ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Azur Lane] Gundam Azur Lane

    ลำดับตอนที่ #11 : ตอนที่ 11 สมรภูมิ ณ เขตซากอารยธรรม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.8K
      74
      25 ก.ย. 63

    ณ น่านน้ำนอกเขตซากอารยธรรมของเมืองมนุษย์กลางทะเล จักรวรรดิซากุระได้ส่งกองเรือไซเรนกำลังเคลื่อนที่วนรอบเกาะเพื่อตามหาศัตรูที่หนีมาหลบซ่อนตัว ณ ที่แห่งนี้ แต่ภูมิประเทศในตอนนี้นั้นมีหมอกหนาทำให้ทัศนวิสัยแคบจนมองอะไรไม่ค่อยเห็น ทำให้การค้นหาเป็นไปอย่างยากลำบาก

    เครื่องบินสอดแนมของซุยคาคุออกบินเข้าไปในซากเมืองเพื่อค้นหาตัวศัตรู

    เชฟฟิลด์แอบมองเครื่องบินเหล่านั้นจากซากตึกแห่งหนึ่งโดยใช้หมอกหนาเป็นที่ซ่อนตัว

    เมื่อเห็นว่าเครื่องบินสอดแนมของจักรวรรดิซากุระบินผ่านไปแล้ว เธอก็ถอนหายใจออกมาดัง เฮ้อ ก่อนจะมองดูกองเรือของจักรวรรดิซากุระที่ส่งมาไล่ล่าพวกเธอ นอกจากจักรวรรดิซากุระ ไซเรน เทคเคตซึ ยังมีกองเรือของชินนันจูรวมอยู่ด้วย ซึ่งประกอบไปด้วย แซกวอริเออร์ เซอร์เพน คัสตอม จิน โดม กูฟอิกไนทด์ ดินน์ เกซ ซิกู รวมทั้งหมด 300 เครื่อง ได้แบ่งกำลังล้อมรอบซากเมือง

    “ขนกำลังพลมาตั้งขนาดนี้เพื่ออะไรกัน?”

    เชฟฟิลด์จ้องมองกองทัพโมบิลสูทซึ่งจำนวนถึง 300 เครื่องด้วยความสงสัย

     

    ที่เรือลำหนึ่งของจักรวรรดิซากุระ บนยอดเสากระโดงเรือ มีสาวน้อยสวมชุดกิโมโนะสีดำ เธอมีผมสั้นประบ่าสีดำ เธอมีหูแมวและที่ข้างศีรษะของเธอมีหน้ากากจิ้งจอกประดับเอาไว้ เธอคือเรือประจัญบาน ยามาชิโระ เธอมองซากเมืองเพื่อสำรวจ แต่ตอนนั้นเธอก็ลื่นหล่นลงที่พื้น

     

    “โอ๊ย”

    เธอส่งเสียงร้องพลางน้ำตาคลอเบ้า

     

    ภายในซากเมืองระหว่างที่เครื่องบินจักรวรรดิซากุระออกลาดตระเวน เชฟฟิลด์ก็เคลื่อนที่พลางหลบเลี่ยงเครื่องบินสอดแนมเหล่านั้นโดยใช้ซากตึกและหมอกหนาเป็นที่กำบัง

     

    ซุยคาคุกำลังใช้เครื่องบินสอดแนมของเธอเป็นเสมือนดวงตาของเธอในการค้นหาศัตรู ยันต์เครื่องบินสีส้มแผ่ออร่าสีส้มออกมาในขณะที่เธอลับตาเพ่งสมาธิ

    บนเรือรบนอกจากเธอยังมีโชวคาคุ ทาคาโอะ อาตาโกะและอายานามิ

    ภายในห้องแห่งหนึ่งของซากตึกที่พวกเชฟฟิลด์ใช้เป็นที่ซ่อนตัว อาคาชิ ก็เอาชายเสื้อไปแตะเมทัล คิวบ์สีดำ ที่วางอยู่บนโต๊ะกลางห้อง แต่เธอก็รีบชักแชนเสื้อกลับ

    “อืม ลึกลับจัง เนี้ยว”

    อาคาชิจ้องมองมันอย่างหวาดๆ

    “นั่นน่ะสิ เจ้าสิ่งนี้มันคืออะไรกันแน่?”

    “ตอนที่ฉันแอบเข้าไป ก็เห็นผู้หญิงที่ชื่ออาคากิใช้มันเป็นแหล่งพลังงานให้เรือรบลำหนึ่ง ตอนนั้นภายในถ้ำเกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเลยล่ะ แต่นอกจากนั้นก็ไม่รู้อะไรแล้ว”

    บาร์บาทอส ลูปัส เร็กพูดกับซาบาเนีย ตอนนี้พวกเขาปลดอาวุธออกแล้วและกำลังจ้องมองไปที่เมทัล คิวบ์สีดำเช่นเดียวกับอาคาชิ

    “ไม่เข้าใจอะไรจริงๆ เหรอคะ อาวุธลับของจูโอไม่ใช่เหรอ”

    เอดินบาระเอ่ยถามอาคาชิ ขณะจัดเตรียมชุดน้ำชาสำหรับเวลาน้ำชา

    อาคาชิก็หันมาพูดกับเธอแล้วขยับมือไปมา

    “อาคาชิเป็นแค่เรือซ่อมแซม ไม่รู้รายละเอียดอะไรหรอก”

