ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ BNHA/MHA X OC ]SNOWFLAKES

    ลำดับตอนที่ #4 : 03 — ปีหนึ่งห้องเอ แผนกฮีโร่ โรงเรียนยูเอ

    • อัปเดตล่าสุด 21 มิ.ย. 66


     

    03 — ปีหนึ่งห้องเอ แผนกฮีโร่ โรงเรียนยูเอ

     


     

    เช้าวันแรกของการไปโรงเรียน , คิเคียวตื่นเช้ากว่าที่คาดไว้สามสิบนาที แม้จะไม่มีความจำเป็นที่ต้องตื่นเช้า แต่ตื่นมาก็ดีจะได้มีเวลาเตรียมตัวเยอะๆ ไม่ต้องรีบร้อนจนพลาดบางสิ่ง

     

    อาหารเช้าวันนี้คือแฮมเบิร์กง่ายๆ ให้พออิ่มท้องมีพลังงานและสารอาหารเพียงพอที่จะใช้ชีวิตครึ่งวันก่อนกินมื้อเที่ยง คิเคียวไม่ได้กังวลอะไรมากเพราะเป็นวันแรกของการเปิดเรียนคงไม่มีอะไรมากนัก จึงไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับการไปเรียน

     

    วันนี้เธอมีนัดไปเอาไวโอลินที่ส่งซ่อมตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อนตอนเช้าก่อนไปเรียน เธอจึงควรออกจากบ้านก่อนเวลาปกติ หากถามว่าเธอเล่นไวโอลินเป็นด้วยหรือ? ขอตอบว่าได้

     

    เพราะมันเป็นงานอดิเรกไม่กี่อย่างในชีวิตของเธอและเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงเธอกับพี่ชายแท้ๆ อีกด้วย

     

     

     

     

    รถไฟฟ้ายามเช้ายังไม่แน่นมากนัก เพราะเวลาตอนนี้ถือว่าเช้ากว่าปกติ จุดหมายแรกคือไปยังร้านเครื่องดนตรีที่เธอเอาไวโอลินไปซ่อม ไปรับไวโอลินมาแล้วค่อยไปยังโรงเรียน แม้จะไม่ค่อยอยากพกไวโอลินไปแต่จะให้กลับมาบ้านเพื่อเก็บมันก่อนแล้วค่อยไปโรงเรียนอาจจะทำให้เธอไปสาย จึงช่วยไม่ได้ที่ต้องหิ้วมันไปด้วย

     

    ได้แต่หวังว่าคงไม่มีใครมาสร้างความรำคาญให้เธอนัก เพราะเธอไม่แน่ใจว่าไม่จัดการคนที่มาทำตัวล้ำเส้นเธอไหม

     

    ใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึงร้านดนตรีที่เธอคุ้นเคย

     

    ร้านดนตรีของคุณลุงโมริโกตะ เธอค่อนข้างสนิทกับคุณลุงเพราะเมื่อก่อนก็เคยถูกช่วยไว้หลายอย่าง ไวโอลินของเธอก็ซื้อจากที่นี่เช่นกัน 

     

    คิเคียวผลักบานประตูเข้าไปภายในร้าน , เสียงกรุ๊งกริ๊งของกระดิ่งที่แขวนไว้กับที่จับประตูส่งเสียงดังเมื่อพวกมันถูกแรงไปกระทบ เป็นสัญญาณบอกแก่เจ้าของร้านว่ามีลูกค้าเข้าร้านมา

     

    ไม่นานลุงโมริโกตะก็ออกมาจากหลังร้าน ไม่ต้องรอให้ใครพูดอะไร คุณลุงทำเพียงยิ้มใจดีอย่างที่เขาชอบทำและหายกลับเข้าไปที่หลังร้านอีกครั้ง ก่อนจะออกมาใหม่พร้อมกับกระเป๋าที่ข้างในบรรจุไวโอลินของเธอเอาไว้

     

    “รักษาไว้เป็นอย่างดีเลยนะ ลุงเปลี่ยนสายให้ตามคำขอแล้ว ราคาเดิมนะ”

     

    คิเคียวยิ้ม หากคนที่รู้จักเธอมาเห็นก็คงจะรู้สึกประหลาด เพราะเธอไม่เคยยิ้มเลยสักครั้งกลับยิ้มออกมาตอนนี้

