ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Azur Lane] Gundam Azur Lane

    ลำดับตอนที่ #26 : ตอนที่ 25 โหมโรงก่อนศึกสุดท้าย 1

    • อัปเดตล่าสุด 19 ม.ค. 67


    ณ โลกแห่งความฝัน

    เอ็นเทอร์ไพรต์กำลังยืนอยู่บนทะเลที่มีแสงจากทะเลเพลิงส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด ซึ่งเต็มไปด้วยซากเรือรบ

    “ภาพนี้อีกแล้ว...”

    เธอหันไปมองหญิงสาวสวมผ้าคลุมสีดำที่ยืนหันหลังให้เธอ

    “แกเป็นใครกัน?”

    เอ็นเทอร์ไพรซ์เอ่ยถามเธอ

    “ต้องการอะไรจากฉันกันแน่ ถึงแสดงสิ่งนี้ให้ดู?”

    “สงคราม...”

    หญิงสวมผ้าคลุมหรืออัลเทอร์เนทีฟ เอ็นเทอร์ไพรซ์หันมาหาเธอ

    “ฉันน่ะผ่านมามาก ข้ามผืนทะเล ผ่านกาลเวลา ต่อสู้มาตลอด”

    อัลเทอร์เนทีฟ เอ็นเทอร์ไพรซ์ยกมือขวาขึ้นมา จากนั้นก็มีลูกบาศก์สีดำปรากฏขึ้นมาลอยอยู่บนมือของเธอ และดวงตาของเธอก็กลายเป็นสีแดง

    “การต่อสู้ที่ไม่มีวันจบ ทะเลที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟนี้ คือหนทางอันแดงฉานของฉัน เธอเองก็อีกไม่นานหรอก”

    แล้วจากนั้นเอ็นเทอร์ไพรซ์ก็ถูกดึงกลับไปยังโลกแห่งความจริง

    ณ โลกแห่งความจริง

    เบลฟาสต์มาปลุกเธอตามปกติ เธอเปิดผ้าม่านให้แสงแดส่องเข้ามาในห้อง เอ็นเตอร์ไพรซ์ตื่นขึ้นในสภาพที่โชกไปด้วยเหงื่อ

    “อรุณสวัสดิ์ค่ะ หลับสบายดีไหมคะ?”

    เบลฟาสต์กล่าวทักทายเธอในยามเช้า

    “เบลฟาสต์...”

     

    เวลาต่อมา

    “เอ็นเทอร์ไพรซ์ สภาพเธอดูไม่ดีเลยนะ เพราะฝันนั่นอีกแล้วเหรอ?”

    “อืม...”

    อากิระคุยกับเอ็นเทอร์ไรซ์ระหว่างทางข้าวเช้าด้วยกัน

    “มันเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย”

    ความฝันนั้นเริ่มจะทำให้เธอย่ำแย่ลงเรื่อยๆ เอ็นเทอร์ไพรซ์เคยเล่าความฝันนั้นให้อากิระฟัง บอกตามตรงเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับมันยังไงดี

    “มันต้องมีสักทางแหละน่า ที่จะหยุดความฝันนั่นได้”

    อากิระเอามือกอดอกพูดให้กำลังใจเอ็นเทอร์ไพรซ์

    “ฉันก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้น”

    แล้วเธอก็ยิ้มให้เขา

     

    ที่บริเวณทางเดินของโรงเรียน

    คลีแฟลนด์กำลังเดินคุยกับปรินซ์ออฟเวลส์

    “จักรวรรดิซากุระสูญเสียกำลังรบไปบางส่วน คงต้องใช้เวลาฟื้นตัวสักพัก แต่ว่าพวกเราเองก็ไม่พร้อมที่จะใช้โอกาสนี้เหมือนกัน”

    “เรืองเมทัลคิวบ์สีดำใช่ไหมล่ะ? แล้วก็เรื่องเอ็นเทอร์ไพรซ์ด้วย”

    “มีแต่ปัญหาเยอะแยะไปหมด”

    ที่ห้องเรียน

    เบลฟาสต์กับคนอื่นๆ ต่างมามุงดูเมทัลคิวบ์สีดำ

    “รู้อะไรเพิ่มบ้างหรือเปล่า?”

