The Change [ความเลื่ยนแปลง] - The Change [ความเลื่ยนแปลง] นิยาย The Change [ความเลื่ยนแปลง] : Dek-D.com - Writer

    The Change [ความเลื่ยนแปลง]

    เรื่องราวของกานเปลื่ยนแปลง

    ผู้เข้าชมรวม

    115

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    115

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  22 มี.ค. 49 / 10:49 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ความมืดที่ครอบคลุมร่างกายภายในห้องเล็กๆ ใจกลางเมือง ความเงียบในจิตใจที่ขัดแย้งกับสภาวะภายนอกที่วุ่นวาย นั้นหรือคือความเหงา สมองคิดจินตนาการกับเรื่องต่างๆมากมาย ร่างกายนอนคดบนที่นอน ห้องที่มืดไร้แสงใดรอดผ่านได้ เสียงลมหายใจที่ดังอย่างต่อเนื่อง อาการแบบนี้มันเกาะกินผมมาเป็นเวลา 2 ปีเต็มแล้ว นับตั้งแต่วันที่ผมต้องไม่มีเธอคนนั้น ชีวิตที่ไร้ความสดใส ไร้ความรู้สึกใช่ชีวิตไปวันๆ แล้วก็ใช่จินตนาการที่จมดิ่งลงสู่อดีตที่ฝั่งใจ ...

      ติ้ด.. ติ้ด.. ติ้ด.. เสียงนาฬิกาปลุก

      ผมค่อยๆเปิดเปลือกตา... แสงแดดที่ส่องผ่านผ้าม่านสีเขียวขี้ม้าเข้ม

      "เช้าอีกแล้วเหรอ..." ผมพูดกับตัวเองเบาๆ แล้วก็หลุกจากเตียงจัดการกับกิจวัตรประจำวัน

      แล้วผมก็ออกไปทำงาน ผมเป็นพนักงานกราฟฟิกดีไซด์ในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ชีวิตส่วนใหญ่จะอยู่แต่หน้าคอมพิวเตอร์เช้าถึงเย็น ทำงานเสร็จก็กลับห้องเก็บตัวไม่ออกไปไหนไม่เปิดวิทยุ โทรทัศน์ อยู่กับความเงียบ และบรรยากาศเดิม แบบนี้ทุกๆวัน

      ระหว่างทางกลับห้องผมได้แวะร้านหนังสือร้านประจำแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่เพียงไม่กี่แห่งที่มันสร้างแรงจูงใจให้กับผมได้

      "สวยดี... ที่ไหนเนี่ย"

      ผมก้มลงหยิบรูปถ่ายสกปรกๆ ใบหนึ่ง โดยมันเป็นรูปถ่ายโพลาลอยด์ ซึ่งมันมีมุมมองที่แปลกตาคือ ถ่ายขึ้นจากเท้ามองขึ้นไปมีเงาตึกสีทืบดำเป็นพื้นหลังและบนยอดตึกมีแสงสว่างจ้าจากดวงอาทิตย์ มันก็สวยมากสำหรับผม ผมพลิกดูด้านหลัง

      "อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลง"

      ผมยิ้มเล็กๆ แล้วเก็บรูปถ่ายใบนั้นลงกระเป๋า เพราะอะไรงั้นเหรอ ... แล้วก็เริ่มเห็นสิ่งสวยงามเล็กๆที่มันอยู่รอบๆตัวผมเอง

      "วันนี้ทางเดินกลับบ้านทำไมมันสวยอย่างนี้ ทั้งๆที่เดินผ่านมันทุกวัน"

      นั้นซิทำไมมันสวย ผมนึกในใจ ...

