ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Guardian Angels : New Era

    ลำดับตอนที่ #1 : ลูอิส

    • อัปเดตล่าสุด 25 ต.ค. 57


                 ณ หมู่บ้านเล็กๆ ห่างไกลจากสงคราม ซึ่งอยู่ติดกับชายฝั่งทะเลทางด้านตะวันออกของไพร์ทแลนด์ เป็นหมู่บ้านที่ล้อมรอบด้วยเนินเขาหลายลูกด้วยกัน ด้วยลักษณะภูมิประเทศเช่นนี้เองทำให้กองทัพของแฟลกไลน์ยากที่จะบุกเข้ามาได้ในช่วงสงครามครั้งนั้น ที่นี่จึงเป็นสถานที่ที่ไม่ได้รับผลกระทบความเสียหายจากสงครามแต่อย่างใด แต่ช่วงใกล้สิ้นสุดสงคราม มีผู้อพยพย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ส่วนหนึ่ง พวกเขาเสนอการทำสวนเพาะพันธุ์ดอกไม้ เพราะที่นี่มีพื้นที่บนเนินเยอะมาก จากเดิมผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ก่อนแล้วทำเพียงแค่การประมงและเก็บผักประทั่งชีวิตไปวันๆเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มเพาะปลูกดอกไม้หลากหลายพันธุ์ โดยอาศัยพื้นที่บนเนินนั้นเอง เพราะลักษณะการเพาะปลูกบนเนิน พวกเขาสามารถปลูกลักษณะขั้นบันไดได้มากกว่าพื้นที่ราบด้วยซ้ำ ในช่วงเริ่มการฟื้นฟูอาราจักรได้มีคำสั่งจากพระราชาเดลลอนให้หมู่บ้านที่มีเสบียงอาหารเหลือเยอะแจกจ่าให้กับหมู่บ้านอื่นที่กำลังขาดแคลน หมู่บ้านแห่งนี้เอง แม้จะไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามโดยตรงแต่ก็ยังคงได้รับสิทธินั้น ทำให้ชาวบ้านไม่ขาดแคลนอาหารอีกต่อไป จนกระทั่งเวลาผ่านไป จากเนินที่มีแต่หญ้ากับก้อนหินแสนจะว่างเปล่า ปัจจุบันเต็มไปด้วยดอกไม้หลากหลายสีสัน หลากหลายสายพันธุ์เต็มทั่วเนินเขาที่ล้อมรอบหมู่บ้าน  ชาวบ้านจึงตั้งชื่อหมู่บ้านแห่งนี้ว่า "โฟล์ราวิล " ( Floraville ) ต่อมาที่นี่เป็นที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งในเรื่องของดอกไม้และความสวยงามของทิวทัศน์ มักจะมีการสั่งดอกไม้ไปใช้ประดับจัดสรรในงานปาร์ตีต่างๆ ทำให้ชาวบ้านมีรายได้และมีงานทำกันทุกคน ด้วยเหตุนี้เองผู้คนที่อาศัยอยู่ในโฟล์ราวิล แห่งนี้จึงมีความสุขกับการใช้ชีวิตที่นี่มาก

                          "ลูอิส... ลูอิส... "

                          "ลูอิส! "  เสียงเรียกของหญิงวัยกลางคนเข้ามาในหูของผม แต่เพราะเธอตะโกนครั้งสุดท้ายผมถึงรีบลุกขึ้นจากพื้นหญ้าทันที

                          "ฮะ! " หญิงคนนั้นที่เรียกผมเธอก็คือคุณป้าเฮอร์ริงนั่นเอง

                          "รีบยกตะกร้าไปกันเร็วฝนกำลังจะมาแล้วนะลูอิส "   ป้าเฮอร์ริงรีบยกตะกร้าทั้งสองมือขึ้น แต่ท้องฟ้าที่อยู่เหนือหัวของผมมันยังมีเมฆลอยเป็นหย่อมๆ อยู่เลยนี่นา ทำไมป้าเฮอร์ริงถึงคิดว่าฝนจะตก แต่ผมเปลี่ยนความคิดทันทีเมื่อหันไปเห็นกลุ่มเมฆสีเทาขนาดใหญ่ที่ล่องลอยมาจากกลางทะเลและกำลังตรงมาที่นี่ ที่โฟล์ราวิลของพวกเรา

