หัวใจที่แตกต่าง
เรื่องของความรัก และหน้าที่ที่มีอยู่ในหัวใจที่ต่างกัน
ผู้เข้าชมรวม
256
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ท้องฟ้ามืดครึ้มปกคลุมด้วยเมฆสีดำซ้อนทับ ลำแสงสีขาวพาดผ่านท้องฟ้าสีดำเทาเป็นระยะ เป็นสัญญาณบอกว่าอีกสักพักน้ำจะหล่นจากเบื้องบนเป็นการใหญ่ ฉันแหงนมองฟ้าก่อนสอดสายตามองบริเวณโดยรอบที่เริ่มถูกความมืดเข้าครอบงำ ความอึมครึมของบรรยากาศโดยรอบก่อเกิดความรู้สึกบางอย่างในใจฉัน ปกติแล้วฉันไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวกับเจ้าความมืด เพราะสายตาสองข้างของฉันถูกสร้างมาให้สามารถมองเห็นได้ดีในยามไร้แสงจ้า และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ฉันไม่เคยกลัวเกรงความมืดดำโดยรอบเลย จะมีก็ครั้งนี้นี่แหล่ะ ที่ความรู้สึกหวาดกลัวแอบเข้ามาครอบงำจิตใจฉัน โดยฉันไม่แน่ใจว่าเกิดจากสัณชาตญานที่แอบซ่อนอยู่ในตัวฉัน หรือเพราะเจ้าตัวน้อยทั้งหลายที่สุมรุมอยู่ตรงอกเพื่อรับสัมผัสความอบอุ่นและอาศัยแหล่งอาหารจากร่างกายของฉันเป็นสาเหตุแห่งความกลัวครั้งนี้ ฉันเพ่งสายตาฝ่าความมืดออกไป สายตาของฉันกระทบกับแสงที่สาดส่องมาจากด้านหน้าด้วยความเร็วสูงพร้อมกับเสียงบาดลึกดังก้องในหูของฉัน เจ้าสิ่งนั้นผ่านมาและผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนหนีอะไรสักอย่าง หรือว่าพวกมันกำลังหนีเจ้าน้ำจากเบื้องบน “ไม่...ไม่มีใครหนีมันพ้น” เสียงปฏิเสธดังบอกตัวเองพลางแหงนมองท้องฟ้าด้วยใจที่หวาดหวั่น เจ้าความกลัวแล่นขึ้นมาจับหัวใจฉัน “หากไอ้น้ำบ้าๆ มันหล่นมาจากท้องฟ้ากว้างที่มืดดำอย่างนี้แล้วเจ้าตัวน้อยๆๆของฉันล่ะ...น้ำคงต้องท่วม..ฉันคงต้องทำอะไรสักอย่าง” เสียงครุ่นคิดของฉันดังกังวานในหัว “หาที่อยู่ใหม่” เสียงบอกตัวเองเมื่อพบทางออกทางเดียวที่คิดได้ด้วยสติปัญญาของฉัน ฉันก้มมองเจ้าตัวน้อย น้อย ที่นอนซบที่อกฉันอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ก่อนค่อยๆ ลุกขึ้นแต่ก็ไม่วายทำให้เจ้าตัวเล็กตื่น ฉันมองดูเจ้าตัวเล็กที่ส่งสายตามองมาที่ฉันร้องครวญครางด้วยความรู้สึกตื่นตระหนก “เดี๋ยวนะเจ้าตัวน้อยรอสักพักนะ ให้ฉันไปสำรวจที่ที่เหมาะสมกว่านี้” ฉันครางบอกก่อนก้าวเท้าเดินขึ้นบนไหล่ถนน หันซ้ายแลขวา มันช่างมืดเหลือเกิน ขาพาฉันก้าวมาได้สักพัก ความมืดพร้อมแสงสว่างที่พาดผ่าน ทำให้ฉันรู้สึกเป็นห่วงเจ้าตัวน้อยน้อยของฉัน..