    จากนั้นเธอก็ยักไหล่แล้วหันกลับไปมองเมทัล คิวบ์สีดำพลางนึกถึงสิ่งที่อาคากิทำ

    “หรือว่าพวกไซเรน ส่งให้แบบลับๆ แบบนี้แย่แน่ๆ น่ากลัวจัง”

    ระหว่างที่คิดแบบนั้นขาของเธอก็สั่นเป็นเจ้าเข้า แล้วทรุดลงไปคุกเข่าในท่าคลานสี่ขา เธอหน้าซีดแล้วเอาแขนเสื้อมาปิดหน้าด้วยความหวาดกลัว

    เอดินบาระ บาร์บาทอส ซาบาเนีย มองท่าทีแบบนั้นของอาคาชิด้วยสีหน้าประหลาดใจ

    ตอนนั้นเองเชฟฟิลด์ก็โดดเข้ามาในห้องจากทางหน้าต่างที่พัง

    “กลับมาแล้ว”

    “กลับแล้วเหรอ”

    “เหนื่อยหน่อยนะ”

    บาร์บาทอสกับซาบาเนีย พูดทักทายกับเชฟฟิลด์ที่กลับมาจากการเฝ้าระวัง

    “กลับมาแล้วเหรอ เป็นยังไงบ้าง”

    เอิดินบาระหันมาถามเธอแล้วเดินเข้าไปหา เชฟฟิลด์ก็เดินเข้ามาแล้วหยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่ม

    “เครื่องบินสอดแนมกำลังลาดตระเวนอยู่ เรื่องที่พวกเราหนีมายังเกาะนี้ คงรู้แล้วเป็นแน่”

    “เอ๋?”

    เอดินบาระกับอาคาชิร้องประสานเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง

    “เท่ากับว่าฝั่งนั้นจะหาพวกเราเจอก่อน หรือความช่วยเหลือจะมาถึงก่อนก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วสินะ”

    “ถ้าจะให้ตีฝ่าออกไป ถ้าแค่กองเรือไซเรนยังพอว่า แต่ถ้าต้องมาเจอกับจักรวรรดิซากุระ เทคเคตซึ และกองทัพโมบิลสูทกว่า 300 เครื่องก็คงจะเป็นงานที่หินเอาการอยู่ล่ะนะ”

    บาร์บาทอสกับซาบาเนียอธิบายสถานการณ์ในทุกคนได้รับรู้

    “จะทำยังไงกันดี”

    เอดินบาระเอามือป้องปากและน้ำตาคลอเบ้า

    บนโต๊ะนอกจากเมทัล คิวบ์สีดำยังมีบิสกิต และวุ้นโยคัง (Youkan) วางอยู่พูดง่ายคือ ตอนนี้เป็นเวลาน้ำชาของชาวอังกฤษ

    “สภาพของทางเรา ทางฐานทราบเป็นอย่างดี คงต้องรอความช่วยเหลือ แต่ที่สุดแล้ว คิดว่าทางจูโอคงไม่อยู่นิ่งเฉยแบบนี้แน่อย่างท่านทั้งสองได้พูดไปก่อนหน้านี้ว่าขึ้นอยู่กับเวลาว่าฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน”

    เชฟฟิลด์วิเคราะสถานการณ์ให้ทุกคนในห้องได้รับทราบ

    “เอ๋”

    เอดินบาระร้องอุทานออกมา ก่อนจะทานวุ้นโยคัง บาร์บาทอสกับซาบาเนียก็จิบน้ำชา ส่วนอาคาชิก็ใช้ลมเป่าน้ำชาในถ้วยชาที่รูปแมวก่อนจะดื่ม และพอเธอดื่ม

    “ร้อน! ร้อนเกินไปแล้ว!”

    ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นพวกลิ้นแมว(พวกแพ้ของร้อน)

    เอดินบาระเอาไม้จิ้มจิ้มไปที่เมทัล คิวบ์สีดำ

    “ถ้าคืนนี่ไป จะปล่อยพวกเราไปหรือเปล่านะ?”

    “ไม่มีทางอยู่แล้ว”

    “ไม่มีทางปล่อยแน่”

    “ไม่มีทางรอดหรอก”

    เชฟฟิลด์ บาร์บาทอส ซาบาเนียพูดทำลายความหวังของเอดินบาระอย่างไม่ใยดี

    พอได้ยินแบบนั้นอาคาชิก็หน้าซีดยิ่งกว่าเดิม

    “ถ้าฉันโดนจับได้ มีหวังโดนจับไปทำซามิเซ็นแน่ เนี้ยว”

    อาคาชิหน้าซีดตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ในขณะที่เอดินบาระจิ้มโยคังชิ้นสุดท้ายแล้วเอาเข้าปาก ส่วนเชฟฟิลด์ บาร์บาทอส ซาบาเนียยังคงทานน้ำชาอย่างสงบ ระหว่างนั้น เมทัล คิวบ์สีดำก็ยังคงส่องแสงออกมา

     

