ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Azur Lane] Gundam Azur Lane

    ลำดับตอนที่ #25 : ตอนที่ 24 สถานการณ์ของแต่ละฝ่าย

    • อัปเดตล่าสุด 8 พ.ย. 64


    กลางดึกของคืนหนึ่งอากิระพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในความฝันของใครบางคน เขามองดูทะเลที่เต็มไปด้วยทะเลเพลิง มีเศษซากของเรือรบ เครื่องบินรบ และซากศพของพวกไซเรน

    “นี่มัน...”

    อากิระมองดูภาพที่อยู่ตรงหน้าด้วยความงุนงงว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้

    “หรือว่า...!?”

    ทันทีนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมา เขารู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา ถึงเขาจะใช้ดับเบิ้ลโอ สกายไปหลายครั้งและอาบอนุภาค GN ในตอนที่ใช้ทรานซั่มอินฟินิตี้เบิร์สเพื่อช่วยเอ็นเทอร์ไพรซ์ที่ทะเลน้ำแข็งไปเพียงครั้งเดียว แถมยังใช้ในสภาพที่ร่างกายบาดเจ็บสาหัส จะบอกว่าในตอนนั้นอนุภาค GN ได้ไปกระตุ้นให้เกิดเปลี่ยนแปลงในระดับพันธุกรรมของร่างกายเขาและเร่งการวิวัฒนาการจากมนุษย์กลายเป็นอินโนเวเตอร์ที่แท้จริง

    “นี่ฉันกลายเป็นอินโนเวเตอร์ไปแล้วจริงๆ เหรอ...”

    อากิระแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขา ถ้ามีกระจกล่ะก็เขาคงอยากจะดูดวงตาของตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลยแต่ตอนนี้เขาทำไม่ได้

    ในระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น อากิระก็เหลือบไปเห็นเอ็นเทอร์ไพรซ์

    “เอ็นเทอร์ไพรซ์?....”

    จากนั้นเขาก็เห็นเอ็นเทอร์ไพรซ์กำลังพูดคุยอยู่กับเอ็นเทอร์ไพรซ์ อัลเทอร์เนทีฟซึ่งยืนหันหลังให้เธออยู่

    “แกเป็นใครกัน ต้องการอะไรจากฉัน ถึงแสดงสิ่งนี้ให้ดู?”

    เมื่อได้ยินคำถามนั้นเอ็นเทอร์ไพรซ์ อัลเทอร์เนทีฟก็ตอบกลับ

    “สงคราม...”

    เธอขยับตัวหันมาหาเอ็นเทอร์ไพรซ์ ในขณะที่อากิระยังคงยืนมองทั้งสองอยู่ห่างๆ

    “ฉันน่ะผ่านมามาก”

    เธอพูดพลางยกมือขึ้นมาไว้ที่ระดับอกจากนั้นลูกบาศก์คิวบ์สีดำก็ปรากฏและลอยอยู่บนมือขวาของเธอ เธอยกมันขึ้นมาไว้ตรงหน้าเธอ ดวงตาของเธอกลายเป็นสีแดงฉานราวกับโลหิต

    “การต่อสู้ที่ไม่มีวันจบ ทะเลที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟนี้ คือหนทางอันแดงฉานของฉัน เธอเองก็อีกไม่นานหรอก”

    เมื่อพูดจบเธอก็หันหน้าไปทางด้านข้าง เอ็นเทอร์ไพรซ์ก็หันตามไป นั่นทำให้เธอเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เพราะสิ่งที่เธอเห็นก็คืออากิระที่ยืนอยู่ตรงนั้น

    “อากิระ...”

    อากิระจ้องมองมาที่เอ็นเทอร์ไพรซ์ อัลเทอร์เนทีฟซึ่งหันหน้ามามองเขา

    “แล้วนายล่ะ สู้เพื่ออะไร? ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าสงครามไม่มีวันจบสิ้น แต่ทำไมนายถึงยังคงสู้ต่อไป?”

    “............”

