คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 5 : together
Fic Harry
Potter [DM/HP] What is it called ?
_________________________________________________________
Chapter 5 : together
ร่วมใจไปด้วยกัน
กลางดึกสงัดบริเวณบ้านเลขที่สิบเอ็ดและสิบสาม
กริมโมลด์เพลซเกิดแรงสั่นสะเทือนพร้อมกับบ้านทั้งสองหลังนั้นถูกเบียดออกไปด้านข้าง
ปรากฏบ้านเลขที่สิบสอง กริมโมลด์เพลซแทรกเข้ามาระหว่างบ้านเลขที่สิบเอ็ดและสิบสาม
บ้านพ่อมดที่หลบซ่อนอยู่กับมักเกิลหลังนี้เป็นบ้านของเขา
บุคคลที่ถูกกล่าวว่าเป็นเด็กชายผู้รอดชีวิตและผู้พิชิตจอมมาร
แฮร์รี่ไม่ชอบที่ถูกเรียกอย่างนั้น
เขาไม่ชอบที่จะทำตัวโดดเด่น เขาแค่อยากเป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์
เด็กชายธรรมดาที่มีพ่อแม่อยู่ด้วยกันพร้อมหน้า แค่แฮร์รี่ พอตเตอร์เท่านั้น
แฮร์รี่หลับตาก่อนจะสูดหายใจเข้าช้าๆ
เพื่อไล่ความคิดไร้สาระออกไป(แน่ล่ะ เพราะมันไม่มีทางเกิดขึ้นจริง)
คืนนี้เป็นคืนแรกที่เขาต้องเดินทางเพื่อตามล่าผู้เสพความตายที่ยังหลบหนี
เขาประชุมวางแผนกับคนในสำนักงานมาเป็นค่อนเดือนเพื่อให้เกิดความผิดพลาดระหว่างการตามล่าให้น้อยที่สุด
เขาต้องมีความระมัดระวังและเตรียมการการป้องกันอย่างดีที่สุดเช่นกัน
อย่างน้อยก็ต้องมีแผนรับมือหากมีอะไรผิดพลาดจากแผนที่วางไว้
“เราจะหายตัวจากบ้านฉันไปยังจุดเอ”
แฮร์รี่ว่าพลางชี้นิ้วไปที่แผนที่เกาะอังกฤษที่ถูกทำเครื่องหมายกากบาทสีแดงอยู่หลายจุด
นิ้วชี้ของเขาแตะที่กากบาทสีแดงจุดหนึ่ง
แฮร์รี่เหลือบมองคนตรงหน้าเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายให้ความสนใจแผนที่ในมือเขา
เขาจึงพูดต่อ “จากนั้นเราจะเดินเท้าตามเส้นทางที่ผู้เสพความตายเคยผ่านสลับกับหายตัวเป็นระยะ”
“ยุ่งยากชะมัดพอตเตอร์
แค่ไม่ให้พวกมันรู้ว่าแกกับฉันตามก้นมันอยู่ก็พอไม่ใช่รึไง” น้ำเสียงยานคางติดรำคาญของมัลฟอยดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะเบนใบหน้าไปทางอื่น
ไม่สนใจเขาและแผนการของเขาอีกต่อไป
แฮร์รี่ละความสนใจกับอีกฝ่ายขณะมองดูบ้านเลขที่สิบสองค่อยๆ
หายกลับไปเบื้องหลังบ้านเลขที่สิบเอ็ดและสิบสาม
เขาเช็คกับดักที่วางไว้และสัญญาณเตือนต่างๆ ภายในบ้านแล้ว
เขามั่นใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี แล้วจึงเริ่มดำเนินตามแผนการ
ไล่ล่าอย่างเงียบเชียบและหลีกเลี่ยงการปะทะ
เขาไม่ได้เก่งกาจเหมือนอลาสเตอร์
มู้ดดี้ที่สามารถลุยเดี่ยวจัดการผู้เสพความตายได้
ถึงเขาจะสามารถประเมินความสามารถตัวเองได้แต่เขาไม่สามารถประเมินความสามารถของมัลฟอยได้เลย
เขารู้ดีว่างานนี้มันต้องเสี่ยงเป็นเท่าตัวแน่ ถ้าหากเป็นคนที่รู้จักกันดี
เขาคงจะสามารถประเมินกำลังอีกฝ่ายแล้วคิดถึงโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดได้แม่นยำมากกว่านี้
อย่างน้อยเขาก็ไม่คิดว่ามัลฟอยอ่อนหัดขนาดจะมาเป็นตัวถ่วงให้เขาหรอก
ผ้าคลุมสีดำสนิทช่างกลมกลืนกับความมืดในตอนนี้
เขาดึงฮู๊ดขึ้นมาสวมหัวแล้วหันไปมองคนหัวทองเตะตาอย่างนึกรำคาญใจ
เจ้าหมอนี่รู้จักคำว่ากลมกลืนจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย
แฮร์รี่เรียกชื่ออีกฝ่ายก่อนจะชี้ไปที่ฮู๊ดด้านหลังเป็นการบอกใบ้
“เรื่องมาก พอตเตอร์” นอกจากจะไม่ทำตามแล้ว
มัลฟอยยังชักสีหน้าบอกบุญไม่รับมาให้เขาอีก คนที่สมควรจะทำหน้าบูดหน้าบึ้งมันคือเขาไม่ใช่หรือไง
เขาที่หน้าตึงตั้งแต่สามอาทิตย์ที่แล้วเพราะเจ้าหมอนี่บุกรุกบ้านเขาและยังจะขอร่วมงานของเขาเสียดื้อๆ
ต่างหากที่ควรจะทำสีหน้าแบบนั้น!
“ช่างนายเถอะมัลฟอย” แล้วก็เป็นแฮร์รี่อีกครั้งที่เป็นฝ่ายเลิกสนใจอีกฝ่าย
แฮร์รี่กางแผนที่อีกครั้งขณะเดินไปตามตรอกริมถนนของจุดที่พวกเขาหายตัวมา
ร่องรอยของผู้เสพตายปรากฏบนแผนที่ก่อนจะหายไปเมื่อถึงจุดบี
เป็นอันเข้าใจว่าที่จุดบีเจ้าพวกนั้นได้หายตัวไปนั่นเอง ตรงกับเส้นทางที่เขาได้ทำเครื่องหมายไว้เลย
เวทมนต์ซับซ้อนที่ร่ายลงในแผนที่ส่วนหนึ่งมาจากกระทรวงเวทมนต์
อีกส่วนเป็นคาถาที่เฮอร์ไมโอนี่ร่ายไว้จากการศึกษาแผนที่ตัวกวน ถึงจะรู้ในความอัจฉริยะของเพื่อนสาวแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจอยู่ทุกครั้ง
จู่ๆ คนที่มาด้วยกันกับเขาก็เดินเลี้ยวไปยังตรอกมืดสนิทด้านข้าง
ทำให้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากเดินตามอีกฝ่ายไป
หากมัลฟอยไปเจอกับอะไรเข้าล่ะก็เขาไม่อยากจะนึกเลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
หากเลี่ยงได้เขาก็ไม่อยากให้เกิดการปะทะขึ้นเช่นกัน
“มัลฟอยนั่นนายจะ—”
ไม่ทันที่เขาจะพูดจบประโยคดีฝ่ามือเย็นเฉียบของอีกฝ่ายก็ตรงเข้ามาปิดปากเขา
ใบหน้าของมัลฟอยดูเคร่งเครียดจนเขาเริ่มรู้สึกตัวว่าที่ตรงนี้ไม่ได้มีแค่พวกเขา
แฮร์รี่ดึงมือของมัลฟอยออกแล้วกระชับไม้กายสิทธิ์แน่น
เขาเก็บแผนที่ยัดใส่กระเป๋า ใช้สายตามองรอบตัวอย่างระแวดระวัง เขามองเห็นกลุ่มคนในเสื้อคลุมที่แทบกลืนสนิทกับความมืดยามราตรี
พวกผู้เสพความตายกำลังรอต้อนรับเขาอยู่ แล้วไอ้ร่องรอยเมื่อสักครู่นี้คงเป็นการวางกับดักสินะ
“กะแล้วว่าแผนห่วยๆ ของแกมันไม่ได้ผล
พอตเตอร์” น้ำเสียงยานคางดังขึ้นข้างตัว ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็เตรียมพร้อมปะทะได้ตลอดเวลาเหมือนกัน
แฮร์รี่แค่นหัวเราะในลำคอก่อนจะร่ายคาพอดีกับที่ลำแสงสีเขียวที่พุ่งตรงมาที่เขา
“สตูเปฟาย!”