    ที่เรือประจัญบาน โชวคาคุมองกองเรือไซเรนที่อยู่โดยรอบ

    “เด็กพวกนี้จะไม่เป็นไรแน่เหรอ ไม่ใช่ว่าพวกศัตรูคอยควบคุมอยู่”

    “รุ่นพี่อาคากิบอกว่า โอโรจิเป็นร่างต้นคงไม่เสียการควบคุมไป แถมเรายังมีกองทัพโมบิลสูทมาตั้ง 300 เครื่องเลยนะ”

    ซุยคาคุพูดอธิบายในพี่สาวของเธอฟัง โชวคาคุกระโดดลงมาอยู่ข้างๆ เธอ แต่โชวคาคุกลับมีสีหน้ากังวล

    “รุ่นพี่อาคากิเหรอ ไม่รู้ว่านางกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่ ในส่วนของท่านชินนันจูนั้นยังไม่ค่อยน่าห่วงเท่าไหร่”

    “พี่โชวคาคุ”

    ซุยคาคุลืมตาขึ้นแล้วหันมามองเธอ จากนั้นโชวคาคุก็หันไปทางด้านซ้ายแล้วกำหมัดยกขึ้นมาไว้ที่ระดับปาก

    “คนที่มีแผนอะไรในใจแบบนี้ พี่ไม่สบายใจเลย”

    ซุยคาคุได้ยินแบบนั้นก็ทำหน้าแปลกใจ ก่อนจะยิ้มและหัวเราะเจื่อนๆ ออกมา

    จากนั้นโชวคาคุก็เปลี่ยนเรื่องที่จะพูด

    “นี่ ซุยคาคุ คิดว่าหมอนั่นจะมามั้ย?”

    “หมอนั่น?”

    ซุยคาคุขมวดคิ้วเอียงคอสงสัย โชวคาคุก็หัวเราะคิกคัก

    “จะใครล่ะ ก็ชายในดวงตาของน้องไง”

    “เอ๊ะ!?”

    ซุยคาคุหน้าแดงและร้องเสียงหลง

    “พะ พูดอะไรของพี่น่ะ!?”

    “แหมๆ ก็ซุยคาคุดูแลดาบเล่มนั้นเป็นอย่างดีเลยนี่นา แถมยังไม่ยอมให้ห่างตัวเลยสักครั้ง”

    พอได้ยินแบบนั้นซุยคาคุก็กอดกาเบร่าสเตรทที่ถืออยู่ในมือไว้แน่น พอเห็นแบบนั้นโชวคาคุก็ยิ้มนึกสนุกก่อนแกล้งซุยคาคุต่อ

    ระหว่างที่โชวคาคุหยอกล้อกับซุยคาคุอยู่นั้น ทาคาโอะวางมือประดับดาบและหลับตาวินาทีถัดมาเธอก็ลืมตาขึ้น

    “ผิดพลาดจนปล่อยให้ศัตรูหนีไปได้ ยังไงก็ต้องล้างชื่อเสียให้ได้ แล้วก็ต้องตัดสินแพ้ชนะกับกันดั้มบาร์บาทอส ลูปัส เร็กให้ได้เลย”

    “โธ่ ทาคาโอะจัง ทำหน้ามุ่ยอีกแล้ว”

    อาตาโกะเข้ามาหาเธอจากทางด้านหลัง เอานิ้วจิ้มแก้มขวาของทาคาโอะแถมยังเอาหน้าเข้ามาใกล้เธอ ทำให้เธออายหน้าแดง

    เธอเป็นเรือลาดตระเวนหนัก สวมชุดสีขาวเหมือนทาคาโอะ แต่ต่างกันตรงที่เธอมีหูแมว

    “อาตาโกะ”

    ทาคาโอะตกใจที่จู่ๆ อาตาโกะโผล่พรวดเข้ามาจากทางด้านหลัง

    “อ้าว ไหล่แข็งทื่อไปหมดแล้ว”

    เธอเอามือนวดไหล่ทั้งสองข้างของทาคาโอะ

    “เดี๋ยวเถอะ”

    ทาคาโอะพยายามดิ้น อาตาโกะเอามือลูบหน้าท้องของเธอไล่ไปจนถึงต้นขา

    “ยะ อย่า!”

    เธอพยายามห้ามอาตาโกะไม่ให้ทำไปมากกว่านี้ด้วยใบหน้าที่เขินอาย

    อาตาโกะเห็นท่าทีเขินอายของทาคาโอะก็หัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน ทำเอาบรรยากาศตึงเครียดผ่อนคลายลง

    “อ้าว”

    ระหว่างนั้นเองอาตาโกะก็รู้สึกสายตาที่มองมาที่พวกเธอ เจ้าของสายตานั้นก็คืออายานามินั่นเอง

    “อายานามิจัง สนบ้างมั้ย?”

    ระหว่างที่เธอถามอยู่นั้น ทาคาโอะก็พยายามเอามือของอาตาโกะที่จับอยู่ที่เอวของเธอออก แต่ก็ไม่สำเร็จ

    “ไม่ อายานามิเกรงใจเป็นอย่างมาก... ค่ะ”

    เธอยกมือขึ้นมาปฏิเสธทันควัน

    “จับตรงไหนไม่ทราบ”

    ทาคาโอะพยายามดิ้นให้หลุด เธอเหวี่ยงแขนสุดแรง ทำให้อาตาโกะยอมปล่อยแล้วกระโดดหลบถอยหลัง

    “ให้ตายเถอะ นี่มันระหว่างภารกิจ ทำตัวจริงจังหน่อย”

    “ค่า ค่า”

    อาตาโกะตอบรับพลางยักไหล่

    “แล้วที่เกาะเป็นยังไงบ้าง?”