    อากิระนิ่งเงียบไม่พูดอะไร เอ็นเทอร์ไพรซ์ อัลเทอร์เนทีฟที่เห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจ

    “ดูเหมือนนายจะยังให้คำตอบฉันไม่ได้สินะ แต่เอาเถอะ ยังพอมีเวลา แต่ถ้าไม่รีบให้คำตอบล่ะก็ เธอคนนั้นจะต้องมีชะตากรรมเดียวกับฉัน”

    พูดจบเธอก็ยกลูกบาศก์คิวบ์สีดำขึ้นมาอีกครั้งจากนั้นมันก็เปล่งแสงออกมาแล้วพาทั้งสองคนกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง

     

    อากิระลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วลุกขึ้นมานั่ง

    “เฮ้อ ให้ตายสิน่า”

    เขายกมือขึ้นมาก่ายหน้าผากพลางหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งมีแสงอาทิตย์ยามเช้าส่องเข้ามาให้ห้องพลางนึกถึงคำพูดของเอ็นเทอร์ไพรซ์ อัลเทอร์เนทีฟ

    ‘ถ้าไม่รีบให้คำตอบล่ะก็ เธอคนนั้นจะต้องมีชะตากรรมเดียวกับฉัน’

    “เหตุผลที่ต่อสู้เหรอ...”

    อากิระพูดพึมพำด้วยเสียงที่แผ่วเบา

     

    อีกด้านหนึ่งในเวลาเดียวกัน

    พรึ่บ!

    เบลฟาสต์เปิดผ้าม่านให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาในห้อง ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เอ็นเทอร์ไพรซ์สะดุ้งลืมตาตื่น ตัวเธอโชกไปด้วยเหงื่อ

    ระหว่างนั้นเบลฟาสต์ก็เดินมาอยู่ตรงหน้าเธอแล้วกล่าวทักทาย

    “อรุณสวัสดิ์ค่ะ หลับสบายดีไหมคะ?”

    “เบลฟาสต์”

    เธอเอ่ยชื่อของเมดสาวที่อยู่ตรงหน้าเธอ ก่อนจะเอ่ยชื่อของเขาคนนั้นอยู่ในใจ

    ‘อากิระ...ทำไมนายถึงอยู่ที่นั่นด้วยล่ะ?’

    เธอได้แต่เก็บความสงสัยว่าทำไมอากิระถึงได้ไปอยู่ที่นั่นด้วย ที่ทะเลซึ่งลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงแห่งนั้น

     

    ในเวลาต่อมาที่บริเวณทางเดินของหอพัก

    อากิระ เอ็นเทอร์ไพรซ์และเบลฟาสต์ได้เดินมาเจอกัน เขากับเอ็นเทอร์ไพรซ์มองหน้ากันก่อนจะหลบหน้าด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ไม่รู้จะบอกอีกฝ่ายยังไงดี

    ก่อนที่อากิระจะกล่าวทักทายเธอ

    “อะ...อรุณสวัสดิ์ เอ็นเทอร์ไพรซ์”

    “อืม อรุณสวัสดิ์...”

    ทั้งสองกล่าวทักทายกัน ก่อนที่อากิระจะกล่าวทักทายเบลฟาสต์

    “อรุณสวัสดิ์ เบลฟาสต์”

    “อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านอากิระ”

    เธอกล่าวทักทายพร้อมกับโค้งคำนับให้เขา

    “เดี๋ยวฉันขอเป็นคนพาเอ็นเทอร์ไพรซ์ไปทานข้าวเช้าก็แล้วกันนะ ทางเธอเองก็มีเรื่องต้องไปทำใช่มั้ยล่ะ”

    “เดี๋ยวสิ! เรื่องนั้นน่ะ....”

    เอ็นเทอร์ไพรซ์ทำท่าจะปฏิเสธ แต่เบลฟาสต์ก็พูดแทรกขึ้นมา

    “เข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้นฝากด้วยนะคะ ท่านอากิระ”

    พูดจบเบลฟาสต์ก็เดินจากไป ทำให้บริเวณนั้นเหลือแค่อากิระกับเอ็นเทอร์ไพรซ์แค่สองคน

    “ฉันคิดว่าเธอเองก็คงมีเรื่องอยากจะถามฉันเหมือนกันสินะ”

    “อะ อืม...”

    เอ็นเทอร์ไพรซ์พยักหน้าเบาๆ

    “ไปที่โรงอาหารกัน จากนั้นก็ค่อยคุยไปทานไป”

    อากิระเดินมากุมมือเอ็นเทอร์ไพรซ์แล้วพาเธอไปที่โรงอาหาร

    “ตะ แต่ว่า...”