     

    “ค่ะ เพราะมันคือของขวัญที่พี่เซ็ตสึให้หนูนี่นา”

     

    ลุงโมริโกตะยิ้ม , เขารู้ดีว่าเด็กตรงหน้าเคยอ่อนโยนมากเพียงใด เคยมีรอยยิ้มสดใสมากเพียงใด แต่ทุกอย่างก็เลือนหายไป เขาเห็นเด็กคนนี้มาตั้งแต่เล็กๆ จนตอนนี้เติบใหญ่แล้ว 

     

    เมื่อเวลาผ่านไป คนเราจักเติบโตขึ้น , เด็กตรงหน้าก็เช่นกัน 

     

    แต่เขาก็รู้สึกเศร้าใจที่การเติบโตมันพรากรอยยิ้มสดใสของเด็กคนนี้ไปหมดเสียแล้ว

     

     

     

     

    หลังจากไปเอาไวโอลินที่ร้าน คิเคียวก็ตรงไปโรงเรียนเลยทันที ตอนนี้ยังเช้าอยู่แถมจากที่ร้านก็ไม่ไกลโรงเรียนมากนัก อย่างน้อยๆ เธอน่าจะไปถึงโรงเรียนตอนเจ็ดโมงพอดี

     

    และก็เป็นไปตามที่คาด เธอมาถึงหน้าโรงเรียนยูเอตอนเจ็ดโมงพอดีไม่ขาดไม่เกิน

     

    โรงเรียนยูเอค่อนข้างใหญ่ แต่เธอก็ไม่ได้คิดไว้ว่าประตูหน้าห้องเรียนมันจะต้องสูงขนาดนี้ ขนาดเธอสูง 170 ยังรู้สึกว่าประตูสูงอยู่เลย แต่เมื่อคิดว่าโลกใบนี้มีอัตลักษณ์ คนที่มีอัตลักษณ์ที่ทำให้ร่างเป็นไททันก็คงจะมีอยู่มั้ง การสร้างประตูให้สูงเพื่อไว้คงเป็นการอำนวยความสะดวกแหละ

     

    เธออยู่ห้อง 1-A และตอนนี้ก็มาถึงหน้าประตูแล้ว พอเปิดเข้าไปเท่านั้นแหละ

     

    เจอแต่คนคุ้นหน้าคุ้นตาทั้งนั้น 

     

     

     

     

    เสียงทะเลาะเอะอะของเด็กผู้ชายสองคนกลายเป็นจุดสนใจของเด็กในห้องจนถึงตอนที่ได้เห็นเด็กผู้หญิงเจ้าของเรือนผมสีเงินสวย สวมแว่นตาสีชาทรงหยดน้ำซึ่งมันเข้ากับใบหน้าของอีกฝ่ายมากเปิดประตูเข้ามา ความสนใจก็เทไปหาเด็กคนนั้นกันหมด 

     

    แววตาเย็นชาของเด็กสาวกวาดตามองไปยังทุกคนก่อนจะเริ่มเดินเข้าห้องมา แต่ยังไม่ทันจะเดินไปถึงโต๊ะกลับถูกเด็กผู้ชายที่ทุกคนมองเพียงครั้งเดียวก็รู้ว่านิสัยไม่ดีเอาเสียเลย บวกกับเรื่องเขาทะเลาะกับเด็กผู้ชายที่เอาจริงเอาจังอย่าง ‘อีดะ เทนยะ’ ก่อนหน้านี้ด้วยแล้ว ต้องมีเรื่องเกิดขึ้นแน่นอน นั่นคือความคิดของทุกคนในห้อง

     

    คิเคียวมองเด็กผู้ชายผมเม่นที่เธอจำได้ลางๆ ว่าเห็นเขาในห้องประชุมตอนนั้น ตอนนี้กำลังยืนขวางเธอและใช้สายตามองอย่างหาเรื่อง พร้อมจุดระเบิดในมือให้ได้ยินเสียงประกายไฟ

     

    มันอาจจะน่ากลัว แต่สำหรับคิเคียวที่เจอเรื่องที่น่ากลัวกว่านี้มาแล้ว มันก็เหมือนกับของเด็กเล่น แล้วอีกอย่างหมอนี่มาขวางเธอทำไม?

