NC

คำเตือนเนื้อหา

เรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Naruto] Silent Song

    ลำดับตอนที่ #47 : บทที่ 41 อาเมะคางุเระ (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.29K
      113
      16 เม.ย. 64

     

    บทที่ 41  อาเมะคางุเระ

    คมดาบสีเงินตวัดใส่ก้อนเนื้อตรงหน้าจนฉีกขาดภายในพริบตา แสงดวงอาทิตย์สะท้อนคมดาบที่เปื้อนเลือดก่อนจะถูกสลัดออกโดยเจ้าของดาบ ดวงตาสีฟ้ามองชิ้นเนื้อตรงหน้าที่ก่อนจะถูกเธอปลิดชีพนั้น คือนินจาลอบสังหารมาก่อน

    ไม่รู้ว่าศัตรูหมายเอาชีวิตเธอหรือผู้อาวุโสที่เธอคอยคุ้มครองอยู่ตอนนี้ เพียงแค่กำจัดออกไปก็เพียงพอแล้ว

    มิกิมองคมดาบสีเงินชั่วครู่ เธอรู้สึกได้ว่าข้อมือเริ่มฝืดเล็กน้อย ในการตวัดดาบ

    “.....”  

    ทันใดนั้นเสียงจอแจจากเพิงหลังเล็กๆก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างของชายสูงวัยที่เดินออกมาพร้อมกล่าวขอบคุณคนด้านใน

    “ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะเฮีย” จิไรยะกล่าวอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเดินมาที่หญิงสาวยืนอยู่

    เขามองไปที่ศพสองคนที่นอนอยู่ตามพื้น

    “พวกนินจาตามล่าท่านน่ะค่ะ” มิกิตอบแล้วเก็บดาบเข้าฝัก “ฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว”

    “ฆ่าทิ้งแบบนี้ ไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอ?” เขาถามเธอสีหน้าไม่พอใจนัก

    “พวกเขาตั้งใจจะฆ่าท่านนี่คะ ฉันเลยต้องจัดการก่อน”

    ถ้าไม่ใช่คนสำคัญอะไรนัก เธอไม่ค่อยจะลังเลเลยสิน้า....จิไรยะคิด

    “แล้วข้อมูลได้อะไรมาบ้างเหรอคะท่าน?”

    “ก็....มีเบาะแสที่อื่นนิดหน่อย”

    “เอ๋?”

    “ชายสวมหน้ากากนั่น พวกเขาเคยเห็นมาก่อนแต่ว่าไม่ได้อยู่ในทางเดียวกับที่เราจะไปอาเมะคางุเระหรอก”

    “ถ้างั้นข้อมูลที่ว่ารังของแสงอุษาไม่ได้อยู่ที่อาเมะคางุระน่ะสิคะ”

    “ฉันยังปักใจหรอกนะ จะต้องไปดูด้วยตาตัวเองก่อน”

    นั่นทำให้หญิงสาวลังเลที่จะเลือกหนทางทันที ข้อมูลที่เธอต้องการคือชายสวมหน้ากากลายวนปริศนา ที่อาจเป็นหัวหน้าของแสงอุษา แต่ว่าภารกิจรับคุ้มครองจิไรยะมันทำให้เธอทิ้งไม่ได้

    ดังนั้นเธอจึงเลือกอีกหนทาง

    มือบางประสานอินแยกเงาน้ำออกมา

    “คาถาแยกร่าง”

    “จะทำอะไรงั้นรึ มิกิจัง?” เขาถามขึ้นเมื่อเห็นมิกิตัดสินใจบางสิ่ง

    “แยกร่างอีกร่างค่ะ เพื่อให้ไปตามรอยของชายสวมหน้ากากคนนั้น” ร่างแยกของมิกิก่อตัวขึ้นจากจักระน้ำที่เธอเรียกออกมาจากพื้นดินและกลายเป็นเธออีกคน

    “ส่วนตัวฉัน ที่เป็นร่างต้นจะไปกับท่านค่ะ”

    ร่างแยกของมิกิพยักหน้าเข้าใจแผนการทั้งหมด ก่อนจะกระโดดหายไปอีกทาง มุ่งหน้าไปยังส่วนที่ข้อมูลของจิไรยะบอก

    และพวกเขาทั้งสองคนก็เดินทางต่อ อีกไม่กี่กิโลก็จะถึงเขตของแคว้นสายฝนแล้ว

    ...

    ..

    “ว่าแต่ มิกิจัง”

    “คะ?”

    ท่ามกลางความเงียบระหว่างการเดินทาง จิไรยะก็เอ่ยขึ้นกับร่างบางข้างตัว

    “การที่เธอมาทำภารกิจนี้กับฉัน นารูโตะรู้เรื่องบ้างรึเปล่า หือ?”

    จริงสิ... นารูโตะ

    “เขา....ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกนี่คะ?”

    “ว่าไงนะ? นี่หนูไม่เคยเล่าเรื่องสาเหตุที่พ่อแม่ของเด็กคนนั้นตายเลยงั้นเหรอ?” เขาเดินมาขวางหน้าหญิงสาวเพื่อให้เธอหยุดเดินหนี

    “เขาควรจะรู้บ้างนะว่าที่ผ่านมาเธอทำอะไรเพื่อเขาบ้าง มิกิจัง”

    มิกิพยายามที่จะไม่เล่าเรื่องพ่อแม่ของนารุโตะ อีกทั้งเรื่องของชายสวมหน้ากากที่เธอพยายามตามล่ามาตลอดหลังจากที่พ่อแม่ของเขาตาย

    “ถ้าเขารู้ว่าฉันตามล่าใคร และถ้าฉันตายไป เขาก็จะต้องตามล่าแทนฉัน ท่านจิไรยะคะ นี่เป็นหน้าที่ที่พี่มินาโตะฝากฉันไว้ก่อนเขาจะตายนะคะ เขาไม่อยากให้ลูกชายคนเดียวของเขามาเจอเรื่องแบบนี้หรอก”

    “แต่เจ้านั่นมีเธอแค่คนเดียวเองนะ”

    “คือ...เรื่องนั้น...”