    เอ็นเทอร์ไพรซ์ลังเลที่จะไปกับเขา แต่อากิระก็ยังคงยืนกรานที่จะพาเธอไป

    “ไม่ต้องห่วง ฉันจะคอยอยู่เคียงข้างเธอเอง จะไม่ยอมให้เธอต้องเผชิญหน้ากับมันเพียงลำพัง”

    อากิระยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน เอ็นเทอร์ไพรซ์ที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มเล็กน้อย

    “นี่อากิระ...”

    “อะไรเหรอ?”

    “นายคิดว่าฉันเป็นแค่พวกงี่เง่าที่แสร้งทำตัวเหมือนมนุษย์รึเปล่า?”

    เมื่อได้ยินคำถามนั้นของเธอ อากิระก็แสดงท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าแล้วตอบกลับ

    “ไม่เลยสักนิด ถึงแม้ว่าแต่เดิมเธอจะเคยเป็นเรือรบมาก่อน แต่ตอนนี้เธอเป็นมนุษย์”

    “ขอบคุณนะ”

    “ไปกันเถอะ”

    “อืม”

    จากนั้นทั้งสองก็เดินไปที่โรงอาหารและทานข้าวด้วยกัน

     

    ณ โรงเรียนอซูร์เลน

    เวลส์กับคลีฟแลนด์กำลังเดินไปยังห้องเรียนห้องหนึ่งระหว่างนั้นก็พูดคุยไปด้วย

    “จักรวรรดิซากุระสูญเสียกำลังรบไปบางส่วน คงต้องใช้เวลาฟื้นตัวสักพัก แต่ว่าพวกเราเองก็ไม่พร้อมที่จะใช้โอกาสนี้เหมือนกัน”

    “เรื่องเมทัลคิวบ์สีดำใช่ไหมล่ะ? แล้วก็เรื่องเอ็นเทอร์ไพรซ์ด้วย”

    “เรื่องของเอ็นเทอร์ไพรซ์ให้อากิระเป็นคนจัดการเถอะ เฮ้อ มีแต่ปัญหาเยอะแยะไปหมด”

    ในระหว่างนั้นที่ห้องเรียนที่บริเวณโต๊ะอาจารย์ที่อยู่หน้ากระดานดำ พวกเบลฟาสต์กำลังยืนมุงดูเมทัลคิวบ์สีดำ ในขณะที่อาร์ค รอยัล นั่งอยู่ที่โต๊ะแถวอ่านนิตยสารอยู่

    “รู้อะไรเพิ่มบ้างหรือเปล่า?”

    ทันทีที่ได้ยินเสียงของเวลส์ทุกคนก็หันหน้ามองขึ้นไปด้านบนก็เห็นเวลส์กับคลีฟแลนด์กำลังเดินลงบันไดมาหาพวกเขา

    “ไม่รู้เลยสักนิด ไม่เกิดอะไรขึ้นสักนิด”

    อมาซอนส่ายหน้าตอบเวลส์

    “เดิมทีเราก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวเมทัลคิวบ์มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

    แลงลีย์กล่าวต่อจากอมาซอน

    “หรือก็คือเป็น “กล่องดำ” ตามชื่อของมันเลยอย่างนั้นสินะ”

    อาร์ค รอยัลพูดด้วนสีหน้าจริงจังแต่ในมือของเธอกำลังถือนิตยสารโลลิอยู่ ทำให้ไม่มีความเท่อยู่เลยสักนิดเดียว

    ทุกคนจ้องมองไปยังเมทัลคิวบ์สีดำที่วางอยู่บนโต๊ะและตอนนี้มันกำลังเรืองแสงออกมา

    คลีฟแลนด์ที่เห็นความผิดปกตินั้นก็พูดขึ้น

    “รู้สึกว่ามันจะเรืองแสงมากกว่าเดิมหรือเปล่า?”