    ทุกคนหันมามองปรินซ์ออฟเวลส์กับคลีฟแลนด์เดินลงมา

    อมาซอนส่ายหน้าไปมา

    “ไม่รู้อะไรเลย ไม่เกิดอะไรขึ้นสักนิด”

    “เดิมทีเราก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเมทัลคิวบ์มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

    คันเซย์เรือบรรทุกเครื่องบินขนาดเบา แลงลีย์กล่าวต่อ

    “หรือก็คือเป็น “กล่องเ” ตามชื่อของมันเลยอย่างนั้นสินะ”

    รอยัล อาร์คพูดขึ้น แต่เธอจะเท่กว่านี้ถ้าไม่มีนิตยสารโลลิ

    ทุกคนต่างจ้องมองไปยังเมทัลคิวบ์สีดำที่วางอยู่บนโต๊ะอาจารย์ด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีเพราะมันปล่อยบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกเหมือนลางร้ายออกมา แถมมันยังเรืองแสงออกมาด้วย

    “รู้สึกว่ามันจะเรืองแสงมากกว่าเดิมหรือเปล่า?”

    คลีฟแลนด์ที่สังเกตเห็นว่าเมทัลคิวบ์สีดำมันเรืองแสงออกมามากกว่าเดิมก็บอกให้ทุกคนรู้

    “ของที่เกี่ยวกับไซเรนน่ะ... ควรจะถือว่าเป็นสัญญาณอันตรายไว้ก่อนเลยดีกว่า”

    ปรินซ์ออฟเวลส์พูดขึ้น

    “ถ้าไซเรนมายุ่งกับพี่อีกล่ะก็จะไม่ยกโทษให้เด็ดขาดเลย”

    ฮอร์เน็ตพูดด้วยเสียงที่แฝงด้วยความโกรธต่อสิ่งที่ไซเรนทำกับพี่สาวของเธอ ก่อนจะหันมาถามเบลฟาสต์

    “แล้วพี่เป็นยังไงบ้างเหรอ?”

    “ก็น่าเป็นห่วงอยู่ค่ะ แต่ก็ได้ท่านอากิระดูแลอยู่”

    “งั้นเหรอ... หวังว่าเขาจะช่วยให้พี่ไม่ต้องทรมานอยู่คนเดียวนะ”

    ฮอร์เน็ตก้มหน้าลงและมีสีหน้าเศร้า เธอไม่รู้ว่าทำไมพี่สาวของเธอถึงต้องทรมานอยู่คนเดียวด้วย

    ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างพากันเงียบ ก่อนที่สักพักอาคาชิจะส่งเสียงออกมาพลางเอามือกุมศีรษะ

    “อ๊า! แล้วทำไมอาคาชิต้องก่อปัญหาวุ่นวายแบบนี้ด้วยเนี้ยว!?”

    “ตอนนี้อาคากิที่เป็นหัวหอกในการไปเข้าพวกกับไซเรนก็ไม่อยู่แล้ว แล้วคากะจะทำยังไงต่อนะ น่ากังวลจริง”

    ปรินซ์ออฟเวลส์ยกมือขวาขึ้นมาจับคางครุ่นคิด

    อาคาชิฟุบลงบนโต๊ะแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน

    “จักรวรรดิซากุระจะเป็นอะไรไหมนะ เนี่ยว?”

    เธอกังวลว่าจักรวรรดิซากุระจะเป็นอะไรรึเปล่า ยังที่นั่นก็ยังเป็นบ้านของเธออยู่

     

    ที่ห้องอาบน้ำพวกจาเวลินเข้าไปอยู่ในห้องซาวน่า

    “ร้อนจัง”

    ลาฟฟีพูดขึ้น ระหว่างจาเวลินเหลือบมองอายานามิที่นั่งเงียบมาตลอด

    “ไหวหรือเปล่าอยานามิจัง พอก่อนไหม?”