    มิกิเถียงไม่ออก ทั้งๆที่เธอตัดสินใจแล้วว่าจะเดินหน้าต่อ จัดการปัญหานี้

    จิไรยะถอนหายใจก่อนจะเอามือไปวางที่ตัวของเธอ ทำให้หญิงสาวมองขึ้นมาอย่างสงสัย

    “เธอน่ะแบกรับมันไว้คนเดียวไม่ได้หรอกนะ”

    “ท่านจิไรยะ”

    “หลังจากภารกิจนี้เธอต้องกลับไปเล่าให้เจ้านารุโตะฟังทั้งหมดนะ เข้าใจใช่ไหม”

    มันเป็นคำขอที่เธอไม่อยากจะรับปากเลยซักนิด เธอไม่อยากพูดถึงอดีตกับนารุโตะเพียงเพราะเธอไม่อยากรู้สึกถึงความทรงจำในตอนนั้น

    “ค่ะ...”

    รับคำออกไป เธอก็คิดอยู่แล้ว่าบางทีภารกิจครั้งนี้เธออาจไม่ได้กลับไปก็ได้

    “จะว่าไปนะ...พวกเราเดินไปคุยเรื่องที่ผ่านมากันดีไหม” ร่างสูงหันหลังเดินต่อ

    “เรื่องที่ผ่านมาเหรอคะ?”  เธอทวนถามอีกครั้ง แล้วเดินตาม

    “ไอฉันก็วุ่นแต่เขียนนิยายกับฝึกเจ้านารุโตะ ไม่ค่อยได้รู้เรื่องเธอมากนักเท่าไหร่ อย่างตอนเธอมีแฟนอย่างเนี่ย เธอยังไม่เคยพาเขามานำตัวให้ฉันบ้างเลย”

    “ขอโทษด้วยค่ะ” เธอยอมรับผิด อันที่จริงเธอคิดว่ามันคงไม่สำคัญมากนักที่จะบอกเรื่องส่วนตัวกับผู้อาวุโสคนนี้

    แต่ยังไงเธอก็นับถือเขาเป็นทั้งอาจารย์และเหมือนพ่อคนนึง

    “แต่ว่าตอนนี้คงช้าไปแล้วมั้งคะ ฉันน่ะ—“

    “เลิกกันแล้วสินะ” จิไรยะสวนถามกลับ

    มิกิยิ้มรับ “ค่ะ ...ฉันเป็นคนขอเลิกเองน่ะค่ะ”

    “ความรักล่ะนะ ต้องมีเลิกรากันบ้าง เอาจริงๆฉันก็ยังงงเหมือนกันที่เธอไปคบเก็นมะ ทั้งๆที่ฉันไม่เห็นเลยว่าพวกเธอจะสนิทกัน”

    “ตอนฉันตอบตกลงคบกับเขา มันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกผิดน่ะค่ะ แล้วก็...”

    “.....” มิกิเว้นช่วงให้อีกคนสงสัย

    “บางทีคิดว่าฉันอาจจะเปลี่ยนมุมมองใหม่ๆบ้าง”

    มุมมองใหม่ๆ ในที่นี่ก็คงจะเป็น ลืมความรู้สึกที่เคยมีกับคนๆนั้น ...

    “มิกิจังเนี่ย....ไม่ค่อยยอมรับความรู้สึกตัวเองเลยสินะ”

    “เอ๋? ทำไมท่านพูดแบบนั้นล่ะคะ” เธอรีบแย้งทันที “ฉันแค่ไม่ได้ไม่ยอมรับซักหน่อย เขาสารภาพรักกับฉัน ฉันก็แค่รับความรู้สึกของเขาเท่านั้นเอง”

    “ฉันไม่ได้หมายถึงแฟนเก่าเธอนะ”

    “....”

    ดูเหมือนร่างสูงข้างตัวจะรู้ถึงความสัมพันธ์ที่วุ่นวายของเธอซะแล้ว

    “เขา....เล่าให้ฟังเหรอคะ?”

    “เขา? ... ใครกันล่ะ ฮ่าๆ เธอมีคนที่มากมายมาชอบล่ะนะ  ฉันก็พูดไม่ได้     หรอกว่าเธอกับฉันหมายถึงคนเดียวกัน” จิไรยะว่า เขาแซวเธอเหมือนพยายามบังคับให้เธอพูดชื่อคนๆนั้นออกมา

    ก็มีอยู่คนเดียวที่ท่านรู้จักและสนิทน่ะ

    คนที่เป็นลูกศิษย์ของลูกศิษย์ตัวเองยังไงล่ะ

    “คะ...คาคา..ชิ น่ะค่ะ” เธอเอ่ยชื่อพลางก้มหน้างุด ไม่สบตากับอีกคน ที่มองเธออย่างมีชัย

    “คาคาชิสินะ” จิไรยะพูดเสียงดังจนเธอสะดุ้ง “ฮ่าๆ พวกเธอเนี่ยนะ จริงๆเลย”

    “ทำไมล่ะคะ เขาว่าอะไรฉันใช่ไหม”

    “ฮ่าๆ ว่าเหรอ เขาไม่ได้พูดอะไรซักหน่อยนะ” 

    พอเห็นหญิงสาวร้อนรนอยากรู้อยากเห็น ทำเอาจิไรยะอดขำไม่ได้ ก็ทั้งคู่ไม่ยอมเปิดใจกันพูดตรงๆเสียทีนี่นะ

    “ถ้างั้น....ทำไมท่านถึงพูดถึงเขาล่ะคะ”

    “ฉันว่าฉันไม่ได้พูดถึงนะ เธอต่างหากที่พูดชื่อเขาออกมา”

    “อะ...” อีกครั้งที่เธอเถียงไม่ออก

    บ้าจริง คนตรงหน้าน่ะเก่งเรื่องแบบนี้ซะด้วย เธอติดกับแล้ว

    มิกิเถียงไม่ออก จิไรยะสังเกตเห็นหน้าของเธอแดงออกมา เขาพอดูออกอยู่แล้วว่าทั้งคู่ชอบกัน  แต่เพราะทั้งคู่เจอเรื่องสะเทือนใจมามากจึงทำให้ทั้งคู่ยอมรับกันยาก