     

    ไม่ต้องรอให้เธอสงสัยนาน เด็กผู้ชายที่ดูก็รู้ว่าเป็นพวกหยิ่งในศักดิ์ศรีและทรนงในตัวเองมากคนนี้ก็เปิดปากพูด

     

    “เฮ้ย! แกใช่มั้ยวะ!? ที่แย่งที่หนึ่งไปจากฉันน่ะ!!”

     

    มันเป็นเหี้ยอะไรของมัน? เฮ้อ เธอกะไว้แล้วว่าไอ้อันดับหนึ่งนี่มันพาซวยชะมัด

     

    เสียเวลาที่จะต่อปากต่อคำ คนประเภทนี้คิเคียวไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยที่สุด น่ารำคาญโคตรๆ 

     

    “เฮ้ย! ตอบมาดิวะ แกใช่มั้ย!!?”

     

    เธอเบี่ยงตัวเดินผ่านเด็กชายผมฟางไปโดยไม่แม้แต่จะชายตามองหรือฟังเขาพล่ามเลยสักนิด เธอขอย้ำอีกรอบส่าเธอไม่อยากยุ่งด้วย มันเสียเวลาและเสียสุขภาพหู

     

    คนบ้าอะไรพูดตะคอกตลอดเวลา บ้านเปิดบริษัทยาอมแก้เจ็บคอรึไงถึงกล้าตะโกนโหวกเหวกตลอดแบบนั้น

     

    แต่ดูเหมือนเธอจะคิดง่ายเกินไป 

     

     

    บาคุโก คัตสึกิ , รู้สึกโกรธ ยัยผู้หญิงนั่นที่เขาแน่ใจว่าหล่อนคือคนที่ได้อันดับหนึ่งเมินเขา ยัยนั่นไม่แม้แต่จะชายตามองเขา! ทำอย่างกับเขาเป็นไอ้ไร้ค่า (คิดไปเอง เขาแค่ไม่อยากยุ่ง) นั่นทำให้คัตสึกิโกรธ แค่ยัยนั่นมันได้อันดับหนึ่งแทนเขาก็ทำให้เขาโกรธจะแย่อยู่แล้ว ยัยนั่นยังมาเมินเขาอีก!!! 

     

    เขาไม่ใช่ไอ้ไร้ค่าเดกุนะเว้ย!!!!!!

     

     

    บรึ้ม!

     

    “ฉันว่านายควรไปฝึกการควบคุมอารมณ์หน่อยนะ”

     

    คิเคียวหันมามองอีกฝ่ายด้วยสายตารำคาญ 

     

    “ก็โตแล้วนี่นา นายควรมีวุฒิภาวะทางอารมณ์มากกว่านี้นะ ไม่เห็นหรอว่าเสียงระเบิดจากอัตลักษณ์ของนายมันทำให้คนอื่นเขาปวดหูน่ะ”

     

    คิเคียวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยก่อนจะหันหน้ากลับและเดินไปนั่งที่ของตนโดยที่ไม่สนใจบาคุโกอีก

     

    บาคุโก คัตสึกิขอสาบาน เขาจะขยี้ยัยนี่ให้จมดิน

     

     

     

    ความวุ่นวายในห้องดำเนินต่อไปได้ไม่นานก็ถูกขัดจังหวะโดยเสียงของคนที่คิเคียวจำได้ว่าเป็นเสียงของฮีโร่ที่ดูอดนอน 

     

    “ถ้าอยากหาเพื่อนเล่นก็ไปที่อื่น”

     

    ทุกคนหาต้นเสียงอยู่สักพักก่อนจะเจอกับก้อนสีเหลืองๆ ที่พอมองดีๆ มันคือถุงนอนและในนั้นมีคนอยู่

     

    “เอาล่ะ ใช้เวลาไปตั้งแปดสิกว่าจะเงียบ”

     

    ชายที่อยู่ในถุงนอนค่อยๆ เอาตัวเองออกมาจากถุง

     

    “ฉันเป็นอาจารย์ประจำชั้นของพวกเธอ ไอซาวะ โชตะ”

     

    “ฝากเนื้อฝากตัวด้วยล่ะ”

     

