คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : [ Mission 06th ] memory สมบูรณ์
You only know you " love " her when you let her go, And now you know
[MISSION 06th] Memory ...
is loading
ซ่า.....ครื่น..
กลิ่นผนังชื้นแฉะ เสียงของหยดน้ำไหลรั่วออกมาจากรอยต่อของท่อพลาสติกที่ไร้คุณภาพ และอุณหภูมิที่ลดลงจนเย็นเฉียบ บ่งบอกให้ผู้ที่ถูกขังทราบว่าอีกฝากหนึ่งของบานประตูกำลังมีพายุลูกใหญ่โหมกระหน่ำอยู่
เด็กสาวตัวเล็กพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นจากพื้นที่เย็นเฉียบ มือบางหยิบปืนออโต้ขนาดใหญ่ที่ไม่สมกับเด็กร่างเด็กวัยกับเธอเลยสักนิดขึ้นมาถือด้วยมือที่สั่นราวกับลูกนก
ไม่ไหวแล้วแบบนี้ อยากออก..อยากออกไปข้างนอก ...
เด็กสาวคิดทั้งน้ำตาที่ไหลอาบสองพวกแก้ม ทั้งหวาดกลัวและสับสน เด็กน้อยชี้ปืนกระบอกหนาไปทางกระต่ายตัวน้อยที่นั่งจ้องหน้าเธออยู่
.
.
“ฆ่ามันซะ” ชายฉกรรณ์สวมชุดดำคนหนึ่งยื่นปืนกระบอกหนาให้เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ยาวประบ่าที่กำลังยืนร้องไห้อยู่ตรงหน้า
ใบหน้ากลมเล็ก ดวงตาสีฟ้าสด กับแก้มย้วยที่น่าหยิกน่ากอดยิ่งทำให้เด็กน้อยดูน่ารักน่าเอ็ดดูราวกับเทพธิดา แต่ทว่าตอนนี้ใบหน้านั้นกลับเต็มไปด้วยคราบน้ำตา เด็กหญิงสวมชุดเดรสสายเดียวสีขาวยาวคลุมเข่า ผิวที่ขาวนวลราวกับหิมะของเธอนั้นถูกสลักตีตราด้วยตัวอักษรอังกฤษที่ไหล่ข้างซ้ายว่า P E R D E
“ไม่เอา...ก็มันเป็นกระต่ายของคุณแม่นี้ อีกอย่างมันเป็นเพื่อนที่เหลืออยู่ของเอลซ่านะ ฮึก..” เด็กน้อยพยามฝืนพูดทั้งๆที่น้ำตายังไหล “เรื่องที่จะให้เอลซ่าฆ่ามันน่ะ เรื่องแบบนั้น...โหดร้ายเกินไปแล้ว” เด็กน้อยรีบอุ้มกระต่ายตัวน้อยที่กำลังโดนหมายเอาชีวิตอยู่ขึ้นมาก่อนจะหันหลังหนีอีกฝ่าย แต่ทว่าการกระทำนั้นกลับทำให้ชายฉกรรณ์ตรงหน้าหมดความอดทนกับเด็กน้อยที่แสนขี้แยอย่างเธอ
มือหนาจิกผมของเด็กน้อยอย่างแรง ทั้งกระชากทั้งลากเพื่อให้อีกฝ่ายที่พยายามขัดขืนยอมเดินตามมาแต่โดยดี ชายฉกรรณ์ลากเธอไปที่ห้องห้องๆหนึ่งที่ไม่มีแม้แต่บานหน้าต่างสักบาน ก่อนจะโยนเธอและเจ้ากระต่ายตัวน้อยเข้าไปด้านใน พร้อมด้วยปืนกระบอกหนาที่บรรจุกระสุนอยู่เพียงนัดเดียว
แกร๊ก!!…
เสียงเหล็กกระทบกันดังสะท้อนไปทั่วห้องก่อนจะค่อยๆแผ่วเบาลงและเงียบหายไปในที่สุด บรรยากาศภายในห้องตกอยู่ในความมืดอย่างสมบูรณ์ มีเพียงแสงสว่างที่ลอดผ่านช่องว่างาระหว่างประตูเหล็กบานหนาเข้ามาเท่านั้น
.
