=.. มือปืน .. =
น้ำมิตรสีขุ่นขลั่กของชายทั้งสองคน ถูกโชคชะตาขีดเส้นกางกั้นไว้ ไม่อาจบังจบพบเจอกันได้ .. โดยมีความตายเป็นเงามืดมนที่ตามติดทั้งคู่ตลอดไป ...
ผู้เข้าชมรวม
816
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
มือปืน
เงาร่างหนึ่งนอนนิ่งแนบอิงกองขยะในท้ายตรอกที่ความมืดมิดยามราตรีกาลครอบคลุมตรอกซอกเล็ก ๆ นี้ไว้ ให้พ้นจากแสงนีออนจากป้ายโฆษณาที่ส่องประกายแสบจ้าแข่งกับความว้าวุ่นบนถนนเบื้องหน้าตรอกเล็กๆแห่งนี้
ร่างนั้นฉาบด้วยความหม่นหมองของคราบไคลสกปรกที่ล่วงผ่านคืนและวันบนกองขยะในตรอกแห่งนี้มาเนิ่นนาน
เป็นเวลาเนิ่นนานพอจะทำให้สังคมลืมความชั่วช้าทั้งหลาย ที่ไม่อาจคงอยู่ต้านทานกาลเวลา แต่เพียงลอยลับไปกับกระแสสังคมที่พัดไหวไม่หยุดนิ่ง
เฉกเช่นค่ำคืนนี้ ..
แสงไฟจากท้องถนนยามราตรี ถูกร่างหนึ่งบดบังเอาไว้ ร่างนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้กับกองขยะท้ายตรอก พร้อมๆกับเงามืดที่ทาบทับกับแสงจันทร์ที่สาดส่องมายังร่างชายผู้นั้น ผู้ที่นอนแนบอิงกองขยะท้ายตรอกอันมืดมิด
"กูมีงานให้มึง , ชิ้นสุดท้าย"
กองขยะยังคงอุ่นนุ่มสำหรับร่างนั้น แต่ค่ำคืนนี้ ไอหนาวยะเยือกกำลังกล้ำกลายมาเยี่ยมพร้อมกับชายผู้มาเยือน
"ผู้พันฝากบอกมึงว่า เสร็จจากงานนี้ จะส่งมึงไปกบดานที่มาเลย์ แล้วมึงก็ไม่ต้องกลับมาอีก"
ร่างนั้นเขยื้อนกายด้วยความเกียจคร้าน มันพลิกตัวหงายเพื่อมองหน้าผู้มาเยือนอย่างเต็มสองตา แสงจันทร์ที่ฉายส่องลอดช่องไหล่ผู้มาเยือนทาบทอกับดวงตาข้างขวาของมัน เผยให้เห็นรอยแผลเป็นลากยาวพาดผ่านดวงตาข้างนั้น ... ดวงตาของผู้ที่เคยผ่าน "นรก" มาแล้ว
ชายผู้มาเยือนสะท้านเยือกเสมือนลมหนาวพัดผ่าวผ่านร่างเขาไปวูบหนึ่ง หรือสายลมยะเยือกจะมาจากดวงตาข้างนั้น...เขาสั่นหัวเพื่อสลัดทิ้งความคิดนั้นเสีย มือขวาพลันล้วงเข้าไปในอกเสื้อ หยิบซองสีน้ำตาลซองหนึ่งออกมา แล้วโยนลงสู่เบื้องหน้ามัน ... เจ้าของดวงตาข้างนั้น
"รายละเอียดทั้งหมดอยู่ในนั้น , ทุกอย่างที่มึงต้องการ"
เขาเหลือบมองสบกับดวงตาข้างนั้นอีกครั้ง ... ช่างน่าสะพรึง เป็นความคิดที่แวบผ่านเข้ามา ก่อนที่สมองจะสั่งการให้เขารีบออกจากสถานที่นี้เสีย ... โดยเร็วที่สุด
ผู้มาเยือนจากไปโดยไม่ร่ำลาใดๆ มีเพียงเสียงฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งที่เป็นจังหวะเร้าเร่งสอดรับกับเสียงเพลงเต้นรำที่ดังกระชากโสทประสาทจากบาร์เหล้าข้างตรอกมืดทึมทึบ
เสียงแผ่นเหล็กสีเทาทึบแหวกม่านอากาศดังสนั่นหวั่นไหว มันหมุนเป็นวงกลมด้วยแรงเหวี่ยงที่มากพอจะยกให้เหล็กหนักกว่า ๔ พันกิโลกรัม ลอยละลิ่วอยู่บนท้องฟ้า ด้วยรูปร่างคล้ายแมงปอ ขณะนี้มันกำลังบินว่อนเป็นฝูงเสมือนกลุ่มแมงปอโฉบเอาหนอนดินเล็ก ๆ กินเป็นอาหาร
ปืนกลเฮลิคอปเตอร์กำลังระดมยิงลงสู่พื้นดิน ทหารร่วงผล็อยล้มตายเหมือนใบไม้ต้องลม กลิ่นเขม่าดินปืนคละคลุ้งปะปนกับฝุ่นสีแดงสดที่ละเลงด้วยเลือดจากร่างเหล่าทหารหาญ ที่ต่างทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนมาทิ้งชีวิตของตนไว้ ณ สมรภูมิที่แสนห่างไกลจากมาตุภูมิ
"จ่า !! ค่ายเรากำลังจะแตก ! ทหารเราตายเป็นเบือ ! จ่า !!"