       

      ผมหยิบรูปนั้นขึ้นมาดูอีกครั้ง ยิ่งดูก็ยิ่งชอบ ซึ่งมันทำให้ผมเกิดการอยากรู้ว่าใครเป็นตากล่อง เค้าคงกำลังค้นหาอะไรอยู่สักอย่างในชีวิต เค้าจะรู้สึกเหมือนผมหรือเปล่า ผมอยากที่จะถามและอยากรู้แนวความคิดของเค้า ผมเริ่มที่จะไปตามแกเลอรี่ภาพถ่ายต่างๆ ห้องภาพ สอบถาม และเริ่มเดินออกนอกเส้นทางของชีวิตประจำวัน เพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของผมเอง ผมไปในที่ที่ไม่คุ้นเคย แรกๆก็รู้สึกกลัว รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรโง่ๆ กลัวสายตาที่จับจ้อง รู้สึกประหระมา็รู้สึกกลัว รู้สึกว่าผม่สัดม่า แต่ลึกๆ ก็อยากจะหาข้อมูลเกี่ยวกับภาพนี้อีก . แต่รู้สึกว่าวันนี้คงจะคว้าน้ำเหลว ผมเดินกลับห้องด้วยความเหนื่อยล้า อากาศเป็นใจให้ท้อถอย ความเย็นรอบๆตัวกดดันผมให้เลิกล้มความตั้งใจ ผมหลับโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว นอนเต็มอิ่มอย่าไม่เคยรู้สึกมาก่อน

       

      ติ้ด.. ติ้ด.. ติ้ด.. เสียงนาฬิกาปลุก

       

      ผมลุกจากเตียงเดินไปที่หน้าต่างเปิดผ้าม่านออก เช้านี้ทำไมอากาศสดใสจังเลย ทั้งๆที่มันเป็นวิวเดิมเหมือนทุกๆวัน

       

      วันนี้เวลาทำไมมันชั่งเดินช้าจัง ผมนั่งเหมอมองนาฬิกา ในหัวก็คิดถึงแต่เรื่องรูปถ่าย แล้วก็คิดว่าวันนี้จะไปหาข้อมูลไหนดี เพราะที่ได้มานั้นมันแทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย

       

      หอมจัง กลิ่นกาแฟเนี่ย กลิ่นมันลอยเตะจมูกผม อย่างกับมันจงใจที่จะวิ่งมาชนเลย

       

      สักแก้วคงจะดีน่ะ…” ผมพูดกลับตัวเอง แล้วก็ค่อยๆ พาร่ายกายเคลื่อนตัวไปที่โต๊ะกาแฟ

       

      ผมนั่งจิบกาแฟ แล้วก็มองออกไปข้างนอก ใช่ความคิดกับความว่างเปล่า ปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับความว่างเปล่า มองออกไปก็เห็นเป็นที่สีขาว สว่างจ้า

       

      อุ้ย น้ำตาไหลเฉยเลย สงสัยมองที่สว่างมากไป เหอๆ  พร้อมกับเอามือเช็ดน้ำตาออกจากขอบตา

       

      วันนี้ผมก็ต้องหยุดสายตา แล้วจ้องมองสิ่งที่ไม่เหมือนแต่ก็คล้ายกันในด้านแนวความคิด มันเป็นภาพถ่ายที่อยู่ในกรอบอย่างสวยงามลงตัว มันเป็นภาพถ่ายเด็กผู้ชายเอื้อมมือไปไขว้คว้าดวงอาทิตย์ เป็นภาพ negative ติดยู่ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในยานคนพรุกพร่าน

       

      เออ พี่ครับขอโทษ นี่พี่ซื้อภาพนี้มาจากไหนครับ ผมถามด้วยความดีใจ เพราะผมมั่นใจว่านั้นต้องเป็นคนเดียวกันที่ถ่ายแน่นอน

       

       

       

       

       

       

      อ่อ... ภาพนี้เหรอครับ ไม่ได้ซื้อมาหรอกครับ ผู้ชายผมยาวตรงท่าทางสุขุม มาดศิลปินตอบผมด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ

       

      มันเป้นภาพของน้องสาวผมเอง เธอถ่ายไว้ตั้งนานแล้ว

       

      แล้วผมจะติดต่อซื้อภาพนี้ได้อย่างไร.. ครับ ผมยิงคำถามต่อด้วยความดีใจ

       

      เค้าเงียบไปสักครู่หนึ่ง แล้วก็มองผมด้วยสายตาที่เศร้าสร้อย

       