เด็กหนุ่มตอบโต้ด้วยคาถาสะกดนิ่ง
ลำแสงสีแดงจากปลายไม้กายสิทธ์พุ่งตรงไปยังผู้เสพความตายคนนั้นทันที แฮร์รี่ร่ายคาถาสะกดนิ่งใส่ผู้เสพความตายที่อยู่ใกล้เคียงอย่างรวดเร็วพร้อมเคลื่อนไหวหลบลำแสงสีเขียวจากปลายไม้กายสิทธิ์ของพวกนั้นอย่างคล่องแคล่ว
“เพ็ตตริฟิคัส โททาลัส!” ผู้เสพความตายคนหนึ่งล้มลงหลังจากโดนคาถามัดตราสังของมัลฟอย
ร่างสูงเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบพร้อมร่ายคาถาโต้ตอบผู้เสพความตายอย่างเงียบงัน
เห็นดังนั้นแฮร์รี่ถึงรู้ตัวว่ามัลฟอยไม่ได้ไม่เอาไหนอย่างที่เขาคิดไว้
เด็กหนุ่มละความสนใจจากเด็กหนุ่มอีกคนร่ายคาถาปลดอาวุธกับผู้เสพความตายต่อไป
ในขณะที่พวกเขากำลังได้เปรียบ บรรยากาศยามค่ำคืนกลับเริ่มหดหู่
อากาศเริ่มหนาวเย็นและความรู้สึกไร้ชีวิตชีวาเริ่มเข้ามาแทนที่
ความรู้สึกแบบนี้....
ผู้คุมวิญญาณ!
เขาไม่รู้ว่ามัลฟอยเสกคาถาผู้พิทักษ์ได้ไหมแต่หากเขาไม่ทำอะไรสักอย่างทั้งมัลฟอย
ทั้งผู้เสพความตายได้ถูกผู้คุมวิญญาณดูดกลืนวิญญาณแน่ อุณหภูมิเริ่มต่ำลงเรื่อยๆ
จนรู้สึกได้ถึงไอเย็นจากลมหายใจของตัวเอง
แฮร์รี่รีบวิ่งเข้าไปหามัลฟอยที่ดูท่าทางไม่ค่อยดีก่อนจะนึกถึงความสุขที่เขามี
ความสุขของเขามันมีแน่นอนอยู่แล้ว
ที่ผ่านมาเขาแค่เอาความสูญเสียและความเสียใจมาบดบังก็เท่านั้น
แฮร์รี่นึกถึงเพื่อนรักของเขา นึกถึงวันที่ได้รับไม้กวาดนิมบัสสองพัน วันที่รู้ว่าเขามีพ่อทูนหัวที่รักเขาและจบลงที่เขานึกถึงวันเปี่ยมสุขที่รายล้อมไปด้วยผู้คนที่เขารัก
แฮร์รี่ยิ้มออกมาจากหัวใจ “เอกซ์เปกโทร พาโทรนุม!”
แสงสีเงินยวงจากไม้กายสิทธิ์แปรสภาพเป็นกวางหนุ่ม
ผู้พิทักษ์ของเขาวิ่งวนไปรอบๆ พวกเขาก่อนจะวิ่งชนผู้คุมวิญญาณไปทีละตัวสองตัว
แฮร์รี่ปล่อยให้ผู้พิทักษ์ทำหน้าที่ของตัวเอง
เขาสำรวจมัลฟอยที่มีสีหน้าดีขึ้นก่อนจะหันไปจัดการผู้เสพความตายที่เหลือที่เริ่มรู้สึกตัวต่อด้วยคาถาอินคาร์เซอรัส
แฮร์รี่ร่ายคาถากับก้อนหินก้อนหนึ่งเพื่อเป็นกุญแจนำทางส่งตัวผู้เสพความตายที่เขาจับได้ไปยังอัซคาบัน
เขาไม่รู้ว่ามัลฟอยคุยอะไรกับผู้เสพความตายแต่สีหน้าของเจ้าหมอนั่นเหมือนอยากจะร่ายคำสาปกรีดแทงใส่คู่สนทนาจนตายอย่างไรอย่างนั้น
อาจเป็นเพราะหนึ่งในนี้ไม่มีโรลว์ มัลฟอยถึงได้หงุดหงิดนัก
เขารู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไรและมันห้ามกันไม่ได้ที่จะควบคุมความรู้สึกไม่ให้เกลียดชังคนที่ทำร้ายบิดาของตนจนสูญเสียแขน
แฮร์รี่ควานหาเศษกระจกสองทางเพื่อติดต่อกับอาเบอร์ฟอร์ธให้แจ้งกระทรวงเวทมนต์ว่าเขากำลังจะส่งผู้เสพความตายส่วนหนึ่งไปยังอัซคาบันพร้อมทั้งขอโทษขอโพยที่ต้องมารบกวนกลางดึกเช่นนี้
แฮร์รี่ให้เหตุผลกับชายชราว่าเขานึกวิธีติดต่อที่สะดวกและรวดเร็วกว่านี้ไม่ออก
แล้วอาเบอร์ฟอร์ธก็เป็นคนหนึ่งที่เขาเลือกสำหรับติดต่อยามฉุกเฉิน
“ผมขอโทษจริงๆ ครับคุณดัมเบิลดอร์แต่ที่นี่ไม่มีเตาผิงให้ผมใช้เครือข่ายผงฟลูติดต่อไปยังกระทรวงจริงๆ”
“แล้วทำไมเธอไม่หายตัวแล้วพาเจ้าพวกนั้นไปด้วยตัวเอง
คุณพอตเตอร์”
“ผมเกรงว่าเราจะเสียเวลาในการดำเนินตามแผนการ
อย่างน้อยคุณก็ติดต่อหัวหน้ามือปราบมาร— คุณโรบาดส์ให้หน่อยได้ไหมครับ
อีกสักพักผมจะส่งพวกนั้นไปอัซคาบัน”
“ไม่จำเป็นหรอกแฮร์รี่
เดี๋ยวฉันไปรอรับเจ้าพวกนั้นที่อัซคาบันเอง!”