ผู้หมวด ธนู อาจหาญ ระส่ำด้วยความตระหนก ด้วยตระหนักว่าบัดนี้ความตายกำลังกล้ำกรายมาเยือนอีกในไม่ช้า เสียงโหยหวนด้วยความเจ็บปวดจากบาดแผลกระสุนของทหารประสานกับเสียงระเบิดของมิสไซล์จากเฮลิคอปเตอร์ ที่พุ่งเข้าสู่เป้าหมายอย่างแม่นยำและดังสนั่นกังวานคร่ำคร้ามสติสัมปัญชัญญะของมนุษย์ในคราบสัตว์สงคราม
ทหารนายหนึ่งพุ่งทะยานเข้าสู่หลุมหลบภัย ใกล้ ๆกันกับที่ผู้หมวด ธนู นอนหมอบหลบห่ากระสุนจากเฮลิคอปเตอร์และกองกำลังติดอาวุธของฝ่ายตรงข้ามอยู่
"จ่า !! เรากำลังจะตาย ! จ่า !! จ่าได้ยินไหม !! พวกมันจะเข้ามาฆ่าเรา !!"
"ผู้หมวด !! เรายังไม่ตาย และ จะต้องไม่ตายผู้หมวด !! ผมจะพาเราออกจากที่นี่!"
"จ่าจะบ้าไปแล้วเหรอ ! เราจะฝ่าห่ากระสุนออกไปได้ยังไง พวกมันไม่ช้าก็ต้องรุมกินโต๊ะเราที่นี่แน่ !"
จ่าหนุ่ม จับจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทของผู้หมวด พลันโทสะก็พลุ่งพล่านพลักดันให้มือทั้งสองกระชากคอเสื้อผู้หมวดธนู อย่างรุนแรง กระชับมั่นเสียจนผู้หมวดเกรงกลัวว่าจะตายด้วยน้ำมือของจ่าหนุ่ม ผู้ใต้บังคับบัญชาตนเสียแล้ว
"เมื่อตะกี้ ผมพาลูกหมู่ออกไปยังชายป่าด้านนั้น แล้ววิทยุติดต่อกับหน่วยเหนือได้ ไม่เกิน ๑๐ นาทีนี้ หน่วยเหนือจะส่ง ฮ. มารับพวกเราที่ชายป่าด้านนั้น ผมเลยกลับมารับผู้หมวดไปด้วย
เร็วเข้า!! ผู้หมวด เราไม่มีเวลาแล้วครับ !!"
จ่าหนุ่ม ลากตัวผู้หมวดที่กำลังฟั่นเฟือนไปด้วยพิษสงคราม ถูลู่ถูกังออกจากที่มั่นมุ่งสู่ชายป่าที่ถูกป่าดิบทึบกางกั้นไว้ เสียงรองเท้าคอมแบทเป็นหมู่คณะไล่หลังมาอย่างเร็วรี่ กระชั้นเข้ามาทุกขณะจิต ขณะที่เจ้าแมงปอเหล็กกำลังคำรามลั่นเหนือผืนป่า สอดส่ายบินว่อนเพื่อควานหาตัวข้าศึกที่ยังคงหลงเหลือหลบซ่อนอยู่ในพงป่า การไล่ล่ากระชั้นชิดเข้ามาทุกที
ขณะที่ทั้งจ่าหนุ่มและผู้หมวดธนูยังคงพลางเดินพลางวิ่งไปยังชายป่า แสงรำไรของตะวันสาดส่องแหวกผ่านแนวป่าทึบเข้ามา แสดงให้รู้ชัดว่าบัดนี้ กำลังจะออกจากแนวป่าสู่ที่โล่งแจ้ง อันเป็นที่เฮลิคอปเตอร์จะมารับพวกเขากลับสู่มาตุภูมิและหลุดพ้นจากนรกบนดินขุมนี้เสียที
ใบพัดสีทึมทับวิ่งวนแหวกอากาศ ก่อกระแสลมห่าใหญ่กรรโชกแผ้วยอดหญ้าให้อ่อนน้อมต่อผืนดิน ทุ่งหญ้าโล่งสีเขียวขจีตัดกับแมงปอเหล็กสีทึมทึบสะดุดตาติดเครื่องกำลังรอคอยการกลับสู่มาตุภูมิของทหารกล้า
ผู้หมวดธนูผละจากจ่าหนุ่มด้วยความลิงโลด วิ่งเร่งเข้าหาเครื่องเฮลิคอปเตอร์ด้วยความยินดีปรีดาเป็นล้นพ้น จ่าหนุ่มพลางวิ่งพลางเดินด้วยความระแวดระวัง สอดส่ายสายตามองข้าศึกศัตรูที่อาจลอบซุ่มโจมตีตามพุ่มไม้ - กอหญ้า ดวงอาทิตย์ยามเย็นแผดแสงสีแสดสดใส สะท้อนแววจัดจ้าเข้าสู่สายตาจ่าหนุ่มให้พร่าพราง พลันทุกอย่างก็ดับวูบลง
"ตู้ม!!!"