      เธอเสียไปแล้วครับ.. เค้าตอบแล้วก็เงียบไป โดยเค้าไม่รู้หรอกว่าคำตอบที่ได้ให้กับผมนั้นมันทำร้ายผมแค่ไหน ในหัวผมเริ่มสับสน ความคิด จินตนาการ มันเริ่มมีหมอกสีเทามากลบกลืนจนมืดมิดมองอะไรไม่เห็นอะไรเลยนอกจากสีดำ แล้วผมก็ตื่นจากความคิดนั้นด้วยเสียงของชายที่สนทนากับผม

       

      คุณเป็นอะไรไปครับ

       

      เปล่าครับ.. ผมเสียใจด้วยน่ะครับ ผมตอบกลับ โดยในหัวมันยังรู้สึกเสียดายอยู่เลย เค้ายิ้มเล็กกลับมาโดยไร้คำพูดใด

       

      ผมออกจากด้วยความรู้สึกเสียดาย และท้อถอย

       

      ซ่า.. ซ่า.. ๆ ๆ ๆ ๆ

       

      ฝนตกได้ยังไง นี่มันฤดูหนาวน่ะ นี่ฟ้าจะกลั่นแกล้งผมไปถึงไหน เมื่อไรถึงจะพอ ผมพูดกับตัวเองเบาๆ แต่ลึกๆในใจแล้วอยากตะโกนออกมาดังๆ แต่ถ้าทำแบบนั้นแล้วผู้คนที่ยืนหลบฝนอยู่รอบข้างผมคงจะพากันประณามผมในใจกันยกใหญ่ ผมใช่เวลาที่ยืนรอคอยการลงโทษจากฟ้ามองไปข้างหน้าอย่างไร้จินตนาการไม่คิดอะไร มันมีแต่ความว่างเปล่า

       

      ซ่า.. ซ่า.. ๆ ๆ ๆ ๆ และฟ้าก็ยังดำเนินบทลงโทษแก่ผมต่อไป

       

       

       

       

       

       

      ติ้ด.. ติ้ด.. ติ้ด.. เสียงนาฬิกาปลุก

       

      สองสัปดาห์มาแล้วที่ผมประสบเหตุการณ์ที่ทำให้ผมออกนอกลู่นอกทางจากชีวิตที่เคยทำ แค่ไม่นานแต่ก็ทำให้ผมพบเจอประสบการณ์ที่แตกต่างออกไปจากเดิมอย่างมาก ก็รู้สึกดี ผมเริ่มเปิดรับสิ่งใหม่ๆเข้ามาในชีวิต ผมเริ่มไปร้านกาแฟนั้นบ่อยขึ้นจนสนิทกับ พี่ปู่ แกเป็นเจ้าของร้านและก็เป็นพี่ชายของเจ้าของภาพนั้นเอง ปกติแกเป็นคนอารมณ์ดี ขำขัน คุยสนุก แต่ก็ต้องหยุดเพราะ พี่ทิพย์ เมียแกค่อนข้างดุ แต่พี่ทิพย์แกมักจะใจดีกับลูกค้าและน้องๆอย่างพวกผม

       

      กลิ้ง.. กลิ้ง.. เสียงกระดิ่งที่ติดกับประตูหน้าร้านดัง

       

      หวัดดีครับพี่ปู่... ผมทักทายพี่ปู่อย่างสนิทสนม

       

      เออ... หวัดดี วันนี้เอาอะไรดีล่ะแกถาม

       

      เหมือนเดิมครับพี่

       

      งั้นรอแปปน่ะ

       

      ครับ

       

      มึงคับก็ปดเข็มขัดออกซิ ปล่อยให้ครับอยู่ได้

       

      โฮ้พี่ แค่นี่ก็เอาน่ะพี่แกหันมายักคิ้วแล้วยิ้มเล็กๆ

       

      เออนี่ มึงยังต้องการภาพแนวนี้อีกอยู่หรือเปล่า แกเปรยถามผมแบบลอย

       

      ภาพอะไรเหรอครับ ผมตอบด้วยอาการ งง งง

       

      อ้าวก็ภาพถ่ายของอีปิ่น น้องกูไง

       