    อาตาโกะตะโกนถามซุยคาคุ ดูเหมือนว่าโชวคาคุจะยอมหยุดแกล้งเธอแล้วในระหว่างที่อาตาโกะแกล้งหยอกล้อทาคาโอะ เธอส่งกระแสจิตไปที่เครื่องบินสอดแนมของเธอซึ่งกำลังบินลาดตระเวนอยู่รอบเกาะ

    “ซากปรักหักพัง เหมาะแก่การหลบซ่อน การหาตัว คงไม่งายนัก”

     

    ที่เรือรบอีกลำหนึ่ง ที่ป้อมปืนใหญ่มีหญิงสาวสองคน คนหนึ่งยืนอยู่และสวมชุดกิโมโนสีดำ คือ ฟุโซว ส่วนคนที่นั่งอยู่ก็คือ ฟุรุทากะ

    “ร้อนใจไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา รอจนกว่าเครื่องบินสอดแนมจะหาเจอดีกว่า”

    “แต่ว่า ห่วงอาคาชิจังที่ถูกลักพาตัวไปมากเลยค่ะ คุณฟุโซว จะให้มาลอยชายแบบนี้คงไม่ได้”

    ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจผิดคิดว่าพวกเชฟฟิลด์ลักพาตัวอาคาชิไป

    ฟุโซวพยักหน้ารับ จากนั้นก็มีคาโกะก็วิ่งมาหาพวกเธอ

    “คุณฟุโซว ทางกองเรือเทคเคตซึรายงานมา”

    ห่างออกไปหลายกิโลเมตร พบกองเรือของอซูร์ เลนกำลังมุ่งหน้ามายังที่นี่

    “อซูร์เลน”

    นิมิเอ่ยชื่อนั้นออกมา

    “คะ ไม่ผิดแน่”

    สาวน้อยสวมชุดเครื่องแบบสีน้ำตาลและสวมแว่นรายงานผ่านวิทยุสื่อสารให้พวกเธอทราบ เธอคือเรือลาดตระเวนเบา เคิลน์

    ส่วนสาวน้อยที่ผมสีขาวที่ผูกผมหางม้าไว้ที่ข้างศีรษะ เธอคือเรือพิฆาต Z1 หรือเซตไอน์ เลเบรซ์ มาสส์ เธออยู่ในท่าคุกเข่า

    “เอาไงดี จะเก็บพวกนั้นก่อนดีมั้ย?”

    เธอยกนิ้วโป้งชี้ไปทางด้านหลังของเธอ

    “งานของพวกเราคือเฝ้าดูเกาะเอาไว้”

    ปรินซ์ออยเกนยกนิ้วชี้ขึ้นมาปรามเซตไอน์

    “ทางนั้น ให้กองเรือจูโอกับกองทัพโมบิลสูทจัดการเถอะ”

     

    ทางด้านกองพลโมบิลสูท

    “รายงานครับ พบกองเรือของอซูร์เลนจากทางทิศใต้กำลังมุ่งหน้ามาที่เกาะนี้ครับ”

    “เข้าใจล่ะ มาเพื่อช่วยพวกพ้องงั้นสินะ”

    ดินน์รายงานให้ผู้บัญชาการทราบ

    “แล้วกันดั้มมาด้วยรึเปล่า?”

    “ยังไม่ทราบครับ ทางเราได้ใช้สัญญาณตรวจจับแล้วแต่ก็หาไม่พบครับ”

    ดินน์รายงานผลการลาดตระเวนให้ผู้บัญชาการทราบ เขาขมวดคิ้วสงสัยและเอามือแนบคาง

    “เป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะไม่มา เราได้นำโมบิลสูทมาถึง 300 เครื่อง พวกคันเซย์ไม่มีทางต่อกรได้หรอก ที่ซ่อนตัวอยู่ก็มีแค่สองเครื่อง การจะตีฝ่าออกไปก็เป็นเรื่องยาก”

    ผู้บัญชาการพยายามคิดหาความเป็นไปได้ต่างๆ แต่ก็คิดไม่ตก

    ตอนนั้นเอง

    “พวกมันมาแน่”

    “!?”

    จู่ๆ ก็มีคนเข้ามาในห้องผู้บัญชาการของเรือรบ เขาเป็นโมบิลสูทสีดำสลับขาว มีส่วนที่เหมือนเขาที่ประดับอยู่ที่หมวกซามูไรสองเขา เขาก็คือหนึ่งในโมบิลสูทรุ่นพิเศษที่มีตำแหน่งทัดเทียมกับชินนันจู เขาก็คือ สุซาโนะโอะ

     

    “ท่านสุซาโนะโอะ ทำไมท่านถึงมาที่นี่ได้ล่ะครับ?”

