คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : ตอนที่ 24 สถานการณ์ของแต่ละฝ่าย
กลางดึกของคืนหนึ่งอากิระพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในความฝันของใครบางคน เขามองดูทะเลที่เต็มไปด้วยทะเลเพลิง มีเศษซากของเรือรบ เครื่องบินรบ และซากศพของพวกไซเรน
“นี่มัน...”
อากิระมองดูภาพที่อยู่ตรงหน้าด้วยความงุนงงว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้
“หรือว่า...!?”
ทันทีนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมา เขารู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา ถึงเขาจะใช้ดับเบิ้ลโอ สกายไปหลายครั้งและอาบอนุภาค GN ในตอนที่ใช้ทรานซั่มอินฟินิตี้เบิร์สเพื่อช่วยเอ็นเทอร์ไพรซ์ที่ทะเลน้ำแข็งไปเพียงครั้งเดียว แถมยังใช้ในสภาพที่ร่างกายบาดเจ็บสาหัส จะบอกว่าในตอนนั้นอนุภาค GN ได้ไปกระตุ้นให้เกิดเปลี่ยนแปลงในระดับพันธุกรรมของร่างกายเขาและเร่งการวิวัฒนาการจากมนุษย์กลายเป็นอินโนเวเตอร์ที่แท้จริง
“นี่ฉันกลายเป็นอินโนเวเตอร์ไปแล้วจริงๆ เหรอ...”
อากิระแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขา ถ้ามีกระจกล่ะก็เขาคงอยากจะดูดวงตาของตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลยแต่ตอนนี้เขาทำไม่ได้
ในระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น อากิระก็เหลือบไปเห็นเอ็นเทอร์ไพรซ์
“เอ็นเทอร์ไพรซ์?....”
จากนั้นเขาก็เห็นเอ็นเทอร์ไพรซ์กำลังพูดคุยอยู่กับเอ็นเทอร์ไพรซ์ อัลเทอร์เนทีฟซึ่งยืนหันหลังให้เธออยู่
“แกเป็นใครกัน ต้องการอะไรจากฉัน ถึงแสดงสิ่งนี้ให้ดู?”
เมื่อได้ยินคำถามนั้นเอ็นเทอร์ไพรซ์ อัลเทอร์เนทีฟก็ตอบกลับ
“สงคราม...”
เธอขยับตัวหันมาหาเอ็นเทอร์ไพรซ์ ในขณะที่อากิระยังคงยืนมองทั้งสองอยู่ห่างๆ
“ฉันน่ะผ่านมามาก”
เธอพูดพลางยกมือขึ้นมาไว้ที่ระดับอกจากนั้นลูกบาศก์คิวบ์สีดำก็ปรากฏและลอยอยู่บนมือขวาของเธอ เธอยกมันขึ้นมาไว้ตรงหน้าเธอ ดวงตาของเธอกลายเป็นสีแดงฉานราวกับโลหิต
“การต่อสู้ที่ไม่มีวันจบ ทะเลที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟนี้ คือหนทางอันแดงฉานของฉัน เธอเองก็อีกไม่นานหรอก”
เมื่อพูดจบเธอก็หันหน้าไปทางด้านข้าง เอ็นเทอร์ไพรซ์ก็หันตามไป นั่นทำให้เธอเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เพราะสิ่งที่เธอเห็นก็คืออากิระที่ยืนอยู่ตรงนั้น
“อากิระ...”
อากิระจ้องมองมาที่เอ็นเทอร์ไพรซ์ อัลเทอร์เนทีฟซึ่งหันหน้ามามองเขา
“แล้วนายล่ะ สู้เพื่ออะไร? ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าสงครามไม่มีวันจบสิ้น แต่ทำไมนายถึงยังคงสู้ต่อไป?”
“............”
