่องนำทางให้ผมดับไปอย่างรวดเร็ว เร็วเสียจนน่าตกใจ




    2 สัปดาห์ผ่านไป



    ผมรู้สึกได้ว่าแต่ละวันมันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน หนึ่งวันเหมือนหนึ่งปีนี่ก็คงจะผ่านมาซักสิบสี่ปีได้ ผมก็ยังคงต้องเฝ้าไข้คนไร้ญาติที่นอนไม่กระดิกอยู่บนเตียง ข่าวช่วงนี้ผมก็ยังมีมาเรื่อยๆ คงเป็นอย่างที่ใครๆเขาพูด มีคนชอบก็ต้องมีคนเกลียด คนล้มอย่าข้ามแต่ให้กระทืบซ้ำเลยข่าวตั้งแต่สมัยพระเจ้าเห็บพระเจ้าเหา ก็ยังอุตส่าห์ตามขุดกันขึ้นมาได้ ส่วนผมก็ได้แต่อยู่เงียบๆ ห้ามออกกล้อง ห้ามให้สัมภาษณ์ ให้ลืมตัวเองไปซะ ให้เป็นคนธรรมดาไปซะ



    ผมอยู่ที่โรงพยาบาลจนจะสนิทครบทั้งตึกแล้ว หมอก็บอกว่าเขาอาการดีขึ้นมาก แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นเสียที่ หมอรับรองว่าเขาจะไม่กลายเป็นเจ้าชายนิทรา เฝือกที่คอตอนนี้ก็ถอดออกแล้ว แต่ก็ยังต้องบล็อกคอไว้อยู่ดี อวัยวะภายในก็เริ่มดีขึ้น สมองก็ดีขึ้น เหลือก็แต่ขาที่โดนหนักสุดๆ ตอนแรกก็คิดว่ามันจะละเอียด แต่ที่ไหนได้ ก็แค่เกือบละเอียดไม่รู้ว่าจะเรียกว่าโชคดีได้หรือเปล่า



    จะนอนไปอีกกี่วันกัน…?” ผมพึมพำก่อนจับมือเขาขึ้นมากุมไว้สวดภาวนาขอให้เขาได้สติเร็วๆ


    พระผู้เป็นเจ้าไม่เห็นใจกันบ้างหรืออย่างไร ทว่าพระองค์ก็คงจะได้ยินคำขอมาเป็นหลายล้านคำที่ผมเฝ้าพูดพึมพำอยู่ทุกวัน ไม่เบื่อบ้างหรืออย่างไร แต่ผมเบื่อที่จะพูดแล้ว



    อื้อ…” เสียงครางในลำคอดังขึ้น


    แน่นอน ว่าไม่ใช่ผมแน่



    มือที่ผมกุมอยู่กลับบีบมือผมแน่น ราวกลับกำลังเจ็บปวด มือเย็นนั้นค่อยๆมีอุณหภูมิ เหงื่อเปียกชื่นไหลออกมาตามรูขุมขน ใบหน้าซีดเริ่มมีสี ชุ่มเหงื่อไม่แพ้กัน



     “นี่!!” ผมตะโกนเรียกพลางใช้มือหนาสัมผัสที่ใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบาก่อนกดปุ่มเรียกพยาบาล 
     


    ----------------------------

    #fickissmark

    ---------------------------



    themy butter



     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×