    อายานามิที่ได้ยินเสียงของเรียกของจาเวลินก็ได้สติแล้วหันหน้ามาหาเธอก่อนจะหันหน้ากลับ

    “ก็แค่คิดอะไรนิดหน่อยค่ะ”

    จาเวลิน ลาฟฟี ยูนิคอร์นหันหน้ามามองอายานามิ

    “เป็นห่วงเพื่อนที่จักรวรรดิอยู่ค่ะ พวกอซูร์เลนเป็นคนดีกันทุกคนเลยค่ะ แต่ว่าพรรคพวกที่จักรวรรดิซากุระเองก็สำคัญกับฉันเช่นกันค่ะ”

    อายานามิหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

    “อายานามิอยากจะช่วยจักรวรรดิซากุระทุกคนค่ะ”

    ตอนนั้นเองจาเวลินเดินยืนอยูข้างหน้าแล้วกุมมือเธอเอาไว้ด้วยสองมือ

    “อื้อ! อื้อ! มาพยายามไปด้วยกันเถอะ อายานามีจัง!”

    “ถ้าเป็นคนสำคัญของอายานามิแล้ว ก็จะเป็นคนสำคัญของลาฟฟีด้วยเหมือนกันนะ”

    ลาฟฟีพูดขึ้น เพื่อนของอายานามิก็คือเพื่อนของเธอ

    อายานามิก้มหน้าลงและมีสีหน้ากังวล

    “ไม่รู้ว่าควรทำยังไงอยู่ดีค่ะ”

    “ไม่เป็นไรหีอกค่ะ ก็ตอนนี้พวกเราเป็นเพื่อนกันแล้วนี่ เพราะงั้นต้องคืนดีกับทุกคนที่จักรวรรดิซากุระได้แน่นอน”

    ยูนิคอร์นพูดให้กำลังใจอายานามิ เธอหันมามองยูนคอร์น ก่อนจะมองจาเวลินที่พยักหน้าให้เธอ จากนั้นลาฟฟีกับยูนิคอร์นก็พยักหน้าให้อายานามิพร้อมกัน

    “ขอบคุณนะคะ ทุกคน”

     

    ทางด้านห้องประชุมบนยานปโตเลไมออส 2

    อากิระ ดันดะ เรย์ คาซามิและฮายาโตะกำลังประชุมกันโดยมีปโตเลมีอยู่ด้วย

    “ตอนนี้ทางจักรวรรดิซากุระยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร กองทัพของชินันจูเองก็เช่นกัน”

    “ไซเรนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเคลื่อนไหวเหมือนกัน”

    “พวกมันกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่?”

    เรย์กอดอกและมีสีหน้าเครียด

    “ตั้งแต่ที่อาคากิหายตัวไป จักรวรรดิซากุระก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย ทางฝั่งโมบิลสูทเองด้วย การต่อสู้ในมิติตอนนั้นน่าจะสร้างความเสียหายให้กับเราทั้งสองฝ่าย”

    ปโตเลมีวิเคราะห์สถานการณ์การรบที่เกิดขึ้นในมิติทะเลน้ำแข็ง

    “หากสถานการณ์ยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปคงหาข้อสรุปของการต่อสู้ไม่ได้แน่”

    “ทั้งที่พวกเราควรจะร่วมมือกันต่อสู้กับไซเรนแท้ๆ บ้าจริง”

    เรย์กำหมัดซ้ายชกมือขวาอย่างไม่สบอารมณ์

    “แล้วทางเอ็นเทอร์ไพรซ์ล่ะ?”

    “สภาพของเธอมีแต่จะแย่ลง อากิระเองก็ไม่รู้จะจัดการยังไงเหมือนกัน คงได้แต่ประคองอาการให้คงทีเท่านั้น”

    “ชิ! เพราไอ้ลูกบาศก์สีดำนั่นแท้ๆ”

    เมื่อได้ฟังปโตเลมีเล่าอาการของเอ็นเทอร์ไพรซ์ให้ทุกคนฟัง ทุกคนก็ได้แต่ทำหน้าเครียดเพราะไม่รู้จะช่วยเธอยังไงดี

     

    ทางฝั่งจักรวรรดิซากุระ ณ ตำหนักกลางทะลสาบ ใต้ต้นซากุระต้นใหญ่

    “จะผนึกโอโรจิงั้นเหรอ?”