อากิระนิ่งเงียบไม่พูดอะไร เอ็นเทอร์ไพรซ์ อัลเทอร์เนทีฟที่เห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจ
“ดูเหมือนนายจะยังให้คำตอบฉันไม่ได้สินะ แต่เอาเถอะ ยังพอมีเวลา แต่ถ้าไม่รีบให้คำตอบล่ะก็ เธอคนนั้นจะต้องมีชะตากรรมเดียวกับฉัน”
พูดจบเธอก็ยกลูกบาศก์คิวบ์สีดำขึ้นมาอีกครั้งจากนั้นมันก็เปล่งแสงออกมาแล้วพาทั้งสองคนกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง
อากิระลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วลุกขึ้นมานั่ง
“เฮ้อ ให้ตายสิน่า”
เขายกมือขึ้นมาก่ายหน้าผากพลางหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งมีแสงอาทิตย์ยามเช้าส่องเข้ามาให้ห้องพลางนึกถึงคำพูดของเอ็นเทอร์ไพรซ์ อัลเทอร์เนทีฟ
‘ถ้าไม่รีบให้คำตอบล่ะก็ เธอคนนั้นจะต้องมีชะตากรรมเดียวกับฉัน’
“เหตุผลที่ต่อสู้เหรอ...”
อากิระพูดพึมพำด้วยเสียงที่แผ่วเบา
อีกด้านหนึ่งในเวลาเดียวกัน
พรึ่บ!
เบลฟาสต์เปิดผ้าม่านให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาในห้อง ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เอ็นเทอร์ไพรซ์สะดุ้งลืมตาตื่น ตัวเธอโชกไปด้วยเหงื่อ
ระหว่างนั้นเบลฟาสต์ก็เดินมาอยู่ตรงหน้าเธอแล้วกล่าวทักทาย
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ หลับสบายดีไหมคะ?”
“เบลฟาสต์”
เธอเอ่ยชื่อของเมดสาวที่อยู่ตรงหน้าเธอ ก่อนจะเอ่ยชื่อของเขาคนนั้นอยู่ในใจ
‘อากิระ...ทำไมนายถึงอยู่ที่นั่นด้วยล่ะ?’
เธอได้แต่เก็บความสงสัยว่าทำไมอากิระถึงได้ไปอยู่ที่นั่นด้วย ที่ทะเลซึ่งลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงแห่งนั้น
ในเวลาต่อมาที่บริเวณทางเดินของหอพัก
อากิระ เอ็นเทอร์ไพรซ์และเบลฟาสต์ได้เดินมาเจอกัน เขากับเอ็นเทอร์ไพรซ์มองหน้ากันก่อนจะหลบหน้าด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ไม่รู้จะบอกอีกฝ่ายยังไงดี
ก่อนที่อากิระจะกล่าวทักทายเธอ
“อะ...อรุณสวัสดิ์ เอ็นเทอร์ไพรซ์”
“อืม อรุณสวัสดิ์...”
ทั้งสองกล่าวทักทายกัน ก่อนที่อากิระจะกล่าวทักทายเบลฟาสต์
“อรุณสวัสดิ์ เบลฟาสต์”
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านอากิระ”
เธอกล่าวทักทายพร้อมกับโค้งคำนับให้เขา
“เดี๋ยวฉันขอเป็นคนพาเอ็นเทอร์ไพรซ์ไปทานข้าวเช้าก็แล้วกันนะ ทางเธอเองก็มีเรื่องต้องไปทำใช่มั้ยล่ะ”
“เดี๋ยวสิ! เรื่องนั้นน่ะ....”
เอ็นเทอร์ไพรซ์ทำท่าจะปฏิเสธ แต่เบลฟาสต์ก็พูดแทรกขึ้นมา
“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้นฝากด้วยนะคะ ท่านอากิระ”
พูดจบเบลฟาสต์ก็เดินจากไป ทำให้บริเวณนั้นเหลือแค่อากิระกับเอ็นเทอร์ไพรซ์แค่สองคน
“ฉันคิดว่าเธอเองก็คงมีเรื่องอยากจะถามฉันเหมือนกันสินะ”
“อะ อืม...”
เอ็นเทอร์ไพรซ์พยักหน้าเบาๆ
“ไปที่โรงอาหารกัน จากนั้นก็ค่อยคุยไปทานไป”
อากิระเดินมากุมมือเอ็นเทอร์ไพรซ์แล้วพาเธอไปที่โรงอาหาร
“ตะ แต่ว่า...”