.
... แต่ก็ราวกับโชคชะตาช่างเล่นตลก แสงสว่างเพียงเล็กน้อยที่ลอดเข้ามานั้นไม่เพียงพอที่จะหาทางหนีได้เลยด้วยซ้ำ แต่กลับกันเพราะมันสว่างพอที่จะมองเห็นปืนกระบอกหนาที่ตกอยู่ข้างเธอกับเจ้ากระต่ายตัวน้อยที่นอนสั่นด้วยความหวาดกลัว
“สั่งงดน้ำงดอาหารจนกว่ามันจะยอมทำตามที่ฉันสั่ง ให้ตายเถอะเป็นของที่สร้างความวุ่นวายซะจริง” เสียงของชายคนเดิมที่ดังมาจากอีกฝากของบานประตู
“ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับเราด้วย..”
ทำไม...ทำไมตอนนั้นคนที่ตายไม่ใช่ฉันกันน่ะ!!..พี่ขอโทษ..ถ้าพี่เข้มแข็งกว่านี้ละก็....
เสียงกล่าวโทษตัวเองดังก้องอยู่ในหัวราบกับเทปที่ฉายซ้ำ
เพราะความมืดสนิททำให้เด็กหญิงตัวน้อยจมดิ่งลงสู่ความเศร้าที่ยากจะลืมเลือน เหตุการณ์ที่ไม่ว่าเมื่อไรมันก็คอยแต่จะหลอกหลอนเธอราวกับฝันร้าย หากเธอไม่อ่อนแอและกล้าที่จะทำในสิ่งที่อีกฝ่ายร้องสั่ง เธอคงจะช่วยชีวิตของครอบครัวเธอเอาไว้ได้อีก 1
.
.
.
เด็กสาวตัวน้อยได้แต่นั่งร้องไห้วันแล้ววันเล่าจนร่างทั้งร่างเริ่มอ่อนล้าและหนาวสั่น ไม่มีแม้แต่อาหาร ไม่มีแม้แต่แสงสว่าง จนในที่สุดสัญชาตญาณเอาตัวรอดในกายก็เริ่มทำงาน ท่ามกลางห้องว่างโล่งที่ไร้สิ่งกีดขวาง ดวงตาสีฟ้าสดที่ไร้ซึ่งความหวังทอดมองไปทั่วเพื่อหาของบางอย่าง กระเด็กสาวหยิบปืนกระบอกหนาขึ้นมาก่อนจะเล็งไปทางกระต่ายตัวน้อยที่นอนสั่นอยู่กับพื้น
.
.
.
ปัง!!!!
เอลซ่าสะดุ้งเฮือกราวกับเพิ่งตื่นจากฝันร้าย มือหนาที่ถูกล็อคเอาไว้ด้วยกุญแจมือยกขึ้นมาทาบที่อกซ้ายของตนที่กำลังเต้นถี่ระรัวตามสัญชาติญาณ
ดันฝันถึงเรื่องบ้าๆพรรค์นั้นซะได้ ที่จู่ๆก็ดันนึกถึงเรื่องที่ควรจะลืมไปแล้วแบบนี้
แสดงว่า..เวลาของเราเอง ก็ใกล้จะหมดแล้วสินะ...
“อุ๊บ...”จู่ๆเอลซ่าก็รู้สึกคลื่นไส้เวียนหัวจนแทบอยากอาเจียน พื้นฟูกที่นั่งอยู่เอียงไปมาราวกับอยู่บนเรือที่กำลังโต้พายุลูกใหญ่
มะ..ไม่ไหวแล้ว...