    “เจ้าคาคาชิน่ะ เลี่ยงที่จะพูดเรื่องของเธอกับฉันตลอดแหล่ะ อ้างว่าเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวกับภารกิจมั้งล่ะ แต่สุดท้ายหมอนั่นก็รุดหน้าไปช่วยเธอเสมอ เหมือนกันกับเธอนี่”

    หญิงสาวฟังเงียบๆแล้วเดินตามต่อไป

    “ฉันพอเข้าใจพวกเธอน่ะว่าทำไมถึงไม่บอกความรู้สึกกันไปตรงๆ ฉันก็เหมือนกัน กว่าจะตัดสินใจได้ ดูสิ อายุปูนนี้แล้ว ฮ่าๆ”

    “เขาบอกแล้วล่ะค่ะ”

    เสียงหัวเราะร่าเงียบลงทันทีที่หญิงสาวพูด จิไรยะเหวอเล็กน้อยที่ได้ยิน

    “ว่าไงนะ?”

    เขาถามอีกครั้ง มิกิยิ่งเขินเข้าไปใหญ่

    “ขะ....เขาบอก..ชอบฉัน...แล้วค่ะ”

    หนอย เจ้าคาคาชิ ทำตัวไม่สนใจอะไร แต่แม่งก็เป็นลูกผู้ชายนี่หว่า

    จิไรยะคิดในใจอย่างชื่นชม

    ดีจริงๆที่เราให้นิยายของเราให้เจ้านั่นอ่าน

    “หึ เจ้าไก่อ่อนนั่น ก็ไม่เลวนะ แล้วเธอก็ตอบรับไปแล้วสินะ เฮ้อ....โล่งอกซักที ที่เธอสองคนลงเอยกัน เท่านี้เจ้ามินาโตะคงสบายใจแล้วมั้ง ฮ่าๆ”

    “ป่าวค่ะ...ฉันไม่ได้ตอบตกลง ฉันปฏิเสธไปค่ะ”

    “หา?”

    คาคาชิเอ๊ย ....ทำไมฉันถึงเห็นนกบินรอบหัวนายกันนะ ....


     

    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    อยากเขียนต่อนะคะ แต่มันดึกมากแล้ว เป็นตอนยาวค่ะ จะมาต่อเรื่อยๆนะคะ  

    มองผลโหวตแอบตกใจ อิทาจิบทน้อยแท้ๆทำไมสูสีกับคาคาชิเช่นนี้ เก็นมะล่ะคะ???? 5555555 

    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    การสนทนากลับจบลงซะอย่างนั้นในเวลาต่อมา จิไรยะและมิกิมาถึงชายแดนของแคว้นสายฝนแล้ว

    ท้องฟ้ามืดครึ้มมีเค้าว่าสายฝนจะลงอีกในไม่ช้า ตอนนั้นเองที่จิไรยะคิดว่าเดินเข้าไปทางเข้าตรงๆแบบนี้มันคงจะไม่เหมาะเท่าไหร่

    เขาจึงเรียกคาถาอัญเชิญกบและให้ทั้งเขาและหญิงสาวเข้าไปซ่อนตัว

    จากนั้นพวกเขาก็โผล่ขึ้นมาที่แม่น้ำ ห่างจากหมู่บ้านอาเมะไม่กี่ร้อยเมตร

    ซ่า....

    พอทั้งคู่ออกมาจากตัวกบและยืนบนผิวน้ำ สายฝนก็สาดเทลงมาไม่ยั้งทันที

    “หมู่บ้านนี้ฝนตกตลอดเลยเหรอคะ?” มิกิถามขึ้นขณะมองดูวิวรอบนอกของที่นี่ มีหอคอยสูงมากมาย แถมยังดูเงียบสงัดได้ยินเพียงแค่สายฝนเท่านั้น

    “ใช่แล้วล่ะ เมื่อก่อนที่นี่เคยเป็นพรมแดนระหว่างสงครามนินจาครั้งที่สามเหมือนกัน ช่วงแรกๆล่ะนะ”

    จิไรยะกล่าว จากนั้นก็เดินนำเธอไป เพื่อลัดเลาะหาทางเข้าโดยไม่ให้ศัตรูรับรูได้ว่ามีคนลักลอบเข้ามาผิดกฎหมาย

    มันเป็น....ภารกิจที่เสี่ยงน่าดูเลยทีเดียว

    ป่านนี้แล้ว ร่างแยกของเราไปถึงไหนกันแล้วนะ

     

     

    ในตอนนั้นเอง

    ขณะที่ทีมของคาคาชิและยามาโตะไล่ตามอิทาจิและซาสึเกะอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาทั้งแยกย้ายกันตามหา จนช่วงหนึ่งพวกเขาก็พบเจอกับระเบิดขนาดใหญ่ ซึ่งคิบะและอากามารุบอกว่า มีกลิ่นของอุจิวะ ซาสึเกะอยู่ แต่จู่ๆก็หายไปหลังจากระเบิดที่แปลกประหลาดนั่น

    จากนั้นเขาก็ได้กลิ่นอีกครั้งทว่า...มันกลับกระจายไปเป็นจุดๆ

    นารูโตะที่ไล่ตามซาสึเกะอย่างไม่หยุดหย่อนในตอนนั้น เขาก็บังเอิญพบกับอิทาจิอีกครั้ง

    และหลังจากการพบกัน ทำให้นารูโตะยิ่งสงสัยในตัวของอิทาจิ มากยิ่งขึ้น ว่าแท้จริงแล้วผู้ชายคนนั้นเป็นคนดีหรือคนเลวกันแน่

    จนตอนนี้พวกนารูโตะก็มาถึงจุดที่ถูกศัตรูอย่างแสงอุษาเข้ามาขวางเอาไว้

    “แกเป็นใครกันแน่?” นารูโตะถามลอดไรฟัน  เขาไม่มีเวลามาถูกถ่วงเวลาแบบนี้หรอกนะ

    ชายปริศนาที่มาแทนที่ตำแหน่งที่ว่างของ ซาโซริ

    “ผมมีชื่อว่า โทบิ เป็นสมาชิกใหม่สดๆร้อนๆของแสงอุษานะคร้าบ!” น้ำเสียงที่ดูร่าเริงไม่เหมาะที่จะเป็นคนขององค์กรที่แสนร้ายกาจมันดูไม่เข้ากันเลยซักนิด