    อาจารย์ไอซาวะทักทายด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนที่เขาจะหยิบอะไรบางอย่างที่อยู่ในถุงนอนออกมาโชว์ต่อหน้าเหล่านักเรียนในปกครอง

     

    มันคือ ‘ชุดพละ’ ของโรงเรียน

     

    “อย่าเสียเวลาอีกเลยเถอะ เอานี่ไปใส่แล้วไปที่สนามซะ”

     

    นักเรียนหลักสูตรฮีโร่ชั้นปีหนึ่งห้องเอ ไม่มีเวลาแม้แต่จะตั้งคำถามว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นเลยด้วยซ้ำ

     

     

     

     

    หลังจากที่คิเคียวทนเปลี่ยนชุดในห้องแต่งตัวหญิง ที่เธอถูกจับจ้องจากสายตาผู้หญิงที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นจนเธอรู้สึกอึดอัดมาได้ ตอนนี้เธอมาอยู่ในสนามที่อาจารย์ประจำชั้นนัดไว้แล้วเรียบร้อย ข้างๆ มียาโอโยโรสึอยู่ด้วย 

     

    คิเคียวพึ่งสังเกตเห็นหล่อนตอนที่เดินไปที่นั่ง แต่ตอนนั้นเธอไม่มีอารมณ์ทักทายเลยไม่ได้ทัก อีกฝ่ายมาทักเธอตอนที่เธอเปลี่ยนชุดเสร็จและกำลังจะออกจากห้องแต่งตัว

     

     

    ตอนนี้ทุกคนมาครบแล้ว อาจารญืก็เริ่มอธิบายว่าทำไมถึงให้พวกเรามาที่นี่ ง่ายๆ เลยก็คือ

     

    ‘ทดสอบความเข้าใจในอัตลักษณ์’ ใช้อัตลักษณ์ในการทดสอบสมรรถภาพต่างๆ ทางร่างกาย งั้นสินะ

     

    ไม่รอให้ใครโวยวายมากกว่านี้ อาจารย์ไอซาวะก็เรียกชื่อเธอ

     

    “อากิฮิโระ คิเคียว สอบได้ที่หนึ่งใช่ไหม?”

     

    อย่าพูดบ่อยเลยเถอะ ขอร้องล่ะ ไอ้อันดับหนึ่งเนี่ย

     

    เสียงพูดคุยดังขึ้นเล็กน้อยเมื่อทุกคนรู้ว่าใครเป็นอันดับหนึ่งในการสอบเข้ารอบปกติ แต่มีอยู่คนนึงที่พึมพัมอะไรที่ดูเหมือนจะ ‘รู้มาก’ อยู่คนนึงด้วย

     

    “ตอนมอต้นเธอขว้างซอฟต์บอลได้เท่าไหร่?”

     

    “87 เมตรค่ะ”

     

    อาจารย์ยื่นลูกบอลมาให้พร้อมพูดว่า

     

    “งั้นที่นี้ลองใช้อัตลักษณ์ของเธอขว้างดู”

     

    เธอเดินไปรับลูกบอลมาถือไว้ในมือพลางใช้ความคิด

     

    สำหรับเธอที่รู้จักพลังตัวเองดียิ่งกว่าใคร เธอรู้ดีว่าจะต้องใช้วิธีไหนในการส่งบอลไปให้ไกลที่สุด วิธีที่ดีที่สุดคือการใช้แรงคลื่นลมปะทะเวลาที่เธอใช้อัตลักษณ์สองอย่างพร้อมกัน นั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุด มันจะไปได้ไกลมากจริงๆ แต่เธอไม่ต้องการใช้อัตลักษณ์อีกอันที่นอกเหนือจาก ‘เพลิงโลกันตร์’ 

     

    วิธีที่รองลงมาคือการใช้เพียงแค่อัตลักษณ์เพลิงโลกันตร์ในการขว้าง อาจจะไม่ได้ดีเท่าวิธีแรกแต่ก็ยังไปได้ไกล

     

    ไม่ต้องเสียเวลาคิดให้มากความ เธอเลือกที่จะใช้วิธีที่สอง

     

    “ถอยไปหน่อยเถอะค่ะ มันอาจจะร้อนนิดหน่อยถ้ายืนใกล้แบบนี้”

     