ดวงตาสีฟ้าหายลับไปจากกระจกปรากฏห่วงสีทองมาแทนที่
ดวงตาที่ดูขี้เล่นประสานเข้ากับเขา แฮร์รี่รู้ได้ทันทีว่าคู่สนทนาของเขาคือใคร
“คิงส์ลีย์ นั่นคุณเหรอครับ”
แฮร์รี่เอ่ยถามด้วยความรู้สึกยินดี
คนในกระจกส่งรอยยิ้มมาให้เขา
ดูเหมือนว่ารัฐมนตรีกระทรวงเวทมนต์จะรู้เห็นแผนการในครั้งนี้ละเอียดมิใช่น้อย
แหงล่ะ
ก็คิงส์ลีย์เป็นคนรับข้อเสนอในการไม่จับกุมนายลูเซียสโดยการแลกกับข้อมูลผู้เสพความตายที่หลบหนีนี่นา
จะรู้ว่าเขาได้รับมอบหมายงานในการตามจับเจ้าพวกนั้นด้วยคงไม่แปลก
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องรบกวนคุณแล้วท่านรัฐมนตรี”
แฮร์รี่พูดปิดท้ายก่อนจะมัดผู้เสพความตายที่จับได้เข้าด้วยกันแล้วพายังยังกุญแจนำทาง
หนึ่งในนั้นหันมามองแฮร์รี่พร้อมส่งเสียงหัวเราะน่าขยะแขยงแล้วพ่นคำหยาบคายออกมา
“ไอ้หนูพอตตี้ ไอ้ลูกxxx แกจะต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำกับจอมมารของพวกข้า
ฮี่ๆๆๆ”
แฮร์รี่ไม่สนใจกับคำพูดจากวนประสาทเหล่านั้น
เขามองดูกลุ่มผู้เสพความตายที่ถูกมัดเข้าด้วยกันไม่ต่างจากลูกบอลสัมผัสกับกุญแจนำทางแล้วหายวับไป
หวังว่าปลายทางจะได้รับวัสดุที่เขาส่งไปอย่างไร้รอยขีดข่วน
เขากางแผนที่ขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะพบว่าจุดที่ตนเองอยู่นั้นคือจุดระหว่างจุดบีกับจุดซีและไร้ร่องรอยของผู้เสพความตายที่เหลือ
การใช้คาถาผู้พิทักษ์กินแรงของเขามากพอดู
แฮร์รี่ล้มตัวนั่งลงกองกับพื้นขณะเอนหลังพิงกำแพงสกปรกอย่างเหนื่อยล้า
“ไอ้คาถาเมื่อกี้แกทำได้ยังไง”
มัลฟอยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรถามขึ้นขณะก้มมองมาที่เขา
“คาถาผู้พิทักษ์?
นายแค่นึกถึงความสุขของนายแล้วก็ร่ายมันออกมา ต้องเป็นความสุขจากหัวใจเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นมันถึงจะแข็งแกร่งพอที่จะขับไล่ผู้คุมวิญญาณได้”
แฮร์รี่เงียบไปพร้อมคิดอะไรบางอย่างแล้วจึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยแน่ใจ “นายอยากลองดูไหมล่ะ”
มัลฟอยนิ่งเงียบไปอยู่นานจนเขาเริ่มอึดอัดก่อนจะได้ยินเสียงแผ่วๆ
คล้ายๆ คำว่าตกลง แต่แฮร์รี่คิดว่าตัวเองคงหูฝาดจึงได้เอ่ยปากถามอีกครั้ง
“นายพูดว่าอะไรนะ”
นัยน์ตาสีซีดฉายแววหงุดหงิดอย่างไม่ปิดบังก่อนที่อีกฝ่ายจะย่อตัวลงมาที่ระดับความสูงเดียวกับเขาแล้วขยับปากช้าๆ
“ฉันบอกว่า ตก ลง ฉัน จะ ลอง!”
มัลฟอยหัวเสียไม่น้อยที่ต้องพึ่งพาคนอย่างเขา
คนอย่างมัลฟอยนิสัยเหมือนเด็กเอาแต่ใจอย่างไงก็ยังเป็นอย่างนั้นไม่เปลี่ยนจริงๆ
แฮร์รี่เหยียดตัวลุกขึ้นร่ายคาถาแล้วโบกไม้กายสิทธิ์
กวางหนุ่มตัวเดิมก็พุ่งออกมาจากปลายไม้แล้ววิ่งเหยาะๆ รอบๆ ตัวเขา
“นี่มันสุดยอด...”
มัลฟอยเอ่ยเสียงเบาถึงมันจะดังพอให้เขาได้ยินก็เถอะ มือสีซีดยื่นเข้ามาหวังสัมผัสผู้พิทักษ์ของเขา
ไออุ่นและความรู้สึกสงบอย่างประหลาดไหลเข้าสู่ร่างกายของอีกฝ่ายจนตัวแฮร์รี่เองก็รู้สึกได้
อย่างกับหมอนั่นกำลังรับเอาความสุขจากหัวใจเขาไปอย่างไงอย่างนั้น
แฮร์รี่มองมัลฟอยที่ยืนนิ่งสงบเคียงข้างผู้พิทักษ์ของเขาก่อนเจ้าตัวจะชูไม้กายสิทธิ์แล้วร่ายคาถา
“เอกซ์เปกโทร พาโทรนุม”
แสงสว่างสีเงินยวงจากไม้กายสิทธิ์ปรากฏขึ้นแล้วแผ่ขยายเป็นรูปร่างที่ไม่แน่ชัดก่อนจะค่อยๆ
ดับวูบลง ครั้งแรกที่เขาเสกคาถาผู้พิทักษ์มันก็ไม่ได้ผลแบบนี้เหมือนกัน
ใบหน้ามัลฟอยดูผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
“ฝึกเรื่อยๆ
นึกถึงความสุขที่สุดเพียงหนึ่งเดียวเดี๋ยวผู้พิทักษ์ของนายก็ออกมาเอง”
“รีมัส— ฉันหมายถึง
ศาสตราจารย์ลูปินเคยบอกฉันว่า จะร่ายคาถาให้สำเร็จได้
นายต้องเพ่งสมาธิเต็มกำลังไปยังความทรงจำที่เป็นความสุขมากๆ เพียงเรื่องเดียว
ผู้พิทักษ์น่ะเป็นภาพพสะท้อนมาจากจิตใจของนาย ตัวตนของนาย และหากนายมีความยึดมั่นและศรัทธาในอะไรบางอย่างมากๆ
นายก็จะสามารถเสกผู้พิทักษ์ออกมาได้เหมือนกัน”
แฮร์รี่เอ่ยอธิบายยืดยาวขณะมองผู้พิทักษ์ของตน
เขาไม่รู้หรอกว่าทำไมถึงเป็นกวางตัวผู้ มันคงเป็นตัวแทนของพ่อเขาหรืออะไรบางอย่าง ซึ่งเขาก็พอใจที่มันเป็นรูปลักษณ์เดียวกับสัญลักษณ์ของพ่อ