    “ไม่ได้คิดไปเองหรอก ฉันเองก็เห็นว่ามันกำลังเรืองแสงอยู่”

    คันดะกล่าวพลางจ้องมองเมทัลคิวบ์สีดำที่เรืองแสงออกมา

    “ของที่เกี่ยวกับไซเรนน่ะ... ควรจะถือว่าเป็นสัญญาณอันตรายไว้ก่อนเลยดีกว่า”

    เวลส์จ้องมองเมทัลคิวบ์ด้วยสีหน้าจริงจัง

    “ถ้าไซเรนมายุ่งกับพี่อีกล่ะก็ จะไม่ยกโทษให้เด็ดขาดเลย”

    ฮอร์เน็ตกล่าวด้วยความรู้สึกไม่พอใจต่อไซเรน เพราะพวกมัน ทำให้พี่สาวของเธอเปลี่ยนไป

    “แล้วพี่เป็นยังไงบ้างเหรอ?”

    เธอหันมาถามเบลฟาสต์

    “ถึงจะยังน่าเป็นห่วงอยู่ แต่ให้ท่านอากิระเป็นคนดูแลคิดว่าน่าจะไม่เป็นอะไรค่ะ”

    ได้ยินแบบนั้นเธอก็มีสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้

    “งั้นเหรอ ถ้าเป็นอากิระล่ะก็คงไม่ต้องห่วงอะไรมาก แต่ว่าทำไมถึงต้องทรมานอยู่คนเดียวด้วย”

    จากนั้นทุกคนก็นิ่งเงียบกันอยู่พักนึงก่อนที่อาคาชิจะเอามือกุมศีรษะแล้วโวยวายขึ้นมา

    “อ๊า! แล้วทำไมอาคากิต้องก่อปัญหาวุ่นวายแบบนี้ด้วยเนี้ยว!?”

    “ที่เธอทำแบบนี้จะต้องมีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝงอยู่แน่ๆ”

    “นั่นสิ มันต้องมีสาเหตุบางอย่างที่ทำให้เธอยอมร่วมมือกับไซเรนเพื่อดำเนินโครงการโอโรจิแน่ๆ แต่ว่ามันคืออะไรเนี่ยแหละ”

    คาซามิกับเรย์แสดงความเห็นให้ทุกคนฟัง ระหว่างนั้นเวลส์ก็เอามือแนบคางครุ่นคิด

    “ตอนนี้อาคากิที่เป็นหัวหอกในการไปเข้าพวกกับไซเรนก็ไม่อยู่แล้ว แล้วคากะจะทำยังไงต่อนะ น่ากังวลจริงๆ”

    “ก็คงได้แต่หวังว่าจะไม่ถูกไซเรนล่อลวงเท่านั้นแหละ”

    เรย์พูดขึ้น

    “เฮ้ๆ อย่าพูดอะไรเป็นลางจะได้มั้ย?”

    คาซามิพูดแย้งคำพูดของเรย์

    อาคาชิเอาคางฟุบไปกับโต๊ะ

    “เฮ้อ จักรวรรดิซากุระจะเป็นอะไรมั้ยนะ เนี้ยว?”

     

    อีกด้านหนึ่งที่ห้องอาบน้ำ

    พวกจาเวลินกำลังอยู่ในห้องซาวน่า พวกเธอเหงื่อโชกไปทั้งตัวเพื่อไอน้ำ

    “ร้อนจัง”

    ลาฟฟีเอ่ยขึ้น ระหว่างนั้นจาเวลินก็หันมามองอายานามิและเห็นว่าเธอกำลังมีสีหน้ากังวล

    “ไหวหรือเปล่า อายานามิจัง พอก่อนไหม?”

    ลาฟฟีกับยูนิคอร์นก็หันมามองเธอ อายานามิที่ได้ยินดังนั้นก็แสดงท่าทีแปลกใจก่อนจะตอบกลับ

    “ก็แค่คิดอะไรนิดหน่อยค่ะ เป็นห่วงเพื่อนที่จักรวรรดิซากุระอยู่ค่ะ”

    พวกจาเวลินตั้งใจฟังสิ่งที่อานายามิพูด

    “พวกอซูร์เลนเป็นคนดีกันทุกคนเลยค่ะ แต่ว่าพรรคพวกที่จักรวรรดิซากุระเองก็สำคัญกับฉันเช่นกันค่ะ อายานามิอยากจะช่วยจักรรดิซากุระทุกคนค่ะ”

    เธอกล่าวในช่วงท้ายของประโยคด้วยสีหน้ามุ่งมั่น

    จาเวลินลุกจากที่นั่งแล้วเดินมากุมมือของอายานามิ

    “อื้อ! อื้อ! มาพยามไปด้วยกันเถอะ อายานามิจัง!”

