คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : [ Qian x Hong ] Love Rain : 3
- 3 -
เช้าวันต่อมา...
หลังจากที่ฝนตกลงมาอย่างหนักในตอนเย็นของเมื่อวาน
ท้องฟ้าในวันนี้ก็ดูสดใสกว่าเมื่อวานเป็นอย่างมาก
จื่อฮงมองไปยังขอบฟ้าสีทองอร่ามที่อยู่ไกลแสนไกล โดยที่มีแดดอ่อนๆ ในยามเช้า
สาดแสงกลับมาทักทายตัวเขาที่ยืนอยู่หน้าประตูรั้วของโรงเรียน หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เลิกเหม่อมองท้องฟ้า
แล้วเดินเข้าไปในโรงเรียน โดยจื่อฮงเลือกที่จะเดินไปนั่งอยู่เงียบๆ
คนเดียวที่สวนหลังโรงเรียน ดีกว่า... นั่งที่โรงอาหารหรือขึ้นไปอยู่บนห้องเรียน
เพราะว่าจื่อฮงไม่ชอบสถานที่ที่มีคนเยอะๆ มันทำให้รู้สึกอึดอัด เวลาที่ต้องนั่งอยู่ท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาและฟังเสียงพูดคุยซุบซิบโน้นนี้นั้น
ดังเซ็งแซ่อยู่รอบๆ ตัว ถ้าต้องเป็นแบบนั้น... เขาขอเลือกมานั่งเหงาๆ
อยู่คนเดียวแต่สงบคงจะดีกว่า!
จื่อฮงนั่งอยู่บนเก้าอี้ม้าหินอ่อนในสวนหลังโรงเรียน
บริเวณรวบๆ เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสันและต้นไม้ขนาดเล็ก
แต่ก็ยังมีต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งระหง่านอยู่ในสวนและคอยแผ่กิ่งก้านเพื่อบดบังแสงแดดไม่ให้ส่องลงมามากจนเกินไป
ในขณะที่จื่อฮงกำลังนั่งอยู่คนเดียวนั้น
เขาก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนกำลังเดินมาแถวนี้ เขาหันไปมองที่ต้นเสียง ก็พบว่า ‘จุนไค’ กำลังเดินมาตรงนี้
ตรงที่เขานั่งอยู่
ตาของจื่อฮงเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย
ขณะที่จุนไคกำลังเดินมา จื่อฮงรีบหมุนตัวไปอีกทางเพื่อหลบหน้าอีกฝ่าย
แต่ทันใดนั้นเอง เสียงของจุนไคก็ดังขึ้นในความเงียบทันที
“ ไม่ต้องหันหน้าหนีหรอก ฉันรู้.. ว่านายเห็นฉันแล้ว
”
“…” จื่อฮงได้ยินเสียงของจุนไคแล้ว
แต่ยังไม่ยอมหันหน้ากลับไปหาอีกฝ่าย จื่อฮงแกล้งทำเป็นนั่งนิ่งๆ ไม่ตอบ ไม่สนใจ
เหมือนกับว่า..จุนไค ไม่มีตัวตนอยู่ในโลก
นั้นก็เพราะ.. ก่อนหน้านี้ จุนไคก็ทำเหมือนกับว่า..จื่อฮงไม่มีตัวตนอยู่ในโลกเช่นกัน แต่ทำไมวันนี้เขาถึงต้องเดินมาทัก ‘คนที่เคยรู้จัก’ อย่างจื่อฮงล่ะ ?