สุดท้ายฉันก็ไม่สามารถก้าวขาออกไปข้างหน้าได้อีก “ครืน.... เปรี้ยง..เปรี้ยง” เสียงดังแหลมกระแทกเข้ากระทบโสตประสาทหูของฉัน ทำให้ใจฉันประหวัดคิดถึงเจ้าตัวเล็กทั้งหลายที่กำลังอยู่กันอย่างลำพัง ทั้งที่ตายังมองแสงที่สาดส่องลงมายังโลกใบนี้ไม่ได้เต็มตา ฉันตัดสินใจวิ่งย้อนกลับตามหลังเจ้าแสงสีขาวที่ฟาดผ่านหน้าฉันด้วยความเป็นห่วงเจ้าตัวเล็กที่ฉันปล่อยไว้ลำพัง อันที่จริงเวลานี้ตอนนี้ควรเป็นเวลาของเจ้าดวงกลมโตเจิดจ้าจอมอหังการที่สถิตอยู่เบื้องบนต้องแสดงกำลังอำนาจสาดแสงร้อนแรงส่องลงมายังเบื้องล่าง ส่วนตัวเองลอยเด่นตระหง่านอยู่บนฟ้ากว้างจนหนำใจ ก่อนจะค่อย ค่อย ทอดตัวลงตรงเส้นขอบฟ้าอย่างอ้อยอิ่งเพื่อเปลี่ยนเครื่องทรง ก่อนขึ้นมาประดับฟ้ามืดในยามความมืดเยื้อนย่างเข้าปกคลุม เผยตัวมาในมาดใหม่ด้วยแสงสีขาวนวลสาดส่องสว่างอย่างเหนียมอาย อ่อนโยนน่ามองชวนให้หลงใหล ผิดกับก่อนเปลี่ยนเครื่องทรงที่แบ่งบารมีประกาศศักดาด้วยความร้อนแรงจนพวกสรรพสัตว์ทั้งหลายต้องหลบเร้นหาที่ซ่อนให้พ้น แต่ในวันนี้ดูเหมือนทุกอย่างไม่เป็นเหมือนเคยเจ้ากลมโตหลีกลี้หนีหน้ากลุ่มหนาที่ปกคลุมมืดทึบอยู่บนท้องฟ้า คิดแล้วก็อยากจะสมน้ำหน้าเจ้าดวงกลมโตจอมวางอำนาจนักที่ไม่สามารถแผลงอิทธิฤทธิ์ได้ดั่งใจ แต่ในใจฉันตอนนี้กับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น ถึงเจ้าดวงกลมโตจะชอบวางมาดโอหัง แต่มันก็ไม่เคยผลาญชีวิตใคร แถมแสงที่ส่องสว่างกับทำให้ฉันไม่ต้องระแวดระวังภัยให้เจ้าตัวเล็กมากนัก ผิดกับยามที่ความมืดดำปกคลุมไปทั่วเช่นนี้ ทำให้ฉันต้องคอยปกป้องระแวดระวังภัยให้เจ้าตัวเล็กของฉันเป็นทวีคูณ ยิ่งคิดความกลัวยิ่งเข้าเกาะกุมหัวใจฉันแน่นไปหมด
วันนี้เจ้าความมืดมิดมาเยือน เจ้ากลมโตหนีหายปล่อยให้เจ้ากลุ่มควันหนาทึบมาวางอำนาจแทน และยิ่งน่ากลัวไปใหญ่เมื่อมันไม่ได้มาเดี่ยว แถมยังพาตัวประหลาดแลบแปลบๆ ยกโขยงกันมาสร้างสียงสะท้านดังกึกก้องอย่างน่ากลัว ความคิดที่อิรุงตุงนังหยุดลงเมื่อฉันวิ่งมาถึงยังเจ้าตัวน้อยของฉัน เจ้าตัวน้อยส่งเสียงครวญครางร้องหงิงหงิงชวนให้สงสาร ฉันสบตาเจ้าตัวเล็กทั้งหลาย แล้วรู้สึกหวิวในใจ เมื่อต้องทิ้งให้พวกเจ้าต้องเผชิญความกลัว เพราะขาดไออุ่นของฉัน ไออุ่นจากอกแม่อย่างฉัน ฉันยืนนิ่งอยู่ใต้พุ่มไม้หนาที่ฉันอาศัยเป็นเกาะกำบังยามเจ้ากลมโตส่องแสงลงมา และในวันนี้จะต้องใช้เป็นที่หลบเม็ดน้ำจากเบื้องบนที่ปกคลุมชีวิตของฉันมาตั้งแต่เล็ก และจนถึงวันที่ฉันให้กำเนิดเจ้าตัวน้อยทั้ง 5 ของฉัน หลายวันมาแล้วที่ฉันต้องคุ้ยอาหารที่ใกล้บริเวณนี้เพื่อความอยู่รอดของตัวฉันและเจ้าตัวเล็กที่ต้องอาศัยน้ำจากอกของฉันไปหล่อเลี้ยงร่างกายที่เปราะบางเหลือเกิน สายตาฉันจับจ้องไปยังลูกน้อยที่กำลังสั่นเทาด้วยความกลัวเพราะเจ้าเสียงบาดลึก ฉันเดินย่อตัวเข้าไปใกล้แล้วใช้ลิ้นของฉันเลียไปตามตัวของเจ้าตัวน้อยเพื่อปลอบโยนและเหมือนลูกเริ่มรับรู้สัมผัสด้วยความรักของฉัน จึงคลายอาการหวาดกลัวลง
“แปะๆๆ” เสียงน้ำจากเบื่องบนกระทบยอดพุ่มไม้บนหัวฉัน แรงขึ้น แรงขึ้นจากเม็ดใหญ่ห่าง ห่าง เริ่มถี่ขึ้น ฉันและเจ้าตัวน้อยเริ่มสัมผัสความชื้นของน้ำที่ไหลลงมาจากที่สูง มากขึ้น โดยไม่มีท่าทีว่าฝูงน้ำเม็ดใหญ่จากฟ้ากว้างจะหยุดลงสักนิด ระยะเวลายิ่งผ่านไปเจ้าหยดน้ำยิ่งถี่ยิ่งหนาตา และยิ่งแย่เมื่อฉันมองตามทางที่น้ำไหลจากที่สูงลงมายังที่พำนักของฉันที่ต่ำลงกว่า ฉันคะเนด้วยสายตาน้ำไหลบ่าแรงขึ้นแรงขึ้นด้วยความเต็มใจหรือโกรธแค้นใครหรือไม่ก็ตามของท่านผู้สร้าง แต่ตอนนี้ฉันคงต้องตัดสินใจทิ้งเจ้าลูกน้อยของฉันไว้ตามลำพัง ถึงแม้นฉันจะไม่อยากที่จะจากเจ้าทั้ง 5 ที่เป็นหัวใจ เป็นความรู้สึกของฉันผู้เป็นแม่ในขณะนี้ “ ทนนะลูกเพื่อความอยู่รอด ถ้าแม่ปล่อยให้นานไปกว่านี้ในไม่ช้า พวกเจ้าจะต้องจมน้ำอยู่ตรงนี้” ฉันมองลูกด้วยความรู้สึกสงสารจับใจร่างกายลูกเริ่มสั่นเทาด้วยความเย็นจากน้ำที่เปียกชื้น สุดท้ายฉันตัดสินใจเลือกทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูก ซึ่งอาจจะดูโหดร้ายไปซะหน่อยสำหรับเจ้าตัวเล็ก ฉันตัดสินใจลุกขึ้นเพื่อไปหาที่พักแห่งใหม่ก่อนทุกอย่างจะสาย “รอแม่แป๊บนะลูกจ๋า” ฉันส่งเสียงบอกลูกและปิดประสาทหูหยุดรับฟังเสียงร้องครวญครางสะอื้อไห้หาอกแม่ที่ลุกขึ้นจากมา เพื่อที่ทำสิ่งที่ดีทีสุดเพื่อลูกของฉัน มันถึงเวลาที่ฉันต้องเสี่ยง ฉันหันหลังวิ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว “เอี๊ยด..................” เสียงบาดลึกทำให้ฉันหยุดนิ่ง หัวใจฉันตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม ตาจ้องมองค้างไปที่ดวงตาส่องสว่างทั้งสองข้างของมันมองตอบสบตาฉันอย่างไม่มีจิตสำนึก ฉันยื่นนิ่งก่อนที่มันจะส่องเสียงแหลมเล็กคำรามใส่ฉัน สติเท่านั้นฉันตัดสินใจวิ่งต่อไปให้ถึงฝั่งตรงข้ามให้เร็วที่สุด “โฮงโฮ่งโฮ้ง โฮ้งๆๆๆๆๆ” ฉันแสยะฟันเข้าใส่ ส่งเสียงคำรามตามหลังเจ้าสัตว์ประหลาดที่รีบวิ่งหนีไปด้วยความโกธร อยากฝังเขี้ยวคมเข้าที่ลำตัวมันด้วยการวิ่งไล่งับใส่สัตรูตัวประหลาดวิ่งเร็วมีเสียงที่บาดลึก จิตใจเจ้าตัวประหลาดพวกนี้มันเหี้ยมโหดนัก พวกมันเคยกระแทกร่างเพื่อนฉัน ภาพนั้นยังติดตา ภาพที่เพื่อนนอนหายใจรวยริน พะงาบ น้ำสีแดงข้นทะลักไหลจากปาก จมูก ลำตัวทะลักด้วยของจากภายใน ปากฉันขยับด่าทั้งที่ขาทั้งสี่ยังสั่น ขนชันตั้งตามแนวสันหลังด้วยความเสียวแป๊บ ใจเต้นรัว ฉันสลัดตัวเพื่อไล่ความคิดสยองกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป ฉันต้องผ่านความรู้สึกหวาดกลัวนี้ไปให้ได้ ฉันวิ่ง...วิ่ง วิ่งไปตามทาง วิ่งด้วยความเร็วเท่าที่สังขารของฉันจะอำนวย ในใจอดที่จะคิดถึงเจ้าลูกน้อยทั้งห้าที่รอคอยการกลับไปของฉันไม่ได้ วิ่งๆๆ สายตาสอดส่ายสองข้างทาง ก่อนจะเปล่งประกายกลมโตเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงเบื้องหน้า ฉันเดินสำรวจรอบ ๆ แหงนมองด้านบน เห็นน้ำจากเบื้องบนหลุดลอดมาได้เพียงไม่กี่หยดตามรูรอย และลูกน้ำละอองเล็กๆสาดเข้ามาด้านข้าง เท้าฉันย่ำเดินบนพื้นแข็ง เวลาโดนน้ำไม่เละเหมือนที่พักเก่าของฉัน ใจฉันชื้นขึ้นรีบขยับขาวิ่งปรับลูกน้อยของฉัน หัวใจฉันเต้นแรงอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นความรู้สึกยินดี ที่ฉันได้พบที่อยู่ใหม่เพื่อที่จะเป็นที่หลบน้ำที่กำลังหล่นอย่างหนักจากเบื้องบนที่ไม่คิดจะสงสารฉันกับลูกน้อยสักนิด “ ฉันไม่สนใจที่จะร้องขอ ให้ท่านผู้สร้าง หยุดส่งน้ำลงมา แต่ฉันจะสู้ สู้กับทุกๆ สิ่งที่จะขัดขวางการมีชีวิตอยู่ของลูกของฉัน” เสียงฉันย้ำบอกตัวเองในใจ ขาก้าววิ่งไปเริ่งจังหวะให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนมาถึงที่เดิมที่ฉันเกือบมีเรื่องกับเจ้าตัวประหลาด คราวนี้ฉันค่อยๆ มองดู “ไม่มี” ฉันก้าวขาวิ่งข้ามไปยังฝั่งที่ฉันได้จากลูกน้อยมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อมาถึงจุดหมาย
