ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ BNHA/MHA X OC ]SNOWFLAKES

    ลำดับตอนที่ #8 : 07 — USJ (2)

    • อัปเดตล่าสุด 23 ส.ค. 66



    07 — USJ (2)

    CW : การบรรยายถึงอาการบาดเจ็บ , การใช้ความรุนแรงในครอบครัว

     


     

    “เคียวจัง เคียวจังจะเอาแต่นอนไปถึงเมื่อไหร่กันฮึ พี่เรียกหลายรอบแล้วนะ!”

     

    เสียงของพี่? …เป็นไปไม่ได้หรอก พี่น่ะ…

     

    “เฮ้ พี่เรียกนานแล้วน้า รู้หรอกว่าน้องตื่นแล้วน่ะ” สัมผัสอุ่นๆ บนศรีษะ มือที่อบอุ่นของพี่… น้ำเสียงที่แสนคิดถึง 

     

    ความฝันงั้นหรอ…? ถ้านี่เป็นความฝัน…ฉันก็ไม่อยากตื่นเลย คิดถึงพี่จัง

     

    คิดถึงจัง…คิดถึงชะมัด พี่คะ…

     

    “เคียวจัง จะเอาแต่นอนแบบนี้ไม่ได้นะ ตื่นเร็ว น้องมีเรื่องต้องไปทำไม่ใช่หรอ?” มือที่แสนอบอุ่นของพี่ยังคงลูบฉันต่อไป

     

    ถ้าเกิดนี่เป็นความฝัน ถ้าฉันตื่นล่ะก็…พี่ก็จะหายไปไม่ใช่หรือ? ถ้าเป็นแบบนั้นฉันก็ไม่เอาด้วยหรอก…

     

    มีตั้งหลายเรื่องที่อยากจะบอก มีอีกหลายที่ๆ อยากไปด้วยกัน อยากกอดพี่อีก อยากไปกินโมจิด้วยกันอีก อยากไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ริมทะเลด้วยกัน

     

    แต่ทั้งหมดนั่นมันทำไม่ได้อีกแล้ว…พี่ตายแล้วไง เพราะงั้นจะเป็นแค่ฝันก็ได้ ขอให้หนูได้ใช้เวลากับพี่อีกสักหน่อยได้ไหม…?

     

    ‘จะเอาแต่นอนไปถึงเมื่อไหร่เคียวจัง ถ้ายังขี้เซาแบบนี้จะตื่นมาไม่ทันเจออะไรน่าตื่นเต้นนะ?’

     

    ไม่ได้อยากตื่นสักหน่อย ถ้าตื่นมาแล้วไม่เจอพี่…

     

    ‘ไม่เอาน่าเคียวจัง ถ้าตื่นขึ้นมาอาจจะได้เจอพี่ตัวเป็นๆ นะ?’

     

    โกหกทั้งเพ พี่น่ะตายไปแล้ว จะมีชีวิตอยู่ตัวเป็นๆ ได้ยังไง

     

    ‘เอาน่า ลืมตาขึ้นเถอะ เราเคยโกหกเคียวจังด้วยหรอ?’

     

     

    ‘เงียบแบบนี้จะถือว่าตกลงนะ เคียวจัง :-)’

     

    แสงสว่างจ้าบดบังวิสัยทัศน์ไปจนหมด รู้สึกตัวอีกครั้งก็กลับมายืนอยู่ที่ยูเอสเจแล้ว

     

     

     

     

     

     

    ในฐานะที่เขาเป็นฮีโร่อันดับหนึ่งของประเทศ เจอวิลเลินมาก็หลายร้อยแบบ แต่ไม่มีครั้งไหน ที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองถูกต้องจนมุมได้ขนาดนี้

     

    อาจจะเพราะอาการบาดเจ็บของเขา เวลาในการใช้ร่างมัซเซิลฟอร์มเลยน้อยลงมากเลยทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกต้องจนจนมุม? ไม่หรอก เขารู้ดี 

     

    ชายหนุ่มที่สวมโค้ทสีดำ ใส่หน้ากากคิทสึเนะปิดบังใบหน้าตรงหน้าเขาน่ะ ไม่ใช่วิลเลินร้ายกาจธรรมดาทั่วไป ไม่ได้ดูเหมือนเด็กน้อยเหมือนวิลเลินผมสีฟ้าตรงนั้น