“ ฉันก็ไม่ได้อยากมารบกวนนายหรอกนะ
” จุนไคกล่าว
“ มีอะไรล่ะ ” จื่อฮงถาม
ตอนนี้เขาไม่เข้าใจจุนไคจริงๆ ‘ถ้าไม่อยากรบกวน
แล้วจะมาให้เห็นหน้าทำไม’ มัน ‘ปวดหัวใจนะ’ มันปวดใจมากจนเขาแทบอยากจะร้องไห้ออกมา ทุกครั้งที่จุนไคกับเขาเจอกัน
แต่ต้องทำเป็นเหมือนคนไม่รู้จัก ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงรู้สึกแบบนี้ แต่ทว่าตอนนี้ มันกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น
อีกแล้ว
“ เปล่า แค่จะมาบอกว่า
ถ้ามีใคร..ถามเรื่องของเรา นายห้ามบอกอะไรใครเด็ดขาดนะ ตอนนี้ฉันรู้
ว่าไอ้เซียนซีมันกำลังตามสืบเรื่องของฉันอยู่ นายอย่าเผลอบอกอะไรไปล่ะ ”
“
ฉันบอกไม่ได้หรอก.. เพราะฉันไม่เคยคิดจะจำมันเอาไว้ในสมอง ” จื่อฮงตอบ
อย่างไม่แคร์ความรู้สึกของอีกฝ่าย
ทำไมจะต้องไปแคร์ในเมื่ออีกฝ่ายก็ไม่แคร์เขาเหมือนกัน
แล้วอีกอย่างเขาก็ลืมมันไปแล้วจริงๆ ถึงแม้ว่ามันจะเคยเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข
หลังจากที่จื่อฮงพูดจบแล้ว จุนไคก็เดินจากไปโดยไม่กล่าวลาสักคำ
คงเหลือเพียงแต่
จื่อฮงที่ยังนั่งอยู่อย่างเดียวดายอยู่กับความรู้สึกเก่าๆ
ที่เวียนวนกลับมาหาอีกครั้ง แต่จื่อฮงก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าเท่าใดนัก เขารู้สึกเฉยๆ
กับอีกฝ่ายมากกว่า นี้ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงร้องไห้ไปแล้วแน่ๆ
แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าเขาเป็นคนใหม่ คนใหม่ที่หัวใจเข้มแข็งมากกว่าเดิม
จื่อฮงหันหน้าไปมองจุนไคที่เดินไปจนลับสายตาก่อนจะเดินออกไปจากสวนหลังโรงเรียนเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
เขาเดินไปเรื่อยๆ จนไปถึงโต๊ะไม้สีน้ำตาลแก่ที่อยู่ใต้อาคารเรียน
แล้วเขาก็เห็นเซียนซีกำลังนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่คนเดียว
ในใจของจื่อฮงอยากจะเดินเข้าไปทักเซียนซี แต่ทว่าร่างกายกลับไม่ยอมแม้แต่จะขยับปลายเท้าให้ก้าวออกไป
เขาจึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง
จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจก้าวเท้าออกไปหาเซียนซีอย่างช้าๆ
โดยที่เซียนซีไม่รู้เลยว่าจื่อฮงกำลังจะเดินเข้าไปหา
ขณะที่จื่อฮงกำลังเดินเข้าไปใกล้เซียนซี จื่อฮงรู้สึกว่าทุกๆ อย่างรอบตัวอยู่ในโหมดสโลโมชั่น
สิ่งต่างๆ ดูเคลื่อนไหวช้าลง แต่ทว่าหัวใจของเขากลับเต้นแรงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
กึก.. กึก.. เสียงของฝีเท้าที่กำลังก้าวออกไป
ตึก.. ตึก.. กับเสียงหัวใจที่กำลังสั่นระรัว
เสียงหัวใจของจื่อฮงเต้นดังขนาดนี้ไม่รู้ว่าเซียนซีจะสามารถรู้สึกถึงมันได้หรือเปล่านะ
กึก.. กึก..
ตอนนี้จื่อฮงกำลังเดินเข้าไปใกล้เซียนซีมากขึ้น
จนเหลือระยะห่างอีกเพียงไม่กี่ก้าวจื่อฮงก็จะยืนอยู่ตรงข้างหน้าเซียนซีพอดี
แต่มันคงไม่เป็นแบบนั้น..