      อ้าวไหนออกไม่ขายไงครับ ผมเลยต้องมานั่งดูทุกวันเลยผมตอบแบบกวนตีนแกไป

       

      อ้าวไอ้นี้ กูก็หลงนึกว่ากาแฟกูอร่อยแกทำหน้าเซ้งๆ

      ล้อเล่นน่าพี่ แล้วมันมีอีกเหรอครับ อยู่ที่ไหนล่ะ

       

      ในใจผมตื่นเต้นจนอยากจะเข้าไปกอดพี่แกเลย แต่ก็กลัวแกยันด้วยบาทาออกมา

       

      อยู่กรุงเทพโน้น ร้านแกเลอรี่เพื่อนมัน เมื่อวันก่อน ไอ้ต้น มันมาเยี่ยมพี่ที่ร้าน พี่ก็เลยถามให้มึงด้วยเห็นมึงสนใจ มันบอกว่าเหลื่ออยู่ภาพเดียวแล้ว พี่ก็เลยบอกให้มันเก็บไว้ก่อนอย่าเพิ่งขาย แกพูดพร่างยักคิ้ว ท่าทางเหมือนบ่งบอกว่า กูเก่งไหมล่ะ ..

       

      จริงเหรอ..พี่ คราวนี้ผมเก็บอาการไว้ไม่อยู่แล้ว

       

      อ่ะ.. นี่ที่อยู่แล้วก็เบอร์โทรของไอ้ต้น แกยืนนามบัตรให้ผม

       

      B&W แกเลอรี่ .. ขอบคุณครับพี่ ผมดีใจมาก ภาพในใจผม ผมกระโดดโยกตามจังหวะเพลงฮาดคอเลย

       

      ผมจะไปกรุงเทพพรุ่งนี้เลย ผมบอกพี่ปู่

       

      เฮ่ย.. ไม่ต้องรีบโว้ย ท่าจะอาการหนักว่ะ แกขำผมด้วยท่าทีที่เอ็นดู

       

      คืนนี้ทางเดินสว่างไสวด้วยแสงของหลอดไฟสีเหลืองตามข้างทาง รู้สึกอบอุ่นในท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ รอบกายเต็มไปด้วยความสุข คู่รักหลายคู่เดินจูงมือ แอบอิงกันเพื่อความอบอุ่น ผมหยุดเดินแล้วมองขึ้นไปบนฟ้า วันนี้ฟ้าเป็นใจ ดาวเต็มท้องฟ้า ทุกอย่างดูสวยไปหมดเลย ดีจริงๆ ..

       

       

       

      ผมมองไปรอบๆ ห้อง วันนี้มันดูสบายตาไปหมดเสียจริงๆ ผมกวาดตามองดูความเรียบร้อยภายในห้อง และยิ่งมองบรรยากาศภายในแล้วไม่อยากจะจากไปเลย มันก็ดึงดูดผมด้วยบรรยากาศ มันคงจะเป็นห่วงผม เพราะนานมากแล้วที่ผมไม่ได้ออกไปไหนไกลหลายๆคืน ผมยิ้มเล็กๆ แล้วก็นึกในใจว่าไปไม่นานเดี๋ยวก็กลับแล้ว

       

      ปัง นั้นเป็นเสียงปิดประตูที่ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นกับการออกเดินทางผจญภัย นานแล้วที่ผมไม่ได้รู้สึกอย่างนี่

       

      ผมเดินผ่านห้องต่างๆ ที่เคยเดินผ่านมาหลายปีแต่ไม่เคยสังเกตเลยว่ามันเงียบมากในยามเช้าตรู่

       

      แม้อากาศดีจังเลยเช้านี่..