     

    การโจมตีแม้ดูเรียบง่ายแต่กลับละเอียดอ่อนจนน่าตกใจ ทุกการโจมตีไม่เปิดช่องว่างให้สวนกลับ ซ้ำยังบีบให้เขาเริ่มตกที่นั่งลำบากมากขึ้น โจมตีที่จุดอ่อนร่างกายอย่างรวดเร็วและแม่นยำ

     

    เขาที่ต้องรับมือกับเจ้าตัวประหลาดที่เด็กชายผมสีฟ้าเรียกมันว่า ‘โนมุ’ ซ้ำยังต้องรับมือกับชายหนุ่มหน้ากากคิทสึเนะตรงหน้านี้ แค่ป้องกันก็เต็มกลืนแล้ว เวลาของร่างมัซเซิลฟอร์มก็น้อยลงเรื่อยๆ

     

    ชายหนุ่มหน้ากากคิทสึเนะกระตุกยิ้ม และออลไมท์เห็นมัน วิลเลินตรงหน้าคงตั้งใจจู่โจมต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่หมายเอาชีวิตเพื่อให้เวลาร่างมัซเซิลฟอร์มเขาหมด?

     

    ออลไมท์กัดฟัน ให้ตายสิ เป็นวิลเลินที่น่ากลัวจริงๆ แต่ในฐานะฮีโร่อันดับหนึ่ง เขาจะมาเสียท่าตรงนี้ไม่ได้หรอก!

     

    มาลุยกันให้ถึงที่สุดกันเถอะ! ก้าวข้ามขีดจำกัด! พลัสอัลตร้า!!

     

     

     

     

     

    คิเคียวเหม่อมองภาพการต่อสู้ของออลไมท์กับเหล่าวิลเลินด้วยแววตาสั่นไหว ตอนที่ถูกปลุกขึ้นมาก็สับสนมึนงงไปพักใหญ่ ความทรงจำช่วงที่ถูกชิงร่างไปก็ไหลกลับมา ทำเอาเธอยืนกุมขมับไปพักใหญ่ๆ

     

    โชคดีที่คราวนี้หล่อนไม่ได้เอาร่างเธอไปทำอะไรไม่ดี แต่โล่งใจได้ไม่นาน การต่อสู้ของฮีโร่อันดับหนึ่งกับก๊วนวิลเลินก็ทวีคูณความตึงเครียดขึ้น

     

    รอบข้างของคิเคียวเต็มไปด้วยความกังวลและความตึงเครียด และที่ดูเครียดกว่าใครคือนายผมสีเขียวใบไม้คนนั้น คิเคียวไม่ได้สนใจมากนัก เพราะคิดว่าอย่างไรอันดับหนึ่งนั่นก็ชนะอยู่ดี

     

    ไม่งั้นพ่อจะเป็นบ้าเป็นบอถึงขนาดทำเรื่องแบบนั้นกับเธอแล้วก็พี่ได้อย่างไร บาดแผลในวัยเด็กของคิเคียวทุกอย่างก็เริ่มมาจากพ่อทั้งนั้น เพราะความอยากเอาชนะงี่เง่าของเขา

     

    เพราะความอยากเอาชนะโง่ๆ นั่น เพราะความอยากสร้างผลงานที่เก่งกล้าของเขา ทุกอย่างเป็นเพราะไอ้เวรนั่นทั้งนั้น

     

    การต่อสู้เบื้องล่างยิ่งตึงเครียดขึ้นไปอีก เมื่อออลไมท์พลาดท่า ถูกดาบคาตานะที่คิเคียวรู้สึกว่าลายมันคุ้นตาแทงเข้าที่ชายโครง

     

    และยิ่งแย่ขึ้นไปอีกเมื่อโนมุตัวใหญ่เหวี่ยงหมัดเขามาจะต่อยซ้ำที่แผลถูกแทง แต่ออลไมท์เอาแขนมากันไว้

     