“ เฮ้ย! ไอ้เซียนซี หวัดดีๆ
” เสียงทักทายจากเพื่อนของเซียนซี
ทำให้จื่อฮงที่กำลังจะเดินเข้าไปต้องหยุดชะงักฝีเท้าอย่างกะทันหัน
“ หวัดดี ” เซียนซีเงยหน้าขึ้นจากหนังสือการ์ตูนก่อนจะทักทายตอบเพื่อนของเขาที่เดินเข้ามาหา
“ เออ.. ทำการบ้านเสร็จยัง ขอลอกหน่อย ” เพื่อนของเซียนซีถาม แล้วหลังจากนั้น
เซียนซีก็คุยกับเพื่อนต่อโดยไม่ทันได้หันมามองจื่อฮงที่ยืนอยู่เลย
เมื่อจื่อฮงเห็นว่าคงไม่สะดวกที่จะเข้าไปทักทาย
เขาจึงเลือกที่จะเดินจากไปอย่างเงียบๆ แล้วหลังจากนั้น
จื่อฮงกับเซียนซีก็ยังไม่ได้เจอกันอีกเลย เพราะทั้งสองเรียนคนละห้องกัน
จนกระทั้งถึงเวลาพักกลางวันที่นักเรียนส่วนใหญ่มักจะลงไปทานข้าวที่โรงเรียนอาหารแต่จื่อฮงกลับไม่ได้ไปนั่งทานข้าวที่โรงอาหารเหมือนเด็กคนอื่นๆ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่หิวนะ แต่ก็อย่างที่บอก
เขาไม่ชอบที่ที่มีคนเยอะๆ
เขาจึงเลือกที่จะซื้อแซนด์วิชมาจากโรงอาหารแล้วขึ้นมานั่งกินบนห้องเงียบๆ คนเดียว
ในขณะที่จื่อฮงกำลังกินแซนด์วิชอยู่คนเดียวนั้น
ประตูห้องเรียนของเขาก็ถูกเปิดออกพร้อมกับการมาของใครบางคน..
“ เฮ้! หวัดดี
”
เซียนซีเดินเข้ามาในห้องแล้วทักทายจื่อฮงด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
“ หวัดดี มีอะไรรึเปล่า
ทำไมมาหาถึงห้องเรียนล่ะ? ”
“ ต้องมีธุระด้วยหรอ? ถึงจะมาหาได้ ” เซียนซีถาม
“ แล้วนายมาที่ห้องเรียนฉันทำไมล่ะ? ” จื่อฮงตอบ
“ ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่จะเอาร่มที่ยืมไปมาคืนเฉยๆ
” เซียนซีตอบ แล้วยื่นร่มคืนให้จื่อฮง
“ แค่นี้ใช่ไหม ธุระของนาย ”
จื่อฮงถามแล้วกินแซนด์วิชแฮมชีสต่อ
“ จริงๆ แล้ว ฉันยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลย ” เซียนซีบอก
“ ทำไมไม่รีบลงไปกินล่ะ เดี๋ยวที่นั่งก็เต็มหมดหรอก ”
“ ก็ฉันยังไม่อยากลงไปนี้ นายจะว่าอะไรไหม
ถ้าฉันจะขอกินแซนด์วิชกับนาย ”
“ เฮ้ย! ไม่ได้ๆ ”
จื่อฮงบอกพลางทำสีหน้าตกใจแล้วยกกล่องที่ใส่แซนด์วิชหนีเซียนซีที่ทำท่าจะเข้ามาแย่งกิน
“ ขอกินชิ้นเดียวเอง ทำเป็นงกไปได้ ”
“ ไม่ได้งกหรอก แต่ไม่อยากแบ่งใคร โดยเฉพาะนาย ” จื่อฮงบอกแล้วเบือนหน้าหนีไปจากเซียนซี
“ ทำไม งอนเรื่องเมื่อเช้าหรอ ? ”
“ เรื่องเมื่อเช้า ? ”
จื่อฮงถามกลับพลางทำหน้างง
“ ก็ตอนที่นายจะเดินเข้ามาทักฉัน
แต่ฉันไม่ได้ทักตอบเพราะคุยกับเพื่อนอยู่ไง ”
“ ถ้าเรื่องนั้น ฉันไม่ได้งอนสักหน่อย
แล้วทำไมนายถึงคิดว่าฉันต้องเดินเข้าไปทักด้วย
บางทีฉันอาจจะแค่เดินผ่านไปแถวนั้นก็ได้ ”
“ ไม่ต้องมาโกหกเลย ฉันรู้ว่านายตั้งใจเดินเข้ามาทัก
แต่เพื่อนฉันดันมาขัดซะก่อน ”
“ ฉันก็เลยไม่อยากเข้าไปรบกวนนายไง ” จื่อฮงตอบ พร้อมกับแอบบ่นในใจว่า ‘เกลียดจริงๆ
คนรู้ทันเนี่ย’
“ โอเค แต่ถ้าวันหลังนายเจอฉันก็อย่าลืมทักทายกันบ้างนะ
”
“ ทำไม? นายต่างหากต้องทักฉันก่อน
ฉันไม่ชอบทักใครก่อน เข้าใจไหม ”
คำตอบของจื่อฮงอาจทำให้คนอื่นคิดว่าเขาเป็นคนหยิ่ง
ไม่สนใจที่จะผูกมิตรกับใคร ทั้งที่จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่แบบนั้นเลย
แต่เป็นเพราะว่าเขา ‘ขี้อาย’ ต่างหาก
“ แล้วทำไม ถึงไม่ชอบล่ะ ” เซียนซีถามพลางทำหน้าสงสัย
ไม่ชอบทักใครก่อน หยิ่ง ชะมัด
“ เอาตรงๆ เลยนะ ” จื่อฮงบอก
แล้วหันหน้าไปหาเซียนซี ก่อนจะพูดในสิ่งที่เขาไม่เคยบอกกับใครมาก่อน
“ ฉันกลัว ”
“ ห๊ะ! ” เซียนซีอ้าปากอ้างกับคำตอบอันน่าฉงนของอีกฝ่าย
“ มันอาจจะฟังดูแปลกๆ นะ แต่ฉันกลัวว่า
ถ้าทักคนอื่นแล้ว ฉันจะชวนคุยยังไงดี จะสร้างความประทับใจให้อีกฝ่ายยังไงดี
ถ้าทักแล้วเขารำคาญ เขาไม่อยากคุยจะทำยังไงดี ฉันจึงคิดว่า...