    ผู้บัญชาการรีบลุกขึ้นมาทำความเคารพ ดินน์ซึ่งอยู่ในห้องด้วยก็รีบทำความเคารพ

    “จริงๆ ก็ว่าจะมาสังเกตการณ์เท่านั้น ถึงกันดั้มสองเครื่องนั่นจะซ่อนตัวอยู่ที่เกาะนี้ ก็คงไม่เกินมือพวกนายหรอกใช่มั้ย?”

    พอได้ยินแบบนั้นผู้บัญชาการก็พูดด้วยความมั่นใจ

    “ครับ แน่นอนครับ ไม่มีทางที่พวกมันจะฝ่าโมบิลสูทกว่า 300 เครื่องไปได้แน่ๆ ครับ”

    “แต่ถ้าเป็นกรณีที่พวกมันบุกมาจากด้านนอก ฉันจะเป็นจัดการพวกมันเอง”

    “รับทราบครับ”

    ผู้บัญชาการตอบรับคำพูดของสุซาโนะโอะ

     

    ทางฝั่งของอซูร์เลน

    “เกาะเล็กนิดเดียว แต่วิ่งปลูกสร้างเยอะไปหมด”

    “ดูเหมือนว่า เมื่อก่อนจะเป็นที่พักอาศัยซะเป็นส่วนใหญ่”

    หญิงสาวที่ไว้ผมสั้นสีเทาซึ่งมองดูภาพซากเมืองจากในแท็บเล็ตก็คือ เรือประจัญบาน โอกลาโฮม่า ข้างๆ เธอก็คือ เฮเลน่า

    “โห พังเลเทะไปหมด”

    แซนดิเอโกรู้สึกประหลาดใจต่อภาพซากปรักหักพังจากแท็บเล็ต

    “เกาะนี้ถูกทิ้งร้าง หลังจากไซเรนเข้าโจมตี”

    “เอ๋?”

    แซนดิเอโกตกตะลึงก่อนจะหันหามาเฮเลน่ากับโอคลาโฮมาที่ก้มหน้าลงและมีสีหน้าเศร้า

    “อะ อ่า”

     

    ที่เรือรบอีกลำ สาวน้อยผมสีชมพูผูกผมทรงแกละสองข้างและมีหูวัว ที่โชคเกอร์สีแดงมีระฆังสีเหลืองประดับติดไว้ สวมชุดสีดำสลับขาว เธอคือเรือลาดตระเวนหนัก ซัฟโฟล์ค

    “นกนางนวลสวยจัง”

    เธอมองดูนกนางนวลที่บินอยู่รอบเรือ

    สาวน้อยผมสีน้ำตาลผูกผมทรงหางม้าสั้นสวมชุดสีขาว เธอคือเรือประจัญบาน รีพัลส์

    “มีศัตรูตามที่คาดการณ์ไว้เลย แต่ว่ามันไม่เยอะไปหน่อยเหรอ โดยเฉพาะพวกโมบิลสูทนี่มีกันตั้ง 300 เครื่องเห็นจะได้นะเนี่ย”

    “เอ๋ เป็นอะไรไปเหรอคะ?”

    เด็กสาวท่าทางขี้อายสวมฮู้ดสีแดงมีริบบิ้นสีดำติดเอาไว้ที่ฮู้ด สวมชุดกระโปรงสีขาวสลับดำ เธอมีผมสีน้ำตาลอ่อน เธอคือ เรือลาดตระเวนหนัก นอร์ฟอล์ก

    “ทั้งที่เป็นคนเหมือนกัน พวกเราทำอะไรอยู่กันแน่”

    “จะว่าไปแล้ว พวกคุณเวลส์อยู่ที่ไหนเหรอคะ?”

    นอร์ฟอล์กเอ่ยถามรีพัลส์ เธอจึงตอบกลับไป

    “ตอนนี้กำลังประชุมวางแผนกันอยู่น่ะ ที่เรือรบลำนั้น”

    เธอชี้ไปยังตำแหน่งที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย ไม่สิ ต้องบอกว่าเรือลำนั้นกำลังล่องหนอยู่ต่างหาก และที่สำคัญเรือรบลำนั้นไม่แล่นอยู่บนทะเลและบินอยู่บนท้องฟ้า ซึ่งเรือรบลำนั้นก็มีที่มาเหมือนกันกับกันดั้มและโมบิลสูทที่อยู่ฝั่งของชินนันจู เรือรบลำนั้นมีชื่อว่า ปโตเลไมออส 2 ไคหรืออีกชื่อ ปโตเลมี

     

    เรื่องของเรือรบลำนี้คงต้องย้อนกลับไปในวันที่พวกอากิระกลับมาจากภารกิจช่วยเหลือเรือรบจากตงหวง

    หลังจากที่พวกเขาเข้าเทียบท่าแล้วลงมาที่ท่าเรือกันแล้ว ตอนนั้นเองก็มีแสงเจิดจ้าส่องสว่างไปทั่วท่าเรือ ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่ท่าเรือต้องเอามือมาบังแสงจ้านั้น เมื่อแสงจางหายไป ทุกคนก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่ปรากฏออกมาจากแสง มันคือยานรบที่กำลังบินอยู่กลางอากาศ

    “นั่นมัน ปโตเลไมออส/ปโตเลมี”