เอลซ่าพยายามฝืนลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะลุกขึ้นนั่งแต่ทว่าจู่ๆแขนที่ยันร่างเอาไว้ก็ไร้เรียวแรง ร่างบางล้มลงกระแทกพื้นคอนกรีตอย่างแรงจนเธอรู้สึกชาไปทั้งตัว
เพราะนายคนเดียวแจ็ค สิ่งที่นายทำกับฉัน..ฉันจะเอาคืนให้สาสม!!...
แกร็ก
เสียงประตูลูกกรงบานหนาถูกเปิดออกเรียกสติของหญิงสาวให้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เอลซ่าพยายามเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่กำลังยืนค้ำหัวเธออยู่แต่เพราะว่าตอนนี้ตาของเธอมันพล่าเสียจนมองไม่ออกว่าคนตรงหน้าคือใคร
“.. มานอนอะไรตรงนี้ ”
READ WITHOUT COMMENT
PLEASE Comment Comment!!
หายไปนานต้องขอโทษรีดจริงๆ พอมันมีช่วงที่หายไปนานการจะกลับมาอีกรอบมันค่อนข้างจะต่อให้ติดยาก ต้องขอบใจไรต์แบร์ ที่คอยทวงแบบอ้อมๆ 55+
ไม่เจอกันนานคิดถึงกันไหม...? แล้วก็ขอบคุณสำหรับกำลังใจเรื่องโปรแกรม error ด้วยนะแต่งได้ 1/3 สักทีเย้ๆๆ ไปแล้วสวัสดีค่ะ
ดวงตาสีฟ้าสดของเอลซ่าพยายามปรับสายตาให้เป็นปกติ ก่อนจะค่อยๆเพ่งมองบุคคลที่มาเยือนตรงหน้า เด็กสาวผมแดงเพลิงสวมชุดกราวคลุมเดรสสีชมพูอ่อนทับไว้อีกที กลิ่นหอมกรุ่นจากข้าวต้มจานร้อนในมือของหญิงสาวสะกดความสนใจของเอลซ่าที่กำลังอยู่ในสภาวะขาดอาหารได้อยู่หมัด
“แอเรียล..? ทำไม.." เอลซ่าพูดพร้อมกับพยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นจากพื้น
“อ่ะ.. เธอยังไม่หายดีนะอย่าขยับตัวมากสิ มาให้ฉันช่วยดีกว่า” แอเรียลรีบวางถาดอาหารลงกับพื้นก่อนจะรีบเข้ามาพยุงเอลซ่าให้ลุกขึ้นนั่ง
“ทำแบบนี้แล้วคิดว่าเธอจะดูเป็นคนดีขึ้นมารึไง” เอลซ่าพูดกับอีกฝ่ายด้วยสายตาแข็งกร่าวก่อนจะสะบัดมืออีกฝ่ายที่พยุงร่างของเธอเอาไว้ออก “คิดว่าฉันเชื่อเธอหรอ..? แจ็คบอกให้ผสมอะไรมาในถาดนั้นล่ะ”
“เห้อ~” แอเรียลทำหน้าบู้ “ไม่มีใครสั่งฉันมาทั้งนั้นแหละ ฉันมาที่นี้ก็เพราะเธอ.. เธอคือคนไข้ของฉัน และฉันมาในฐานะหมอเจ้าของไข้ เอ้า! ดูซะ” หญิงสาวว่าจบก็ถอดเสื้อกราวออกเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นว่าตนไม่ได้พกอาวุธเข้ามา
แต่ทว่าเอลซ่าได้แต่นั่งมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เรียบเฉย
“โอเค ถ้าเธอยังไม่เชื่อใจฉันนะเดียวฉันกินให้เธอดูก่อนก็ได้” แอเรียลหยิบช้อนขึ้นมาตักข้าวต้มในจานก่อนจะกินมันให้อีกฝ่ายดู
“เดียว!!” เอลซ่าตะโกนเรียกก่อนจะพยายามยื่นมือที่ถูกล็อคเอาไว้แน่นด้วยกุญแจมือไปคว้าถ้วยข้าวต้มในมืออีกฝ่ายมา “ตอบฉันมาคำถามเดียวก็พอ..”