ลูกระเบิดจากเครื่องยิงปืน ค. ลอยละลิ่วลงสู่เบื้องหน้าจ่าหนุ่ม เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวเสมือนปฐพีคำราม ร่างของเขาลอยลิ่วขึ้นสู่ผืนฟ้า ไม่นานนักร่างนั้นก็ร่วงผล็อยลงมากระแทกพื้นดิน ที่เว้าแหว่งเป็นแอ่งบ่อมืดสีดำทะมึนด้วยแรงระเบิด
ผู้หมวดธนูตะเกียดตะกายร่างขึ้นสู่เฮลิคอปเตอร์อย่างทุลักทุเล เสียงปืนกลดังไล่หลังตามมาไม่นานนักจากเสียงระเบิดปืน ค. ลูกนั้น เขามองเหลียวหลังกลับไป แลเห็นจ่าหนุ่มกำลังทุรนทุรายด้วยบาดแผลฉกรรจ์จากแรงระเบิดนั้น หน้าผากด้านขวาถูกสะเก็ดระเบิดฉีกยาวพาดผ่านดวงตาจนถึงแก้ม เลือดไหลอาบเส้นบาดแผลนั้นเป็นทางยาว ใบหน้าของจ่าหนุ่มเปราะไปด้วยเลือดสีแดงสดกระทบกับแสงสีแสดของดวงอาทิตย์ยามนั้น เขาโหยหวนเสียงละห้อย พลางร้องตะโกนให้ผู้หมวดธนูลงไปช่วยฉุดกระชากเขาขึ้นเฮลิคอปเตอร์
"ผู้หมวด !! ช่วยผมด้วย !! ผู้หมวด !!!"
ผู้หมวดธนูมองหน้าพลขับเฮลิคอปเตอร์ด้วยสายตาวิงวอน หากแต่เพียงเป็นการเปล่าประโยชน์ เมื่อข้าศึกรุกคืบเข้ามาใกล้เครื่องมากเกินไป หากไม่นำเครื่องขึ้นตอนนี้ ก็จะไม่มีใครได้กลับบ้านเป็นแน่แท้
เสียงใบพัดสีทึมทึบกระแทกกับอากาศดังสนั่นหวั่นไหว ยิ่งเร็วรอบเท่าไหร่เสียงนั้นก็ยิ่งกังวานทั่วท้องทุ่งแห่งนั้น มากขึ้น ๆ ลมจากใบพัดกรรโชกโบกใบหญ้าพลิ้วไสว เสมือนการบอกลาต่อจ่าหนุ่มผู้ซึ่งบัดนี้ ร่างอาบไปด้วยสีแดงสดของเลือด และไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวเองได้
แมงปอเหล็กยกตัวขึ้นสูงตะกายฟากฟ้า ลมกรรโชกนั้นก็แผ่วเบาอ่อนแรงลง
"จ่าสมหมาย !!!!"
ผู้หมวดธนูร้องตะโกนเรียกชื่อจ่าหนุ่ม แววตาของจ่าหนุ่มที่อาบไปด้วยเลือดแต่ยังส่องประกายความเศร้าศร้อยและรันทดทะลุผ่านม่านเลือดสีแดงสดได้นั้น ยังคงติดตรึงผู้กองธนูเสมือนชนักติดหลัง เฮลิคอปเตอร์ลอยลิ่วขึ้นเหนือท้องทุ่งโล่งนั้นไม่นานนัก ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นจ่าหนุ่มผู้ช่วยชีวิตเขาจากแนวรบ กลับมาฉายซ้ำเสมอเมื่อยามที่เขาหลับฝันร้าย
ทหารเขมรแดงทั้งกองพัน ตีวงเข้ามาล้อมกรอบจ่าหนุ่มไว้ คนที่อยู่ใกล้ตัวจ่าหนุ่มที่สุด
"ปัง!!"
ชายวัยไกลกลางคนพอสมควร กระแทกกำปั้นลงกับโต๊ะ พลางร้องเรียกบริกรผู้ที่อยู่ใกล้ที่สุดให้มาบริการเขาโดยเร็ว เขาขมวดคิ้วพลางสบถด่า ๒ ๓ คำเมื่อบริกรผู้นั้นมาถึงช้ากว่าที่ใจคิด
"ไวน์หมดแล้ว !! เอ็งไปเอาขวดใหม่มา เอาขวดที่แพงที่สุด เพราะ นายข้าท่านกำลังได้ที่ ให้ไวนะเว้ย แล้วอย่าลืมเอาบรั่นดีสก๊อตซ์มาซักขวด ข้าจะเอาไว้ล้างคอ"
บริกรมองเมินชายวัยไกลกลางคนไป พลางสายตาสะดุดที่ชายวัยใกล้เกษียณผู้หนึ่ง อายุราว เฉียด ๆ ๖๐ ปี ท่าทางภูมิฐาน หากดูเผิน ๆ อาจจะคิดไปได้ว่าเป็น ผู้บริหารบริษัทใหญ่โต แต่พินิจดูดีแล้ว ๆ ผมที่ตัดสั้นทะมัดทะแมง หลังที่ตรงแน่วเหมือนไม้บรรทัด พร้อมร่างกายกำยำแต่เริ่มจะลงพุงไปบ้างแล้วตามกาลเวลา เสียงของเขาขณะที่พูดกับบริกรนั้น กังวาน นุ่มทุ้ม แต่เด็ดขาด เสมือนผู้ที่ได้ผ่านการพูดออกคำสั่งให้แก่คนหมู่มากมานักต่อนักแล้ว .. เหมือนนายทหารในภาพยนตร์....