                          "หว่า.. จะไปเดียวนะละฮะ! "       ผมรีบยกตะกร้าใหญ่ๆทั้งสองลูกที่ ใส่ดอกไม้ที่เป็นผลผลิตที่ได้ของวันนี้ไว้เต็มตะกร้าอย่างละมือแล้วรีบวิ่งผ่านแปลงดอกไม้ตามคุณป้าไปอย่างรวดเร็ว

                          "ขอทางหน่อยฮะ ขอทางหน่อยฮะ "         ชาวบ้านคนอื่นๆเองก็รีบเก็บผลผลิตของตัวเองใส่ตะกร้าเช่นเดียวกัน

                 ลูอิสวิ่งลงจากเนินเขามาด้านล่างแล้วเขายังต้องวิ่งไปทางถนนอีก        ช่วยไม่ได้นะ เป็นถนนก็มีคนเดินผ่านไปมาตลอดเวลา กลุ่มเมฆสีเทาลอยมาอยู่เหนือหมู่บ้านโฟล์ราวิลแล้วฝนก็ตกลงมาปรอยๆ ลมพัดเข้ามาจากชายฝั่งแรงขึ้น เสียงคลื่นพัดเข้าชายฝั่งดังมาถึงนี่เลย ชาวบ้านก็แยกย้ายนกลับเข้าไปในบ้าน

                          "ยะ แย่แล้ว ฝนตกลงมาแล้วโชคดีที่ฝนตกลงมาตอนที่ผมใกล้จะถึงบ้านพอดี ดอกไม้ในตะกร้าพวกนี้จึงเปียกนิดเดียว

                          “ผมเธอเปียกนะลูอิส เอานี่ไป เอ้า! “ คุณปู่ต้อนรับโดยโยนผ้ามาไว้บนหัวของผม

                          “เดี่ยวก็เป็นหวัดหรอกนะ ฮะๆ คุณปู่หัวเราะ ผมต้องวางตะกร้าทั้งสองลูกไว้ในบ้าน แล้วหยิบผ้านี้เช็ดหัวของตัวเองเบาๆ

                 บ้านหลังนี้ผมใช้ชีวิตอยู่มาได้หลายปีได้แล้ว เป็นบ้านไม้สองชั้นที่ไม่ใหญ่โตแต่ก็เพียงพอสำหรับครอบครัวใหญ่เลยละ มันดูค่อนข้างจะเก่ามากแล้วแต่เพราะคนในหมู่บ้านช่วยมาซ่อมแซมให้บ่อยครั้ง มันเลยดูแข็งแรงมั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้ได้

                          “ฝนตกลงมาจนได้นะฮะ ผมมองออกไปข้างนอกหน้าต่างไม้ สายฝนตกลงมาเรื่อยๆ ลมจากชายฝั่งก็พัดเข้ามาในบ้านทำให้รู้สึกเย็นขึ้นมาทันที

                          “อืม ลมเย็นใช้ได้เลย ข้างนอกนั่นฝนตกลงมามากกว่าเดิมซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับปลายฤดูฝนนี้ สายฝนพวกนี้ช่วยให้พวกเราไม่ต้องออกไปรดน้ำดอกไม้ทุกต้น

                          “ข้าวเย็นได้แล้วนะ ลูอิส คุณเคล ป้าเฮอร์ริงเรียกผมและคุณปู่ให้ไปที่ห้องทานอาหาร

                          “ไปเดี่ยวนี้ละฮะ! “ ผมรีบวิ่งเข้าไปห้องทานอาหารทันทีเพราะวันนี้ตอนกลางวันยังไม่ได้ทานอะไรเลย ต้องช่วยคุณป้าทำงาน เพราะงั้นผมจึงเหนื่อยแล้วก็หลับไประหว่างงานยังไงละฮะ