“เธออยากรู้อะไร”
“ตอนนี้กี่โมงแล้ว”
แอเรียลก้มลงมองนาฬิกาตนเองอย่างไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการรู้เวลาไปเพื่ออะไร“ตอนนี้ตีสอง ยี่สิบสามนาที”
“เอ้า” เอลซ่ายืนมือทั้งสองข้างไปที่อีกฝ่าย “เอามันออกได้ไหม..? ฉันกินไม่ถนัด”
“ได้สิได้แน่นอน” แอเรียลล้วงกุญแจในกระเป๋าออกมาก่อนจะรีบไขมันให้กับอีกฝ่าย “ทำไมจู่ๆเธอถึงเกิดไว้ใจฉันล่ะ เธอไม่คิดว่าแจ็คใช้ฉันมารึไง..? ”
“หึ! ถึงในถ้วยนี้จะใส่อะไรไว้ก็ตามยังไงมันก็ไม่ได้ทำให้ฉันมีสภาพแย่ไปกว่านี้หรอก” เอลซ่าพูดจบก็รีบตักข้าวต้มในถ้วยเข้าปากด้วยความหิว “และก็อีกอย่าง” เอลซ่าเงยหน้าขึ้นมาจากถ้วยข้าวต้มครู่หนึ่งก่อนจะตวัดสายตาที่แหลมคมมายังอีกฝ่าย “จากที่ฉันสังเกตดู ท่าทางว่าเธอกับแจ็คคงไม่ใช้แค่ เพื่อนร่วมงานธรรมดาแน่ คงจะมีอะไรที่..ลึกซึ่งกว่านั้น”
“ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยชอบแจ็คสินะ” แอเรียลหัวเราะเจือนกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา
“กับคนที่ไม่มีหัวใจแบบนั้น ฉันเกลียดจนไม่มีอะไรมาแทนได้เลยด้วยซ้ำ! ร่วมถึงผู้ชายร่างโตที่ชื่ออีสเตอร์นั้นด้วย”
“ความจริงแจ็คกับบันนี้เขาไม่ได้เป็นคนที่เลวร้ายขนาดนั้นสักหน่อย แต่ที่เขาทำไปแบบนั้นก็เพราะหน้าที่ที่พวกเขาได้รับ เอลซ่า..เธอเองก็ทำงานเป็นสายลับเช่นเดียวกับพวกเขา ฉันรู้ว่าสักวันเธอจะเข้าใจ” แอเรียลพูดพล่างมองอีกฝ่ายกินอาหารอย่างรีบร้อน จนหมดถ้วย
“นั้นสินะ ยังไงก็ขอบใจสำหรับอาหาร ถ้าฉันออกไปได้ฉันคงมีโอกาสตอบแทนเธอสักวัน" เอลซ่ายิ้มหวานก่อนจะยื่นถ้วยเปล่าคืนไปให้อีกฝ่าย “โอ๊ะ ผมติดอยู่บนเสื้อน่ะ” เอลซ่าหยิบผมสีแดงเพลิงของอีกฝ่ายออกจากปกเสื้อ พร้อมกับฉวยหยิบเอาบางอย่างออกจากกระเป๋าเสื้อกราว
“งั้นฉันไปก่อนนะถ้าแจ็คมาเห็นเข้าคงไม่ดีแน่” แอเรียลรีบเก็บถาดที่ตนถือเข้ามาก่อนจะเดินไปข้างนอกโดยมีเอลซ่านั่งมองจนอีกฝ่ายลับสายตาไป
สักวันจะเข้าใจงั้นหรอ..
ไม่มีวันที่ฉันจะเข้าใจความคิดของคนแบบนายเด็ดขาด..แจ็ค สักวันฉันจะต้องเอาคืนนายให้สาสม..