    “แค่ระงับโครงการเอาไว้ชั่วคราวเท่านั้น”

    นางาโตะกล่าวกับคากะว่าจะผนึกโอโรจิ ทำให้เธอไม่พอใจ

    “อาคากิก็ไม่อยู่แล้ว โครงการคงเดินหน้าต่อไม่ได้หรอก”

    “ใครเป่าหูมากัน”

    “เป็นความคิดของเราเพียงผู้เดียวน่ะ”

    “คิดง่ายไปแล้ว นางาโตะ ถ้าไม่มีโอโรจิ จักรวรรดิซากุระคงไร้อนาคต”

    คากะยังคงยืนกรานที่จะดำเนินโครงการโอโรจิต่อ นางาโตะเหลือบมองมาที่เธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย

    “คากะ เจ้าควรพักผ่อนบ้างนะ เห็นชัดเลยว่า การจากไปของอาคากินั้นส่งผลต่อเจ้า พักผ่อนให้หัวใจได้ฟื้นฟูเสียบ้าง”

    “นางาโตะ!”

    คากะส่งเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธออกมา แต่นางาโตะก็หาได้สนใจไม่

    “การตัดสินใจนี้ถือว่าเด็ดขาด จงไปได้แล้ว”

    นางาโตะสั่งคากะด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ทำให้คากะได้แต่กัดฟันด้วยความโกรธแล้วเดินจากไป

     

    เวลากลางคืน ณ ร้านอาหาร

    อิเสะนั่งดื่มเหล้าที่ระเบียง

    “ดูจะยุ่งยากขึ้นมาแล้วสินะ”

    ภายในห้องนอกจากเธอก็มี ฮิวงะ โซริว ฮีริว โชวคาคุและอาตาโกะ

    “โครงการโอโรจิก็โดนสั่งพักไปแล้ว ไซเรนรุ่นผลิตจำนวนมาก็ดันใช้ไม่ได้อีก มิดแปดด้านชัดๆ”

    ฮิวงะกล่าวพลางรินเหล้าใส่จอก อาตาโกะก็ดื่มเหล้าอึกหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น

    “เป็นห่วงอายานามิจังกับอาคาชิจัง”

    “ถ้าไม่เหงาก็คงจะดีนะ”

    “แผนทั้งหมดนี่มันไม่ไหวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

    “เราไม่ควรฝากชคชะตาของจักรวรรดิซากุระไว้กับสิ่งที่เราไม่รู้จักหรอกนะ”

    “มันไม่ได้พูดง่ายอย่างนั้นหรอก”

    โซริวพูดขึ้นก่อนจะใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาเข้าปาก

    “ฝักอักษะแดงเองก็ไม่ได้ญาติดีกันขนาดนั้น”

    ฮีริวพูดต่อ จริงอย่างที่เธอพูดความสัมพันธ์ภายในฝ่ายอักษะแดงไม่ได้ดีอย่างที่ตาเห็น

    “จะให้เลือดเล็กเห็นความอ่อนแอนี้ไม่ได้เด็ดขาด”

    “แต่ศัตรูที่แท้จริงของเราคือไซเรนไม่ใช่หรือไงกัน”

    “...........”