เอ็นเทอร์ไพรซ์ลังเลที่จะไปกับเขา แต่อากิระก็ยังคงยืนกรานที่จะพาเธอไป
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะคอยอยู่เคียงข้างเธอเอง จะไม่ยอมให้เธอต้องเผชิญหน้ากับมันเพียงลำพัง”
อากิระยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน เอ็นเทอร์ไพรซ์ที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มเล็กน้อย
“นี่อากิระ...”
“อะไรเหรอ?”
“นายคิดว่าฉันเป็นแค่พวกงี่เง่าที่แสร้งทำตัวเหมือนมนุษย์รึเปล่า?”
เมื่อได้ยินคำถามนั้นของเธอ อากิระก็แสดงท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าแล้วตอบกลับ
“ไม่เลยสักนิด ถึงแม้ว่าแต่เดิมเธอจะเคยเป็นเรือรบมาก่อน แต่ตอนนี้เธอเป็นมนุษย์”
“ขอบคุณนะ”
“ไปกันเถอะ”
“อืม”
จากนั้นทั้งสองก็เดินไปที่โรงอาหารและทานข้าวด้วยกัน
ณ โรงเรียนอซูร์เลน
เวลส์กับคลีฟแลนด์กำลังเดินไปยังห้องเรียนห้องหนึ่งระหว่างนั้นก็พูดคุยไปด้วย
“จักรวรรดิซากุระสูญเสียกำลังรบไปบางส่วน คงต้องใช้เวลาฟื้นตัวสักพัก แต่ว่าพวกเราเองก็ไม่พร้อมที่จะใช้โอกาสนี้เหมือนกัน”
“เรื่องเมทัลคิวบ์สีดำใช่ไหมล่ะ? แล้วก็เรื่องเอ็นเทอร์ไพรซ์ด้วย”
“เรื่องของเอ็นเทอร์ไพรซ์ให้อากิระเป็นคนจัดการเถอะ เฮ้อ มีแต่ปัญหาเยอะแยะไปหมด”
ในระหว่างนั้นที่ห้องเรียนที่บริเวณโต๊ะอาจารย์ที่อยู่หน้ากระดานดำ พวกเบลฟาสต์กำลังยืนมุงดูเมทัลคิวบ์สีดำ ในขณะที่อาร์ค รอยัล นั่งอยู่ที่โต๊ะแถวอ่านนิตยสารอยู่
“รู้อะไรเพิ่มบ้างหรือเปล่า?”
ทันทีที่ได้ยินเสียงของเวลส์ทุกคนก็หันหน้ามองขึ้นไปด้านบนก็เห็นเวลส์กับคลีฟแลนด์กำลังเดินลงบันไดมาหาพวกเขา
“ไม่รู้เลยสักนิด ไม่เกิดอะไรขึ้นสักนิด”
อมาซอนส่ายหน้าตอบเวลส์
“เดิมทีเราก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวเมทัลคิวบ์มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
แลงลีย์กล่าวต่อจากอมาซอน
“หรือก็คือเป็น “กล่องดำ” ตามชื่อของมันเลยอย่างนั้นสินะ”
อาร์ค รอยัลพูดด้วนสีหน้าจริงจังแต่ในมือของเธอกำลังถือนิตยสารโลลิอยู่ ทำให้ไม่มีความเท่อยู่เลยสักนิดเดียว
ทุกคนจ้องมองไปยังเมทัลคิวบ์สีดำที่วางอยู่บนโต๊ะและตอนนี้มันกำลังเรืองแสงออกมา
คลีฟแลนด์ที่เห็นความผิดปกตินั้นก็พูดขึ้น
“รู้สึกว่ามันจะเรืองแสงมากกว่าเดิมหรือเปล่า?”