    ----

     

                 หลังจากที่ทานอาหารเสร็จกันหมดแล้ว ผมจะเป็นคนแรกที่ได้เข้าห้องน้ำ ชำระร่างกายให้สะอาดก่อนเสมอๆ ผมชอบช่วงเวลานี้มากๆ ได้กระโดดลงในอ่างไม่ก็ไถลไปกับพื้นที่ลื่นๆนี้ มันเปรียบเสมือนสนามเด็กเล่นจริงๆ ในวันนี้มีฝนตก ในอ่างเก็บน้ำคงมีน้ำให้ใช้เต็มอ่างแน่นอน ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะเปลืองน้ำอีก                หลังจากที่หมดเวลาสนุกกับการอาบน้ำแล้ว วันนี้ก็ไม่มีอะไรให้ทำอีกแล้ว ข้างนอกดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว พวกเราอาศัยแสงจากตะเกียงที่ห้อยอยู่บนเพดานในเวลากลางคืน

                          “ผมขึ้นไปนอนแล้วนะฮะ ลาตรีสวัสดิ คุณเฮอร์ริง คุณปู่

                          “จ้า ลาตรีสวัสดิ์

                 ผมขึ้นบันไดไปที่ห้องของผมเอง ไม่ใช่ห้องที่ใหญ่นักเป็นห้องเล็กๆมีเตียงเดี่ยวกับตู้เสื้อผ้าเท่านั้น ห้องของผมมีระเบียงอีกด้วยนะ ผมชอบออกไปดูดาวช่วงเวลานี้มากเลย แต่ฝนกำลังตกอยู่นี่นา

                          “ช่วยไม่ได้ วันนี้ไม่ดูก็ได้ ค่ำคืนนี้ไม่เงียบเหมือนคืนก่อนๆ จากที่เมื่อก่อนที่ผมมักจะนอนฟังเสียงของกบและแมลงข้างนอกนั่นร้องออกมาประจำแต่วันนี้มีแต่เสียง ซ่า ซ่า ของฝนอย่างเดียว สุดท้ายผมก็ต้องลงนอนบนเตียงจนได้ ในวันนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองกลับไม่ง่วงเลย.....

    ----

     

                          จิ๊บ จิ๊บ

                          “.......เอ๋? “ ผมได้ยินเสียงของนกใกล้ๆนี่เอง

                          “อรุณสวัสดิ์นะฮะ เจ้านกน้อย นกน้อยตัวหนึ่งเกาะอยู่ที่หัวเตียงของผมเลยเหมือนกับว่าเขามาเพื่อปลุกผมโดยเฉพาะ

                          “เฮ้ ผมเอื้อมมือของตัวเองเข้าใกล้ อยากเล่นด้วยกันหรอนกน้อยหันหน้ามาทางผมแล้วมันบินออกไปทางหน้าต่างทันที

                          “อ่าว... ไปซะแล้ว ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนเปิดหน้าต่างทิ้งเอาไว้ มิน่าละเจ้านกน้อยตัวนั้น ถึงเข้ามาข้างในห้องผมได้

                          “ไหนดูซิ วันนี้ข้างนอกเป็นยังไงบ้างนะ ผมลุกขึ้นจากเตียง เดินไปข้างนอกระเบียงเพื่อสูดอากาศยามเช้าอันแสนบริสุทธ์                      ทันทีที่ผมออกมาข้างนอกแสงอาทิตย์ก็สะท้อนระยิบระยับจากน้ำทะเลชายฝั่งตรงโน้น นกตัวนั้นก็กำลังบินไปที่ไหนซักแห่งที่ผมไม่มีวันรู้

                          “ดีจังเลยนะ ผมรู้สึกอยากจะมีปีกบินไปไหนก็ได้ตามใจต้องการ

                          “ถ้าอยากบินออกไปข้างนอกนั่น ก็ไปสิลูอิส เสียงของคุณปู่พูด ผมจึงหันเข้าไปในห้องมองเห็นคุณปู่กำลังนั่งเก้าอี้เก่าๆในห้องของผม คุณปู่เข้ามาโดยที่ผมไม่รู้ตัวเลย

                          “ไม่มีอะไรหรอกฮะ ผมแค่..