"ไอ้น้อง,ไวน์ไม่ต้องแพงมากนะ แค่ไม่ฝืดคอก็พอแล้วส่วนบรั่นดีก็ตามที่เขาสั่งนั่นแหล่ะ"
สิ้นเสียงนั้น บริกรโค้งคำนับด้วยความสุภาพ แล้วเดินจากไปยังบาร์เหล้าทางมุมร้าน
"ผู้พัน ! ตอนนี้ผู้ชิงชัยในตำแหน่ง รอง ผบ.ทบ ก็มีเหลือแค่ผู้พัน กับ ผู้พันอดุลย์เท่านั้น ผมได้ติดสินบนให้กับพวกคณะกรรมได้เกินครึ่งแล้ว ยังเหลืออีกไม่กี่คนที่มันยังไม่ยอมรับสินน้ำใจเรา ท่าทางไอ้พวกนี้มันจะไม่เล่นด้วยนะครับผู้พัน เอาอย่างไรกันดีครับ"
"หึ ! จะเอายังไงได้ ก็ปล่อยมันไปสิ , ถ้าพวกที่เรามีอยู่เกินครึ่งแล้ว เราต้องกำให้ได้อยู่หมัด อย่าให้หลุดไปทางไอ้ดุลย์ได้ เอ็งก็ต้องคอยสอดส่ายสายตาดูเอาไว้ ทางไอ้ดุลย์น่ะก็แสบใช่ย่อย ได้ข่าวว่ามันมีทั้งทหารผู้ใหญ่วิ่งเต้นช่วย ถ้าทางศึกหนนี้ต้องฟาดฟันกันหนักหนาเป็นแน่"
"แล้ว ถ้าเกิดไอ้พวกนั้นมันหักหลังเราล่ะครับ เกิดมันไปแอบบอกตุลาการศาลทหาร ว่าเราติดสินบน จะไม่ชิบหายกันหมดเลยเหรอครับ"
"ไอ้ห่า ! ตุลาการศาล กูก็ติดสินบนได้ อย่าว่าแต่ใครหน้าไหนเลย เอ็งจะกลัวอะไรมัน"
"ครับ ผู้พัน ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะครับ ที่เหลือผมจะจัดการให้เรียบร้อย"
บริกรเดินมายังที่โต๊ะ พร้อมกับไวน์ฝรั่งเศส ๑ ขวด , บรั่นดีสก๊อตช์ ๑ ขวด และ กระดาษโน๊ต ๑ แผ่นที่มีข้อความเขียนไว้
"ท่านครับ มีโทรศัพท์มาถึงท่าน นี่เป็นรายละเอียดครับ"
บริกร วางกระดาษโน๊ตแผ่นนั้นลงตรงหน้าผู้พัน เขาหยิบมันมาอ่านอย่างละเลียดทุกตัวอักษร ข้อความในนั้นบอกว่า อีก ๕ นาทีจะโทรมา เรื่องสำคัญเกี่ยวกับ "ตำแหน่ง" ในอนาคตของเขาเอง ข้อความสิ้นสุดแค่นั้น แต่สายตาของผู้พันกลับกวาดมองทั่วทั้งร้านอย่างระแวดระวัง เมื่อบริกรจากไปแล้ว เขาเรียกให้ชายวัยไกลกลางคนขยับเข้ามาใกล้พอกระซิบกระซาบความกันได้
"มีใครรู้เรื่องนี้บ้างวะ เอ็งบอกกับใครอีก !!"
ผู้พันยื่นกระดาษให้กับชายวัยไกลกลางคน เขามองอย่างพินิจพิเคราะห์และให้ฉงนถึงความในกระดาษแผ่นนั้น ผู้ใดกันที่ล่วงรู้ถึงสิ่งนี้ได้นอกจากตัวเขาและผู้พันเอง
"ไม่ทราบครับท่าน ผมปิดเรื่องนี้สนิท มีแต่ผมกับผู้พันเท่านั้นที่รู้ ขนาดไอ้สันต์ ทนายส่วนตัวของผู้พัน ผมก็ไม่ได้บอกเลยครับ"
"เออ ดี ไม่ต้องบอกมัน กูเกลียดทนายจะตายห่า! แม่ง !! รู้ดีทุกเรื่อง"
"ถ้าแบบนี้ จะเอาอย่างไรดีครับผู้พัน อีก.. ๓ นาทีมันก็จะโทรมาแล้ว"
"กูก็ไปรับสิ จะมีอะไรกันวะ มันอาจเป็นพวกคณะกรรมการมาขูดเอาเงินกูไปอีกก็ได้ พวกนี้มันไม่เคยรู้จักพอ เงินฟรี กินได้มันก็กินไม่เคยยั้ง สักวันถ้าหมดประโยชน์ กูจะยิงแม่งทิ้งรายตัว"
ชายวัยไกลกลางคนไม่ตอบ มันกำลังโยนสติและความรับรู้เข้าไปขลุกกับน้ำสีอำพันในแก้วใสขุ่นใบนั้น
ผู้พันมองหน้ามันอย่างจับจ้องแต่แล้วก็เบือนหนีไป หันไปดื่มด่ำกับรสนิ่ม ๆ ของไวน์ฝรั่งเศสสีแดงสด รอคอยโทรศัพท์สายสำคัญนั้นจะมาถึง
เสียงโทรศัพท์ดังกังวานขึ้น บริกรชี้บอกว่า ตัวโทรศัพท์ตั้งอยู่ทางด้านใน ติดกับห้องน้ำชาย ซึ่งเป็นมุมอับของร้าน แสงไฟสลัวของโคมสีแสดอ่อนกลางร้านสาดไปไม่ถึงที่แห่งนั้น ผู้พันก้าวเดินชนิดต้องนับทุกก้าว ด้วยฤทธิ์ของไวน์สีแดงกับเหล้ารัมที่กรอกผ่านลำคอก่อนหน้านั้น ทำให้การทรงตัวของผู้พันลดถอยลง ไม่ต่างจากสติที่พร่าเลือนและชามึน เขาก้าวย่างไปจนกระทั่งถึงโทรศัพท์แล้วรับมันขึ้นมา
"กริ๊ก !"