“ไม่ได้คิดไปเองหรอก ฉันเองก็เห็นว่ามันกำลังเรืองแสงอยู่”
คันดะกล่าวพลางจ้องมองเมทัลคิวบ์สีดำที่เรืองแสงออกมา
“ของที่เกี่ยวกับไซเรนน่ะ... ควรจะถือว่าเป็นสัญญาณอันตรายไว้ก่อนเลยดีกว่า”
เวลส์จ้องมองเมทัลคิวบ์ด้วยสีหน้าจริงจัง
“ถ้าไซเรนมายุ่งกับพี่อีกล่ะก็ จะไม่ยกโทษให้เด็ดขาดเลย”
ฮอร์เน็ตกล่าวด้วยความรู้สึกไม่พอใจต่อไซเรน เพราะพวกมัน ทำให้พี่สาวของเธอเปลี่ยนไป
“แล้วพี่เป็นยังไงบ้างเหรอ?”
เธอหันมาถามเบลฟาสต์
“ถึงจะยังน่าเป็นห่วงอยู่ แต่ให้ท่านอากิระเป็นคนดูแลคิดว่าน่าจะไม่เป็นอะไรค่ะ”
ได้ยินแบบนั้นเธอก็มีสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้
“งั้นเหรอ ถ้าเป็นอากิระล่ะก็คงไม่ต้องห่วงอะไรมาก แต่ว่าทำไมถึงต้องทรมานอยู่คนเดียวด้วย”
จากนั้นทุกคนก็นิ่งเงียบกันอยู่พักนึงก่อนที่อาคาชิจะเอามือกุมศีรษะแล้วโวยวายขึ้นมา
“อ๊า! แล้วทำไมอาคากิต้องก่อปัญหาวุ่นวายแบบนี้ด้วยเนี้ยว!?”
“ที่เธอทำแบบนี้จะต้องมีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝงอยู่แน่ๆ”
“นั่นสิ มันต้องมีสาเหตุบางอย่างที่ทำให้เธอยอมร่วมมือกับไซเรนเพื่อดำเนินโครงการโอโรจิแน่ๆ แต่ว่ามันคืออะไรเนี่ยแหละ”
คาซามิกับเรย์แสดงความเห็นให้ทุกคนฟัง ระหว่างนั้นเวลส์ก็เอามือแนบคางครุ่นคิด
“ตอนนี้อาคากิที่เป็นหัวหอกในการไปเข้าพวกกับไซเรนก็ไม่อยู่แล้ว แล้วคากะจะทำยังไงต่อนะ น่ากังวลจริงๆ”
“ก็คงได้แต่หวังว่าจะไม่ถูกไซเรนล่อลวงเท่านั้นแหละ”
เรย์พูดขึ้น
“เฮ้ๆ อย่าพูดอะไรเป็นลางจะได้มั้ย?”
คาซามิพูดแย้งคำพูดของเรย์
อาคาชิเอาคางฟุบไปกับโต๊ะ
“เฮ้อ จักรวรรดิซากุระจะเป็นอะไรมั้ยนะ เนี้ยว?”
อีกด้านหนึ่งที่ห้องอาบน้ำ
พวกจาเวลินกำลังอยู่ในห้องซาวน่า พวกเธอเหงื่อโชกไปทั้งตัวเพื่อไอน้ำ
“ร้อนจัง”
ลาฟฟีเอ่ยขึ้น ระหว่างนั้นจาเวลินก็หันมามองอายานามิและเห็นว่าเธอกำลังมีสีหน้ากังวล
“ไหวหรือเปล่า อายานามิจัง พอก่อนไหม?”
ลาฟฟีกับยูนิคอร์นก็หันมามองเธอ อายานามิที่ได้ยินดังนั้นก็แสดงท่าทีแปลกใจก่อนจะตอบกลับ
“ก็แค่คิดอะไรนิดหน่อยค่ะ เป็นห่วงเพื่อนที่จักรวรรดิซากุระอยู่ค่ะ”
พวกจาเวลินตั้งใจฟังสิ่งที่อานายามิพูด
“พวกอซูร์เลนเป็นคนดีกันทุกคนเลยค่ะ แต่ว่าพรรคพวกที่จักรวรรดิซากุระเองก็สำคัญกับฉันเช่นกันค่ะ อายานามิอยากจะช่วยจักรรดิซากุระทุกคนค่ะ”
เธอกล่าวในช่วงท้ายของประโยคด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
จาเวลินลุกจากที่นั่งแล้วเดินมากุมมือของอายานามิ
“อื้อ! อื้อ! มาพยามไปด้วยกันเถอะ อายานามิจัง!”