    “ถอยออกไปซะ ถ้าไม่อยากโดนพวกฉันรุม ดูออกหรอกนะว่าจำนวนมันต่างกัน” นารูโตะยิ้มอย่างมั่นใจและร้อนใจในเวลาเดียวกัน

    “ฮืมมม คงจะทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกนะคร้าบ ก็มันเป็นคำสั่งนี่นา” โทบิตอบยียวนกวนประสาท

    “เอายังไงดีครับ รุ่นพี่คาคาชิ” ยามาโตะถามความเห็นชายหนุ่มที่มองชายปริศนาหน้ากากลายวนสีส้มนั้นอยู่

    ผู้ชายคนนี้....

    ในขณะที่คาคาชิวางแผนลอบโจมตีอยู่เงียบๆ คิบะและนารูโตะก็โจมตีใส่โทบิไม่ยั้ง โดยมีซากุระ ฮินาตะ และชิโนะคอยซัพพอร์ต

     

     “มันจะมากไปแล้วนะเว้ย !!!!”  คิบะตะโกนอย่างเหลืออดหลังจากที่ทั้งเขาและนารูโตะต่างก็โจมตีใส่ชายใส่หน้ากากคนนั้นอย่างรวดเร็วและไร้ช่องว่าง แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย แถมยังโดนกวนประสาทอีก

    ราวกับทุกอย่างที่โจมตีมันทะลุตัวชายคนนั้นไปหมด ....

    แม้แต่เนตรสีขาวก็ตรวจหาต้นตอของจักระไม่ได้

    “พวกโคโนฮะนี่ ไม่ได้เรื่องจริงๆเลยนะ ฮ่าๆ”  โทบิหัวเราะเยาะเย้ยหลังจากที่คิบะโจมตีใส่เขาอีกครั้ง เขายืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่เหมือนเหล่านินจาโคโนฮะราวกับผู้อยู่เหนือชัย ท่ามกลางความสับสนและหงุดหงิดของคนด้านล่าง

    “หมอนั่น มีคาถาคล้ายกับวิชาของรุ่นที่สี่รึไงกัน” คาคาชิเอ่ยถามตัวเองอย่างสงสัย ในขณะที่ตนคอยสังเกตการณ์ศัตรู

    สวบ สวบ

    ณ พื้นหญ้าระดับเดียวกับนินจาโคโนฮะ ร่างปริศนาในชุดคลุมสีเดียวกันกับพวกเขาปรากฏตัวขึ้น ด้านหลังทั้งคาคาชิและยามาโตะ

    “หืม? ใครล่ะนั่น กำลังเสริมงั้นเหรอเนี่ย” โทบิเอียงหัวถามจากด้านบน

    ทุกคนด้านล่างหันไปมองเช่นกัน ร่างนั้นยืนนิ่งสวมฮู้ดปิดบังใบหน้าเอาไว้ เส้นผมสีเหลืองหลุดออกจากฮู้ดตามแรงลม

    “.....”

    เดี๋ยวนะ ?!

    ร่างผู้มาใหม่ชักดาบออกสะท้อนกับแสงดวงอาทิตย์ พริบตาร่างนั้นก็หายไปจากตรงนั้น เหลือเพียงแค่แรงลมที่ผ่านหน้านินจาโคโนฮะ

    ฟิ้ว

    นารูโตะรู้ทันทีว่าคนที่มาใหม่คือใคร หลังจากที่เห็นคาถาเหินของอีกฝ่าย

    ตู้ม!!!!!

    ตรงที่โทบิยืนบนต้นไม้ ฉับพลันก็มีแรงระเบิดขึ้น จนม่านควันบดบังทุกอย่าง

    “เดี๋ยวสิ โจมตีแบบนั้น มันไม่ได้ผลหรอกนะคะ” ซากุระตะโกนออกไป เธอพอจะรู้แล้วว่าร่างนั้นคือใคร แต่ไม่คิดว่าจะมาอยู่ตรงนี้ได้

    ใช่ .... พุ่งไปแบบนั้น เหมือนกับที่นารูโตะกับคิบะทำเมื่อครู่ บ้าไปแล้วรึไง คาคาชิเห็นด้วยในใจ

    ทว่ากลับไม่เป็นเช่นนั้น หลังจากควันหายไป

    !!!

    ร่างผู้มาใหม่คนนั้น เผยใบหน้าออกมาแล้ว ดวงตาจ้องแสงอุษาตรงหน้าอย่างแข็งกร้าว ดาบของเธอที่หมายจะฟันคออีกฝ่ายถูกยับยั้งเอาไว้ด้วยแขนของโทบิ

    ไม่ทะลุตัวหมอนั่น?? ในหัวคาคาชิมีคำถามทันที แล้วทำไม เธอถึงอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ....

    “น้ามิกิ!! ทำไมน้าถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ” นารูโตะตะโกนออกไป ขณะที่ทั้งสองยังคงยื้อกันอยู่

    ดวงตาสีฟ้าจ้องกร้าวไปยังดวงตาภายใต้หน้ากากนั่น เธอพยายามจะเสียบคออีกฝ่ายให้ได้

    “คิดว่าทำท่าตอแหลเล่นละครเป็นเจ้าติ๊งต๊องแล้วฉันจะไม่รู้รึไง ว่าแกต้องการอะไร” มิกิพูด “ตอนนี้ฉันแตะแกได้แล้ว ฉันจะฆ่าแกตรงนี้แหละ”

    “คิดว่าเพราะรอยคาถาที่รุ่นที่สี่ฝังไว้ที่หลังฉันจะทำให้หล่อนแตะตัวฉันได้อำเภอใจงั้นเหรอ?” โทบิกระซิบเสียงต่ำ ในสถานการณ์ตอนนี้มีเพียงแค่มิกิเท่านั้นที่รู้ธาตุแท้ของเขา