เสียงหนึ่งที่เคยคุ้นดังขึ้นทางด้านหลัง ผู้พันเหลียวกลับไปมองแต่ไม่ทันจะส่งเสียงใด ๆ ได้อีก มีลมสายเล็ก ๆ พัดวูบผ่านศีรษะเขาไป เขารู้สึกเย็นวูบเสียวซ่านไปถึงสันหลัง ไม่นานความเย็นนั้นก็กลับกลายเป็นความชาด้านจนกระทั่ง ของเหลวสีแดงสดทะลักจากศีรษะเขาลงมาอาบตาที่พร่าเลือน และไหลลงเปราะมือทั้งสองข้างของเขา
ชายหนุ่มลดปืนในมือลง เขามองดูผู้พันลงไปนอนจมกองเลือด ขาของผู้พันกระตุกทั้งสองข้าง มือก็เช่นกัน ชายหนุ่มไม่ลังเลที่จะกระหน่ำกระสุนนั้นซ้ำเข้าไปที่กลางหลังอีก ๒ นัด ที่หัวอีกหนึ่งนัด ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูจากกระเป๋าเสื้อมาเช็ดด้ามและไกปืนรวมทั้งลำกล้องเก็บเสียง แล้วโยนมันทิ้งลงที่ถังขยะด้านหน้าห้องน้ำ เขาเดินออกจากมุมนั้นอย่างสุขุม มุ่งไปยังประตูทางออกด้านหลังร้านที่ติดกับห้องน้ำ อย่างเงียบเชียบ ไร้ร่องรอยใด ๆ ให้ติดตาม
ชายวัยไกลกลางคนโงหัวขึ้นเหนือแก้วเหล้า เขามองไปยังที่ที่ผู้พันจากไปรับโทรศัพท์ เงาร่างหนึ่ง เดินออกมาจากที่นั่นลับหายไปในความมืดมิดหลังร้าน แต่ชั่วแวบที่เขาเห็นใบหน้าของมัน เมื่อแสงจันทร์จากประตูทางออกติดกับห้องน้ำสาดเข้ามาพอเลือนลาง เขาแลเห็น ..
ดวงตาข้างหนึ่ง มีแผลเป็นบาดลึกพาดยาวจากหน้าผากจรดแก้ม ลึกลงไปในดวงตาข้างนั้น ... ชั่ววาบเดียวที่เขามองเห็นมันเต็ม ๆ สองตา เขาคิดว่า...
----------------------------
"นรก!! บ้านเมืองมันไม่มีขื่อมีแปรึไง คนถึงได้ฆ่ากันตายยังกับผักปลา"
เสียงสบถร่วงกราวออกจากปากชายแก่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันกับชายหนุ่มร่างใหญ่ ท่าทางซอมซ่อ เขานั่งหลับตานิ่งคล้ายกับถูกตรึงอยู่ในห้วงความฝันยามกลางวันแสด ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตามองโลกหลังจากหลับไหลมายาวนาน พลันสายตาของเขาก็สะดุดกึกที่ข่าวพาดหัวบนหน้าหนังสือพิมพ์ที่ชายแก่กำลังคลี่หน้าอ่านอย่างไม่สบอารมณ์กับความร้อนของวันนี้
"ลุง , พันเอกอดุลย์ ? ตายแล้วหรือครับ ตายยังไง ?"
"หา ? อะไรนะ ? อ้อ ผู้พันอดุลย์ ที่พาดหัวข่าวหน้าหนึ่งน่ะเหรอ ตายเมื่อคืนวานน่ะสิ รถแหกโค้งข้างทาง ตกภูเขาตาย เห็นว่ากำลังจะขับกลับจากไปตรวจค่ายทหารบนเขา ที่เชียงราย ทำไม ไม่ตามข่าวรึไง ข่าวออกจะดัง ออกทีวีทุกช่องเลยนะ พ่อหนุ่ม"
ชายหนุ่มนั่งเหม่อทอดสายตาออกไปทางหน้าต่างรถ ขณะนี้รถโดยสารประจำทางไปสู่
อ.เบตง จ. ยะลา กำลังเคลื่อนไปสู่ที่หมายอย่างอ้อยอิ่ง เนื่องจากผู้โดยสารบนรถขณะนี้บางตาเหลือเกิน คนขับจึงต้องแวะจอดแทบทุกหมู่บ้านรายทาง ที่มีคนมายืนอยู่ใต้หลังคาศาลาริมทาง ความคิดของเขากำลังเหม่อลอยออกไปไกลกว่ารถคันนี้จะวิ่งไปถึง แต่ไม่นานนักเขาก็ถูกดึงกลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง
"ว่าแต่พ่อหนุ่ม เอ็งจะไปไหน มาเลย์ ? แล้วเอ็งคิดเหรอว่าจะหนีเขาพ้น?"