ถ้าการจะทักใครสักคนมันลำบากขนาดนี้ ไม่ทักซะยังจะดีกว่า ”
“ โห้!
ดราม่าซะยิ่งกว่าละครน้ำเน่า นายแต่งเรื่องขึ้นมาหลอกฉันป่ะเนี่ย ”
“ เฮ้ย
ไม่ตลกนะ นี้เรื่องจริง ”
“ โอเคๆ ฉันเชื่อก็ได้ ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่าอะไรที่ทำให้นายคิดว่าการทักคนอื่นก่อนมันเป็นเรื่องน่ากลัว
แต่ฉันจะบอกนายเอาไว้ว่า.. ‘ถ้าเรากลัวที่จะทักคนอื่นก่อน
คนอื่นเขาก็กลัวที่จะทักเราก่อนเหมือนกัน’ นายคงไม่ปฏิเสธใช่ไหม
ว่าปกติแล้วนายเองก็ไม่ค่อยมีเพื่อนเข้ามาทักทายเท่าไร ”
“ ก็ใช่ ” เสียงตอบเบาๆ ของจื่อฮง ทำให้เซียนซีหันมามองที่หน้าเจ้าของเสียงนั้น
แล้วใช้มือทั้งสองข้างจับที่บ่าของจื่อฮง ก่อนจะเขยิบตัวเข้ามานั่งใกล้ๆ จื่อฮง
แล้วจึงพูดว่า
“ การจะทักใครสักคนหรือทำความรู้จักกับใครสักคน
มันไม่ใช่เรื่องยาก มันไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ขอแค่นายมีความจริงใจให้อีกฝ่าย
มีน้ำใจกับอีกฝ่าย ไม่ใช่คิดถึงแต่ตัวเองแค่นี้ก็พอแล้ว ”
พูดจบเซียนซีก็ยิ้มออกมา เขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้จื่อฮงเล็กน้อย ก่อนจะมองลึกลงไปในดวงตากลมโตของอีกฝ่าย ภายในดวงตาของเซียนซีที่จ้องมองมายังจื่อฮงนั้น เขาได้ส่งความรู้สึกบางอย่างผ่านมันมาด้วย ซึ่งความรู้สึกนั้นก็คือ ‘ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะคอยเป็นกำลังใจให้นายเสมอ’
เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกถึงมันได้ไหม
แต่ความรู้สึกนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในใจของเขาจริงๆ
“ ขอบใจ นายมากนะ ที่คอยให้กำลังใจฉัน ”
“ ไม่เป็นไร ฉันยินดีช่วยเหลือนายเสมอ เพราะตอนนี้
เราเป็นเพื่อนกันแล้วนี้” เซียนซีบอกแล้วยิ้มกว้างจนแย้มปริ
ก่อนจะหยิบแซนด์วิชในกล่องของจื่อฮงขึ้นมากิน
“ เฮ้ยย!! หยิบของคนอื่นโดยไม่ขออนุญาต
มันเสียมารยาทนะ ” จื่อฮงบอกเซียนซี
แต่เซียนซีกลับไม่สนใจเอาแต่กินแซนด์วิชอย่างเอร็ดอร่อย
“ เราเป็นเพื่อนกันนะ ทำเป็นงกไปได้ ฮ่าๆ ” เซียนซีตอบจื่อฮง ด้วยรอยยิ้มปนเสียงหัวเราะของตัวเอง
“ ไม่ได้งก แต่ถึงจะสนิทกันแค่ไหน
ก็ควรรักษามารยาทต่อกันไว้เสมอ อีกฝ่ายจะได้ไม่เสียความรู้สึก
มิตรภาพจะได้อยู่ได้นานๆ ไง ”
“ ฮ่า ฮ่าๆ ไม่อยากเชื่อเลย