       

      พี่ๆ ไปสถานีรถไฟครับ

       

      เราตกลงราคากันเสร็จก็มุ่งตรงไปยังสถานีรถไฟ บรรยากาศเมืองตอนเช้ามันดูสงบเงียบจนแปลกตา พระสงฆ์เดินบิณฑบาต มีเด็กวัดเดินตามสองสามคน ยายกำลังกวาดลานหน้าร้านขายของชำอยู่ แม่บ้านที่ไปจ่ายตลาดตอนเช้ากลับมาทำอาหารเช้าให้กลับคนในครอบครัว คนกวาดถนนกำลังทำงานอย่างเต็มที มันเป็นภาพที่ดูแล้วน่าจนจำ มันเป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและก็ปฏิบัติกันมานมนานแล้ว รู้สึกดีจริงๆ

       

      ไปกรุงเทพที่หนึ่งครับ

       

      ผมนั่งรถไฟชั้นสาม เป็นชั้นธรรมดาสามัญ แต่ก็ได้ซึ่งบรรยากาศที่สุดแล้ว กลิ่นธรรมชาติปนกับกลิ่นรถไฟที่เป็นเอกลักษณ์ ของรถไฟชั้นสาม ผมเลือกที่นั่งริมหน้าต่างเพื่อที่จะดู วิวข้างทางจากเชียงใหม่ถึง กรุงเทพ ซึ่งมันกลายเป็นสิ่งแปลกตามากสำหรับผม ผู้ที่ไร้การติดต่อกับโลกภายนอกมาหลายปี ผมหยิบรูปที่ ปิ่น ถ่ายนั้นมาดูอีกครั้ง และดูกี่ทีมันก็สวยทุกที แล้วอีกภาพที่กำลังจะไปดูนั้นจะเป็นแบบไหนหน่า อยากเห็นเร็วจังเลย

       

      ปู้น ปู้น ปู้นนนนนน  เสียงรถไฟกำลังเตือนว่าใกล้เวลาออกเดินทางแล้ว

       

      ถึงก็ชั่งไม่ถึงก็ชั่ง เป็นเสียงเพลงที่เราเคยล้อเลียนรถไฟยามที่เวลาคุณครูให้ออกไปร้องเพลงกันหน้าชั้นเรียนประถม การออกเดินทางครั้งนี้มันทำให้ผมนึกถึงแต่เรื่องเก่าๆ ในวัยเด็กเลยเชียวล่ะ

       

      ยังไม่เปลี่ยนไปเลยน่ะที่นี่อ่ะ ผมยืนมองสถานีหัวลำโพง อย่างชื่นชม

       

      พี่ครับไป ท่าพระจันทร์ครับ ผมบอกตำแหน่งร้านของต้น ให้กับแท็กซี่จานนั้นผมก็นั่งมองผ่านกระจก มองไปเรื่อยๆ รถติด ผู้คนวุ้ยวาย ต่างคนก็ต่างดิ้นรนเพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ มันต่างจากสภาพเมืองเชียงใหม่ที่จากมาเลย ผมเริ่มใช่จินตนาการอันว่างเปล่าปล่อยใจให้ลอยออกไปเรื่อยๆ ไกลออกไปๆ

       

      ถึงแล้วครับ ผมถึงกับสะดุ้งตื่นจากห้วงของความคิด

       

      ผมเดินเข้าไปในร้าน B&W แกเลอรี่ ภายในร้านมีภาพถ่ายแขวนบนฉากที่ขาวโพน และก็มีเชกชั่นที่เป็นพื้นที่จัดวางงานต่างๆ มีเพลง jazz เบาๆเปิดคอ แล้วผมก็มองดูรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นภาพลักษณะเดียวกับภาพที่อยู่ในมือหรือที่ร้านกาแฟพี่ปู่เลย

       

      เออ ขอโทษน่ะครับ คุณต้นอยู่ไหม ผมถามพนักงานในร้าน

       

      อ่อ พี่ต้นน่ะเหรอครับ สักครู่น่ะครับ พนักงานก็หันไปกดโทรศัพท์ภายใน

       

      พี่ต้นครับ มีคนมาพบครับ แล้วเข้าก็หันมาถามผมต่อว่า

       

      พี่ชื่ออะไรน่ะครับ

       

      บอกว่าคนที่พี่ปู่แนะนำมาครับ ผมตอบไป

       

      พี่ต้นครับ เค้าบอกว่าคนที่พี่ปู่แนะนำมาครับ พนักงานตอบกลับไปแล้วเค้าก็วางโทรศัพท์