"อะไรนะลุง ? ผมหนีอะไร?"
"หึ ! ลุงก็ไม่รู้หรอกนะว่า เอ็งน่ะ หนีอะไรอยู่ แต่ลุงเคยเป็นแบบเอ็งมาก่อน เดินทางรอนแรมไปทั่ว บางทีก็ไม่คิดจะกลับบ้านกลับช่อง อยากจะอยู่ที่นั่นไปตลอด แต่ความเป็นจริง มันทำไม่ได้หรอก การที่คนเราจะหนีจากตัวเองไปได้ตลอด โดยเฉพาะสิ่งที่เราเกิดมาเพื่อเป็นมัน"
ชายแก่มองนิ่งเข้าไปในดวงตาทั้งสองของชายหนุ่ม เป็นดวงตาที่แฝงความโศกเศร้าไว้ในส่วนลึกที่ยากจะหยั่งถึงได้สำหรับคนอื่น ๆ แต่สำหรับชายแก่ที่ผ่านประสบการณ์อย่างโชกโชนเช่นเขาแล้ว เขาเข้าใจชายหนุ่มเป็นอย่างดี ชายแก่ยิ้มอย่างอบอุ่นก่อนจะตบบ่าชายหนุ่มอย่างเอ็นดู
" ลุงเคยเป็นทหารมาก่อน ที่ใต้นี่แหล่ะ สมัยรบกับพวกคอมมิวนิสต์ หนักเอาการ ดูจากหนั่นไหล่เอ็งแล้วลุงว่าเอ็งก็คงเคยเป็นทหารเหมือนกัน หรือ เอ็งยังเป็นอยู่ ? แต่ไม่ว่าตอนนี้เอ็งจะเป็นอะไร หรือเอ็งจะเคยผ่านอะไรมา ปัจจุบันนี้ ตอนนี้เอ็งผ่านมันมาแล้วไม่ใช่หรือ ? สิ่งที่กำลังตามหลอกหลอนเอ็งอยู่มันก็แค่จินตนาการจากอดีตเท่านั้น ?"
"ลุงว่าลุงเคยเป็นทหาร , แล้วลุงเคยเห็น "นรก" อย่างที่ฉันเคยเห็นไหม"
ชายหนุ่ม ถมึงจ้องเข้าไปในดวงตาของชายแก่ เพื่อค้นหา "นรก" ในดวงตาของเขา ไม่เจอหากพบแต่ความอบอุ่นและความเมตตาอ่อนโยนอยู่ภายใน เป็นดวงตาที่เมตตามนุษย์อย่างแท้จริง
"นรกน่ะเหรอ ? ถ้าเอ็งหมายถึงค่ายกักกันเชลยศึก, การทรมานรีดเอาข้อมูล ฯลฯ นั่นยังไม่อาจเทียบเท่ากับสิ่งที่เป็นจริง ณ ตอนนี้ได้หรอก, ไอ้หลานชาย"
"ลุงกำลังหมายถึงอะไร ? ผมไม่เข้าใจ?"
"ก็สังคมตอนนี้ไง แก่งแย่งชิงดีกันทั้งเอาถึงตาย และ ตายทั้งเป็น คนไม่มีอำนาจก็อยากจะได้มัน พอไม่มีมันก็ต้องไปแย่งคนอื่นเขามา ถ้าเค้าไม่ให้ก็ต้องฆ่า ส่วนไอ้คนที่มีอยู่ก็ไม่รู้จักพอต้องหาเพิ่ม แล้วจุดสิ้นสุด มันจะไปอยู่ตรงไหน ?"
"ลุงก็รู้ ผมก็รู้ ไอ้เรื่องบัดซบทั้งหลายแหล่พวกนั้น แล้วเราทำอะไรได้, ลุงบอกผมทีสิ"
"ไม่มี , สังคมมันเกินเยียวยา สิ่งที่ทำได้ก็เท่าที่ทำเพื่อตัวเอง ปัจจุบัน มันจึงไม่มีคนดี มีแต่คนชั่วน้อย กับ ชั่วมาก เอ็งก็เลือกเอา จะชั่วแบบไหน? หรือทำแบบข้า คือ ไม่เลือก ยอมหายไปจากสังคม เป็นทีเอ็งแล้ว ว่าจะเลือกทางไหน ?"