                          “ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย อยากจะออกไปข้างนอกนั่น คุณปู่หันออกมาข้างนอกหน้าต่าง

                          “ก็ออกไปดูซะสิ โลกของเธอมันจะอยู่แต่ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ได้ถึงเมื่อไรกัน “ 

                           "ตะ แต่ว่าผมจะทิ้งคุณปู่ คุณเฮอร์ริงไปได้ยังไง ทุกคนยัง.. อยู่กันอย่างลำบากเลยนี่นา ผมรู้สึกกังวลใจเมื่อนึกถึงตนเองไม่ได้อยู่ที่นี่ พวกเขาจะต้องลำบากแน่นอน

                          “โธ่ แค่นั้นเองรึ เรื่องจิ๊บๆนะ ปู่อยู่ที่นี้มาตั้งแต่สมัยยังหนุ่มจนกระทั่งย่าเสียไปนี่ก็ปาไปสี่สิบปีได้แล้ว ปู่อยู่ได้นา

                          "ดูนกตัวนั้นที่บินไปนั่น เธอคิดว่ามันจะบินไปไหนรึ? "

                          "อืมม... กลับไปหาแม่ของเขาใช่ไหมฮะ "

                          "ฮะๆ ลูอิส แม่ของนกตัวนั้นถึงจะมีชีวิตอยู่มันก็ไม่กลับมาหาลูกของมันแล้วล่ะ "

                          "เอ๋? ทำไมละฮะ "

                          "เพราะหมดหน้าที่ของมันแล้วยังไงละ "

                          "สิ่งที่เดียวที่มันคาดหวังไม่ใช่การมีลูกๆของมันอยู่ด้วยตลอดเวลา แต่เป็นการที่ได้เห็นลูกของมันบินได้ด้วยปีกของตัวเองต่างหาก ลูกนกที่เติบโตขึ้นมีปีกที่แข็งแรงพอที่จะพาตัวเองขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ก็ถึงเวลาที่มันต้องเผชิญหน้ากับชะตากรรมของตัวเองชีวิตของตัวเองแม้ว่ามันจะดีหรือเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม

    แม่นกก็ไม่ใช่ว่าจะอยู่กับลูกของมันได้ตลอดไปซักวันมันก็ต้องตายอยู่ดี "

                          "ดังนั้น เธอก็จงอย่ากลัวที่จะออกไปสู่โลกข้างนอกนั่นนะ ลูอิส "                   ปู่ค่อยๆลุกออกจากเก้าอี่แล้วเดินออกจากห้องของผม

                          ผมมองออกไปข้างนอกหน้าต่างนั่นอีกครั้ง สิ่งที่คุณปู่พูดไว้ทำให้ผมรู้สึกมีความกล้าที่จะก้าวออกไปข้างนอกนั่น......

                           หืม? กลิ่นนี่มันอาหารมื้อเช้านี่นา รีบลงไปดีกว่า!

    ----

                          “ป้าเฮอร์ริงฮะ วันนี้ออกไปข้างนอกไหม? “ วันนี้อากาศแจ่มใส คงเป็นเพราะฝนเมื่อคืนนี้พัดเอาเมฆไปหมด ท้องฟ้าเลยโล่งไปหมด ผมคิดว่าป้าเฮอร์ริงต้องออกไปที่สวนอีกแน่ๆ

                          “ไม่หรอกจ่ะ วันนี้ป้าจะทำความสะอาดบ้านซะหน่อย

                          “ฝุ่นเต็มบ้านไปหมดแล้ว ดูสิป้าเฮอร์ริงชี้ไปทั่วบ้าน

                          “ฮะ อย่างที่คุณป้าพูด บ้านไม้เก่าๆนี้ไม่ได้ทำความสะอาดจริงๆจังๆมานานมากแล้ว เท่าที่ผมจำได้..