    ฮิวงะพูดขึ้น ทำให้ทุกคนที่อยู่ภายในห้องเงียบกันหมด

    อิเสะมองออกไปยังทะลท่ามกลางแสงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า ระหว่างนั้นเองกลีบดอกซากุระก็ลอยมาจอกเหล้าของเธอ

    ภายในเมืองที่บริเวณสะพาน ระหว่างที่ทาคาโอะกับซุยคาคุกำลังเดินอยู่นั้นพวกเธอก็ได้ยินการพูดคุยกันของสามสาวจิ้งจอก จิ้งจอกสาวผมแดงชื่อนากะ จิ้งจอกสาวคนที่สองผมสีบลอนด์ชื่อเซนได และจิ้งจอกสาวคนที่สามชื่อจินสึ

    คนซ้ายสุด นากะ คนกลาง เซนได คนขวาสุด จินสึ

    “จากนั้นจะทำยังไงต่อดีนะ”

    “ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอก แค่ทำในสิ่งที่ควรทำเท่านั้น”

    “สิ่งที่พึ่งพาได้ในตอนสุดท้ายมีแค่พลังของตัวเองนั่นแหละ”

    ทาคาโอะกับซุยคาคุหยุดเดินตรงกลางสะพาน

    “รู้สึกยังไงบ้างล่ะ?”

    “ไม่เป็นไรแล้วล่ะ พร้อมสู้ทุกเวลาแล้ว”

    “ได้ยินแบบนี้ก็น่ายินดี”

    ทาคาโอะที่เห็นว่าซุยคาคุหายดีแล้วก็ยิ้มออกมา ก่อนที่รอยยิ้มของเธอจะหายไปแทนที่ด้วยสีหน้ากังวล

    “แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีเอาซะเลย เกรงว่าจะไม่ใช่แค่จักรวรรดิซากรุะ แต่ทุกอย่างจะมุ่งหน้าไปสู่โชคชะตาอันเลวร้าย”

    แม้ทาคาโอะจะมีสีหน้ากังวล แต่ซุยคาคุกลับยังคงมีสีหน้ามุ่งมั่น

    “เพราะแบบนั้นจึงขึ้นอยู่กับพวกเราต้องลงมือทำอะไรสักอย่างแล้วสินะ”

    ได้ยินดังนั้นทาคาโอะก็มีสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะยิ้มและพยักหน้าให้เธอ

    จากนั้นซุยคาคุก็นึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นที่พวกจาเวิลนช่วยอายานามิจากวิกฤต เธอหันไปจับราวสะพาน

    “คงจะปล่อยให้เด็กพวกนั้นพยายามอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้หรอก พวกเขาก็เหมือนกัน”

    “เหล่ากันดั้มน่ะเหรอ?”

    ทาคาโอะเอ่ยถามเธอ ซุยคาคุหันมาพยักหน้าก่อนจะหันกลับ

    “พวกเราเองก็ต้องเปลี่ยนด้วย”

    ณ ฐานทัพของคเรไนซุยเซย์

    ชินันจูกำลังประชุมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพ

    “สถานการณ์ของอักษะแดงเริ่มไปในทิศทางที่ไม่ดีแล้ว”

    “อืม จะโดนแทงข้างหลังเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาล่ะนะ”

    ซูซาโนโอะพูดขึ้นพลางเอามือกอดอก

    “ไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เอาซะเลย”

    ฟอน ฟาร์เซียกล่าวต่อ

    “ทั้งที่ศัตรูของพวกเราควรจะเป็นไซเรนแท้ๆ แต่กลับต้องมาสู้กันเองแบบนี้”

    “ยังไงก็ต่อ ตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว”

    ชินันจูกล่าวพลางเอามือประสานกันไว้บนโต๊ะ

    “คงถึงเวลาที่เราต้องยุติความขัดแย้งแล้วพุ่งเป้าไปยังสิ่งที่สำคัญกว่า”

    “แน่ใจแล้วเหรอ?”

    ซูซาโนโอะเอ่ยถาม ชินันจูพยักหน้าแล้วหันไปหาเจ้าหน้าที่ผู้ช่วย

    “ติดต่อไปหานางาโตะ บอกว่าทางนี้ต้องการขอเข้าพบเพื่อพูดคุยถึงอนาคตต่อจากนี้”

    “ครับ”


    ถ้าลองส่งของขวัญมาให้ และถ้าส่งมาเยอะๆ ทางไรเตอร์อาจจะเก็บมาพิจารณาว่าจะเขียนเรื่องนี้ต่อจนจบครับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×