    เธอเอ่ยฑูดกับคนอื่นๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก มันร้อนจริงๆ เพราะมันเป็นไฟสีฟ้านี่นา

     

    เปลวเพลิงลุกท่วมลูกบอลในมือ เธอกำมันไว้ในท่าเตรียมพร้อมขว้างของพิชเชอร์ในกีฬาเบสบอล ก่อนจะขว้างมันออกไปสุดแรงพร้อมใช้ไฟเป็นแรงผลักมันเหมือนกับทุกครั้งที่เธอใช้ทรงตัวและเคลื่อนที่ในอากาศ

     

    ลูกบอลที่เคลือบด้วยไฟสีฟ้าพุ่งออกไปในอากาศด้วยความเร็วสูงท่ามกลางสายตาตกตลึงของเพื่อนร่วมชั้น และมีหนึ่งคนที่ดูจะตกตลึงเป็นพิเศษ เธอรู้จักเขา ลูกชายคนเล็กของครอบครัวโทโดโรกิ หรือครอบครัวของเอนเดเวอร์

     

    ถามว่ารู้จักได้อย่างไร คงตอบได้ว่าเธอเคยมีเพื่อนสนิทที่เป็รลูกของโปรฮีโร่คนนั้น 

     

    เสียงปิ๊บๆ ดังขึ้น อาจารย์ไอซาวะโชว์ระยะการข้างของเธอให้แก่ทุกคนดู

     

    1,200 เมตร หรอ? ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ จะไปให้ไกลกว่านี้ก็ได้แต่เธอไม่เห็นความจำเป็นเลยไม่ทำ

     

    หลังจากทุกคนได้เห็นระยะที่เธอขว้างได้ ก็พูดอะไรที่ฟังแล้วไม่รื่นหูออกมาจนอาจารย์ไอซาวะยิ้มเหี้ยม

     

    “ดี”

     

    “งั้นฉันจะให้คนที่ได้ที่โหล่ในการสอบสมรรถภาพแปดอย่างนี้ จะพิจารณาว่าเป็นคนไร้ความสามารถและไล่ออกก็แล้วกัน”

     

    พออาจารย์พูดแบบนั้นทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบ คิเคียวหลับตาลงพลางถอนหายใจ 

     

    ทำให้ได้เกินค่าเฉลี่ยทุกอันก็พอไม่จำเป็นต้องได้ที่หนึ่งหรือชนะใคร

     

    ท่ามกลางความตื่นตกใจ อาจารย์ไอซาวะก็ยังคงพูดต่อราวกับว่าเขาไม่ได้เห็นความตกใจของเหล่านักเรียน

     

    “จะทำยังไงกับนักเรียนก็เป็นอิสระของอาจารย์”

     

    ไอซาวะ โชตะเสยผมของตัวเองขึ้นพลางยิ้มแสยะ

     

    “ยินดีต้องรับทุกคน นี่แหละคือหลักสูตรฮีโร่ของโรงเรียนยูเอ”

     

    ทุกคนตกตลึงอยู่พักหนึ่งก็ที่เสียงของเด็กสาวแก้มกลมที่คิเคียวจำได้ว่าหล่อนยืนอยู่กับเด็กผู้ชายผมเขียวคนนั้นที่เธอนั่งข้างตอนสอบดังขึ้นประท้วงคำพูดของอาจารย์

     

    “คนที่ได้ที่โหล่จะถูกไล่ออกหรอคะ?”

     

    “นี่พึ่งเปิดเรียนวันแรกเองนี่คะ ไม่สิ ถึงจะไม่ใช่วันแรกมันก็ไม่ยุติธรรมเลยค่ะ”

     

    “ภัยธรรมชาติ อุบัติเหตุครั้งใหญ่ และเหล่าวิลเลินที่เห็นแก่ตัวสามารถเอาภัยพิบัติมาได้ตลอดเวลา”

     

    “ตอนนี้ญี่ปุ่นมันก็เป็นแบบนี้แหละ”

     

    “และคนที่จัดการกับเรื่องเหล่านี้ได้ก็คือฮีโร่“

     

    “ถ้าคิดจะไปนั่งชิลล์ในร้านหลังเลิกเรียนล่ะก็ทำใจไว้เถอะ”

     