"ฉันใช้หนี้เขาหมดแล้วลุง จากนี้ฉันจะเป็นอิสระแล้ว ไม่ดีไม่ชั่ว เป็นตัวฉันแท้ ๆ แล้ว"
"เหรอ , เอ็งคิดว่าสิ่งที่ทำไป ก็เพื่อไถ่ถอนตัวเองจากพันธนาการที่คนอื่นล่ามเอ็งไว้งั้นสิ"
ชายหนุ่มนั่งนิ่งเงียบ, เขาหวนย้อนนึกไปถึงตอนที่ "ผู้พัน" มาช่วยเขาออกจากนรก, จากค่ายกักกันเชลยของพวกเขมรแดงนั่นไว้ แม้เขาแทบจะเสียสติ แต่เขาก็ไม่ลืมบุญคุณของ "ผู้พัน"ที่มีต่อเขา นั่นเป็นความเป็นมนุษย์เพียงสิ่งเดียวของเขาที่ยังคงเหลืออยู่จากนรกนั่น
เสียงรถประจำทางบีบแตรบอกเป็นสัญญาณว่า จะแวะจอดเพื่อรับ ส่งผู้โดยสารที่หมู่บ้านข้างหน้า ในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้
"เอาล่ะ , ไอ้หลานชาย ลุงต้องลงที่ป้ายหน้าแล้วล่ะ ถ้ามีโอกาส หวังว่าคงได้พบกันอีก"
ชายแก่ลุกออกจากที่นั่ง เขาพับหนังสือพิมพ์เข้าสอดไว้ใต้ซอกรักแร้ หยิบเอาร่มสีดำติดมือขวามา แล้วจึงเดินกะโผลกกะเผลกมาทางด้านหน้ารถ
"ลุง, เดี๋ยวก่อนครับ!"
ชายแก่หันมาหน้าซีดเซียว เขาเพ่งมองชายหนุ่มอย่างเก็บอาการ แดดที่ร้อนนรกแบบนี้ทำให้เขาอ่อนเปลี้ยแรงลงไปมาก เขาไม่อยากให้ชายหนุ่มต้องกังวลว่า เขาจะเดินทางโดยลำพังไม่ไหว
"ผมฝากซองสีน้ำตาลนี้ รบกวนลุงเอาไปส่งให้กับผบ. กองพลทหารบกประจำจังหวัดยะลา จะได้รึเปล่าครับ ? สำคัญมากนะครับ ขอให้ถึงมือเลย ลุงเป็นทหารเก่า น่าจะขอพบท่านได้ไม่ยาก"
"อ่อ ได้ ถ้าสำคัญขนาดนั้น ลุงจะจัดการให้ เอ็งไม่ต้องห่วงนะ ไอ้หลานชาย"
"ครับ , ถ้ามีโอกาส เราคงได้พบกันอีก โชคดีครับลุง"
เขาจับมือชายแก่เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ชายแก่จะเดินกระโผลกกระแผลกโดยมีร่มสีดำคันนั้นเป็นเช่นไม้ผยุงตัวลงมาจากรถ จนกระทั่งเท้าเหยียบย่างยังเงาร่มใต้ศาลา ชายแก่ยืนมองดูชายหนุ่มผ่านกระจกหน้าต่างรถโดยสาร จนกระทั่งรถคันนั้นเคลื่อนที่ออกจากศาลาหน้าหมู่บ้านไป
รถคันนั้นแล่นออกไปอย่างช้า ๆ เหมือนจะยังอาลัยกับการอำลาจากสถานที่นี้
เมื่อแล่นไปได้ราว ๕๐๐ เมตร กำลังจะลับหายจากสายตาของชายแก่ รถคันนั้นกลับระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ !!
--------------------------
เสียงประกายเพลิงแตกเปรี๊ยะ ๆ จากซากรถที่ไฟกำลังลุกท่วม ยังคงดังให้ได้ยิน แม้จะยืนที่ศาลาหน้าหมู่บ้านนี้ก็ตาม ชาวบ้านแห่กันวิ่งออกมามุงดูประกายเพลิงเริงระบำ ในใจสลดหดหู่ด้วยเชื่อว่าคงไม่มีผู้ใดรอดจากแรงระเบิดนี้ได้ แม้จะรอดจากระเบิดก็ยังคงถูกไฟนั้นคลอกร่างจนตายไปก่อนที่พวกชาวบ้านจะมาถึงที่นี่ ซากศพเกลื่อนกลาดกระจัดกระจายอยู่ตามท้องถนนนั้น
ที่ศาลาดูเหมือนจะว่างโล่ง กลับมีชายแก่คนหนึ่งนั่งอยู่ในนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เขาหยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วกดรับ กรอกคำพูดผ่านเครื่องไปยังปลายสาย
" เป้าหมายถูกกำจัดเรียบร้อยแล้วครับผู้พัน"
"แล้วเอกสารล่ะ? ได้มารึเปล่า?"