    “อย่ามายุ่งกับหลานของฉัน” เธอหยิบคุไนสั้นอีกอันด้วยมือซ้ายก่อนจะเหวี่ยงแขนไปที่ตัวของโทบิ

    จังหวะนั้นเองที่โทบิปล่อยดาบของเธอ ทำให้เธอเสียการทรงตัว คุไนไปปักกับต้นไม้

    “ฮึ่ย!!!” มิกิหันกลับมามองอย่างโกรธจัด เธอจะพุ่งโจมตีอีกครั้ง แต่ทว่า... กิ่งไม้ขนาดใหญ่ที่เธอและโทบิยืนอยู่ ก็มีบางสิ่งงอกขึ้นมา

    เซ็ตสึโผล่ขึ้นมาจากด้านหลังโทบิ เผยให้เห็นใบหน้าสองสีประหลาด

    “การต่อสู้จบแล้ว อิทาจิตาย ส่วนซาสึเกะชนะ”

    อะไรนะ!!!

    มิกิฟังไม่เชื่อหู เธอเพิ่งได้ยิน ลูกศิษย์คนสุดท้ายของเธอ ....ตายแล้ว??

    “ไม่อยากจะเชื่อ!!!!” โทบิตะโกน ก่อนจะเปลี่ยนท่าที “ ......ก็เป็นไปตามที่วางแผนไว้ล่ะนะ”

    ท่าทีของโทบิเปลี่ยนไปทำให้ทุกคนต่างงุนงงกันไปหมด เว้นแต่หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงนั้น โดยที่ไม่สามารถโจมตีอะไรได้อีกแล้ว

    “.....”

    พอเห็นท่าทีของโทบิเปลี่ยนไป คาคาชิที่คอยมองอยู่ด้านล่าง เขากลับนึกอะไรออก คำพูดของจิไรยะเมื่อนานมาแล้ว สิ่งที่มิกิตามล่ามาตลอด 16 ปี

    ชายที่มีเนตรวงแหวน... หรือว่าคนๆนี้

    “นี่คงไม่ใช่เวลาที่จะต้องสู้กันซะแล้วสินะ พวกฉันจะต้องไปจัดการสิ่งที่พวกนั้นทำไว้ก่อน ลาล่ะ”

    พอพูดจบ แสงอุษาทั้งสองคนก็หายไป ต่อหน้าต่อตาทุกคน

    “.....”

    หญิงสาวยืนมองตรงที่พวกโทบิหายไปก่อนจะดึงคุไนที่เผลอปักคาต้นไม้ พร้อมกับคาคาชิโดดขึ้นมาหา

    “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

    เธอพยักหน้า “ต้องรีบหาตัวอิทาจิ พวกนั้นต้องการตัวเขาแน่ๆ” 

    ไม่มีเวลามาเสียใจเลย

     

    เธอกระโดดจากตรงนั้น แล้วมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่การต่อสู้ที่แสนรุนแรงระหว่างพี่น้องแห่งอุจิวะจบลงอย่างเงียบๆ ทิ้งให้ร่างสูงสงสัยถึงท่าทีของเธอที่แสนสงบนิ่ง 

    -----------------------------------------------------------------------------

    ช่วงนี้ไฟนอลโปรเจคคัมมิ่งค่ะ ปั่นงานโต้รุ่งหลายวัน ว่างก็สลบเหมือด มาอัพทีละนิดเองค่ะ 55555 ยิ่งใกล้ช่วงพีค ยิ่งอยากได้เวลาแต่ง ให้มันออกมาดี รอกันหน่อยนะคะ >_<

    -----------------------------------------------------------------------------

     

    เวลาต่อมา

    คาคาชิและมิกิยืนมองแผ่นหลังของนารูโตะอย่างเงียบๆ ท่ามกลางสายฝนที่สาดเทลงมาไม่หยุด ไม่ใช่ว่าทั้งคู่ไม่เข้าใจความรู้สึกของเด็กคนนั้น  ที่พยายามไล่ตามเพื่อนรักจนสุดความสามารถ แต่ก็ยังหลุดมือไปได้

    “ถ้าซาสึเกะจัดการอิทาจิได้ ก็หมายถึงชำระความแค้นที่สั่งสมมาตลอด บางทีเขาอาจจะกลับมาซักวันใดวันนึง” คาคาชิพูดกับเธอเพียงแค่สองคน

    แต่มิกิกลับส่ายหน้า “ไม่ ฉันไม่คิดแบบนั้น เจ้าโทบิเข้ามาขวางพวกเราเอาไว้ แล้วยังบอกอีกว่าอิทาจิตายมันเป็นไปตามแผนของมันอีก ฉันว่ามันเอาทั้งคู่ไปด้วย แล้วอาจจะเกลี่ยกล่อมให้ซาสึเกะเข้าแสงอุษา”

    “อะไรทำให้เธอคิดแบบนั้น” คาคาชิถามอย่างหงุดหงิดใจ “เรื่องอิทาจิ เธอเหมือนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเขา ในสิ่งที่ฉันไม่รู้เลยนะ”

    เธอไม่อยากพูดเรื่องของอิทาจิตอนนี้  “ก็ฉันเคยเป็นครูของเขา ฉันก็ต้องรู้อะไรมากกว่าที่นายรู้สิ”

    “แต่ฉันเคยเป็นหัวหน้าของเขาเหมือนกัน”

    “อะ...” พอโดนอีกคนเถียงกลับ เธอจะตอบกลับไม่ถูก แต่ก็ยังคงแสดงสีหน้าหนักใจ

    “ฉันขอโทษ บางทีการที่เขาจะให้ความสำคัญเธอมากกว่าฉันมันก็คงไม่แปลก”

    เธอยิ้มขำเบาๆ ราวกับมันคือตลกร้าย “ถ้าเขาให้ความสำคัญกับฉัน ป่านนี้คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ คิดว่างั้นไหม ถ้าเขาบอกฉันตั้งแต่ตอนที่พวกเขายังอยู่กับฉัน ที่ผ่านมา เขาตัดสินใจเองทุกอย่าง”

    เรื่องนั้นคาคาชิก็ยอมรับ ตั้งแต่ที่อิทาจิออกไปเป็นหัวหน้าหน่วย เขาก็ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับเด็กคนนั้นเลย

    “ตัดสินใจฆ่าครอบครัวตั้งแต่อายุ 13 ในขณะที่ฉันร้องไห้ฟูมฟายเสียครอบครัวไปตอนอายุ 14” เธอตัดพ้อตัวเองอย่างเศร้าๆ

    แต่ถึงอย่างนั้นการเตรียมใจที่จะตายมันก็....