    อากิระ คันดะ เรย์พูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเขาจำยานรบลำนี้ได้ มันคือยานแม่ของกันดั้มในซีรี่ย์กันดั้มดับเบิ้ลโอ ตัวยานมีส่วนยื่นโลหะออกมาจากกราบซ้ายขวา ยานมีลักษณะยาวเรียบ สีของยานมีสีฟ้าสลับขาว ตัวยานมีการติดตั้งอาวุธอย่าง GN แคนน่อน และ GN มิสไซล์ แต่ที่สำคัญดูเหมือนขนาดของยานจะเล็กลง

    “เรือลำนี้ไม่ได้แล่นอยู่บนน้ำ แต่บินอยู่บนท้องฟ้า”

    คลีฟแลนด์พูดออกมาด้วยสีหน้าตกตะลึง

    ปโตเลไมออสร่อนลงมาเทียบท่า ประตูทางเข้ายานก็เปิดออก บันไดถูกเลื่อนลงมาที่พื้นเบื้องล่าง

    “ดูเหมือนจะให้พวกเราเข้าไปในยานนะ”

    อากิระพูดขึ้นมาก่อนจะเริ่มก้าวเดิน

    “จะไม่เป็นอันตรายเหรอ?”

    เอ็นเทอร์ไฟรซ์เอ่ยถามเนื่องจากพวกเธอไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นภายในยานหรือนี่จะเป็นกับดัก

    “จะระวังก็ไม่แปลกหรอก ถ้าคนที่อยู่ในยานลำนั้นตั้งใจจะโจมตีพวกเราก็คงจะทำไปนานแล้ว ยานลำนั้นติดตั้ง GN แคนน่อนกับ GN มิสไซล์เอาไว้ ถ้าคิดจะโจมตีพวกเราคงไม่ต้องมาเปิดประตูยานให้พวกเราเข้าไปหรอก”

    อากิระอธิบายให้เอ็นเทอร์ไฟรซ์เข้าใจ ก่อนที่เขา คันดะกับเรย์จะเริ่มเดินขึ้นบันไดเข้าไปในยาน คนอื่นๆ ที่อยู่ที่ท่าเรือ อย่าง เอ็นเทอร์ไฟรซ์ คลีฟแลนด์ เบลฟาสต์ เวลส์ อิลลัสเทรียส แฮมมานน์ก็เดินตามพวกเขาเข้าไปในยาน พวกเขาเดินไปตามทางจนไปถึงห้องบังคับการ

    เมื่อพวกเขาเข้าไปในห้องตรงเก้าอี้กัปตันยานก็มีหญิงสาวลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหาพวกเขา เธอเป็นหญิงสาวที่งดงาม เธอมีผมสีเงินสวย ผมเธอยาวไปจนถึงสะโพก เธอมีเรือนร่างที่งดงามราวกับเทพธิดา เธอสวมชุดเครื่องแบบของเซเลสเชียลบีอิ้ง สีของชุดเธอเป็นสีชมพู จากนั้นเธอก็เริ่มแนะนำตัว

    “ยินดีที่ได้พบเหล่ากันดั้มไมสเตอร์และเหล่าคันเซย์ทุกคน ชื่อของฉันคือ ปโตเลมี ฉันเป็นคันเซย์ของยานปโตเลไมออส 2 ไคลำนี้”

    ปโตเลมีแนะนำตัวให้ทุกคนได้รู้จัก อากิระก็เริ่มพูดเป็นคนแรก

    “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน แต่จะว่าไป ทำไมเธอถึง...”

    อากิระอยากจะถามเธอ แต่เธอก็พูดอธิบายก่อน

    “ที่ฉันมาปรากฏตัวได้ก็เพราะพวกคุณสามคนได้เข้าร่วมกับอซูร์เลนและมีเป้าหมายเดียวกันในการหยุดสงครามค่ะ เงื่อนไขในการปรากฏตัวของฉันคือ กันดั้มจะต้องรวมตัวกันตั้งแต่สามเครื่องขึ้นไป รวมถึงมีเป้าหมายในการหยุดสงครามค่ะ”

    เมื่อได้รับฟังคำอธิบายอากิระ คันดะ เรย์ก็พยักหน้าเข้าใจ เพราะพวกเขามีความตั้งใจที่จะหยุดสงคราม

    “แล้วเธอมีหน้าที่อะไรล่ะ?”

    คราวนี้เอ็นเทอร์ไฟรซ์เป็นฝ่ายถามบ้าง ปโตเลมีจึงตอบไปว่า

    “หน้าที่ของฉันคือการสนับสนุนเหล่ากันดั้มและคันเซย์ค่ะ”

    “ทำหน้าที่สนับสนุนพวกเรา?”

    เวลส์มีสีหน้าประหลาดใจเมื่อได้ยินสิ่งที่ปโตเลมีพูดออกมา เธอก็พยักหน้ารับ

    จากนั้นพวกเขาก็คุยรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ จนเสร็จเรียบร้อย

    ปโตเลมีจึงอาสาพากทุกคนเดินชมยานปโตเลไมออส ไม่ว่าจะเป็นห้องพักของลูกเรือและกันดั้มไมสเตอร์ ห้องเครื่อง ห้องพยาบาล รวมถึงส่วนที่ใช้ซ่อมแซมกันดั้ม เธอได้อธิบายวิธีใช้สถานที่นั้นให้พวกอากิระได้รับรู้

    “พวกคุณสามคนสนใจอยากจะลอง “ไอ้นั่น” หน่อยมั้ยล่ะคะ?”