    เป็นการตะลุมบอนที่ออลไมท์ดูเป็นฝ่ายเสียเปรียบ คิเคียวไม่ได้ใส่ใจเขามากขนาดนั้นอย่างที่ใครคิดหรอก สิ่งเดียวที่รั้งสายตาเธอไว้ไม่ให้ละจากการต่อสู้คือร่างของชายสวมหน้ากากคิทสึเนะต่างหาก

     

    คิเคียวรู้สึกคุ้นเคยกับชายคนนั้นอย่างบอกไม่ถูก ท่วงท่าที่เขาโจมตี มันช่างคล้ายกับคนที่คิเคียวรู้จัก

     

    การต่อสู้ดำเนินต่อไปได้สักพัก กำลังเสริมของยูเอก็มาถึง เหล่าอาจารย์พากันเข้ามาควบคุมสถานการณ์ และเมื่อเหล่าวิลเลินเห็น พวกเขาก็เริ่มล่าถอยกันไป

     

    แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่ชายสวมหน้ากากจะเขาเกตไป คิเคียวรู้สึกได้ว่าเขาหันมามองที่เธอและยิ้มให้

     

    รอยยิ้มที่คุ้นเคย ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา แต่คิเคียวปฏิเสธมัน

     

    ไม่มีทางเป็นพี่ไปได้หรอก พี่ตายไปแล้วนี่นา พี่เซ็ตสึ…

     

     

     

     

     

     

    หลังจากอาจารย์เข้าช่วยเหลือ ตำรวจก็เข้ามาทำการสืบสวนต่อ พวกเราให้ปากคำกันพักหนึ่งก่อนจะแยกย้ายกันกลับ 

     

    พวกเราได้วันหยุดมาก่อนนะกลับไปเรียนอีกครั้ง สำหรับคิเคียวที่ไม่ได้มีเพื่อนสนิทที่ไหนที่ต้องไปแฮงเอ้ากันในวันหยุดก็เอาแต่ฝึกอยู่ที่บ้าน

     

    เปลวไฟสีฟ้าพวยพุ่งออกมาจากใต้เท้าของคิเคียวและแผ่กระจายออกไปเป็นอาณาเขตวงกลมรอบตัวโดยมีรัศมีสิบเมตรมีคิเคียวเป็นจุดศูนย์กลาง 

     

    ใบดาบคาตานะที่ปักอยู่กลางห้องฝึกซ้อมถูกหยิบขึ้นมาจับไว้ในมือ คิเคียวเริ่มใช้อัตลักษณ์ส่งเปลวไฟให้มันอาบใบดาบอีกครั้ง ก่อนจะฟันออกไปจนเกิดคลื่นเปลวเพลิง

     

    ดาบเล่มนี้เป็นดาบที่พี่ชายของเธอสร้างมันขึ้นเป็นของขวัญให้เธอ เพราะสร้างขึ้นจากอัตลักษณ์จึงสามารถทนต่อความร้อนของไฟของเธอได้

     

    มันช่วยเพิ่มความสามารถในการโจมตีของเธอได้อีก 

     

    ใบดาบมีลวดลายสวยงาม ตัวใบดาบมีสีเป็นสีฟ้าดำสวยงาม เหมือนกับสีตาของพี่ชาย

     

    ทุกครั้งยามจับดาบ ราวกับรู้สึกว่าพี่ชายอยู่ข้างกาย 

     

    ไม่รู้ว่าตนเหวี่ยงดาบออกไปกี่ครั้ง ปลดปล่อยอัตลักษณ์ไปแล้วกี่หน สลับใช้อีกอัตลักษณ์ไปกี่ครั้ง

     

    หากตนเองว่าง ความทรงจำที่เลวร้ายก็จะตามหลอกหลอน สุดท้ายก็เลยลงเอยด้วยการฝึกเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อไม่ให้หัวสมองว่างจนคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก

     

    ภาพที่พี่ยิ้มก่อนที่จะจากไปยังคงติดตา ความอบอุ่นของฝ่ามือของพี่ที่แทบจดจำไว้ไม่ได้ ภาพที่พี่ตายท่ามกลางเศษน้ำแข็งมากมาย

     