ว่านายจะเป็นฝ่ายพูดคำนี้กับฉัน ใครกันนะ ปิดประตูใส่หน้าฉันแล้วไม่คิดจะขอโทษ ”
เซียนซีพูดไปหัวเราะไป
“ แต่ฉันขอโทษไปแล้วนะ ” จื่อฮงตอบเสียงเบา
ลึกๆ แล้วเขายังรู้สึกแย่กับเหตุการณ์ในวันนั้นอยู่ เซียนซีไม่น่าพูดถึงมันเลย
“ โอเคๆ แค่แซวเล่นเฉยๆ แซนด์วิชของนายอร่อยมากเลย
ฉันขอกินอีกนะ ” เซียนซีพูดแล้วหยิบแซนด์วิชอีกชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่ออกมาจากในกล่อง
“ เฮ้ย! พอเลยๆ
นี้มันชิ้นสุดท้ายแล้วนะ ของฉันแท้ๆ ฉันได้กินแค่ชิ้นเดียวเอง แต่นายแย่งไปกินฟรีๆ
แล้ว ตั้งสองชิ้น ” จื่อฮงบ่น
“ อ่ะๆ โทษที งั้นชิ้นนี้ฉันให้นายกินไปเถอะ ” เมื่อเซียนซีพูดจบ
จื่อฮงจึงเอื้อมมือไปคว้าแซนด์วิชชิ้นสุดท้ายที่เซียนซีถืออยู่
แต่เมื่ออีกฝ่ายกำลังจะคว้ามันไปได้ เซียนซีก็ยกมือข้างนั้นแล้วชูขึ้นหนีจื่อฮง
“ สรุปว่าฉันจะได้กินแซนด์วิชไหมเนี่ย ” จื่อฮงบ่น แล้วยู่ปากพลางทำหน้าเซ็งๆ ใส่อีกฝ่ายแต่มันก็ยังดูน่ารักอยู่ดี
“ นายได้กินแน่ แต่มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกันสักหน่อย
” เซียนซีตอบแล้วยิ้มมุมปาก
“ แค่กินแซนด์วิช ยังต้องมีข้อแลกเปลี่ยนอีกหรอ
”
“ นายต้องให้ฉันป้อนแซนด์วิชให้นาย โอเคไหม? ” เซียนซีบอกข้อเสนอของตนเองให้อีกฝ่ายฟัง จริงๆ แล้ว
เขาไม่ได้มีจุดประสงค์ไม่ดีกับอีกฝ่ายหรอก ก็แค่อยากแกล้งเล่นๆ เท่านั้นเอง
“ ไม่ต้อง!! ฉันกินเองได้ ”
“ งั้นก็อดไป ” เซียนซีตอบ
แล้วทำท่าจะกินแซนด์วิชชิ้นสุดท้ายที่ตนถืออยู่
“ เดี๋ยวๆ ฉันยอมให้นายป้อนก็ได้ ” จื่อฮงจำต้องยอมอีกฝ่าย เนื่องจากตอนกลางวันที่ผ่านมานี้
เขาแทบจะยังไม่ได้กินอะไรเลย
“ ดีมาก พูดง่ายๆ แบบนี้ก็ได้กินไปตั้งนานแล้ว ฮ่าๆๆ
” หลังจากที่พูดจบ เซียนซีก็ยกแซนด์วิชขึ้นมาป้อนให้จื่อฮง อีกฝ่ายจึงค่อยๆ
กินแซนด์วิชที่เซียนซีกำลังป้อนให้
และในขณะที่กำลังป้อนแซนด์วิชกันอยู่นั้น
ใบหน้าของทั้งคู่ก็อยู่ใกล้กันมากขึ้น จนมันเป็นผลทำให้หัวใจดวงน้อยของจื่อฮงเริ่มสั่นไหว เมื่อได้อยู่ใกล้กันสองต่อสอง ในสถานที่ที่ไม่มีใครเห็น มีแต่ฉันกับเธอ
แค่เราสองคน
บรรยากาศโดยรอบสงบเงียบ ไร้ซึ่งเสียงรบกวนใดๆ
มีเพียงแค่เสียงหัวใจที่กำลังเต้นโครมคราม
เมื่อเธอเข้ามาใกล้เกินกว่าที่หัวใจของฉันจะสามารถต้านทานต่อความรู้สึกหวั่นไหวที่เกิดขึ้นระหว่างสองเรา
แต่ทันใดนั้นเอง..