    “แต่ว่าเธอก็คงไม่ได้คิดที่จะเตรียมใจหรอกนะ?” อยู่ๆ ชายหนุ่มก็พูดขึ้นมา จนเธอต้องเลิกคิ้วหันกลับมามอง

    “เตรียมใจ? เรื่องอะไรงั้นเหรอ?”

    มีบางอย่างผิดปกติ เขารู้สึกได้ บางสิ่งที่เขารับรู้ได้

    “การที่อิทาจิตัดสินใจเรื่องเด็ดขาดได้ตั้งแต่เด็กแปลว่าเขาคงเตรียมใจยอมรับบางสิ่ง และการที่เขาได้ตายในวันนี้มันคงเป็นสิ่งเขารับรู้ได้เช่นกัน....”

    “....”

    “ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน มิกิ”

    เขารู้แล้ว... มิกิผุดคิดขึ้นมาทันที แต่ก็ยังสงบและพูดกลบเกลื่อน

    “หมายความว่าไง คาคาชิ? ฉันก็อยู่ตรงหน้าเธอนี่ไง”

    เขาส่ายหน้า “ไม่หรอก ฉันรู้สึกได้ นี่เป็นร่างแยกของเธอ”

    “พูดบ้าอะไรของนาย รู้สึกอะไรกัน นี่จะหาเรื่องทะเลาะกันรึยังไง” มิกิเถียงกลับ เริ่มเสียงดัง จนคนอื่นสนใจ

    “ฉันรู้จักเธอมาทั้ง้ชีวิต คิดว่าร่างแยกฉันยังแยกไม่ออกงั้นเหรอ?” เขายังคงไม่ลดละ “ถ้าฉันให้ฮินาตะใช้เนตรสีขาวตรวจเธอตอนนี้ ฉันทำไปแล้ว แต่เพราะนารูโตะ”

    มิกิเริ่มเถียงไม่ได้อีกครั้ง แต่เธอไม่ยอมสารภาพโดยดี ดันเดินหนีไปหานารูโตะแทน

    “ให้ตายสิ...” เขาสบถเบาๆ

     

    สัมผัสอุ่นวาบแผ่ลงที่กลางหลังของนารูโตะ เขาหันไปมองก็พบว่าน้าสาวของเขาเข้ามาโอบหลังไว้

    “เข้าไปหลบฝนกันเถอะ เธอยืนแบบนี้มันก็ไม่ช่วยอะไรหรอกนะ”

    “....”  สีหน้าของเด็กหนุ่มนั้นอ่อนล้ามาก

    “เข้าใจหรอกนะว่าเธอพยายามตามหาซาสึเกะมาตลอด แต่ว่าน้าอยากให้เธอหยุดพักก่อน”

    “จะให้ผมหยุดตามหาเขางั้นเหรอฮะ” เขาเอ่ยถาม “ผมไม่มีวันยอมแพ้หรอก”

    มิกิถอนหายใจ “น้าก็ไม่ได้บอกให้เธอล้มเลิกนี่ เพียงแต่พวกเธอไม่ได้พักมานานแล้ว ดูสิ หน้าโทรมหมดแล้วนะ” เธอยกมือปาดน้ำฝนบนใบหน้าของเขา

    “.....”

    “กลับบ้าน ไปพักผ่อนแล้วค่อยเริ่มใหม่ เข้าใจใช่ไหม”

    สุดท้ายแล้วทุกคนก็ยอมทำตามที่มิกิพูด พวกเขาออกจากสถานที่ที่ซึ่งคาดว่าเป็นที่พี่น้องอุจิวะปะทะกัน และไปหลบพักกัน จนกระทั่งฝนหยุดตก

     คาคาชิยังไม่ละความพยายามที่จะถามเธออีก เรื่องร่างจริง ครั้งนี้เขาตามเธอมากลางป่า ปราศจากคนอื่นๆ

    “ที่อาเมะคางุเระ...”

    “ว่าไงนะ”

    ยังไม่ทันที่เขาจะเปิดปากถามเธอ มิกิก็พูดออกมา เธอหันหลังให้เขาก่อนจะหันมามองอีกฝ่าย

    “ใช่ นี่เป็นร่างแยก อย่างที่เธอรู้ คาคาชิ ตัวจริงของฉันอยู่กับท่านจิไรยะ ฉันมีภารกิจคุ้มกัน เราทั้งคู่ไปที่อาเมะคางุเระเพราะคาดว่า หัวหน้าของแสงอุษาอยู่ที่นั่น --- เดี๋ยว !! นายจะไปไหนน่ะ”

     มิกิร้องเรียกเมื่อเห็นว่าอีกคน หันหลังจะเดินจากไป คาคาชิกำหมัดแน่นก่อนจะหันกลับมามองเธอ

    “ก็ไปตามตัวเธอไง”

    “ถึงไปตอนนี้ก็ไม่ทันหรอก ฉันกับท่านจิไรยะตอนนี้คงเข้าไปในเขตหมู่บ้านแล้ว แล้วฉันก็ไม่ต้องการให้นายตามฉันไปด้วย”

    “ถึงไม่ทันแต่ฉันก็จะไป”

    “แล้วเธอจะทิ้งภารกิจนี้รึไง เพราะงี้ไงฉันถึงไม่อยากบอก”

    “แต่ที่เธอไปมันอันตรายนะ!!”

    น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความเป็นห่วง จนเธอไม่กล้าพูดต่อ เธอรู้ว่าเขาเป็นห่วง แต่ว่าสิ่งที่เธอทำ คือการเดินหน้าต่อ...

    “เราไม่ควรแยกกันทำภารกิจด้วยซ้ำ ตั้งแต่เกิดเรื่องก่อนหน้านี้” เขาเอ่ย “ฉันแค่อยากให้เธออยู่แต่ที่หมู่บ้าน มันปลอดภัย"

    อีกแล้ว...