เอลซ่าคิดพล่างมองกุญแจดอกเล็กในมือก่อนจะรีบเดินไปที่กรงเหล็กบานหนาเพื่อไขมันออก
แต่ทว่า..
กุญแจดอกที่เธอได้มากลับไม่ใช้ดอกที่เธอต้องการ
“บ้าจริง โธ่เว้ย!!” เอลซ่ากระซากกุญแจออกด้วยความอารมณ์เสียจนดอกกุญแจหักขาดคาบานประตู
“ฉันก็แค่อยากปกป้องน้องสาวเหมือนที่พี่คนอื่นเขาทำกันแค่นั้น..ก็แค่” หยดน้ำใสค่อยๆไหลรินอาบข้างสองแก้ม “ฮึก..อยากยืนอยู่ข้างๆในวันที่น้องสาวลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง” ร่างบางทรุดลงกับพื้นอย่างไร้เรียวแรง มือเรียวเล็กยกดอกกุญแจที่หักขาดเป็นสองท่อนจนคมกริบขึ้นมามองด้วยสายตาว่างเปล่า
ฉันจะไม่มีวัน.. ..ยอมแพ้นายแน่แจ็ค...
.
.
.
ห้องพยาบาลกลาง : องค์กร ดิ กาเดียน
“มีตั้งหลายวิธีที่จะเค้นความลับออกมาจากอีกฝ่าย..ทำไมนายถึงเลือกที่จะขังแม่นั้นเอาไว้แค่นั้น ขังเอาไว้แบบนี้กลัวแม่นั้นหนีไปจากนายรึไง” อีสเตอร์เปรยถามอีกฝ่าย
“จู่ๆ..คิดว่าฉันสนใจยัยนั้นขึ้นมารึไง ก็แค่อยากถนอมเอาไว้เล่นนานๆ จนกว่ายัยนั้นจะคายความลับออกมาก็เท่านั้น ฉันไม่คิดจะพลาดไว้ใจใครเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด” แจ็คตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยก่อนจะยกแก้วทรงหนาขึ้นมาดื่มของเหลวที่อยู่ด้านในจนหมด
“แจ็คแย่แล้ว” ชายฉกรรณ์รีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาด้านในด้วยท่าทางที่รีบร้อนจนเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นเต็มใบหน้า
“มีอะไร...”
“ผะ.ผู้หญิงที่นายให้เฝ้าเอาไว้...” ชายตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีนัก “ผู้หญิงคนนั้นตายแล้ว”
ดวงตาสีฟ้าสดของเด็กหนุ่มเบิกโพลนกับสิ่งที่ได้ยิน มือหนาลดแก้วลงด้วยความลืมตัวก่อนจะค่อยๆหันมาจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าน่ากลัว
“รีบขนไปทิ้งซะสิจะรอให้อืดก่อนไงถึงจะเอาไปทิ้งน่ะ” ชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งตะโกนสั่งลูกน้องสี่ห้าคนที่กำลังเกี่ยงกันจัดการกับร่างบางที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น
“คะ.คือ..มัน”
“หาว..อืมม--ม มีอะไรกันหรอ” น้ำเสียงทุ้มต่ำปนงั่วเงียของชายหนุ่มเจ้าของดวงตาออดอายส์ มือหนาเสยผมสีดำที่ตัดกับผิวขาวซีดของตนไปทางด้านหลังก่อนจะหยุดนิ่งเพื่อรอคำตอบกับชายตรงหน้า