       

      เชิญข้างบนเลยครับ

       

      ขอบคุณครับ แล้วผมก็ยิ้มให้

       

      ไม่เป็นไรครับ พนักงานยิ้มตอบ

       

      ตอนนี้ผมตื่นเต้นมากจนอยากจะวิ่งเลยจริงๆ พอผมเดินขึ้นไปก็ผมผู้ชายรุ่นเดียวกับผมยืนถือภาพภาพหนึ่งอยู่

       

      สวัสดีครับ ผมกล่าวทักทาย

       

      สวัสดีครับ เค้าทักตอบ

       

      นี่ครับภาพของคุณ เค้ายื่นภาพนั้นให้ผมโดยไม่พูดอะไรต่อ

       

      ผมอึ้งมากที่ได้เห็นมันสวยมาก เป็นภาพผู้หญิงชู้มือจับแสงดวงอาทิตย์ บ่งบอกถึงความสำเร็จดังที่ฝันไว้ น้ำตาคลอผมดีใจมากๆในที่สุดผมก็เจอเธอ ผมรู้ได้ทันทีว่าผู้หญิงในภาพนั้นคือ ปิ่น ช่างภาพที่ผมตามหา เธอสวยมากสำหรับผม ถึงเธอจะไม่มีตัวตนอยู่แล้วก็ตามแต่มันก็ทำให้ผมหลงรักเธอ แม้จะยังไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง ผมออกจากร้านนั้นโดยในมือมีภาพถ่ายใส่

      กรอป สีขาวสวยงามมาก ผมเดินคิดไปต่างๆนาๆ เดินใจลอยปล่อยความคิด ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ท่ามกลางเมืองที่หลายคนคิดว่า

      สิวิลัย แสงสีมันชั่งสวยงามมาก แต่ท้องฟ้ากลับมองไม่เห็นวี่แววของดาวสักดวงเลย

       

       

       

      เอี๊ยดดดดดดดดดด

       

      ผมหันไปก็เห็นแสงสว่างขาวโพน แล้วทั้งโลกก็ขาวไปหมดมันเกิดอะไรขึ้นกันเหรอผมลืมตาก็เห็นเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวปะปนด้วยดอกไม่หลากสีหลายพันธุ์ ช่วยกันส่งกลิ่นหอมกระจายไปรอบๆ ทุ่งหญ้านั้น ท้องฟ้าสีฟ้าสวยงามสบายตา สายลมเย็นพัดเอื่อยๆ พาพัดทุ่งหญ้ากลายเป็นคลื่นระลอกแล้วระลอกเหล่า เมื่อผมมองออกไปข้างหน้าก็พบผู้หญิงคนหนึ่งยืนโบกมืออยู่ไกลๆ ผมใช่เวลาจ้องมองไม่นานผมก็รู้ได้ทันที่ว่านั้นคือปิ่น ผู้หญิงที่ผมอยากที่จะพูดคุย อยากรู้จัก อยากสัมผัส จากนั้นผมก็ค่อยๆ ก้าวเท้าออกวิ่งไปอย่างช้าๆ และก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเร็วขึ้น แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าผมจะใกล้เธอเข้าไปเลย ผมเริ่มเหนื่อย อ่อนหล้า แต่ในใจยังสู้อยู่ ผมกลั้นใจฝืนวิ่งต่อไป จนกระทั่งผมล้มลงตกหลุมมืดดำ ลอยแขวงขว้างอยู่กลางอากาศ อารมณ์ที่จมดิ่งลงในก้นบึ้งของจิตใจ น้ำตาที่ไหลออกมาจากความเสียดาย จิตใจท้อแท้ สิ้นหวังมันกลับมาอยู่กับผมอีกครั้ง เหมือนกับว่ามันแค่ลาไปเที่ยวพักร้อนเท่านั้นเอง แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมพบกับความสุข ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเวลาเพียงสั้นๆ แต่มันก็เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งหนึ่งในชีวิตเลยทีเดียว ถึงแม้มันจะไม่สมหวังก็ตาม

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×