ฉันก้าวเท้าทั้งสี่เดินลงมาที่ที่ลูกทั้งห้าของฉันที่พากันนอนร้องคราง ตัวสั่น ด้วยความหนาว น้ำเริ่มนองที่พื้น มองไปที่ลูกแล้วรู้สึกสงสารจับใจ ฉันเลือกเดินไปที่เจ้าตัวน้อยสีขาวปนน้ำตาลเจ้าตัวสุดท้ายที่ออกจากท้องฉัน และเป็นตัวแรกที่ฉันตัดสินใจเอาปากของฉันงับเบาๆ ที่หนังหลังคอแล้วก้าวเท้าวิ่งอย่างรวดเร็วไปยังจุดหมายปลายทางที่จะเป็นหลักพักพิงชั่วคราวของลูกกับฉัน สายน้ำจากเบื้องบนยังไม่หยุดหล่น มันหล่นลงมาอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย น้ำไหลจากหน้าผากเข้าตาของฉันจนต้องกระพริบตาถี่ๆไล่น้ำที่เข้ามาเป็นอุปสรรค์ในการมองทางข้างหน้า แต่สุดท้ายฉันพาเจ้าตัวน้อยตัวแรกของฉันมายังแหล่งพักพิงแหล่งใหม่ได้สำเร็จ ฉันค่อยๆ วางเจ้าสุดท้องที่ส่งเสียงร้องตัวหนาวสั่น และถึงฉันจะรีบอย่างไรฉันก็ไม่ลืมที่จะใช้ปากและลิ้นสัมผัสลำตัวเจ้าตัวน้อยตรงหน้า เพื่อคลายความหนาวลงชั่วขณะ ฉันมองลูกน้อยที่สงบลงอีกครั้ง ก่อนเร่งตัวเองให้ก้าวเท้าไปยังที่เพิ่งจากมา สายน้ำยังคงไม่หยุดไหลจากฟากฟ้า ความแรงของน้ำที่กระหน่ำซัดมาทำให้ฉันต้องเร่งฝีเท้าของฉัน “ถ้าฉันวิ่งเร็วได้เท่าเจ้าตัวประหลาดก็ดีสิ” ฉันคิดอิจฉาเจ้าตัวประหลาดที่วิ่งแซงผ่านฉันไปพร้อมกับแสงสว่างที่หายวับไป วิ่งๆๆๆ เร็วที่สุดที่ฉันจะทำได้ พอไปถึงฉันไม่รอช้าก้มงับเจ้าน้ำตาลทั่วตัวแล้วยกขึ้น ฉันก้าวขาทั้งสี่อย่างว่องไว เร่งฝีเท้าก้าวกระโดดพรวดหวังประหยัดเวลา ด้วยความลื่นของพื้นที่เท้าสัมผัส ขาหน้าของฉันเกาะขอบไหล่ถนนไม่อยู่ แรงกระโดดทำให้ขาที่จับพื้นไหลพรืดลงชี้ไปคนละทิศทาง แต่ฉันยังคงพอมีสติ จึงชูปากที่คาบเจ้าตัวน้ำตาลล้วนชูหน้าขึ้นสูง แล้วแข็งใจดัน 2 ขาหน้าช่วยพยุงน้ำหนักของปากที่จะกระแทกกระพื้น เป็นผลให้อกของฉันกระแทกโดนขอบถนนอย่างจัง “เอ๋ง ๆๆ ” เสียงเจ้าน้ำตาลลูกน้อยของฉันร้องครวญครางด้วยความตกใจ เสียงของลูกทำให้ฉันลืมความเจ็บจากแรงกระแทกกับพื้นที่สัมผัสอย่างแรง ฉันปีนขึ้นมาตรงริมทางสูง วางลูกลงก่อนจะใช้ลิ้นสัมผัสตัวเจ้าตัวน้อยเพื่อปลอบโยน “แม่ขอโทษนะเจ้าตัวเล็ก” ฉันสื่อสารบอกลูกน้อยทั้งที่ฉันรู้ดีว่า