                          “จำได้.... ผมรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ผมพยายามนึกเรื่องราวในอดีตของตัวเอง ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างคอยปิดกั้นความทรงจำเหล่านั้น

                          “ลูอิส เป็นอะไรไหม เธอสีหน้าไม่ดีเลยนะ

                          “ไม่มีอะไรหรอกฮะ เดียวผมขอขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อก่อนนะ

                          “จ้า.. คุณเฮอร์ริงเริ่มหยิบไม้กวาดและทำความสะอาดกวาดพื้นบ้านในห้องนั่งเล่น

                          “จะว่าไป ไม่ได้เข้าไปในห้องนี้ซะนานเลยนะ ปู่ทัก

                          “ห้องเก็บของหรือคะ

                          “ใช่

                 เอี๊ยด มีผงฝุ่นตกลงมาทันทีที่เปิดประตูเข้ามา ภายในมืดมีแต่แสงที่เข้ามาจากช่องเล็กๆ จนมองเห็นเศษฝุ่นละอองมากมายที่ลอยอยู่ในอากาศ

                          “นี่มัน..คุณเฮอร์ริงพบบางอย่างบนชั้นวางของที่ทำจากไม้ เธอเดินเข้ามาในห้องแล้วเอื้อมมือไปหยิบมันออกมา มันคือกรอบรูปที่มีฝุ่นเกาะจนมองไม่เห็นรูปที่อยู่ข้างใน เธอใช้ผ้าเช็ดปัดออกจนหมด

                          “ไม่คิดเลยว่าจะมาอยู่ในนี้...ความทรงจำของพวกเรา..  รูปภาพที่เธอได้เห็นคือภาพของเธอ ลูอิส คุณเคล และเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

                          “เบตตี... ลูกยังสบายดีไหมนะ เธอนำกรอบรูปออกมาวางข้างนอกแล้วเริ่มจัดการทำความสะอาดภายให้องเก็บของต่อไป

    ----

                 เวลาผ่านไปจนถึงเวลาเย็นดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าไปอีกแล้ว ลูอิสก็ยังคงไม่ลงมาจากห้องของตัวเอง

                          “แปลกนะ ทำไมลูอิสถึงไม่ลงมาเสียที ตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว

                          “เดียวฉันขึ้นไปดูให้เอง คุณเคลพูด

                          “ลูอิส ลูอิสก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตุของคุณปู่ ทำให้ผมค่อยๆได้สติตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวของผมนอนอยู่บนเตียง ในเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว แต่มันหลวมมากๆ ทำไมผมถึงใส่เสื้อตัวใหญ่แบบนี่ละ?

                          “จะ..จะไปเปิดละฮะ! “ผมรีบลุกออกจากเตียงแล้วไปเปิดประตูทันที คุณปู่ที่เห็นผมใส่เสื้อผ้าหลวมเข้า เขากลับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เลย

                          “ลงไปกินข้าวกันเถอะ นี่มันเย็นแล้วนะ คุณปู่ทำตัวเหมือนปกติ แต่ถึงอย่างนั้นผมรู้ว่าเกิดอะไรบางกับตัวผม เพียงแค่คุณปู่ไม่อยากจะบอกผม คุณปู่ที่หันหลังกำลังจะเดินลงบันไดไป

                          “คุณปู่ฮะ...ผมเป็นอะไรกันแน่...คุณปู่หยุดเดิน

                          “เพราะอะไรผมถึงนึกอะไรไม่ออกเลย เรื่องของตัวเองเรื่องของพ่อแม่.. คุณปู่รู้อยู่แล้วใช่ไหมฮะ..