    “ตลอดสามปีจากนี้ยูเอ จะเอาแต่ความทรมาณมากให้พวกเธอ”

     

    “พุ่งออกไปให้ไกลกว่านี้สิ พลัส อัลตรา”

     

    “ก้าวข้ามความลำบากอย่างสุดกำลังกันเถอะ”

     

    ฮะๆ ก้าวข้ามความลำบากอย่างสุดกำลังงั้นหรอ? ก็ใช่นั่นแหละนะ ถ้าแค่นี้ผ่านไปไม่ได้ เรื่องการจัดการงานหรือทำหน้าที่จริงในฐานะฮีโร่ก็ไม่ได้ทั้งนั้นนั่นแหละ

     

     


     

    การสอบเป็นไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาประกาศคะแนนแล้ว เธอได้อันดับหนึ่ง (อีกแล้ว) อาจจะเพราะเธอตั้งใจทำให้มันเกินค่าเฉลี่ยทุกอันพอเอามาเฉลี่ยดูเลยออกมาดีกว่าคนอื่น 

     

    ถึงแม้ในการทดสอบจะเกิดความวุ่นวายเล็กน้อยตอนที่นายหัวเขียวขว้างซอฟต์บอลก็เถอะ จู่ๆ นายหัวฟางก็จะพุ่งเข้าไปหาเรื่อง แต่ดีที่อาจารย์ระบับเหตุไว้ได้ พร้อมบอกอัตลักษณ์ตัวเองอย่าง ‘ลบอัตลักษณ์’ ให้แก่นักเรียนรู้ด้วย

     

    บอกตามตรงว่าเธอใช้เวลาส่วนใหญ่ระหว่างรอไปกับการเก็บข้อมูลอัตลักษณ์ของเพื่อนร่วมชั้นก็พบคนน่าสนใจอยู่บ้างอย่าง อาซุย ทสึยุ , จิโร่ เคียวกะ , ฮากาคุเระ โทรุ เป็นสามคนที่คิเคียวค่อนข้างสนใจ อัตลักษณ์น่าสนใจ อาซุยเป็นกบ จิโร่ถ้าประยุกต์ใช้ดีๆ จะเป็นอัตลักษณ์ที่เหมาะในการตรวจจับมาก ฮากาคุเระเป็นการหักเห เธอไม่คิดว่านั่นเป็นการ ‘ล่องหน’ น่าจะเป็นการที่เจ้าตัวหักเหแสงออกมากกว่า เพราะการมองเห็นของคนเรา ถ้าไม่มีแสงไปตกกระทบวัตถุเราก็จะไม่เห็นวัตถุ สำหรับร่างกายของฮากาคุเระก็คงแบบนั้นแหละ

     

    หลังการสอบจบลง พวกเราก็ได้รับอนุญาตให้กลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับห้องเรียนได้

     

    เธอเดินตามหลังกลุ่มนักเรียนหญิงที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นมาเงียบๆ มองดูยาโอโยโรสึผูกมิตรกับเด็กคนอื่นๆ 

     

    เธอไม่ได้เดินใกล้กับกลุ่มเด็กพวกนั้นมากจนเกินไปเลยไม่ถูกลากเข้าไปในวงสนทนา สำหรับเธอแล้ว โลกของเด็กผู้หญิงทั่วไปเป็นโลกที่เธอไม่สามารถเข้าถึงได้

     

    เธอสูญเสียความสดใส ความเป็นเด็กไปหมดแล้ว เพราะงั้นเธอจึงหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมกับเด็กในรุ่นเดียวกัน มันคงไม่สนุกนักหรอกที่ตัวเองไม่รู้ว่าคนอื่นเค้าคุยอะไรกัน และมันคงเป็นการลำบากเพื่อนคนอื่นด้วย

     

    คิเคียวมองดูรอยยิ้มของยาโอโยโรสึแล้วก็ได้แต่คิด เธอยินดีกับหล่อนนะที่หล่อนมีเพื่อนอย่างที่หล่อนอยากจะมีได้แล้ว เพื่อนที่หล่อนสามารถพูดคุยเรื่องเด็กผู้หญิงทั่วไปได้ เพื่อนที่ไม่เห็นว่าหล่อนเป็นลูกสาวของตระกูลดังและพยายามตีสนิท เพื่อนในแบบที่หล่อนอยากมีมาตลอดน่ะ 