มันทำให้เขารู้สึกว่าพ่ออยู่ใกล้ๆ เขาเสมอ
“นั่นนายจะไปไหน มัลฟอย”
เด็กหนุ่มเอ่ยถามทันทีเมื่อเห็นร่างสูงเดินผ่านตัวเขาไปยังริมถนนที่พวกเขาปรากฏตัวมาในตอนแรก
ก็รู้อยู่หรอกว่ามัลฟอยจะไม่ตอบเขา เขาจึงทำได้แค่เดินตามไป
เผื่อหมอนี่ไปทำอะไรเข้า เขาจะได้รับมือได้ทัน ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้ เขาไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แต่แน่นอนว่ามัลฟอยก็คือมัลฟอย
ทำแค่หันมามองเขาด้วยสายตาติดรำคาญแล้วก็ไม่ตอบคำถาม แฮร์รี่เองก็ไม่มั่นใจว่าสถานที่แห่งนี้ยังหลงเหลือผู้คุมวิญญาณอยู่หรือไม่
แถมยังปรากฏตัวพร้อมผู้เสพความตายอย่างเหมาะเจาะจนไม่เหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ มันต้องมีเงื่อนงำอะไรแน่ๆ
และนั่นทำให้เขาต้องตามมัลฟอยแจขนาดนี้
หมอนั่นยังเสกคาถาผู้พิทักษ์ไม่ได้
ถ้าเกิดเหตุเหมือนดัดลีย์อีกล่ะ ถ้าเขาช่วยไม่ทันแล้วอีกฝ่ายโดนจุมพิตผู้คุมวิญญาณ
เขาคงโทษตัวเองไปตลอดชีวิตแน่ ไม่ว่าจะเป็นดัดลีย์หรือมัลฟอย
เขาก็ไม่มีสิทธิไปตัดสินในคุณค่าชีวิตของพวกนั้นแล้วไม่ให้ความช่วยเหลือเพียงเพราะเขารู้สึกแย่ด้วย
เผลอแป้ปเดียวสองเท้าก็ก้าวมายืนเคียงข้างร่างสูงเสียแล้ว
แฮร์รี่เงยหน้ามองอีกฝ่ายแล้วค่อยๆ เรียบเรียงคำพูดออกมา “นายรู้ใช่ไหมว่าฉันไม่ชอบนาย
ฉันก็รู้ว่านายเกลียดขี้หน้าฉันเหมือนกัน แต่ในเมื่อเดินร่วมทางกันแล้ว
อย่างน้อยฉันคิดว่าเราควรคุยกันมากกว่านี้”
“แค่ฉันทำตามแผนห่วยๆ ของแกก็ดีเกินพอ
พอตเตอร์” มัลฟอยส่งเสียงเหอะในลำคอหลังจบประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงแสนห้วน
แฮร์รี่กลอกตาอย่างจนใจ
เขาก็ได้แต่ต้องยอมรับตัวตนของอีกฝ่ายที่เป็นอย่างนี้เพราะมันจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น
เขาเริ่มรู้สึกว่าเสียเวลากับสถานที่นี้มากเกินไปแล้วจึงเอ่ยเร่งมัลฟอยให้เดินทางต่อ
แน่นอนว่าเป็นการเดินเท้าอย่างที่เขาเคยบอกเอาไว้
ถึงจะรู้ว่าคนที่วิ่งตามมาด้านหลังเปลี่ยนไปแต่แฮร์รี่ก็ไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะนิ่งขึ้นขนาดนี้
ทั้งสงบนิ่ง โมโหร้ายแล้วก็ปากจัด
เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงจากมัลฟอยที่คอยเข้ามาหาเรื่องเขาแล้วเอาแต่พล่ามว่าพ่อฉันต้องรู้เรื่องนี้แน่มาเป็นผู้ชายเต็มตัวที่นิสัยไม่ดีแล้วจนได้
แหงล่ะ ก็ทั้งขี้หงุดหงิด ทั้งปากไม่ดีขนาดนี้
จะให้เขาพูดเหรอว่าเจ้าหมอเป็นเป็นผู้ชายที่ดีน่ะ ไม่มีทาง!
พวกเขาเดินทางทั้งเดินทั้งวิ่งสลับกันร่วมสามชั่วโมงก็ข้ามเขตแมนเชสเตอร์เสียแล้ว
เบื้องหน้าเปลี่ยนจากถนนเล็กๆ นอกเมืองเป็นป่าทึบหนา
ทำให้พวกเขาต้องชะลอการเดินทางลง ขึ้นชื่อว่าป่าอย่างไรเสียก็ไม่น่าปลอดภัยอยู่แล้วและดูเหมือนว่าร่างกายของพวกเขานั้นอ่อนล้าเกินกว่าจะเดินเท้าได้อีก
“ฉันจะกางเขตแดนไว้ตรงนี้รัศมีสิบเมตร
นายจัดการเรื่องอาหารได้ไหมมัลฟอย” แฮร์รี่ว่าก่อนจะร่ายคาถาคาเว อินิมีคัมเพื่อเสริมความแข็งแกร่งและอำพรางบริเวณจุดพักโดยไม่ทันฉุกใจคิดว่าบุคคลที่เขาไหว้วานให้ไปหุงหาอาหารมาให้นั้นเป็นคุณหนูบ้านมัลฟอย
ส่วนมัลฟอยที่นั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ก็ได้แต่ทำหูทวนลมเหมือนไม่ได้ยินที่เขาอย่างพูดแต่ถึงจะได้ยินมัลฟอยก็ไม่สนใจจะให้ความช่วยเหลือแก่เขาอยู่ดี
“ยังไงก็พักอยู่นี่จนกว่าจะหายเหนื่อย เดี๋ยวฉันจะออกไปหาของกินมาให้”
แฮร์รี่จัดการร่ายคาถาลูมอสแม็กซิมัมเพื่อให้เกิดความสว่างในที่พักชั่วคราวของพวกเขาก่อนะจะออกไป
สุดท้ายก็เป็นแฮร์รี่ที่จัดการทุกอย่างเองคนเดียว... เหมือนทุกที
เดรโกนั่งเงียบๆ อยู่ใต้ต้นไม้มาพักใหญ่แล้วนับตั้งแต่แฮร์รี่
พอตเตอร์บอกว่าจะไปหาของกินมาให้หรืออันที่จริงเจ้าพอตเตอร์นั่นใช้ให้เขาไปหามาให้นั่นแหละ
แต่จะให้คนไม่เคยทำอะไรเองอย่างเขาไปหาของกินมาให้เนี่ยนะ มันเป็นความคิดที่ผิดมหันต์เลยจริงๆ
แต่ดูเหมือนเจ้าหมอนั่นจะรู้ตัวถึงได้เดินออกไปหาของกินด้วยตัวเอง
เขารู้สึกว่ากำลังทำในสิ่งที่ไม่ต้องการมากขึ้นจนเริ่มคุ้นชินกับมันทุกที
การพึ่งพาพอตเตอร์
ที่เขาปฏิเสธนักหนาอย่างไรล่ะ
“เชอะ ไอ้เด็กแผลเป็น..”