                 คุณปู่ยืนนิ่งที่บันได ดูเหมือนเขามีบางอย่างที่ทุกข์อยู่ในใจ

                          “ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ แล้วปู่จะบอกทุกอย่างให้เธอเอง

                 แล้วคุณปู่ก็เดินลงไป ผมต้องกลับเข้าไปในห้องแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวเดิมของผม ส่วนเสื้อผ้าหลวมๆนี้ผมเก็บมันเอาไว้ในตู้เช่นเดิม ผมไม่ยักกะรู้ด้วยซ้ำว่าในห้องของผมเคยมีคนอื่นมาอยู่ด้วยหรือ เสื้อผ้าพวกนี้มันดูใหม่เกินกว่าที่คุณปู่จะใช้ ไม่ใช่เสื้อผ้าของผู้หญิงอีกด้วย ดังนั้นต้องไม่ใช่ของคุณเฮอร์ริงแน่นอน

                          “แปลกนะ เสื้อกางเกงพวกนี้ รู้สึกคุ้นเคยยังไงไม่รู้สิ โทนสีเดียวกับเสื้อตัวเดิมของเราเลย

                 ผมไม่มีเวลาให้คิดอะไรเล่นๆอีกแล้ว ต้องรีบลงไปข้างล่างเพื่อทานข้าวเย็นเสียก่อน เมื่อผมลงมาข้างล่างสายตาของผมไปสะดุดเข้ากับกรอบรูปหนึ่งเข้า ผมอยากจะรู้ว่าเป็นรูปอะไรจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ

                          “นี่มัน...ภาพวาดของพวกเรานี่นา ในภาพนี้ผมเห็นคุณปู่ คุณเฮอร์ริง กับ เด็กผู้หญิง คนหนึ่งแล้วคนที่ยืนตรงกลางคือตัวผมเอง แต่ ทำไมตัวผมสูงกว่าคุณปู่ได้ล่ะ?

                          “ไม่นะ! “ คุณเฮอร์ริงคว้ากรอบรูปออกไปจากมือของผม สีหน้าของเธอตกใจ

                          “นี่หนะเป็นแค่ภาพวาดเฉยๆ อาจจะแปลกไปบ้างไม่มีอะไรหรอก

                          “พอเถอะ เฮอร์ริงปิดบังเขาไปก็ไม่ทำให้อะไรมันดีขึ้นมาได้หรอก

                          “ตะ...แต่ว่า ลูอิส

                          “ไม่ช้าหรือเร็ว ซักวันเขาต้องรู้ ฉันอยากจะเล่าให้เขาฟังด้วยตัวของฉันเอง ถือว่าเห็นแก่คนแก่อย่างฉันก็ได้..

                          “ค่ะ... วันนี้บรรยากาศบนโต็ะอาหารเงียบมาก สีหน้าของคุณป้าเฮอร์ริง กับคุณปู่ดูไม่เป็นธรรมชาติเลย   คุณป้าเฮอร์ริงส่งกรอบรูปนั้นมาให้ผมอีกครั้งโดยที่เธอไม่ได้พูดอะไร ผมจึงรับมันเอาไว้แล้วมองดูอีกครั้ง

                          “อย่างที่เธอเห็นนั้นแหละ นั่นคือตัวของเธอ.. เมื่อสามปีก่อน คุณปู่พูด

                          “สามปีก่อน..แล้วทำไมผมถึง...

                          “ใช่ นั้นคือเธอ.. คุณป้าพูด เป็นตัวตนที่แท้จริงของเธอเลยนะ ลีฟ... โอลิเวอร์

                          “ลีฟ...โอ..ลิ..เวอร์? ชื่อของผมหรอฮะ

                          “ใช่แล้ว เธอชื่อลีฟ โอลิเวอร์ ไม่ใช่ลูอิสหรอก

                          “ลูอิสนั่นเป็นชื่อที่ฉันตั้งให้เล่นๆ เท่านั้นเอง

                 ทั้งคุณเฮอร์ริงและคุณปู่บอกเล่าเรื่องราวของตัวผมให้ฟัง แต่น่าแปลกใจเหลือเกิน ทำไมผมถึงไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยละ ไม่สิ ทำไมผมถึงนึกไม่ออกเหมือนกับ...ไม่มีความทรงจำพวกนี้อยู่ในหัวอีกต่อไปแล้ว แต่นั้นก็ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมร่างกายของผมถึงได้ไม่เหมือนกับในรูปนี้

                          “ปู่พูดตรงๆเลยนะลูอิส ปู่ไม่รู้เลย ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเธอมันคืออะไร

                          “แต่พวกเรารู้เพียงแค่ว่ามันคือเวทมนต์ที่เก่าแก่และมีผลถาวร

                          “ตัวเธอที่โดนเวทมนต์นี้เข้าไปกลับมีร่างกายที่เด็กลง อีกทั้งเธอยังสูญเสียความทรงจำไปอีก ขอโทษนะ...ที่ปู่ไม่เคยคิดจะพูดเลย..