    “““แน่นอนอยู่แล้ว!”””

    พอได้ยินที่ปโตเลมีบอก พวกเขาก็ตาลุกวาวเป็นประกายทันที “ไอ้นั่น” ถ้าเป็นคนที่ชื่นชอบกันดั้มแล้วล่ะก็ ไม่มีทางที่จะไม่รู้ว่า “ไอ้นั่น” ที่พูดถึงคืออะไร ส่วนพวกสาวๆ คันเซย์ต่างแสดงสีหน้างุนงง

    อากิระไปที่คาตาพัลท์ฝั่งขวา ส่วนคันดะกับเรย์อยู่คาตาพัลท์ฝั่งซ้าย

    ที่ห้องบังคับการ ปโตเลมีกับพวกสาวกำลังมองดูภาพหน้าจอหลัก

    “คาตาพัลท์?”

    “ค่ะ มันคือระบบที่ใช้ในการส่งตัวโมบิลสูทออกรบค่ะ ระบบนี้จะช่วยเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ของโมบิลสูท”

    ปโตเลมีอธิบายระบบคาตาพัลท์ให้คลีฟแลนด์และคนอื่นๆ ฟัง เธอก็พยักหน้ารับ

    “คาตาพัลท์ ออล กรีน พร้อมส่งตัวทุกเมื่อค่ะ”

    เมื่อได้ยินสัญญาณของปโตเลมี อากิระที่แปลงร่างเป็นกันดั้มดับเบิ้ลโอ สกายก็พูดประโยคนั้นออกมา

    “อากิระ กันดั้มดับเบิ้ลโอ สกาย----”

    วิ้ง!

    ดวงตาส่องแสงวาบวูบหนึ่ง

    “ทำการกำจัดเป้าหมาย”

    เมื่อพูดจบประโยค คาตาพัลท์ก็ทำการส่งตัวกันดั้มดับเบิ้ลโอ สกายบินออกจากตัวยาน

    “คันดะ อัลทรอน กันดั้ม ออกตัว”

    ตามด้วยคันดะก็พูดออกมาเหมือนกันแต่ต่างกันที่คำลงท้าย

    สุดท้ายก็

    “เรย์ ราฟาเอล กันดั้ม ทำการกวาดล้างเป้าหมาย”

    พวกสาวๆ ทำหน้าประหลาดใจต่อฉากการออกตัวของพวกอากิระ

    “เอ่อ คือ...”

    เอ็นเทอร์ไฟรซ์รู้สึกลังเลที่จะถามปโตเลมี

    “นี่เป็นเรื่องปกติในการออกตัวของโมบิลสูทค่ะ”

    “งะ งั้นเหรอ”

     

    กลับมาที่เวลาปัจจุบัน ที่ห้องวางยุทธวิธีของยานปโตเลไมออส 2 ไค เวลส์ คลีฟแลนด์ เอ็นเทอร์ไฟรซ์ เบลฟาสต์ อากิระ คันดะ เรย์กำลังประชุมวางแผนการรบ

    แผนที่เกาะและรูปแบบการวางกำลังของฝ่ายจักรวรรดิซากุระ เทคเคตซึ และโมบิลสูท

    “พวกนั้น ชิงความได้เปรียบไปแล้ว”

    คลีฟแลนด์มองดูแผนที่ที่ฉายอยู่บนพื้น

    “เท่านี้ เราก็แน่ใจได้สักทีว่าทั้งสี่คนนั้น อยู่บนเกาะ”

    เวลส์มั่นใจแล้วว่าทั้งสี่คนยังปลอดภัยอยู่ เพราะสถานการณ์ในตอนนี้อีกฝ่ายทำเพียงเฝ้าจับตาดูความเคลื่อนไหวเท่านั้น

    “แล้วตั้งใจจะไปช่วยยังไง ถูกล้อมไว้แบบนั้นตีฝ่าไปคงลำบาก”

    “เป้าหมายคือการช่วยเหลือ ไม่อยากทำอะไรบุ่มบ่าม ให้ทั้งสี่คนนั้นตกอยู่ในอันตราย แต่ว่า...”

    ใช่แล้ว อีกฝ่ายมีโบมิลสูทอยู่ถึง 300 เครื่อง การจะช่วยเหลือพวกเขาจึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากๆ

    “ในส่วนของพวกโมบิลสูท พวกเราสามคนจะเป็นคนรับมือเอง ส่วนพวกเธอก็แบ่งคนไปทำหน้าที่เป็นตัวล่อเพื่อดึงความสนใจของจักรวรรดิซากุระ”

    อากิระอธิบายแผนการรบให้ทุกคนในห้องวางกลยุทธ์ฟัง

    “จากนั้นก็ให้คนที่อยู่ในทีมช่วยเหลือใช้ช่วงที่กำลังชุลมุนกันอยู่บุกเข้าไปในเกาะ”

    ปโตเลมีแสดงแผนการรบให้ทุกคนดูจกหน้าจอที่ฉายอยู่บนพื้น

    “เข้าใจแล้ว ถ้างั้นก็มาเริ่มจัดวางกำลังคนกัน”