“เอ่อ..คือ ดูเหมือนว่าเธอจะกรีดแขนกินยาพิษเพื่อฆ่าตัวตาย ตอนนี้ทางเรากำลังจะนำศพไปจัดการ เฮื่อ--” ชายฉกรรณ์พูดพล่างถอนหายใจ “แต่ว่าไอ้พวกนี้!! ดันกลัวไม่เข้าท่า”
“กลัว..?” ชายหนุ่มตรงหน้าเลิกคิ้วสูงก่อนจะเอียงตัวไปมองร่างบางที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นสภาพเนื้อตัวเปื้อนฝุ่นไปทั้งตัว ผมสีบลอนด์ที่เคยยาวสลวยตอนนี้กลับพันจนยุ่งแต่ไม่ว่ายังไง ก็ยังไม่เห็นว่าร่างตรงหน้านี้จะน่ากลัวเลยสักนิดออกจะดูดีด้วยซ้ำไป
“คือคนที่เอาเธอมาขังไว้ที่นี้คือ..แจ็คสัน ถ้าเขารู้ว่าเราปล่อยให้เธอฆ่าตัวตายมีหวัง...” ชายร่างใหญ่อธิบายก่อนจะหุบตาลงต่ำ
“หึ..แจ็ค ให้ตายเถอะไอ้บ้านั้นเล่นอะไรไม่เคยถนอมของเลย..” ชายหนุ่มเดินเข้ามาด้านในก่อนจะก้มลงจับข้อแขนของอีกฝ่ายเพื่อตรวจชีพจรตามสัญชาติญาณของหมอ
ตุบ.......
รอยยิ้มของคุณหมอเจ้าของเรือนผมสีดำสนิทฉายออกมาช้าๆ ดวงตาสีออดอายส์ตวัดมองร่างบางราวกับหมาป่า ก่อนจะไปสะดุดเข้ากับป้ายชื่อที่ติดไว้ที่เสื้อ
เอลซ่า ควีน
“เดียวฉันจัดการเอง” เด็กหนุ่มถอยเสื้อสูทตัวนอกออกคลุมร่างอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะช้อนแขนของตนอุ้มร่างบางขึ้นมา ชายร่างโตที่เป็นหัวหน้าพยายามจะยกมือห้ามแต่ทว่ากลับถูกมองด้วยสายตาที่ดุแทนคำตอบ
“หรือมีปัญหา..?”
“มะ..ไม่มีครับ”
รอยยิ้มเยือกเย็นกระตุกอย่างพอใจก่อนจะอุ้มพาร่างที่นอนนิ่งของเอลซ่าไปด้านนอก พร้อมกับสายตาของชายร่างโตที่มองตามไปจนสุดสายตา
ทันทีที่ลับสายตาบรรดาคนที่คอยจับตาดูเอลซ่า จู่ๆเด็กหนุ่มก็หยุดเดิน ดวงตาคู่ผสมจ้องมองเอลซ่าที่ได้แต่นอนนิ่งอยู่ในอ้อมแขนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะละสายตาจากร่างตรงหน้าแล้วเดินต่อไปยังจุดหมายของตน “จะเล่นละครไปถึงไหน คิดว่าตบตาหมออย่างฉันได้หรือไง”
“...” ดวงตาสีเหลืองมรกตเหล่มองเอลซ่าที่นอนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะหึในลำคอ
“แจ็คสอนไว้หรือไงว่าห้ามคุยกับคนแปลกหน้าหน่ะ..เป็นเด็กดีจังเลยนะ”
คิ้วเรียวบางของเอลซ่ากระตุกทันทีที่ได้ยินชื้อของเด็กหนุ่มคู่อาฆาต
“จะพูดไม่พูด”
“...”
“ไม่พูดใช่ไหม..? ได้”
ตึบ!!