ลูกยังไม่สามารถสื่อสารรับภาษาทางเสียงได้ แต่ฉันก็รับรู้ได้ว่าเจ้าตัวน้อยของฉันรู้ว่าฉันขอโทษ ฉันไม่มีเวลาจะโอ๋ลูกเท่าไหร่ เพราะฝนและเจ้าตัวอื่นที่เหลือจะต้องมีชีวิตอยู่ เท้าฉันก้าวยาว ๆ ด้วยความเร็ว อย่างชำนาญทาง วิ่งจนถึงจุดหมาย เจ้าตัวเล็กมองดูฉันและพี่ของเค้า เจ้าตัวเล็กสองตัวส่งเสียงทักทายเป็นภาษาที่เค้าเข้าใจกันดี ฉันรีบจัดการกับลูกๆ แล้วก็วิ่งกลับไปยังที่เดิม พอไปถึงฉันยืนมองน้ำที่เอ่อขึ้นสูง เหมือนจงใจแกล้งฉันและลูก “อีกไม่นาน” ฉันประมาณเวลาหากต้องวิ่งไปกลับจนครบจำนวนตัวที่เหลือ ลูกของฉันตัวใดตัวหนึ่งจะต้องไม่รอด ความคิดเร็วเท่าการกระทำ เจ้าหนึ่งและเจ้าสองที่ตัวเล็กกว่าเพื่อน ฉันกะประมาณฉันสามารถจะคาบเจ้าสองตัวไปที่เดียวพร้อมกัน และฉันจะต้องทำความเร็วมากกว่าเดิม ฉันคาบเจ้าหนึ่งและสองไว้ในปาก และมองเจ้าสามที่ร้อง “หงิง ๆๆๆ” ที่ต้องผจญกับความกลัวอย่างเดียวดาย ฉันมองเจ้าสามอีกครั้งก่อนตัดสินใจวิ่ง ฉันวิ่ง วิ่ง วิ่งไป โดยยังไม่ยอมข้ามถนน วิ่ง วิ่ง วิ่ง ลืมความเหนื่อยลืมความล้า ชีวิตของลูกมีค่ากว่าสิ่งใดทั้งหมดสำหรับฉัน เร็วฉันวิ่งเร็วสุดชีวิต เห็นแล้ว ฉันเห็นแล้ว ฉันตัดสินใจวิ่งข้ามด้วยความเร็ว “เอี๊ยด.............” เสียงลากยาวของเจ้าตัวประหลาดบนท้องถนน มันส่งเสียงยานคราง ก่อนที่ตัวมันจะหยุด ส่วนตัวฉัน “เอ๋ง............” เสียงร้องยาวออกจากปากด้วยความตกใจ ดีนะที่ฉันวิ่งเร็ว โดนเจ้านี่ถากๆๆ แต่ตกใจสิมากกว่า “โฮ่งๆๆๆ” ฉันกรรโชกเสียงด่าตัวประหลาดโจทย์เก่าหน้าเหลี่ยมตัวแข็งทื่อที่วิ่งต่อไปอย่างไม่สนใจอะไรกับฉันที่เดินอย่างขัดๆๆ ไปส่งเจ้าลูกน้อยทั้งสอง ฉันวางเจ้าหนึ่งเจ้าสองไว้ใกล้เจ้าน้องสุดท้องกับเจ้าสี่สีน้ำตาล ฉันคิดว่าลูกคงอบอุ่นพอ ฉันตัดสินใจ วิ่ง ยิ่ง วิ่ง ฉันเริ่มรู้สึกแปลกๆ ที่บั้นท้าย ฉันรู้สึกขัด ๆ เจ็บแปลบ ๆ วิ่งไม่ได้ดังใจ แต่สำนึกรับรู้ว่าเจ้าสามรอคอยฉันอยู่ไม่มีเวลาจะมาสำออยความเจ็บของตัวเอง วิ่งเร็วที่สุดเท่าที่วิ่งได้ น้ำบนฟ้าหล่นมาเปียกทั่วตัวฉัน ร่างกายฉันสะสมมันไว้เยอะ ฉันสะบัดน้ำที่เริ่มสะสมที่ตัวฉันออก “ เอ๋งๆ ๆ” ฉันไม่เข้าใจเหมือนกันแค่สะบัดตัวทำไมรู้สึกปวดบั้นท้ายขนาดนี้ ขาคู่หน้าขยับแต่กับไม่สอดคล้องกับคู่หลัง ฉันขยับไม่ได้ดังใจ วิ่ง วิ่ง ถึงจะวิ่งกะเผลก แต่ในที่สุดความพยายามของฉันก็สำเร็จ ฉันมาถึงที่ที่ลูกรออยู่ ฉันกวาดตามองฝ่าสายฝนไปรอบ ๆ มีแต่น้ำและน้ำ น้ำท่วมเต็มไปหมด