“ถ้าเป็นคนสำคัญของอายานามิแล้ว ก็จะเป็นคนสำคัญของลาฟฟีด้วยเหมือนกันนะ”
อายายามิก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความรู้สึกกังวล
“ไม่รู้ว่าควรทำยังไงอยู่ดีค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ก็ตอนนี้พวกเราเป็นเพื่อนกันแล้วนี่”
ยูนิคอร์นพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เพราะงั้นต้องคืนดีกับทุกคนที่จักรวรรดิซากุระได้แน่นอน”
อายานามิหันมามองยูนิคอร์นก่อนจะหันกลับมามองจาเวลินซึ่งพยักหน้าเธอ
“อืม!”
ตามด้วยลาฟฟีและยูนิคอร์นก็พยักหน้าด้วย อายานามิยิ้มและกล่าวขอบคุณพวกเธอทั้งสามคน
“ขอบคุณนะคะ ทุกคน”
ณ จักรวรรดิซากุระ
ณ มหาต้นซากุระศักดิ์สิทธิ์แห่งฐานจูโอที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลสาบบนยอดเขา
“จะผนึกโอโรจิงั้นเหรอ!?”
คากะพูดขึ้น นางาโตะจึงแก้ความเข้าใจผิดนั้นให้เธอฟัง
“แค่ระงับโครงการเอาไว้ชั่วคราวเท่านั้น อาคากิก็ไม่อยู่แล้ว โครงการคงเดินหน้าต่อไม่ได้หรอก”
“ใครเป่าหูมากัน”
คากะเอ่ยถามด้วยความไม่พอใจ นอกจากนางาโตะยังมีคาวะคาเสะ มุทสึ และชินันจู สุซาโนโอะ
“เป็นความคิดของเราเพียงผู้เดียวน่ะ”
คากะหันไปมองชินันจูกับสุซาโนโอะ
“นี่เป็นเรื่องที่พวกเราได้ปรึกษาหารือกันแล้ว และนางาโตะก็เป็นคนตัดสินใจ”
เมื่อได้ยินดังนั้นคากะก็หันกลับไปหานางาโตะ
“คิดง่ายไปแล้ว นางาโตะ ถ้าไม่มีโครงการโอโรจิ จักรวรรดิซากุระคงไร้อนาคต”
ได้ยินแบบนั้นชินันจูกับสุซาโนโอะก็รู้สึกถึงความผิดปกติต่อคำพูดของคากะ
นางาโตะหันหน้ามามองคากะแล้วพูดกับเธอ
“คากะ เจ้าควรพักผ่อนบ้างนะ เห็นชัดเลยว่า การจากไปของอาคากินั้นส่งผลต่อเจ้า พักผ่อนให้หัวใจได้ฟื้นฟูเสียบ้าง”
“นางาโตะ!”