                 เวทมนต์หรอ? ผมแหงนมองภาพวาดอีกครั้งแต่ก็มาเห็นผู้หญิงคนนี้ กลับทำให้ผมรู้สึกว่าผมเคยรู้จักเธอมาก่อน

                          “เด็กคนนั้น ... คุณเฮอร์ริงพูด เธอเป็นลูกสาวของฉันเองละ

                          “….เบตตีผมจำชื่อของเธอได้

                          “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย คุณเคล

                          “ฉันก็ตกใจเหมือนกันนั้นแหละ

                          “เขาลืมแทบทุกคนแม้แต่ตัวเอง แต่ยังจำชื่อของผู้หญิงคนนี้ได้...

                          "ฮะๆ เสียงหัวเราะของคุณปู่นำใบหน้าอันยิ้มแย้มกลับคืนมาอีกครั้ง บรรยากาศที่หมอกมนหายไปแล้ว ผมรู้สึกดีที่ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น รู้สึกถูกปลดปล่อยจากมิติที่ขังผมเอาไว้ แต่เดียวก่อนนะเบตตีตอนนี้เธออยู่ที่ไหนกัน?

                          “เบตตี..เธออยู่ที่ไหนกันฮะ? “ เมื่อผมถามออกไปคุณเฮอร์ริงหยุดหัวเราะ เธอทำหน้าเศร้าๆ

                          “เธอออกไปกับคุณพ่อแล้วละ ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนไม่นานก่อนที่เธอจะกลายเป็นแบบนี้ ลูอิสคุณปู่ตอบแทน

     

                 คุณเฮอร์ริงดูเหมือนจะเสียใจมาก  ส่วนเพราะอะไรคุณเฮอร์ริงกัลบอยู่ที่นี่ผมไม่ต้องการจะถามอีกแล้ว ชีวิตที่ปกติของตัวผมเองที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแท้จริงแล้วมันมีอะไรมากกว่านั่นจริงๆ ผมคิดไม่ออกเลยว่าครอบครัวของผมจะ...มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายขนาดนี้การที่ผมได้เห็นคุณเฮอร์ริงเสียใจทำให้ผมตัดสินใจเด็ดขาด

                          “ผมจะตามหาเธอเองฮะ! “ 

                          “ลูอิส..เธอรู้ไหมว่าเธอพูดอะไรออกมา เธอในสภาพนี้มัน...

                          “ให้เขาไปเถอะน่า เฮอร์ริง คุณปู่พูด

                          “ตะ..แต่ว่าลูอิสยัง... “ "ไม่! ฉันไม่อนุญาติให้ลูอิสออกไปข้างนอกนั่นเด็ดขาด! " แล้วคุณเฮอร์ริงก็รีบเดินขึ้นบันไดไป

                          "คุณปู่ฮะ... "      ผมหันหน้าไปหาคุณปู่ แล้วคุณปู่ก็ลุกออกจากเก้าอี้แล้วเดินตามคุณเฮอร์ริงไป

    ----

                          "เฮอร์ริง ฉันรู้ว่าเธอเป็นห่วงเขา ไอ้การที่ร่างกายของเขากลายเป็นแบบนั้นมันเป็นเรื่องที่ช่วยไมได้

                          "อย่าลืมสิถึงภายนอกเขาอาจจะเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง แต่ข้างในนั่นคือ...