เสียงเปิดประตูของห้องเรียนก็ดังขึ้นเสียก่อน
จึงทำให้ทั้งสองต้องหยุดกิจกรรมที่กำลังทำ
เพราะนี้เป็นสัญญาณเตือนว่ากำลังมีคนเข้ามาในห้อง
“ พวกเธอทำอะไรกันนะ ” เซียนซีที่กำลังป้อนแซนด์วิชให้จื่อฮงต้องชะงักมือให้หยุดสิ่งที่กำลังทำในทันที
เมื่อเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาในห้องคือ ‘หวังหยวน’
“ หยวน
” เซียนซีเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมา
ก่อนจะวางแซนด์วิชที่ป้อนจื่อฮงไว้ในกล่อง แล้วทำท่าจะเดินเข้าไปหาแต่หวังหยวนกลับวิ่งหนีเซียนซีออกไปข้างนอกห้องเรียน
“ หยวนหยุดก่อน ฟังที่ฉันพูดก่อน ” เซียนซีบอกพร้อมกับวิ่งตามหยวนออกไป
“ พอเถอะ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น
” หวังหยวนหยุดวิ่ง แล้วยืนหันหลังพูดกับเซียนซี
“ หยวน ฉันขอโทษ ให้โอกาสฉันอีกครั้งนะ ” เซียนซีพูดแล้วเดินเข้าไปใกล้หวังหยวนก่อนจะเอื้อมมือไปจับข้อมืออันเรียวเล็กของอีกฝ่ายเบาๆ
แต่ก็ถูกหวังหยวนสะบัดออกอย่างแรง
“ พอ !!! ฉันบอกให้พอไง
หยุดทำแบบนี้กับฉันได้แล้ว ” หวังหยวนตะโกนออกมาเสียงดังจนเสียงนั้นดังก้องไปทั่วบริเวณ
ทำเอาจื่อฮงที่แอบยืนดูสถานการณ์อยู่หลังกำแพงของห้องเรียน
แทบจะหูแตกกับเสียงของหวังหยวน ถ้าให้จื่อฮงเดา พวกเขาสองคนเหมือนคู่รักที่กำลังเข้าใจผิดแล้วทะเลาะกันเลย
แต่เรื่องจริงเป็นยังไง ใครจะรู้... บางทีสิ่งที่เห็น อาจจะไม่ใช่ความจริงเสมอไป
“ หยวนฉันรักนายนะ
” เซียนซีพูดคำนั้นออกมาทั้งน้ำตา ทำเอาจื่อฮงตกใจจนแทบจะหัวใจวาย
นี้สรุปว่าพวกเขาเป็นแฟนกันใช่ไหม
“ เซียนซีนายลืมไปแล้วหรอ ” หวังยวนถามเซียนซี
“ ลืมอะไร ” เซียนซีถามพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา
“ ฉันกับนาย ... ” หยวนพูดแล้วหยุดพักไป
ทำเอาจื่อฮงที่ยืนแอบฟังอยู่รู้สึกลุ้นแทบบ้า ว่าหวังหยวนกำลังจะพูดอะไรกับเซียนซี
“ ฉันกับนาย ... เราเลิกกันไปแล้วนะ ”
“ ไม่จริง ฉันไม่มีวันยอมรับว่าเราเลิกกันเด็ดขาด ”
เซียนซีพูดออกมาทั้งน้ำตาที่ไหลพราก แล้วส่ายหน้าเบาๆ
เป็นการสื่อว่าเขาจะไม่มีวันยอมรับความจริงที่เกิดขิ้น
“ เราเลิกกันไปเดือนกว่าๆ แล้วนะ นายจำไม่ได้หรอ ”
“ ไม่ ฉันยังรักนายอยู่ ” เซียนซีตอบหยวน
ทำให้จื่อฮงที่ยืนแอบมองดูเหตุการณ์อยู่ รู้สึกใจหายวาบเลยที่เดียว
การที่เซียนซีไม่ยอมรับว่าเลิกกับแฟน แล้วจินตนาการไปเองว่ายังรักกันอยู่
ไม่เพี้ยนก็บ้า แล้วทำไมเขาถึงเป็นได้ขนาดนั้น... มันเพราะอะไรกัน...