ร่างของเอลซ่าถูกโยนทิ้งลงพื้นอย่างแรง จนเจ้าตัวรีบลุกขึ้นมานั่งตามสัญชาติญาณ
“นี้นายกล้าดียังไงมาโยนฉันลงแบบนี้น่ะ ฉันเจ็บนะ” ดวงตาสีฟ้าสดจ้องมองชายหนุ่มเขม่งก่อนจะรีบยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนเพื่อที่จะได้ไม่เป็นฝ่ายเสียเปรียบร่างตรงหน้า
“กล้าดียังไงฉันไม่สน แต่ที่ฉันสนเธอต้องตามฉันมา” มือหนาคว้าแขนของเอลซ่าขึ้นมาพร้อมกับออกแรงดึงให้อีกฝ่ายยอมเดินตามตนไปแต่โดยดี
“ฉันไม่ไป!!” เอลซ่าสะบัดมือเด็กหนุ่มตรงหน้าทิ้ง “นายเป็นใครและต้องการอะไรจากฉันกันแน่” ดวงตาสีฟ้าสดจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าเขม่งก่อนจะพลิกตัวคว้ามืออีกฝ่ายเอาไว้และหักแขนไปทางด้านหลัง “ถ้านายตอบคำถามฉันไม่ครบละก็บอกลาไหล่นายได้เลย”
“ฉันชื่อ แบล็ค พิทช์ เป็นเพื่อนกับแจ็คและฉัน..” ยังไม่ทันที่จะตอบคำถามของอีกฝ่ายครบ พิทช์กระทุ้งศอกไปที่ท้องของเอลซ่าจนร่างบางปล่อยมือที่ล็อคแขนของตนออก พร้อมกับอาศัยจังหวะนี้พลิกตัวไปทางด้านหลังของหญิงสาว มือหนาล็อคคอของอีกฝ่ายจากทางด้านหลังพร้อมกับปิดปากของเธอเอาไว้แน่น “และฉันต้องการจะทำความรู้จักกับเธอยังไงละ อยากเห็นหน้าหมอนั้นตอนนี้จังว่าจะทำหน้ายังไงถ้ารู้ว่าฉันเป็นคนแย่งของเล่นของมันมาแบบนี้”
“มะ..ไม่ใช่ ฉันไม่..ขะ.”
ทางด้านห้องขังชั้นใต้ดิน
“เกิดอะไรขึ้น..ยัยนั้นไปไหน” แจ็คที่เพิ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาถามชายฉกรรณ์ด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
“อะ..อ่อ— ทางเราจัดการเรื่องศพของเธอเรียบร้อยแล้วครับ” ชายฉกรรณ์ตอบด้วยน้ำเสียงอึกอัก
“แล้วรู้ได้ยังไงว่ายัยนั้นตาย จริงๆ”
“เอ่อ เราเห็นเธอมีอาการลมชักจากทางกล้องวงจรปิดที่ห้องคุม แล้วพอเรารีบวิ่งมาถึงนี้เธอก็..”
“ล้มลงไปแล้ว” แจ็คพูดด้วยน้ำเสียงเรียบด้วยท่าทางที่ไม่สบอารมณ์นัก
“คะ..ครับ เราเลยไขกุญแจเปิดห้องขัง พบว่าที่แขนเธอมีรอยถูกของมีคมกรีดคาดว่าเธอน่าจะฆ่าตัวตาย เราเลยต้องจัดการกับศพของทะ..” ชายฉกรรณ์อธิบายต่อ แต่ทว่ายังไม่ทันที่จะอธิบายจบ แจ็คที่ท่าทางอารมณ์เสียตั้งแต่เข้ามาก็ตะโกนแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“แค่นี้..แค่ล้มลงไปนิ่งกับพื้น แขนมีรอยแผลเลยเปิดประตูแล้วเอาตัวยัยนั้นออกไป”
“คะ..ครับ”
“แล้วใครเป็นคนยืนยันว่ายัยนั้นตายแล้ว!!”
“พิชท์ หมอแบล็ค พิชท์” ชายคนเดิมตอบด้วยน้ำเสียงที่อ้อมแอม
“พิชท์ ไอ้บ้านั้น กลับมาตั้งแต่เมื่อไร...” มือหนากำหมัดแน่นก่อนจะสะบัดทิ้งอย่างหัวเสีย
themy butter
ความคิดเห็น