    “ถ้าเป็นคนสำคัญของอายานามิแล้ว ก็จะเป็นคนสำคัญของลาฟฟีด้วยเหมือนกันนะ”

    อายายามิก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความรู้สึกกังวล

    “ไม่รู้ว่าควรทำยังไงอยู่ดีค่ะ”

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ก็ตอนนี้พวกเราเป็นเพื่อนกันแล้วนี่”

    ยูนิคอร์นพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

    “เพราะงั้นต้องคืนดีกับทุกคนที่จักรวรรดิซากุระได้แน่นอน”

    อายานามิหันมามองยูนิคอร์นก่อนจะหันกลับมามองจาเวลินซึ่งพยักหน้าเธอ

    “อืม!”

    ตามด้วยลาฟฟีและยูนิคอร์นก็พยักหน้าด้วย อายานามิยิ้มและกล่าวขอบคุณพวกเธอทั้งสามคน

    “ขอบคุณนะคะ ทุกคน”

     

    ณ จักรวรรดิซากุระ

    ณ มหาต้นซากุระศักดิ์สิทธิ์แห่งฐานจูโอที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลสาบบนยอดเขา

    “จะผนึกโอโรจิงั้นเหรอ!?”

    คากะพูดขึ้น นางาโตะจึงแก้ความเข้าใจผิดนั้นให้เธอฟัง

    “แค่ระงับโครงการเอาไว้ชั่วคราวเท่านั้น อาคากิก็ไม่อยู่แล้ว โครงการคงเดินหน้าต่อไม่ได้หรอก”

    “ใครเป่าหูมากัน”

    คากะเอ่ยถามด้วยความไม่พอใจ นอกจากนางาโตะยังมีคาวะคาเสะ มุทสึ และชินันจู สุซาโนโอะ

    “เป็นความคิดของเราเพียงผู้เดียวน่ะ”

    คากะหันไปมองชินันจูกับสุซาโนโอะ

    “นี่เป็นเรื่องที่พวกเราได้ปรึกษาหารือกันแล้ว และนางาโตะก็เป็นคนตัดสินใจ”

    เมื่อได้ยินดังนั้นคากะก็หันกลับไปหานางาโตะ

    “คิดง่ายไปแล้ว นางาโตะ ถ้าไม่มีโครงการโอโรจิ จักรวรรดิซากุระคงไร้อนาคต”

    ได้ยินแบบนั้นชินันจูกับสุซาโนโอะก็รู้สึกถึงความผิดปกติต่อคำพูดของคากะ

    นางาโตะหันหน้ามามองคากะแล้วพูดกับเธอ

    “คากะ เจ้าควรพักผ่อนบ้างนะ เห็นชัดเลยว่า การจากไปของอาคากินั้นส่งผลต่อเจ้า พักผ่อนให้หัวใจได้ฟื้นฟูเสียบ้าง”

    “นางาโตะ!”

    คากะเริ่มแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อนางาโตะ

    “การตัดสินใจนี้ถือว่าเด็ดขาด จงไปได้แล้ว”

     

    ในเวลาค่ำ ที่ร้านอาหาร

    อิเสะนั่งดื่มสาเกอยู่ที่ระเบียงมองดูวิวทะเลยามค่ำคืนที่มีกลีบดอกซากุระโปรยปรายไปตามสายลม

    “ดูจะยุ่งยากขึ้นมาแล้วสินะ”

    และภายในห้องนั้นยังมีโชวคาคุ อาตาโกะ โซริว ฮิริว ทั้งสี่กำลังนั่งทานอาหารกันอยู่ ส่วนเฮียวงะก็นั่งพิงเสาดื่มสาเกอยู่ทางด้านซ้ายของฮิริว

    “โครงการโอโรจิก็โดนสั่งพักไปแล้ว ไซเรนรุ่นผลิตจำนวนมากก็ดันใช้ไม่ได้อีก มืดแปดด้านชัดๆ”