    เจ็บจัง พอนึกถึงเรื่องวันนั้นก็ปวดหัวอีกแล้ว

     

    คิเคียวยกเลิกการใช้อัตลักษณ์ทั้งหมดก่อนจะทรุดตัวลงนั่งไปกับพื้น อาการปวดหัวกำเริบอีกครั้ง เป็นเช่นนี้ตลอดเวลานึกถึงวันที่พี่ตาย

     

    จะว่าไปเธอก็จำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ไม่แม่นนักหรอก มันขาดๆ หายๆ แต่ที่แน่ใจคือพี่ตายไปแล้ว

     

    แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นที่มั่นใจและจำมันได้แม่น

     

    จู่ๆ อากาศก็เย็นลงแบบเฉียบพลัน ทั้งห้องถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง แม้แต่คิเคียวเองก็เกือบจะถูกแช่เพราะอัตลักษณ์ตัวเอง

     

    “บ้าชะมัด” เผลอแสดงอารมณ์ออกมาอีกแล้ว ว่าแล้วก็ทำใจให้ว่างเปล่าอีกครั้งพร้อมปล่อยอัตลักษณ์ออกมาละลายน้ำแข็ง

     

    “ถ้าปล่อยให้อารมณ์นำเหตุผลละก็แกจะตายงั้นหรอ” หวนนึกถึงประโยคของไอ้แก่นั่นที่เคยบอกเธอครั้งหนึ่งในการฝึกซ้อม

     

    “เหอะ ต่อให้ฉันอยากจะตาย ยังไง‘มัน’ก็ไม่ให้ฉันตายอยู่ดี” 

     

    ใช่แล้วล่ะ ตั้งแต่ที่พี่ตายเธอก็ไม่มีแรงจูงใจจะใช้ชีวิตต่อ แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวที่ยึดเกาะไว้ก็แตกดับไปแล้ว เมื่อแสงแตกดับ เด็กน้อยวัยแปดขวบคนนั้นแตกสลายตามไปด้วยเช่นกัน

     

    ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาไหลออกมาอีกแล้ว ถูกทุบตีและซ้อมเสียจนเหนื่อยจะอ้าปากขอความช่วยเหลือที่ไม่มีใครมาช่วย แม้แต่เสียงร้องแสดงความเจ็บปวดก็ไม่มีอีกต่อไป

     

    จากเจ็บปวดจนชินชาและกลายเป็นการไม่รู้สึกอะไร ราวกับร่างกายปิดประสาทการรับรู้ความเจ็บปวด เพราะแบบนั้นต่อให้จะโดนเผามากขนาดไหน โดนน้ำแข็งกัดมากเพียงใด เธอก็ยังใช้อัตลักษณ์ต่อไปได้โดยไม่รู้สึกอะไร

     

    ภาพคุณพ่อตอนที่รู้ว่าเธอด้านชา ใบหน้าที่เขายิ้มเมื่อรู้เรื่องนี้และฝึกเธอโหดขึ้นไปอีก เธอรู้ดีว่าเขาไม่แคร์เธอหรอก แต่อย่างน้อยสักเสี้ยวนึงในจิตใจเธอก็ยังหวัง หวังให้เขาผ่อนปรนให้เธอบ้าง  

     

    แต่สุดท้ายเขาก็เหมือนเดิม เธอไม่มีวันกลายเป็นมนุษย์ได้ เป็นได้เพียงเครื่องมือเท่านั้น

     

    บาดแผลมากมายตามร่างกาย มันเจ็บไม่เท่าบาดแผลในใจเลยสักนิด

     

    ไม่รู้กี่ครั้งที่เธอตื่นมาแล้วไม่อยากใช้ชีวิตต่อไป ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เริ่มหาหนทางในการหลุดพ้นจากโลกเส็งเคร็งนี่

     

    แต่ราวกับเธอถูกสาป ทุกครั้งที่พยายามจะตาย มันก็หยุดยั้งและฉุดเธอกลับขึ้นมาอยู่บนโลกเส็งเคร็งนี่อีกครั้งเรื่อยไป

     

    ‘มัน’ ที่คุณพ่อใส่ในตัวเธอไม่เคยยอมให้เธอตาย ทั้งๆ ที่เธอปรารถนาความตายยิ่งกว่าสิ่งใด