เดรโกสบถกับตัวเองและกล่าวโทษอีกฝ่ายอีกครั้ง
ถึงจะรู้ดีว่าคนที่เขาหัวเสียใส่นั้นไม่ได้ทำผิดอะไรเลยก็ตาม
เขาลุกขึ้นจากโคนต้นไม้ที่แผ่กิ่งหนาแล้วเริ่มสำรวจรอบๆ
บริเวณ ท้องฟ้ายังคงมืดสนิทแต่อีกไม่นานพระอาทิตย์ก็จะขึ้น รอบข้างนั้นเงียบจนน่าประหลาดใจไม่มีแม้แต่เสียงของสัตว์ป่าทั้งๆ
ที่แถวนี้อยู่ใกล้แหล่งน้ำ เดรโกเดินไปยังบริเวณทะเลสาบแล้วนึกถึงสิ่งที่ทำให้เขาต้องมาอยู่ตรงนี้
เพื่อบิดา
เพื่อชื่อเสียงครอบครัวของเขา เพื่อให้ตระกูลมัลฟอยกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง
ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิต เขาก็จะทำ
อากาศในช่วงต้นเดือนตุลาคมนั้นเย็นจัดจนใบหน้าที่ซีดขาวของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างง่ายดาย
ต้องบอกตามตรงว่ามันค่อนข้างลำบากที่ต้องเดินทางตามล่าผู้เสพความตายในช่วงเวลาอย่างนี้
ทั้งสภาพอากาศไม่เป็นใจ ทั้งความไม่สะดวกสบายและการเดินทางอย่างยาวนานทำให้เดรโกรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“เอกซ์เปกโทร พาโทรนุม”
เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบากับไม้กายสิทธิ์ตัวเอง
อันที่จริงหลังจากไม้ด้ามเก่าถูกพอตเตอร์ฉกชิงไปเขาก็ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่ถึงจะได้ไม้กายสิทธิ์ใหม่มา
ไม่ใช่ไม้กายสิทธิ์ทุกด้ามที่เหมาะกับเขา เขารู้ดี เรื่องคาถาระดับสูงก็เช่นกัน
ปลายไม้กายสิทธิ์มีประกายมีเงินสว่างจ้าก่อนจะพวยพุ่งออกมาเป็นผืน
ไร้รูปร่างที่แน่ชัด เดรโกจ้องมองมันด้วยความรู้สึกที่สับสน ความสุขของเขามันมีไม่พอที่จะสร้างผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งอย่างนั้นหรือ
หรือแท้จริงแล้วชั่วชีวิตเขา เขาไม่เคยมีความสุขเลยกันแน่
“ไร้สาระเป็นบ้า”
เขาสบถกับตัวเองอีกครั้งก่อนจะเก็บไม้กายสิทธิ์ลงเสื้อคลุมไป
เนิ่นนานกว่าเดรโกจะรู้ตัวว่าตรงนี้ไม่ได้มีแค่เขาเมื่อเขาได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้
เขาชักไม้กายสิทธิ์เพื่อป้องกันตัวทันที กลิ่นอายของความตายและความมืดปรากฏขึ้นเมื่อร่างในชุดคลุมสีดำสนิทหลายร่างเข้าสู่สายตา
รวมถึงความเจ็บปวดที่แล่นปราดเข้ามาเหมือนจะกระชากหัวใจเขาออกไปด้วย
ทอร์ฟินน์ โรวล์!!!
เดรโกกัดฟันขณะทรุดตัวลงเพราะความเจ็บปวด
เบื้องหน้าเป็นกลุ่มผู้เสพความตายที่กระชั้นชิดมากขึ้นทุกที
ถึงเจ้าพวกมันสมองถั่วนั่นจะยังไม่ทันสังเกตเขาแต่หากยังเข้าใกล้มากกว่านี้เห็นทีคงเป็นเขานี่แหละที่จะโดนพวกมันร่ายคำสาปพิฆาตใส่
เขาเตรียมตัวจะยิงคาถาใส่ทว่าพวกนั้นกลับเดินผ่านเขาไปราวกับมองไม่เห็น
เหมือนกับเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้
พลันเดรโกก็นึกถึงคำที่พอตเตอร์ว่าไว้ว่าจะร่ายคาถาอะไรสักอย่างเพื่อป้องกันบริเวณที่พวกเขาพักชั่วคราว
เท่านั้นแหละความหวาดหวั่นทั้งหมดถึงได้หายไป....
นี่เขาเชื่อใจไอ้เด็กแผลเป็นตั้งแต่เมื่อไรกัน
“หือ ทำไมฉันรู้สึกว่าแถวนี้มีอะไรบางอย่าง”
โรลว์พูดขึ้นขณะหยุดเดินอยู่ตรงหน้าเขา
“แกรู้สึกอะไร
แถวนี้ไม่เห็นมีอะไรสักอย่าง รีบไปกันเร็วเข้าไอ้เวรพอตเตอร์นั่นตามตูดมาติดๆ
แล้ว” ผู้เสพความตายที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มเอ่ยขึ้นมาอย่างร้อนรน
“เออ ไป” โรลว์รับคำก่อนจะสาวเท้าเดินแต่เดรโกไม่ปล่อยให้โอกาสแก้แค้นให้บิดาหลุดไปได้โดยง่าย
เขารู้ว่าจะทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ได้แต่ถึงอย่างนั้นหากไม่ทำอะไรเลยมันก็น่าเจ็บปวดใจอยู่ไม่น้อย
เดรโกฝืนความเจ็บปวดด้วยความรู้สึกต้องการเอาคืน เขาอยากให้ไอ้สารเลวที่อยู่ข้างหน้าเขาลิ้มรสผลจากคำสาปชั่วช้าของมัน
ในเมื่อเขาเจ็บ มันก็ต้องเจ็บไม่ต่างกัน ใบหน้าซีดมองตรงไปเบื้องหน้าอย่างมุ่งร้าย
“เซอร์เพนซอร์เทีย” เดรโกกระซิบเบาๆ
กับไม้กายสิทธิ์ก่อนที่ปลายไม้จะมีวัตถุสีดำพุ่งออกมา
งูสีดำขนาดใหญ่อ้าปากเผยเขี้ยวแหลมคมขณะเลื้อยไปยังบริเวณที่โรวล์ยืนอยู่อย่างเงียบงัน
เด็กหนุ่มยกยิ้มบิดเบี้ยวขณะมองดูภาพตรงหน้า
ขณะที่งูร้ายกำลังอ้าปากกัดข้อเท้าเหยื่อ ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองเจ็บปวดจากคำสาปแต่เมื่ออยู่ในสถานะที่เขาเองก็ทำร้ายอีกฝ่ายได้
เดรโกจะไม่ยอมให้ตัวเขาต้องเจ็บปวดอยู่ฝ่ายเดียว อำนาจความอยากเอาชนะมีมากกว่าความเจ็บปวดนี้หลายเท่า
นอกเหนือจากความสะใจที่เห็นคนที่ทำให้บิดาเขาต้องเหลือแขนเพียงข้างเดียวตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด
เขาก็ไม่มีความรู้สึกเมตตาใดๆ มอบให้กับโรวล์อีก
และแล้วตอนนี้เดรโกก็รู้วิธีที่ทำให้เขาหายเจ็บปวดจากคำสาป
มันอาจจะไม่หายถาวรแต่ว่าหากเขายังคงความรู้สึกนี้ไว้ ต้องการแก้แค้น