"ได้ครับ อยู่กับผมทั้งหมด"
"กำจัดทิ้งซะ อย่าให้เหลือร่องรอย"
"รับทราบครับ"
ชายแก่ลุกขึ้น เขาจุดไฟแช็กเผาซองเอกสารสีน้ำตาล เปลวเพลิงค่อย ๆ ลามเลียซองสีน้ำตาลนั้นจนเหม็นไหม้ เผยให้เห็นกระดาษสีขาวราว ๆ ๔-๕ แผ่น และ รูปถ่าย ๓ ๔ ใบ เป็นรูปบุคคลเดียวกันทั้งหมด ถ่ายหน้าชัดเจน ชายแก่จำได้ว่า เป็นใบหน้าของผู้พันที่เพิ่งถูกมือปืนยิงตายในร้านเหล้า พระเพลิงยังคงกัดกินกระดาษนั้นเป็นสีแดงเรื่อ ๆ ก่อนจะค่อย ๆเปลี่ยนเป็นสีดำ ไม่นานมันก็กลายเป็นเศษพงธุลีสีดำสนิท ลอยละล่องไปกับลมที่พัดพาผิวดินสีฝุ่นมาจากท้องทุ่งที่แห้งกรัง
เขาใช้มือรวบเอาเศษผงสีดำนั้น โปรยลงยังคลองเล็ก ๆ ใต้ศาลา คลองนั้นเป็นคลองระบายน้ำเสียสีขุ่นขลั่ก เต็มไปโคลนเลน และ เศษซากไม้ที่เน่าเปื่อยแล้ว ไม่นานผงนั้นก็กลืนไปกับกระแสน้ำสีดำ
เขาละสายตาจากมา แล้วเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ที่กำลังกร่างอยู่บนท้องฟ้า มันแผดแสงสีแสดสด สะท้อนดวงตาให้พร่าพราง รอยยิ้มน้อย ๆ ฉาบอยู่บนมุมปากเขา พลางกางร่มสีดำทึบประจำกาย ก่อนจะย่างก้าวเดินออกจากศาลาแห่งนั้นไป...
เสียงผู้ประกาศข่าวทางโทรทัศน์รายงานข่าวเหตุการณ์รถโดยสารประจำทางไปยัง อ.เบตง จ.ยะลา เกิดระเบิดระหว่างทาง ไม่ปรากฏผู้รอดชีวิต และคาดว่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มโจรแบ่งแยกดินแดง ที่ต้องการแสดงให้รัฐบาลและทหารเห็นศักยภาพของพวกเขา
"โฆษกประจำรัฐบาลทำการแต่งตั้ง พันเอกพิเศษ ธนู อาจหาญ ให้ดำรงตำแหน่งรักษาการ รอง ผบ.ทบ และ รับภารกิจในการตามล่ามือระเบิดรถโดยสารประจำทาง ที่ อ.เบตง จ.ยะลา
ตำรวจออกแถลงข่าวความคืบหน้ากรณี มือปืนสังหารพันเอก อมร อัครวาณิชย์ ที่ถูกยิงตาย ณ บาร์เหล้าชื่อดังแถบสีลม โดยระบุว่าเป็นฝีมือของอดีตจ่าสิบเอก สมหมาย ม่วงทรัพย์ มือปืนรับจ้างใต้ดินที่ตำรวจล่าตัวมานาน โดยเชื่อว่าเป็นการแก้แค้นในกรณีที่พันเอก อมร เป็นผู้สั่งปลด-ประจำการเขาจากราชการ ด้วยเหตุว่า สติฟั่นเฟือน และไม่สามารถที่จะปฏิบัติงานใดๆได้ ทั้งนี้ทางตำรวจยังเชื่อว่า อาจมีมูลเหตุอื่นที่เกี่ยวข้องกันซึ่งจะทำการสืบสวนต่อไป
อนึ่ง พันเอก อมร อัครวาณิชย์ เป็นหนึ่งในตัวเก็งที่จะรับตำแหน่ง รอง ผบ.ทบ. เช่นเดียวกับ พันเอก อดุลย์ ดุลยพินิจ ที่เพิ่งจะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต เมื่อไม่นานมานี้"
เสียงรายงานข่าวจบลงไป เมื่อรายการตัดเข้าสู่ช่วงโฆษณา
พลันเสียงหัวเราะหนึ่งดังก้องกังวาน กลบเสียงจากโทรทัศน์นั้นสนิท เสียงนั้นเต็มไปด้วยความพึงพอใจและสะใจ สมอารมณ์ยิ่งนัก ...
รอยยิ้มหนึ่ง ฉายอาบมุมปากนั้น เจ้าของรอยยิ้มเหม่อมองดูรูปถ่ายที่ติดอยู่ข้างฝาห้อง แสงแดดลอดผ้าม่านผ่านเข้ามาจากหน้าต่างพอให้เห็นรำไร
เป็นรูปของเขา สมัยเมื่อยังเป็นเพียงผู้หมวดคุมกองร้อย รบตามตะเข็บชายแดนไทย เขมร
ที่ยืนข้าง ๆเขา เป็นจ่าหนุ่มคนนึง ผู้เคยช่วยชีวิตเขาไว้จากการประทะครั้งสำคัญ เขาเองก็เคยช่วยชีวิตจ่าหนุ่มนั้นไว้เหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อคราวที่เขาทลายค่ายกักกันเพื่อไปรับตัวจ่าหนุ่มกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอน หลังจากที่ต้องอยู่ที่นั่นกว่า ๒ ปี
เขาละสายตาจากรูปนั้น พลางหยิบเหรียญกล้าหาญที่วางใกล้ ๆ ตัวขึ้นมา มันสลักชื่อเขาไว้หราเด่นจากหน้าเหรียญสีทองวาว
"เครื่องหมายแห่งทหารกล้า ร้อยตรี ธนู อาจหาญ"
ผลงานอื่นๆ ของ พฤษก พกาสร ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ พฤษก พกาสร
ความคิดเห็น