    เฮียวงะพูดพลางรินสาเกใส่แก้ว

    อาตาโกะดื่มสาเกพลางถอนหายใจ

    “เฮ้อ เป็นห่วงอายานามิจังกับอาคาชิจัง ถ้าไม่เหงาก็คงจะดีนะ”

    “แผนทั้งหมดนี่มันไม่ไหวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เราไม่ควรฝากโชคชะตาของจักรวรรดิซากุระไว้กับสิ่งที่เราไม่รู้จักหรอกนะ”

    โชวคาคุกล่าว

    “มันไม่ได้พูดง่ายอย่างนั้นหรอก”

    โซริวพูดพลางใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาซาชิมิขึ้นมาทาน

    “ฝั่งอักษะแดงเองก็ไม่ได้ญาติดีกันขนาดนั้น”

    ฮิริวกล่าวต่อ เป็นอย่างที่เธอพูดฝ่ายอักษะแดงไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หากแสดงความอ่อนแอให้อีกฝ่ายเห็นมีความเป็นไปได้ที่จะโดนแทงจากข้างหลัง

    “จะให้เลือกเหล็กเห็นความอ่อนแอนี้ไม่ได้เด็ดขาด”

    “แต่ศัตรูที่แท้จริงของเราคือไซเรนไม่ใช่หรือไงกัน”

    เฮียวงะพูดขึ้น

    จากนั้นภายในห้องก็เงียบกริบ ระหว่างนั้นก็มีกลีบดอกซากุระลอยลงมาในถ้วยสาเกของอิเสะ

    อีกด้านหนึ่ง

    ทาคาโอะกับซุยคาคุก็กำลังเดินข้ามสะพาน ระหว่างนั้นกลุ่มสามสาวจิ้งจอกซึ่งประกอบด้วยสาวน้อยจิ้งจอกผมสีแดงนากะ จิ้งจอกสาวผมสีบลอนด์ทองเซนได สุดท้ายก็จิ้งจอกสาวผมสีน้ำเงิน จินสึ

    “จากนี้จะทำยังไงต่อดีนะ”

    “ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอก แค่ทำให้สิ่งที่ควรทำเท่านั้น”

    “สิ่งที่พึ่งพาได้ในตอนสุดท้ายก็มีแค่พลังของตัวเองนั่นแหละ”

    ซุยคาคุกับทาคาโอะหยุดเดินอยู่กลางสะพานก่อนจะหันหน้าคุยกัน

    “รู้สึกยังไงบ้างล่ะ?”

    “สบายมาก พร้อมสู้ทุกเวลาแล้ว”

    “ได้ยินแบบนั้นก็น่ายินดี แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีเอาซะเลย เกรงว่าจะไม่ใช่แค่จักรวรรดิซากุระ แต่ทุกอย่างจะมุ่งหน้าไปสู่โชคชะตาอันเลวร้าย”

    จากนั้นเธอก็หันไปมองท่าเรือและวิวทะเล ก่อนจะหันกลับมาหาซุยคาคุ

    “นี่ซุยคาคุ เธอคิดว่าพวกนั้นจะยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นรึเปล่า?”

    ทาคาโอะนึกถึงใบหน้าของคาซามิขึ้นมาในใจของเธอ

    ซุยคาคุได้ยินแบบนั้นก็นึกถึงตอนที่อากิระเข้ามาช่วยเธอกับโชวคาคุและเอ็นเทอร์ไพรซ์ทั้งที่ตัวเองยังบาดเจ็บอยู่ รวมถึงภาพเหตุการณ์ที่พวกจาเวลินช่วยอายานามิ

    “แน่นอนว่าพวกนั้นไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นแน่นอน และเพราะแบบนั้นพวกเราเองก็ต้องลงมือทำอะไรสักอย่างด้วยเหมือนกัน”

    ทาคาโอะได้ยินคำพูดนั้นของซุยคาคุก็ยิ้มและพยักหน้าให้เธอ ซุยคาคุก็ยิ้มตอบ

    ซุยคาคุหันไปจับราวสะพานมองดูวิวทะเลแล้วพูดต่อ

    “คงจะปล่อยให้เด็กพวกนั้นพยายามอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้หรอก พวกเราเองก็ต้องเปลี่ยนด้วย”

    ‘ใช่มั้ย อากิระ’

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×