“โฮ่งๆๆๆ” เสียงดังตะโกนก้องออกจากปากก่อนกระโจนลงน้ำด้วยความหวังสุดท้าย ขาตะกรุยน้ำตรงไปที่ลูกอยู่ ความเจ็บล้าที่บั่นท้ายทุเลาความเจ็บที่หัวใจเข้ามาแทนที่ความเจ็บปวดของร่างกาย น้ำตาไหลรวมกับน้ำฝน ฉันดำพุด กระทุ้งน้ำ ตามแรงต้านการไหลของน้ำ มองหาเจ้าสาม ไม่มีเสียงตอบรับ มองเข้าไปที่เจ้าเขียว รกเรื้อยตอนที่ฝนยังไม่ตก มันชูก้านแข็งแรงแต่เวลานี้ตอนนี้มันลู่ตามน้ำ ฉันว่ายแหวกไปทั่ว “อกทำไมฉันรู้สึกเจ็บในอกมากมายอย่างนี้” “ลูก แค่ลูกตัวเดียว ทำไมฉันหาไม่เจอ ฉันวนหาจนทั่ว ไม่มี....ไม่มี หาไม่เจอไม่มี” เสียงตะโกนก้องย้ำย้ำ คำแล้วคำเล่า ไม่มีการตอบรับจากลูกของฉัน “แม่ขอโทษ” เสียงพร่ำบอกลูกในใจ ฉันยืนนิ่งก้มหน้ารับชะตากรรม ฉันหันหลังให้กับเจ้าสาม “ลาก่อน” เสียงครางโหยหวนของแม่บอกกับลูก อยากให้ลูกรับรู้ แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไป เจ้าตัวน้อยอีกสี่ชีวิตยังรอการกลับไปของแม่อย่างฉัน ฉันเดิน ฉันวิ่ง แต่มันก็ไม่ได้ดังใจ ดวงตารื้อด้วยน้ำตา คอแห้งผาก ฉันค่อยๆ เดินข้ามถนนเมื่อถึงตรงที่เจ้าสี่ตัวของฉันรอฉันอยู่ ฉันมองเจ้าสี่ตัวร้องเรียกส่งเสียงครางด้วยความดีใจ ดวงตาเต้นไหวระริกเมื่อเห็นฉันยืนอยู่ใกล้ "เจ้าตัวเล็กเจ้าคงไม่ได้รับรู้ว่าได้มีพี่เจ้าอีกตัวได้จากไป เจ้ายังเล็กนักที่จะรับรู้ แม่จะต้องอยู่กับความเป็นจริงเพื่อเจ้า” เสียงฉันย้ำชัดกับตัวเอง ฉันสลัดความอ่อนล้าออกไป แม้ในใจยังเจ็บปวดกับการสูญเสียอยู่ ฉันไม่มีเวลาที่จะเศร้ามากนัก ฉันสลัดความรู้สึกที่เกิดขึ้นทิ้ง เพราะฉันยังมีเจ้าตัวน้อยอีกหลายชีวิตที่ต้องดูแล ฉันทอดตัวลงนอน ลูกกรูกันเข้ามาหาความอบอุ่นจากแม่ ต่างตะกุยยื้อแย่งเลือกเต้าน้ำเลี้ยงที่ติดตัวฉันมาตั้งแต่ฉันยังเล็ก ฉันเพิ่งรู้หน้าที่และความยิ่งใหญ่ของมันก็วันที่มีเจ้าตัวน้อยๆ หน้าที่ของมันที่ติดตัวฉันมาตามจำนวนหัวที่อยู่บนหน้าท้องฉัน หน้าที่ความเป็นแม่ที่ติดตัวฉันตั้งแต่ลูกเริ่มเกิดจนถึงวันฉันตาย ฉันยิ่งตะหนัก เมื่อเจ้าตัวเล็กทั้งหลายดึงเค้นดูดกินยามหิวโหย มันเป็นความภูมิใจอันยิ่งใหญ่ที่ฉันรู้สึกและสัมผัสได้เมื่อยามลูกฉันได้ดูดกินและดำรงชีวิตอยู่ได้เพราะเลือดและน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตจากร่างกายของฉัน