ต้องการให้พวกมันทรมาน ต้องการให้พวกมันชดใช้ เขาจะไม่รู้สึกเจ็บปวด
และตอนนี้เขาก็พิสูจน์มันแล้ว
เด็กหนุ่มยันตัวลุกขึ้นช้าๆ
ขณะมองโรลว์ที่ดิ้นทุรนทุรายเพราะพิษงู พวกมันคงสงสัยกันว่างูดำที่มีพิษนี้มาจากไหนแต่ที่นี่มันป่า
อะไรก็เกิดขึ้นได้
กลุ่มผู้เสพความตายแตกฮือก่อนที่ใครคนหนึ่งจะทำลายงูของเขาแล้วพากันหายตัวไป
แต่นั่นก็หลังจากที่เดรโกเดินกลับมายังใต้ต้นไม้ที่เขานั่งพักแล้ว
เขารู้ว่าเขาไม่ควรมีความรู้สึกร้ายกาจแบบนั้นแต่ในเมื่อมันทำให้เขาไม่ต้องทนเจ็บปวดจากคำสาป
มันก็คุ้มค่า
และเขารู้ว่าไอ้สารเลวนั่นไม่มีทางตายเพราะพิษงูแน่นอน
ช่วงเวลาแห่งการแก้แค้นได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เกมล่าหัวพวกผู้เสพความตายกำลังเริ่มต้นขึ้น
แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดถึงขั้นนี้แต่ตอนนี้มันต่างออกไป เขาคิดไปไกลว่าหากกวาดล้างพวกมันไปให้หมดจากโลก
อะไรๆ คงดีกว่านี้
คิดไปคิดมาอาชีพมือปราบมารนั้นเข้าทางกับสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด
หรือเขาจะเลิกเป็นคุณหนูมัลฟอยที่เอาแต่อยู่เฉยๆ แล้วไปเป็นมือมารมาร
ขณะที่ความคิดนี้กำลังประมวลอยู่ในสมองใบหน้าของพอตเตอร์ที่กำลังแลบลิ้นล้อเลียนเขาอยู่ก็แทรกเข้ามา
นั่นทำให้ความคิดของเขาหยุดชะงักและตัดสินใจในนาทีต่อมาว่าไม่มีทางที่เขาจะทนอยู่กับพอตเตอร์ได้นานขนาดนั้นแน่นอน
“ฉันต้องกำลังประสาทกลับแน่ๆ”
เดรโกพึมพำกับตัวเองขณะเอนกายพิงโคนต้นไม้ต้นเดิมที่เขาจับจองตั้งแต่แรก
ความเจ็บจากคำสาปยังแผ่ซ่านอยู่ในกาย
จะบอกว่าความรู้สึกด้านลบนั้นต่อต้านคำสาปได้ทั้งหมดก็คงจะเกินจริงไปสักหน่อย
เขานั่งหลับตาอยู่ตรงนั้นหวังพักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจจนกระทั่งมีเสียงคนเหยียบใบไม้เข้ามาใกล้
เดรโกลืมตามองและเพ่งมองไปในความมืดเพื่อหาต้นตนของเสียง
เสียงเหยียบใบไม้นั่นเดินวนรอบๆ
บริเวณนี้อยู่นานจนเขานึกรำคาญจึงตัดสินใจลุกขึ้นไปดูว่ามันคืออะไรกันแน่
ท่ามกลางความมืดเขาเห็นร่างหนึ่งเดินวนเวียนอยู่
ในมือหอบอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด เขาเริ่มจะรู้แล้วว่าคนคนนั้นคือใคร
พอตเตอร์ในสภาพที่มีใบไม้ติดหัวและแว่นตาเอียงกะเท่เร่กำลังเดินไปซ้ายทีขวาทีเหมือนกำลังหลงทาง
“นี่แกกำลังเล่นอะไรอยู่พอตเตอร์”
เดรโกว่าขณะมองคนที่อยู่นอกอาณาเขตทำหน้าตาล่อกแล่กเหมือนหาทางเข้าไม่เจอ
คงไม่ใช่ว่าเจ้าหมอนี่เซ่อซ่าจนเข้ามายังอาณาเขตที่ตัวเองสร้างไม่ได้หรอกนะ
เดรโกยืนมองอยู่ได้ไม่ถึงสองนาทีดีก็ทนรำคาญไม่ไหวจึงยื่นมือออกจากอาณาเขตแล้วดึงคอเสื้ออีกฝ่ายเข้ามาอย่างแรง
หมอนี่มันน่ารำคาญจริงๆ
อีกฝ่ายที่จู่ๆ
ก็ถูกมือปริศนาดึงเข้ามาอย่างแรงก็ได้แต่ทำเหรอหรา
นี่ไอ้เด็กแผลเป็นทำได้แค่หน้าตาติ๊งต๊องแบบนี้รึไง
เมื่อเห็นว่าเป็นเขาก็ทำหน้าโล่งใจอย่างออกนอกหน้า นั่นมันแปลว่าอะไรกัน
เดรโกขมวดคิ้วขณะก้มมอง
เขาเพิ่งรู้ว่ายังไม่ได้ปล่อยมือจากคอเสื้ออีกฝ่ายและเพราะอย่างนั้นจึงเห็นว่าภายใต้เสื้อตัวใหญ่มีผิวนวลละเอียดซ่อนอยู่
....นวลละเอียด?
คำพูดคำนี้ออกมาได้ยังไงในเมื่อเขาไม่เคยสัมผัสเจ้าพอตเตอร์นี่มาก่อน ไร้สาระชะมัด!
เดรโกไล่ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองออกไปอย่างหัวเสียก่อนจะรู้ตัวว่าพ่อมดอีกคนไม่ได้อยู่ตรงหน้าเขาแล้วแต่กำลังก้มๆ
เงยๆ ทำอะไรสักอย่างอยู่
พูดก็พูดเถอะเขาสงสัยมาสักพักแล้วว่าเจ้าพอตเตอร์มันเอาหม้อมาจากไหนในเมื่อทั้งเขาทั้งเจ้าหมอนั่นต่างมาตัวเปล่า
ไม่มีสัมภาระอะไรสักชิ้น
แต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่ามีเวทมนต์ชั้นสูงที่เรียกว่าคาถาขยายพื้นที่อยู่
เขาคิดว่าพอตเตอร์คงจะใช้คาถานั้นกับกระเป๋ากางเกงหรือเสื้อคลุมอะไรทำนองนั้น
กลิ่นหอมโชยมาจากหม้อใบเขื่องทำให้เดรโกตระหนักอย่างจริงจังว่าเขาหิวโหยและอ่อนแรงมากแค่ไหน
เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรที่เขาไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนในชีวิต ทั้งๆ
ที่เจ้าพอตเตอร์ห่วยวิชาปรุงยาทำไมถึงได้รู้เรื่องสมุนไพรกัน
เดรโกคิดไปคิดมาก็ได้ข้อสรุปว่าอาจจะเป็นเพราะลองบัตท่อม
ทำให้พอตเตอร์รู้ชนิดและสรรพคุณของสมุนไพรมากขึ้นก็ได้
“ใส่เจ้านี่ลงไปจะช่วยให้ผ่อนคลาย
เอ้า มัลฟอย นายก็มากินด้วยกันสิ”
เดรโกมองไปยังต้นเสียงที่ฟังดูจะแปร่งๆ
พิกล เพราะเริ่มต้นชวนเขาคุยก่อนงั้นเหรอถึงได้มีน้ำเสียงแบบนั้น
หรือเพราะอับอายที่เซ่อซ่าหาทางเข้าไม่เจอกันแน่ แต่จะเพราะอะไรก็ช่างตอนนี้เขาคงต้องเลิกสนใจและละทิ้งทิฐิแล้วเดินไปนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้....