คากะเริ่มแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อนางาโตะ
“การตัดสินใจนี้ถือว่าเด็ดขาด จงไปได้แล้ว”
ในเวลาค่ำ ที่ร้านอาหาร
อิเสะนั่งดื่มสาเกอยู่ที่ระเบียงมองดูวิวทะเลยามค่ำคืนที่มีกลีบดอกซากุระโปรยปรายไปตามสายลม
“ดูจะยุ่งยากขึ้นมาแล้วสินะ”
และภายในห้องนั้นยังมีโชวคาคุ อาตาโกะ โซริว ฮิริว ทั้งสี่กำลังนั่งทานอาหารกันอยู่ ส่วนเฮียวงะก็นั่งพิงเสาดื่มสาเกอยู่ทางด้านซ้ายของฮิริว
“โครงการโอโรจิก็โดนสั่งพักไปแล้ว ไซเรนรุ่นผลิตจำนวนมากก็ดันใช้ไม่ได้อีก มืดแปดด้านชัดๆ”
เฮียวงะพูดพลางรินสาเกใส่แก้ว
อาตาโกะดื่มสาเกพลางถอนหายใจ
“เฮ้อ เป็นห่วงอายานามิจังกับอาคาชิจัง ถ้าไม่เหงาก็คงจะดีนะ”
“แผนทั้งหมดนี่มันไม่ไหวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เราไม่ควรฝากโชคชะตาของจักรวรรดิซากุระไว้กับสิ่งที่เราไม่รู้จักหรอกนะ”
โชวคาคุกล่าว
“มันไม่ได้พูดง่ายอย่างนั้นหรอก”
โซริวพูดพลางใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาซาชิมิขึ้นมาทาน
“ฝั่งอักษะแดงเองก็ไม่ได้ญาติดีกันขนาดนั้น”
ฮิริวกล่าวต่อ เป็นอย่างที่เธอพูดฝ่ายอักษะแดงไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หากแสดงความอ่อนแอให้อีกฝ่ายเห็นมีความเป็นไปได้ที่จะโดนแทงจากข้างหลัง
“จะให้เลือกเหล็กเห็นความอ่อนแอนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
“แต่ศัตรูที่แท้จริงของเราคือไซเรนไม่ใช่หรือไงกัน”
เฮียวงะพูดขึ้น
จากนั้นภายในห้องก็เงียบกริบ ระหว่างนั้นก็มีกลีบดอกซากุระลอยลงมาในถ้วยสาเกของอิเสะ
อีกด้านหนึ่ง
ทาคาโอะกับซุยคาคุก็กำลังเดินข้ามสะพาน ระหว่างนั้นกลุ่มสามสาวจิ้งจอกซึ่งประกอบด้วยสาวน้อยจิ้งจอกผมสีแดงนากะ จิ้งจอกสาวผมสีบลอนด์ทองเซนได สุดท้ายก็จิ้งจอกสาวผมสีน้ำเงิน จินสึ
“จากนี้จะทำยังไงต่อดีนะ”
“ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอก แค่ทำให้สิ่งที่ควรทำเท่านั้น”
“สิ่งที่พึ่งพาได้ในตอนสุดท้ายก็มีแค่พลังของตัวเองนั่นแหละ”
ซุยคาคุกับทาคาโอะหยุดเดินอยู่กลางสะพานก่อนจะหันหน้าคุยกัน
“รู้สึกยังไงบ้างล่ะ?”
“สบายมาก พร้อมสู้ทุกเวลาแล้ว”
“ได้ยินแบบนั้นก็น่ายินดี แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีเอาซะเลย เกรงว่าจะไม่ใช่แค่จักรวรรดิซากุระ แต่ทุกอย่างจะมุ่งหน้าไปสู่โชคชะตาอันเลวร้าย”
จากนั้นเธอก็หันไปมองท่าเรือและวิวทะเล ก่อนจะหันกลับมาหาซุยคาคุ
“นี่ซุยคาคุ เธอคิดว่าพวกนั้นจะยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นรึเปล่า?”
ทาคาโอะนึกถึงใบหน้าของคาซามิขึ้นมาในใจของเธอ
ซุยคาคุได้ยินแบบนั้นก็นึกถึงตอนที่อากิระเข้ามาช่วยเธอกับโชวคาคุและเอ็นเทอร์ไพรซ์ทั้งที่ตัวเองยังบาดเจ็บอยู่ รวมถึงภาพเหตุการณ์ที่พวกจาเวลินช่วยอายานามิ
“แน่นอนว่าพวกนั้นไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นแน่นอน และเพราะแบบนั้นพวกเราเองก็ต้องลงมือทำอะไรสักอย่างด้วยเหมือนกัน”
ทาคาโอะได้ยินคำพูดนั้นของซุยคาคุก็ยิ้มและพยักหน้าให้เธอ ซุยคาคุก็ยิ้มตอบ
ซุยคาคุหันไปจับราวสะพานมองดูวิวทะเลแล้วพูดต่อ
“คงจะปล่อยให้เด็กพวกนั้นพยายามอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้หรอก พวกเราเองก็ต้องเปลี่ยนด้วย”
‘ใช่มั้ย อากิระ’
ความคิดเห็น