     

    จนกระทั่งเขาตาย เขายังบอกให้ฉันแบกเอาความฝันงี่เง่าของเขาไปด้วย เขาเยาะเย้ยเธอจนกระทั่งวินาทีสุดท้ายของชีวิตเขา

     

    “แกจะไม่มีวันตาย จนกว่าแกจะพาตัวเองไปทำตามความฝันให้ฉัน” เขาพูดแบบนั้นทั้งๆ ที่กระอักเลือดคำโตออกมาจากปาก แสงในแววตาเริ่มเหือดหาย

     

    “ฉันสร้างแกมา แกเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของฉัน—เพราะงั้นแกจะไม่มีวันได้ทำตามสิ่งที่แกต้องการหรอก ฉันจะ…อยู่กับแกไปตลอดกาล” 

     

    แม้จะสิ้นชีวิตไปแล้ว แต่คำพูดของไอ้แก่นั่นก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะแม้ตัวจะตายไปแล้ว แต่ก็ยังมาหลอกหลอนเธอได้ทุกครั้งยามที่หลับตาลง

     

    แถมเธอเองก็ยังตายไม่ได้สักทีตามที่หวังเลยด้วย…

     

    ให้ตายสิ น่าสมเพชชะมัด

     

     

     

     

     

     

     

    ในบาร์แห่งหนึ่งที่เป็นฐานของสหพันธ์วิลเลิน

     

    ร่างของชายหนุ่มผมสีฟ้าที่ตามตัวมีมือเกาะอยู่นั่งกระดกเหล้าชั้นดีเข้าปาก ผู้ที่รับหน้าที่เป็นบาร์เทนเดอร์คือผู้ใช้อัตลักษณ์วาร์ปเกต ‘คุโรกิริ’ ข้างกายชายหนุ่มผมสีฟ้าอย่าง ‘ชิรากาคิ โทมูระ’ มีร่างของชายที่สวมหน้ากากจิ้งจอกปิดบังครึ่งหนึ่งของใบหน้าอยู่

     

    “โฮ่ย ในการบุกที่ผ่านมาแกจงใจไม่จัดการมันใช่ไหม?” โทมูระเอ่ยถาม

     

    “ไม่นะครับโทมุคุง ผมไม่มีความสามารถพอจะจัดการฮีโร่อันดับหนึ่งหรอกนะ” เสียงทุ้มใสน่าฟังเอ่ย 

     

    “ที่เห็นนั่นผมก็ทุ่มสุดตัวเลยนะ โทมุคุงเองเถอะ ไม่โดนดุใช่มั้ยครับที่เอาโนมุไปแล้วดันเก็บกลับมาไม่ได้” 

     

    “ไม่โดน นายอย่ามาหลอกฉันเลยนะ ‘คิทสึกิ’” คิทสึกิยิ้มกว้าง

     

    “หวา~ โทมุคุงหลอกยากขึ้นอีกแล้ว แย่จัง” เพราะว่าสวมหน้ากากจิ้งจอกปิดไว้ครึ่งหน้าจึงไม่อาจเห็นแววตาได้ชัดเจน แต่โทมูระรู้ดีว่าไอ้หมอนี่มันต้องกวนตีนเขาอยู่แน่

     

    “ว่าแต่เห็นบอกว่าเจอน้องด้วยนี่ครับ เป็นยังไงบ้าง?” คุโรกิริเอ่ยถาม

     

    “ไม่ค่อยดีเลยล่ะ เห็นแล้วน่าคิดบัญชีพวกนั้นชะมัด~” คิทสึกิตอบพลางยักไหล่

     

    ตัวเขาเองก็อยากไปจัดการเจ้าพวกนั้นไวๆ หรอก แต่ต้องคอยชัวร์โทมุคุงไปสักพักใหญ่ เพราะงั้นเรื่องของเขาพับเก็บไปก่อนก็ได้~

     

    ยูเอกับพวกฮีโร่จะมีเรื่องสนุกๆ อะไรอีกกันนะ? เขาตั้งตารอเลยล่ะ

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×