    เวลส์พูดปิดการประชุม จากนั้นพวกเขาก็จัดวางกำลังคนไม่ว่าจะเป็นทีมตัวล่อเพื่อดึงความสนใจ และทีมบุกเพื่อเข้าไปช่วยเหลือ

    หลังจากจัดวางกำลังคนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็เดินออกจากห้องวางยุทธวิธี

    อากิระเดินคู่กับเอ็นเทอร์ไฟรซ์ขณะที่เบลฟาสต์เดินตามหลังทั้งสองคน

    เอ็นเทอร์ไฟรซ์เหลือบมองมาที่เบลฟาสต์ ในตอนที่อยู่ในห้องวางยุทธวิธีเบลฟาสต์จ้องมองแผนที่อย่างใจเย็น

    “ใจเย็นเหลือเกิน”

    “คะ”

    พอได้ยินเสียงของเอ็นเทอร์ไฟรซ์ เบลฟาสต์ก็มองมาที่เธอ จากนั้นพวกเธอก็หยุดเดิน

    “ไม่เป็นห่วงบ้างเหรอ ที่อยู่บนเกาะคือเพื่อนร่วมงานใช่มั้ย?”

    “ค่ะ เป็นเมดที่คอยรับใช้ราชินีเหมือนกัน”

    พอได้ยินแบบนั้น เอ็นเทอร์ไฟรซ์ก็เอามือแนบคางครุ่นคิด

    “แปลกมาก ทั้งที่เป็นเรือ แต่กลับพูดถึงเรื่องเมดกับราชินีแบบนี้ อย่างกับมนุษย์”

    เธอพูดพลางเหลือบมองชุดเมดของเบลฟาสต์

    “อย่างกับมนุษย์...”

    เมื่อได้ยินคำพูดนั้นของเบลฟาสต์ เอ็นเทอร์ไฟรซ์ก็ทำหน้าแปลกใจ

    “นั่นคือสิ่งที่อยากพูดใช่มั้ย?”

    เธอก้มหน้าลงไม่พูดอะไร

    “ไม่ได้ต่างกัน”

    “เอ๋?”

    “ทั้งคนและเรือ รวมถึงโมบิลสูท ไม่ได้แตกต่างกัน ต่างมีหัวใจและมีชีวิต”

    “เปล่า พวกเราเกิดมาเพื่อต่อสู้ ต่างจากมนุษย์”

    เบลฟาสต์พยักหน้ารับ

    “ค่ะ เมื่อมีพลังอันยิ่งใหญ่ ย่อมมาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง”

    “ถูกต้อง ต้องจัดการศัตรู”

    “แค่นั้นไม่เพียงพอ พวกเราจำต้องพิสูจน์ให้เห็น”

    “พิสูจน์เหรอ”

    เอ็นเทอร์ไฟรซ์ขมวดคิ้วสงสัย

    “ว่า เธอไม่ใช่เครื่องจักรสงครามที่รู้จักแต่การต่อสู้ แต่เป็นมนุษย์”

    อากิระที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอพูดขึ้นมา เบลฟาสต์พยักหน้ารับ

    “ใช่ค่ะ ไม่ว่า จะเจอชีวิตที่ยากลำบากแบบไหนบนโลก เราก็ยังใช้ชีวิตอันสูงส่งได้ พวกเราจำต้องทำตัวเป็นตัวอย่าง เพื่อให้เหล่าผู้คนที่หลงทาง”

    เอ็นเทอร์ไฟรซ์กับอากิระแสดงสีหน้าประหลาดใจ เบลฟาสต์จับชายกระโปรงแล้วเลิกขึ้น

    “เพื่อการนั้น เราจำเป็นต้องสง่างามอยู่ตลอด นั่นคืองานของเมด”

    จากนั้นก็เธอก็ปล่อยกระโปรงกลับสู่สภาพเดิม

    “วิธีคิดต่างจากยูเนี่ยนจริงๆ”

    “เป็นวิธีคิดที่สมกับเป็นเมดจริงๆ”

    “แน่นอนค่ะ เพราะอย่างนั้นพวกเราอซูร์เลนถึงต้องช่วยเหลือกัน รอยัล, ยูเนี่ยน, ตงหวง, ไอริส(ประเทศเสรีไอริส), ฮปโฟ เรนโง(สหพันธ์ฝั่งเหนือ), เทคเคตซึกับจูโอก็เหมือนกัน”

    เบลฟาสต์เหลือบมองมาที่อากิระกับเอ็นเทอร์ไฟรซ์

    “เมื่อก่อนก็เคยเป็น”

     

    อีกด้านหนึ่งที่เรือของเอ็นเทอร์ไฟรซ์ จาเวลินกับลาฟฟี เธอยืนอยู่ข้างๆ ป้อมปืน ส่วนลาฟฟีนั่งอยู่บนที่กำบัง พวกเธอมองไปยังเรือรบสองลำซึ่งเป็นเรือของจักรวรรดิซากุระ

    “อายานามิจัง จะมามั้ย?”

    “อาจจะ”

    “ถ้าเจอกันครั้งต่อไป ฉันคง...”

    จาเวลินมีสีหน้าเจ็บปวด เพราะเธอไม่อยากสู้กับอายานามิ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×