“บรืนบริ้นๆๆๆๆ” ฉันเงยหน้ามองแสงไฟที่ส่องหน้าฉันและลูก แสงไฟหรี่ลงพร้อมกับเสียงที่ดูเหมือนว่าจะเบา “ จะวางไว้ที่ไหนอ่ะพี่ ” เสียงสิ่งประหลาดมีขาสองขาติดลำตัวไว้เดิน อีกสองขาห้อยโตงเตงติดข้างลำตัวกวัดแกร่งไปมา หน้าตาประหลาด ชอบเอาพวกฉันไปอยู่ด้วย “ก็วางตรงนั้น” เสียงพวกเดียวกัน แต่ขนบนหัวมันสั้นกว่า ตัวใหญ่กว่าพูดด้วยเสียงอันดัง “มึงยังจะห่วงมันอีกเหรอ..ก็ให้มันตายๆๆ ห่าไปสิ มารจริงๆ” “ฉันไม่ได้ว่าอะไรนี่พี่ถาม...ฉันยอมทำทุกอย่างอยู่แล้ว แค่พี่ไม่ทิ้งฉันไป” เสียงตัวประหลาดขนบนหัวยาวตอบ ก่อนที่จะก้มมองบางอย่างที่วางอยู่บนขาคู่ที่ติดลำตัว มาวางไว้ตรงหน้าที่พักของฉัน ฉันมองท้องฟ้า น้ำจากฟ้ายังไม่หยดหล่น “อุ๊แวๆๆๆๆๆ” เสียงดังจากบางอย่างที่ถูกนำไปวางไว้ คงเพราะโดนน้ำจากฝากฟ้าลงสัมผัส เจ้าตัวประหลาดดึงกันและกัน ก่อนพากันนั่งทับเจ้าตัวขาประหลาดออกไปพร้อมกับแสงสว่างจ้าและเสียงอันดัง
ฉันค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นอย่างช้าๆ เจ้าตัวเล็กงัวเงียเงยหน้ามองฉันอย่างงงๆ ก่อนพากันหลับตาต่อ ฉันพาร่างกายที่เริ่มแย่ ปวดร้าวที่ช่วงท้าย และหน้าอก เดินไปตามเสียงที่ฉันแปลไม่ออกว่าหมายถึงอะไร ฉันก้มลงมองหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำจากเบื้องบนเกาะอยู่ ฉันใช้ฟันงับผ้า ดึงลาก ดึงลาก และปล่อย “ หงิงๆๆ ” เสียงร้องหลุดออจากปากฉัน ด้วยความเจ็บปวดจากการใช้แรงดึงเจ้าตัวประหลาดตัวใหญ่กว่าเจ้าตัวน้อยของฉันเข้ามาให้พ้นน้ำจากฟ้า แล้วลากมาวางตรงข้างลูกและฉัน เจ้าตัวประหลาดมองตามาที่ฉัน ขาที่ติดลำตัวช่วงบนยุกยิก ส่งดวงตาระริกให้ฉัน ทำให้ฉันคิดถึงเจ้าสาม มันเหมือนแววตาของลูกเจ้าสามที่เคยส่งมาให้ยามที่ฉันอยู่ใกล้ หัวใจของฉันอ่อนยวบ ก้มลงใช้ริมฝีปากลิ้นสัมผัสเพื่อปลอบใจเจ้าตัวเล็กตัวใหม่ ก่อนทอดตัวลงนอนข้างๆ เพื่อให้ไออุ่นลดความเหน็บหนาวในยามที่เบื้องบนมืดดำและน้ำบนฟ้ายังไม่หมดไป
ผลงานอื่นๆ ของ ไอเย็น ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ไอเย็น
ความคิดเห็น