    “ตะ...แต่ ฉันไม่อยากอยู่เฉยๆ  รอฟังข่าวหรอกนะ” เธอก้มหน้ามองเท้าตัวเอง รู้สึกได้ว่าเธอตัวสั่นน้อยๆ “ฉันอยากเดินหน้าต่อ จัดการทุกอย่างที่เป็นภัยต่อหมู่บ้าน สิ่งที่พี่ฝากไว้”

    “....”

    “ฉันแค่....อยากจัดการทุกอย่าง จากนั้นฉันจะได้....”

    “.....”

    “ให้คำตอบกับนายตรงๆ”

    “....”

    ไม่อยากพูดให้เขายึดติดกับเราเลย

    “เพราะงั้น คาคาชิ ได้โปรด อย่าไป ช่วยรอฉันที่หมู่บ้าน กลับไปพร้อมกับทุกคน กลับไปพัก... นายเหนื่อยมามากแล้ว—“

    มือหนาเข้ามากุมแก้มของเธอช้าๆ ทำให้มิกิต้องเงยหน้ามอง

    “เมื่อกี้...เธอบอกว่าจะให้คำตอบ กับฉันงั้นเหรอ?”

    ว่าแล้วเชียว...

    “ขอโทษที่ก่อนหน้านี้ฉันปฏิเสธ แต่ฉันคิดว่ามันไม่พร้อมเลยซักนิด แต่ตอนนี้ฉันคิดแล้วล่ะ ว่าจะให้คำตอบนาย เพราะงั้นช่วยรอ ฉันกลับไปเถอะนะ”

    จะให้รอได้ยังไง ในเมื่อเธอกำลังไปเผชิญอันตราย

    “มิกิ... ได้โปรด อย่าฝืนเลยนะ ฉันอยู่ข้างเธอตลอดนะ”

    พอเธอได้ฟังเช่นนั้น เธอกลับรู้สึกเสียใจ

    “จริงด้วย นายอยู่ข้างฉันมาตลอดนี่”  

    ขอโทษนะ คาคาชิ ฉันดันให้คำสัญญาไปซะได้ ทั้งๆที่ตัดมันไปแล้วแท้ๆ

    ร่างของหญิงสาวสลายหายไปทันทีหลังจากที่เธอพูดจบ เหลือเพียงจักระน้ำที่เหลืออยู่ในมือของคาคาชิ

    จะให้รอแบบนี้งั้นเหรอ? ทำอะไรไม่ได้เงยงั้นเหรอ?

    “เธอต้องกลับมานะ... สัญญาแล้วนะ”

     

    .

    .

    .

     

    .

    ---------------------------------------------------------

    ยังไม่จบตอนหรอกนะคะ 5555555  

    ----------------------------------------------------------

    มาล้าววววว 

    -----------------------------------------------------------

    .

    .

    .

    .

    สัญญางั้นเหรอ?

    หญิงสาวนึกถามในใจหลังความรู้สึกทั้งหมดของร่างแยกของเธอไหลเข้ามา ทั้งความโกรธที่ได้เจอกับโทบิ ความเสียใจของการสูญเสียอิทาจิ แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เธอก็รับรู้แล้ว

    หลังอิทาจิตายไม่กี่ชั่วโมง อีกาตัวหนึ่งก็มาหาเธอพร้อมกับใส่คาถาเอาไว้ ทำให้เธอได้พบกับคำบอกลาของลูกศิษย์ที่รักยิ่ง

    “ยังเป็นเด็กที่ไม่ยอมพึ่งพาผู้ใหญ่จนวินาทีสุดท้ายเลยสินะ”

    ใครว่าเธอไม่เสียใจ เวลาตอนนี้มันไม่ใช่ต่างหาก

    ม่านน้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาจากดวงตาทั้งสองข้าง เธอรีบเช็ดมันออกไป ตอนนี้เธอนั่งอยู่คนเดียว รอนินจาอาวุโสตามคำสั่ง สายฝนในที่แห่งนี้ยังตกลงมาไม่หยุดหย่อน อากาศก็เริ่มเย็นจนชุดคลุมตัวยาวของเธอกันความหนาวเอาไว้ไม่อยู่

    จิไรยะกลับมาพร้อมกับซาลาเปาลูกใหญ่ร้อนๆสองลูก แล้วมอบให้กับมิกิ

    “กินตอนร้อนๆ ร่างกายจะได้อุ่นขึ้นยังไงล่ะ”

    “ขอบคุณค่ะท่าน”

    จิไรยะจับนินจาแห่งอาเมะมาได้สองคน เขาจัดการเค้นข้อมูลจากพวกนั้นจนได้ข้อมูลของแสงอุษาที่อาศัยอยู่ที่นี่ ก่อนจะจับหนึ่งในสองคนนั้นฝังผนึกเอาไว้

    ชายสูงวัยเริ่มรู้สึกบรรยากาศไม่ดีเสียแล้ว ถึงแม้ที่แห่งนี้จะดูลึกลับแล้วเงียบกริบ ตอนนี้มันกลับหนักกว่าเดิมเสียด้วย

    พวกนั้นคงจะรู้ตัวแล้วสินะ

    “ไปซ่อนตัวซะ มิกิจัง” เขาเตือนคนคุ้มกันของเขา ขณะที่เดินตามนินจาอาเมะคนนั้น พอเขาเตือนเธอ เขาก็เข้าไปซ่อนตัวในเงาของนินจาอาเมะทันที

     

    พอจิไรยะออกมาถึงห้องโถงที่เต็มไปด้วยท่อ กระดาษมากมายก็ลอยวนไปมาจากที่ไหนก็ไม่รู้

    ทันใดนั้นกระดาษพวกนั้นก็เข้าไปรวมตัวกันที่จุดหนึ่ง ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่าง กลายเป็นร่างของคนๆหนึ่ง

    วิชาลวงตางั้นเหรอ?