เพราะร่างกายของเขาต้องการพลังงานหรอก ถึงได้ยอมโอนอ่อนกับเจ้าแว่นตานี่
เพราะยังต้องอยู่ร่วมกันอีกพักใหญ่ๆ
เขาคงต้องปรับตัวเข้าหาหมอนั่นบ้าง ถึงมันจะเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนก็ตาม
“จะเดินทางต่อเมื่อไร”
เป็นเดรโกที่เอ่ยถามขึ้นหลังจากซดน้ำซุปใสๆ จนหมดถ้วย เขายังไม่ได้เล่าให้พอตเตอร์ฟังว่าระหว่างที่หมอนั่นไปหาอาหาร
เขาเจอกับกลุ่มผู้เสพความตาย
พอตเตอร์เงยหน้ามองเขาก่อนจะตอบ
“อีกสักพักจะเช้าแล้ว ฉันเห็นว่าเราน่าจะลองไปหาข้อมูลที่หมู่บ้านใกล้ๆ ดู”
“และฉันรู้ว่านายเจอพวกมัน มัลฟอย”
ประโยคสุดท้ายจากพอตเตอร์ทำให้เขาแน่นิ่งไป
เจ้านี่รู้ถึงขนาดนี้แต่ไม่พูดอะไรเลย เขามองท่าท่างเงียบๆ ของอีกคนอย่างพิจารณา
ใบหน้าที่มองอย่างไรก็ดูอ่อนเยาว์ของอีกฝ่ายทำให้เดรโกอดคิดไม่ได้ว่าภายใต้ใบหน้านี้ได้เก็บซ่อนความรู้สึกมากมายเอาไว้สักเท่าไร
เดรโกไม่ตอบและไม่ถามว่าทำไมพอตเตอร์ถึงรู้
พวกเขาทั้งคู่ต่างจมอยู่กับความเงียบอันน่าอึดอัด มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เขาโผล่ไปบ้านเลขที่สี่
กริมโมลด์เพลซ ความเอาแต่ใจของเขามันยากจะรับมือแต่พอตเตอร์ก็ปล่อยเลยตามเลย
เลือกที่จะไม่สนใจเขาแล้วใช้ชีวิตตามปกติแบบที่เจ้าหมอนั่นทำอยู่เสมอ
มันช่าง... น่าหมั่นไส้
ไม่ว่าจะตอนนั้นหรือตอนนี้
เขาก็ไม่ชอบ ไม่ชอบหมอนั่นเลยจริงๆ
และยิ่งไม่ชอบมากขึ้นเมื่อรู้ตัวว่าเขาต้องพึ่งพาคนคนนี้
พวกเขาปล่อยเวลาให้ผ่านไปจนกระทั่งดวงอาทิตย์เริ่มแตะขอบฟ้า
แสงสีนวลอ่อนๆ ปลุกให้เดรโกที่ไม่รู้ตัวว่าเผลอหลับไปตอนไหนลืมตาขึ้นมา
เมื่อเงยหน้ามองไปด้านหน้าก็พบพอตเตอร์นั่งกางแผนที่และสนทนากับบางคนอยู่ข้างกองฟืนที่ดับมอดลง
คงไม่ใช่ว่าระหว่างที่เขาหลับ เจ้านี่กลับจัดเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางครั้งต่อไปหรอกนะ
คิดได้ดังนั้นเขาก็ได้แต่โมโหตัวเองที่ทำตัวไม่ต่างกับภาระ หากจะมีโอกาสให้เจ้าพอตเตอร์พึ่งพึงเขาเพื่อที่เขาจะได้เยาะเย้ยเจ้าหมอนี่ภายหลังได้บ้างคงจะดีไม่น้อย
เดรโกได้แต่แค่นยิ้มให้ตัวเองก่อนจะนั่งนิ่งๆ
อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ดังเดิม เฝ้ามองแผ่นหลังบางที่ขะมักเขม้นทำอะไรสักอย่างอยู่เงียบๆ
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรับรู้ถึงสายตาของเขาถึงได้หันกลับมามอง
ดวงตาสีมรกตเบิกโตขึ้นน้อยๆ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นแล้วเดินมาหาเขา
“ตื่นแล้วเหรอมัลฟอย เราจะได้เตรียมตัวเข้าไปในหมู่บ้านกัน”
พอตเตอร์ว่าพลางชี้นิ้วมายังจุดที่ไม่ได้ขีดกากบาทสีแดงในแผนที่ก่อนจะพูดต่อ
“เดี๋ยวฉันจะสลายเขตแดน นายไปล้างหน้าตรงทะเลสาปนู่นก่อนเราจะออกไปกัน”
เขาทำแค่พิศมองไปยังจุดที่พอตเตอร์ชี้
ในแผนที่แสดงถึงจุดที่พวกเขาอยู่และหมู่บ้านที่ว่า ดูคร่าวๆ
แล้วห่างกันไม่น่าจะถึงห้าไมล์ หลังจากพักผ่อนเต็มที่เดรโกคิดว่าเขาสามารถเดินไปได้สบายๆ
สำหรับระยะทางแค่นี้
เขาเอามือจุ่มลงไปในทะเลสาปแล้ววักมาลูบหน้าลูบตาให้คลายความง่วงงุน ความเย็นจากน้ำที่ไหลอาบผิวหน้าทำให้เดรโกรู้สึกสดชื่นขึ้นไม่น้อย
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาจึงพบว่าเขตแดนที่เป็นดั่งบาเรียนั้นหายไปแล้ว
พอตเตอร์คงสลายเขตแดนและจัดการเก็บกวาดทุกอย่างจนเรียบร้อยแล้ว เขาไม่อยากจะทำตัวเป็นภาระมากไปกว่านี้จึงเร่งฝีเท้าไปยังจุดที่พวกเขาใช้พักแรมเพื่อรวมตัวกัน
พอตเตอร์ไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไรอีกนอกจากพยักหน้าให้ตามมาก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งลัดเลาะป่าไป
พวกเขาใช้เวลาเพียงครู่เดียวในการเดินทางครั้งนี้
ดูเหมือนว่าพอตเตอร์จะกังวลกับอะไรบางอย่างมากๆ แต่ไม่ยอมบอกเขา
เพียงแค่เท้าแตะกับเขตหมู่บ้านเดรโกรู้ในทันที
นี่ที่เป็นหมู่บ้านที่ไม่มีคนอยู่
อา เขารู้แล้ว
จากการสังเกตท่าทางของพอตเตอร์และบรรยากาศรอบๆ รวมถึงที่หมอนี่ไม่บอกอะไรกับเขา มันคือการกระทำแสนสิ้นคิดที่พาตัวเองมาถึงหมู่บ้านของผู้เสพความตาย
หมอนี่ทั้งๆ ที่รู้ว่าเสี่ยงทำไมถึงชอบพาตัวเองมาตายนัก
เดรโกเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
จะเพราะเขาช่วยชีวิตหมอนี้ไว้เมื่อห้าปีก่อนถึงไม่อยากให้ตายไวหรืออะไรก็แล้วแต่
เขาก็ไม่ชอบที่หมอนี่ชอบทำอะไรเหมือนไม่มีคนข้างหลังให้ต้องห่วงแล้วแบบนี้
“พอตเตอ—”
ยังไม่ทันที่จะได้เรียกชื่ออีกฝ่ายดีความหนาวเย็นที่น่าขนลุกก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาใกล้
ความรู้สึกแสนสิ้นหวังต่างประเดประดังเข้ามาจนเกือบทำให้เดรโกทนไม่ไหว เขาเคลื่อนตัวเข้าหาพอตเตอร์ที่ข้างกายมีกวางตัวผู้สีเงินอยู่
อีกแล้ว....