“ โอ้ย!
ฉันหมดความอดทนกับนายแล้วนะ ” หยวนโวยวายใส่เซียนซี
ส่วนอีกฝ่ายก็ได้แต่ร้องไห้ออกมา
“ ฉันยอมเลิกกับนายก็ได้ ” เซียนซีปาดน้ำที่เปรอะเปื้อนอยู่บนแก้มออก
”
“ ดี เราต่างคนต่างไปในทางของตัวเองน่ะ ดีแล้ว ” หยวนตอบ
“ แต่ช่วยบอกเหตุผลมาได้ไหม
ว่าทำไมนายถึงอยากเลิกกับฉัน ”
“ ฉันมีคนใหม่แล้ว ”
หยวนพูดออกมาหน้าตาเฉยโดยไม่คิดจะสนใจความรู้สึกของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
ว่าเขาจะเจ็บปวดแค่ไหน
“ ใคร? ”
เซียนซีถามพร้อมกับจ้องเขม็งไปที่หน้าของหวังหยวน เพื่อรอฟังคำตอบ
“ เขาก็คือ... ”
หยวนพูดออกมายังไม่ทันจบประโยคก็หยุดไป ก่อนจะตอบว่า
“ ฉันไม่บอกดีกว่า เพราะถึงบอกไปก็ใช่ว่าฉันจะกลับไปหานาย
” หยวนพูดจบ
ก็เดินเข้ามาใกล้เซียนซีก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งจับที่ไหล่ของเขา
แล้วโน้มหน้าลงมาที่ข้างหูของเซียนซีหลังจากนั้นก็กระซิบเบาๆ ว่า ...
“ บางเรื่องถ้ารู้แล้วมันไม่ช่วยให้เกิดประโยชน์กับตนเอง
หรือรู้แล้วทำให้ไม่สบายใจ ก็อย่าไปรู้มันเลยจะดีที่สุด ยังไงฉันก็ขอให้นายโชคดีนะ
สักวันนายก็จะลืมฉันได้เอง ”
หยวนพูดจบก็ค่อยๆ
ขยับร่างของตนให้ออกห่างจากเซียนซีก่อนจะเดินจากไปจนลับสายตา
จื่อฮงที่แอบยืนดูเหตุการณ์ไม่อาจจะทนอยู่เฉยๆ ได้อีกต่อไป
เขาจึงออกมาจากที่ซ่อนแล้วรีบเดินเข้าไปหาเซียนซี
เขาอยากจะให้กำลังและคอยปลอบใจเซียนซีในยามทุกข์อย่างที่อีกฝ่ายเคยทำกับเขาบ้าง
“ เซียนซี นายโอเคไหม ”
จื่อฮงถามเซียนซีที่ยืนอยู่หน้าห้องเรียนด้วยสีหน้าโศกเศร้า
“ ฉันโอเค ” เซียนซีตอบพร้อมกับยิ้มออกมาแบบฝืนๆ อีกฝ่ายพยายามจะยิ้มให้กับจื่อฮงแต่ก็ไม่อาจจะห้ามน้ำตาที่ไหลออกมา เพราะความผิดหวังและความเศร้าที่มีอยู่มากมายภายในใจของเขามันแทบจะล้นออกมา ตอนนี้เขากำลังยิ้มทั้งที่น้ำตากำลังไหลออกมาด้วย โอ้! พระเจ้า เขาอกหักจนเพี้ยนไปแล้วรึเปล่า
“ ฉันขอกลับไปที่ห้องเรียนของฉันก่อนนะ ไว้ค่อยเจอกันใหม่ ” เซียนซีกล่าวลาจื่อฮง แล้วเดินจากไปจนลับสายตาของผู้ที่ยืนมองเขาอยู่
ความคิดเห็น