    มิกิถามในใจ ขณะที่ซ่อนตัวอยู่ เธอไม่เห็นท่าทีของจิไรยะเลยแม้แต่นิด

    ทันใดนั้นเอง.... กระดาษพวกนั้นก็เข้าไปรวมเกาะร่างนินจาแห่งอาเมะ จากนั้นร่างของเจ้าของคาถาก็ปรากฏตัว

    หญิงสาวกระดาษเงื้อมแขนขึ้น หอกแหลมก่อตัวขึ้นจากกระดาษต่อหน้านินจาตัวต่อที่ถูกกระดาษนับพันปิดไร้การรับรู้ใดๆ

    และนั่นทำให้นินจาร่างใหญ่ต้องออกจากการซ่อนตัว

    “วิชาแบบนี้ หรือว่าเธอคือ?”

    “ไม่ได้เจอกันนานนะคะ ครูจิไรยะ”

    คนรู้จักงั้นเหรอ!? มิกิอุทานในใจอย่างตกตะลึง

    “โคนันงั้นเหรอ? โตขึ้นมาเลยนะ”

    ทำไมคนที่เคยเป็นลูกศิษย์ของท่านจิไรยะถึงมาเป็นแสงอุษากัน?

    มิกิพร่ำถามอย่างสงสัยในขณะที่ตนซ่อนอยู่ในที่มืดหลังทางเดินที่จิไรยะเดินออกไป

    ไม่พูดพร่ำทำเพลงจิไรยะก็เริ่มปะทะกับศัตรูโดยการใช่คาถาไฟโจมตีใส่กับกองกระดาษมหาศาลแต่เพราะมันไม่มีทางหมด เขาจึงต้องหลบวิถีการโจมตีอย่างช่วยไม่ได้ พร้อมกับโจมตีอีกฝ่ายที่ลอยอยู่เหนือหัวด้วยเมือกกบที่พ่นออกมาจากปาก

    งี้นี่เอง....ถ้ากระดาษโดนน้ำมัน มันจะหนักและติดไฟง่าย

    ทันทีที่จิไรยะจะโจมตีด้วยไฟอีกรอบก็มีศัตรูอีกคนโผล่มา

    “คาถาอัญเชิญ!!”

    ปูตัวใหญ่โผล่ออกมาจากวงแหวนอัญเชิญก่อนจะพ่นบางสิ่งที่เป็นสีขาวลงมา

    ฟอง? แย่ล่ะ มันไหลมาตรงที่ซ่อนเรา

    มิกิรีบใช้คาถาฮิไรชินเหินออกจากที่ซ่อนและโผล่มาข้างตัวจิไรยะทันที

    “มิกิจัง ฉันบอกให้เธอซ่อนตัว—“

    “ขอโทษค่ะท่านจิไรยะ แต่เหมือนว่าฉันจะหาที่หลบจากฟองพวกนั้นไม่ทันน่ะค่ะ”

    จิไรยะมองไปที่ฟองเบื้องล่างที่สลายเมือกกบของเขาไปเกลี้ยง ขณะที่เขาและหญิงสาวข้างตัวยืนบนกำแพงท่อสูงโดยใช้จักระฝ่าเท้ายึดเอาไว้

    “โคนัน หลบไปก่อน”

    ฝ่ายศัตรูเผยตัวตนออกมาแล้ว ผ้าคลุมสีดำแดงลายเมฆวนปรากฏอีกหนึ่ง เป็นชายผู้มีผมสีส้มยาวมันรวบสูง

    “ในที่สุดคนที่ซ่อนตัวก็โผล่ออกมา”

    ทั้งจิไรยะและมิกิรู้ทันทีว่าฝ่ายศัตรูจับตาดูทั้งคู่มาตั้งแต่เข้ามาแล้ว

    “ดูเหมือนว่าจะใช้แผนที่เราคุยกันไม่ได้แล้วสินะ”

    “ค่ะ...”

    แผนที่ว่า....ไม่มีหรอก

    “โคนัน ....แล้วก็ นางาโตะ เกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอกัน แล้วยาฮิโกะล่ะ”

    ดูท่าทางท่านจิไรยะจะรู้จักพวกเขาจริงๆสินะ ...

    “ตายไปนานแล้วล่ะ ผู้ชายคนนั้น” เสียงทุ้มและไร้อารมณ์กล่าวตอบจิไรยะ ดวงตาประหลาดสีม่วงลายวนจ้องมองลงมาที่พวกเขาราวกับเทพที่มองเบี้ยชั้นต่ำ

    “เพราะสงครามจึงทำให้พวกเราเป็นเช่นนี้ ครูจิไรยะ”

    “สงคราม...” จิไรยะทวนเบาๆ “นั่นคือสาเหตุที่พวกเธอไลล่าสัตว์หางงั้นเรอะ”

    “ใช่แล้ว” ชายที่ชื่อนางาโตะตอบ “ โลกใบนี้น่ะยังเป็นเด็กตัวเล็กๆที่ตอนด้รับบทเรียน”

    “อย่ามาตลกหน่อยเลย นางาโตะ”

    “ตลก? มันไม่ใช่เรื่องตลกแม้แต่นิดเดียว ครูจิไรยะ”

    จิไรยะไม่พูดพร่ำอีกต่อไป เขาโดดออกไปหาชายคนนั้นแล้วโจมตีทันที มิกิมองการต่อสู้ตรงนั้น สัมผัสได้ถึงจักระมหาศาลจากฝ่ายเพนในการอัญเชิญสัตว์มากมายมาไม่หยุด

    ดวงตานั่น....เหมือนกับที่เคยได้ยินในนิทานสมัยเด็ก

    เนตรสังสาระของเซียนหกวิถี

    “มันมีจริงงั้นเหรอเนี่ย?”

    ในตอนนั้นเอง ขณะที่จิไรยะวุ่นอยู่กับเพน มิกิก็ถูกโจมตีจากอีกคน

    เธอกระโดดหลบทันที

    ปัก! ปัก !

    กระดาษ....?

    “ฉันคงปล่อยเธอไว้ไม่ได้หรอกนะ” หญิงสาวที่ชื่อ โคนันกล่าว

     

     --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    มาจบตอนช้าไปหน่อยนะคะ ขอโทษด้วยค่าาา 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×