     

    รอยยิ้มของเด็กสาววัยรุ่นทั่วไปแบบนั้น คิเคียวก็อยากให้มันไม่จางหายไปเมื่ออีกฝ่ายโตขึ้นเลย

     

     

     

     

    หลังจากที่เปลี่ยนชุดเสร็จทุกคนก็กลับไปที่ห้องกันเริ่มเก็บของกลับบ้านกัน กลุ่มนักเรียนหญิงที่นัดกันจะไปร้านเค้กด้วยกันเพื่อสร้างความสนิทสนมและรู้จักกันมากขึ้นก็กำลังเดินคุยกันลงมาจากตึกเรียนด้วยเช่นกัน

     

    ยาโอโยโรสึ โมโมะ รู้สึกว่าวันนี้ทั้งวันคิเคียวซังดูเหมือนจะหลบหน้าเธออยู่ ตอนที่เข้าไปทักก็ตอบกลับก็จริงแต่หลังจากนั้นก็เว้นระยะห่างกับเธอแบบแปลกๆ เธอทำอะไรผิดหรือเปล่านะ?

     

    ตอนที่ไปที่ห้องก็ไม่อยู่แล้วด้วยหรือว่าคิเคียวซังจะน้อยใจเรื่องที่เธอมีเพื่อนใหม่

     

    ไม่ นั่นเป็นไปไม่ได้แน่นอน แต่งั้นทำไมล่ะ?

     

    ระหว่างที่คิดฟุ้งซ่านในหัวและคุยโต้ตอบกับคนอื่นๆ ที่เดินมาด้วยกันอยู่ก็ได้เสียงเสียงไวโอลินดังขึ้นไม่ไกลจากที่เธออยู่นัก

     

    เป็นจิโร่ซังที่ทักขึ้นก่อน

     

    “นี่มันเสียงไวโอลินนี่?”

     

    “ใครเล่นกันนะ? เสียงเพราะมากเลย”

     

    พวกเรามองหน้ากันสักพักก่อนจะตัดสินใจเดินตามหาเสียง และไม่นานก็พบ

     

    คนที่เล่นไวโอลินคือคิเคียวซัง

     

     

     

    คิเคียวแค่อยากทดลองเล่นดูนิดหน่อยว่าต้องปรับตรงไหนไหม เธอแค่ยังไม่อยากกลับบ้านเท่านั้นเลยจะลองเล่นดูก่อนที่นี่สักหน่อย ถ้ามันไม่โอเคตรงไหนจะได้ไปร้านคุณลุงโมริโกตะเลย เพราะจากโรงเรียนไปร้านก็ใกล้กว่าจากบ้านไปร้านอยู่ดี

     

    พอได้ทดลองเล่นก็พบว่ามันใช้ได้เลย สุดยอดเลยจริงๆ คุณลุงโมริโกตะ

     

    เล่นไปได้อีกนิดหน่อยให้หายอยาก พอกำลังจะเก็บไวโอลินลงกล่องก็ได้ยินเสียงทักขึ้น

     

    “คิเคียวซังเป็นคนเล่นหรอคะเพลงเมื่อกี้?”

     

    เป็นยาโอโยโรสึที่ทัก ดูเหมือนว่าหล่อนจะมาพร้อมกับเด็กผู้หญิงที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นของเธอด้วย

     

    “ใช่ ทำไมหรอ?”

     

    “เปล่าค่ะ แค่มันเพราะมากเลยค่ะ”

     

    “อืม ขอบคุณ”

     

    เธอพยักหน้าขอบคุณ ก่อนจะหันกลับไปเก็บไวโอลินลงกล่อน ล็อคเก็บเรียบร้อยก่อนจะเตรียมออกจากโรงเรียน ก่อนที่จะได้เดินแยกออกไปก็ถูกเรียกไว้เสียก่อน

     

    “คิเคียวซังคะ!”

     

    “?”

     

    “คราวหน้าช่วยเล่นให้ฟังได้ไหมคะ?”

     

    เธอหลับตาลง 

     

    “ถ้ามีโอกาศ”

     

    พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินออกจากโรงเรียนไป

     

     

    การเรียนวันแรกจบลงแล้ว

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×