เขาพึ่งพาเจ้าหมอนี่ไปกี่ครั้งกันแล้วนะ
ความรู้สึกอบอุ่นค่อยๆ แผ่ซ่านเข้ามาที่หัวใจของเดรโกทีละน้อย
เวทมนต์เป็นสิ่งมหัศจรรย์ เขาเพิ่งจะตระหนักถึงเรื่องนี้ก็วินาทีนี้นี่แหละ
เพราะว่ามันมหัศจรรย์มันถึงทำได้ทั้งสร้าง ปกป้องและทำลาย เวทมนต์คือความสมดุลระหว่างพ่อมดแม่มดกับธรรมชาติ
ตัวเขาเพิ่งจะเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าเวทมนต์เป็นครั้งแรก เพราะเคยชินกับมันมาตลอดเขาถึงได้ไม่เคยตระหนักคุณค่าที่แท้จริงของมัน
“เอกซ์เปลลิอาร์มัส!” เดรโกได้สติเมื่อมือปราบมารข้างกายเริ่มบรรเลงคาถาปลดอาวุธ
เขาสูดลมหายใจเข้ามองรอบๆ อย่างพินิจพิเคราะห์ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านทั่วร่างกายทว่าไม่รุนแรงนัก
เด็กหนุ่มรับรู้ได้ในทันทีว่าเป็นสัญญาณการมาเยือนของไอ้สารเลวโรลว์แน่นอน
ตายยากอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด
เดรโกเดินออกห่างจากพอตเตอร์แต่ยังอยู่ในรัศมีที่กวางหนุ่มยังทำหน้าที่พิทักษ์เขาได้
เพื่อเผชิญหน้ากับชายที่ทำให้เขาต้องทนแบกรับความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจ
“ไง คุณหนูมัลฟอยตกกระป๋อง ตระกูลแกมันจบสิ้นแล้ว!” เดรโกทำหูทวนลมกับคำพูดจาดูถูก
สำหรับเขามันก็คงไม่ต่างกับสุนัขที่กำลังเห่าหอน
เขาไม่สนใจจะต่อบทสนทนากับอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ปากพึมพำก่อนจะโบกไม้กายสิทธิ์ “ริกตัสเซมปร้า”
ผลของคาถาทำให้โรลว์ที่ดีแต่ปากมากจุกจนหายใจไม่ออก
เดรโกไม่สนใจท่าทางทรมานนั้นสะบัดไม้ปัดคาถาจากผู้เสกความตายตนอื่นอย่างว่องไว
นัยน์ตาสีซีดเหลือบมองไปยังมือปรามารหนึ่งเดียวที่กำลังโดนผู้เสพความตายหลายคนรุม
นี่เป็นแผนที่โง่มากทั้งๆ ที่พาตัวเองมาอยู่ในรังศัตรูแบบนี้
แต่สี่เท้ายังรู้พลาดปราญช์ยังรู้พลั้งนับประสาอะไรกับมือปราบมารที่ทำงานได้เพียงไม่กี่ปี
เมื่อจำนวนของศัตรูเพิ่มมากขึ้นโอกาสการได้รับบาดเจ็บก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
อย่างที่รู้ว่าพอตเตอร์ต่างเป็นเป้าที่ผู้เสพความตายหมายตา อันที่จริงก็รวมทั้งเขาด้วยที่ถูกตราหน้าว่าทรยศต่อจอมมารแต่เดรโกเชื่อมั่นในไหวพริบของตนเองและมั่นใจว่าไม่ได้สมองทึบจนต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส
เดรโกเสกเชือกแล้วมัดผู้เสพความตายที่มาขวางเขาเข้าด้วยกันรวมทั้งไอ้สารเลวโรลว์ด้วย
จากนั้นก็ทำให้พวกนั้นสลบจึงหันไปจัดการผู้เสพความตายที่รุมพอตเตอร์บ้าง
เดรโกโดนคำสาปกรีดแทงเข้าอย่างจังที่กลางหลังแต่ก็แทบจะทันทีที่พอตเตอร์ร่ายคาถาสะกดนิ่งใส่เจ้านั้นทำให้เขาไม่ต้องทรมานมากนัก
ถ้าเป็นตัวเขาเมื่อก่อนในสถานการณ์แบบนี้คงหนีแล้ววิ่งไปหลบอยู่หลังพ่อแม่
ตัวตนแสนอ่อนแอและน่าสมเพชแบบนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นกับเขาอีก เพราะเขาไม่ใช่เดรโก
มัลฟอยคนเดิมอีกต่อไปแล้ว
สู้ไปสู้มากลายเป็นว่าเขากับพอตเตอร์หันหลังชนกันเพื่อจัดการผู้เสพความตายไปด้วยกันเสียแล้ว
มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดไว้เท่าไร...
ดูเหมือนว่าพอตเตอร์จะเริ่มสู้ต่อไม่ไหวแล้ว
ดูจากสภาพที่ยับเยินจากการถูกโจมตีและเสียงหอบหายใจ
ถึงอย่างนั้นเจ้าหมอนี่กลับไม่ปริปากบ่นออกมาสักคำ
“มัลฟอย นาย.. แฮ่ก
ถ่วงเวลาหน่อยได้ไหม อีกสักพักรอนกับมือปราบมารคนอื่นๆ จะตามมา” น้ำเสียงอ่อนแรงดังมาจากด้านหลังก่อนที่เขาจะรู้สึกถึงแรงที่โถมเข้าใส่หลังอย่างจัง
มาอีหรอบนี้ไม่ใช่ว่าหมดสติไปกลางทางหรอกนะ ไม่คิดเปล่าเดรโกก็เอี่ยวตัวเอามือไปรองรับอีกฝ่ายได้ทันก่อนจะจูบพื้นพอดี
“ให้ตายเถอะพอตเตอร์
ใครกันแน่ที่เป็นตัวสร้างปัญหา” เดรโกบ่นพึมพำและวินาทีนั้นเดรโกก็รู้ว่าผู้พิทักษ์ที่คอยไล่ผู้คุมวิญญาณก็หายไปพร้อมกับผู้ร่ายที่หมดสติไป
เขาเกลียดสถานการณ์แบบนี้จริงๆ
เดรโกร่ายคาถาทำให้ผู้เสพความตายสองสามคนบาดเจ็บไปได้เล็กน้อยก่อนจะตั้งสมาธิกับคาถาผู้พิทักษ์...
เขาจะทำมันได้ไหมนะ
“ความสุข... ความสุขหนึ่งเดียว”
เดรโกหลับตาแล้วพึมพำกับตัวเอง เขาต้องทำได้ “เอกซ์เปกโทร พาโทรนุม”
แสงสว่างจากปลายไม้กายสิทธิ์ทำให้เดรโกมองอะไรไม่เห็นมากนักได้แต่คว้าเอาสิ่งที่ใกล้มือที่สุดเอาไว้แน่น
แสงสว่างสีเงินยวงที่เคยไร้รูปร่างแปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างที่ชัดเจน พร้อมๆ
กันนั้นเหล่ากองหนุนจากกระทรวงเวทมนต์ก็ปรากฏตัวขึ้นล้อมรอบบริเวณนี้ทันที
ดูเหมือนว่ายกนี้พวกเขาชนะสินะ เดรโกเงยหน้ามองท้องฟ้าทั้งๆ ที่ไม่เคยสนใจมาก่อน “ท้องฟ้าสดใสจังเลยนะ”
แล้วก็ยกยิ้มอยู่คนเดียว
_________________________________________________________
สวัสดีนะ เราเอง 5555555555555
กลับมาแล้วพร้อมกับบทที่ห้าที่ยาวโคตรๆ
อ่านให้อิ่มกันไปเลยนะทุกคน ขอโทษที่ทำให้รอนานนะ
ไอ้ที่เราถามหน้าที่แล้ว ยังไงถ้ามีอะไรอยากเสนอก็เสนอได้เลยนะ!
ดูเหมือนจะมีการพัฒนาระหว่างทั้งสองคนเล็กน้อยล่ะนะ!
ก็อยากให้ทุกคนลุ้นกันว่ามันจะเปลี่ยนเป็นความรักเมื่อไร (แล้วเมื่อไรล่ะ 555555555)
ถ้าตอนนี้มีอะไรไม่สมเหตุสมผล หรือผิดพลาดประการใด รบกวนคอมเม้นบอกด้วยนะ
#paparkfic ในทวิตเตอร์ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่คุณจะแสดงความเห็นนะ
_________________________________________________________
มีรูปมาฝาก นี่วาดเอง
เอ็นดูนุ้งรี่กันเยอะๆ นะฮะ♥
ความคิดเห็น