                          "ฉันเข้าใจค่ะคุณเคล! แต่จะให้เขาออกเดินทางด้วยตัวคนเดียวนี่มันอันตรายเกินไป อีกอย่างเขาจะอยู่ตัวคนเดียวได้ยังไง? "

                          "ไพร์แลนออกจะกว้างใหญ่.... ฉันอยากให้เขาเติบโตมากกว่านี้ "

                          "มันก็อาจจะใช่....แต่บังคับเขาแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ หรือต่อให้เธอบังคับเขา เขาก็คงจะไม่ชอบที่จะทำตามหรอก "

                          "ทำไมละคุณเคล ฉันดูแลเขามาตลอด! ฉันมีสิทธิที่จะเลือกสิ่งที่ดีให้กับเขาเหมือนกันนี่คะ "

                          "ถ้าเธอเห็นแบบนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้วในชีวิตของลูอิส....ฉันรู้สึกสงสารเขาจริงๆ... "

                          "เธอมองเห็นอะไรในตัวของเด็กคนนั้นกัน เฮอร์ริง? เด็กไร้เดียงสาที่เธอต้องคอยดูแล? เด็กกำพร้าที่ใช้ชีวิตตัวคนเดียวไม่ได้? หรือเด็กที่คอยเดินตามเธอตลอดเวลาตอนที่เธอออกไปเก็บดอกไม้ที่เนินนั่น.....เธอเคยเชื่อในตัวของเขาบ้างหรือเปล่า? "

                          "......" คุณเฮอร์ริงยืนนิ่ง

                          ทุกครั้งที่ฉันมองเห็นเจ้าหนูนั่น ไม่ว่าเมื่อก่อน หรือแม้กระทั่งตอนนี้ ฉันเชื่อเสมอและตลอดว่าเขาจะต้องเติบโตเป็นคนที่ดีและเข้มแข็งได้เหมือนกับพ่อของเขา สำหรับลูอิสเขาจะเป็นได้มากกว่าพ่อของเขาเสียอีก.....แต่น่าเสียดายเสียใจที่ฉันจะไม่มีโอกาสได้เห็นวันนั้น..... "

                          "คุณเคล... "

                          "ยุคสมัยกำลังเปลี่ยนไปแล้ว.... มันจบยุคของเธอและฉันไปนานแล้วเฮอร์ริง และคนรุ่นใหม่อย่างเด็กคนนั้นจะนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่อนาคตที่ดีกว่า เขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ยังมีอีกหลายคนที่เหมือนกับเขา แล้วผู้ใหญ่ไม่ก็คนแก่อย่างเราทำได้แค่ยืนมองหรือขัดขวางอย่างนั้นหรอ?....  "

                          "..........ขอโทษนะค่ะ คุณเคลที่ฉัน... "

                          "ลืมไปว่าตัวเองสัญญาอะไรไว้กับแม่ของเด็กคนนั้น.... "

                          "ลงไปหาลูอิสเถอะ เฮอร์ริง เด็กคนนั้นต้องการให้เธอยอมรับในตัวของเขานะ "

                 เฮอร์ริงเดินไปหยิบกระเป๋าเดินทางของเธอออกมาจากตู้เสื้อผ้า แล้วเดินลงมาข้างล่าง

    ----

                          "ลูอิส... " เสียงของคุณเฮอร์ริงเรียกผม เธอยื่นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่นี้มาที่ผม

                          "รับไปเถอะ มันเป็นของเธอ... "

                          "เอ๋?... "

                          "จะออกไปตามหาเบตตีไม่ใช่หรือไง? เธอต้องใช้มันนะ "

                          "เย้ เย้ เย้ ได้ออกไปตามหาเบตตีแล้ว ขอบคุณมากฮะ!! "

                          "อย่าแกว่งไปมาแบบนั้นสิเดียวก็เสียก่อนพอดี เอาคืนมาก่อนสิเดียวป้าจะเตรียมข้าวของให้"

                          "นี่ฮะ" ผมยื่นกระเป๋าคืนคุณเฮอร์ริง

                 คุณปู่เดินลงจากบันไดมาแล้วก็ส่งยิ้มให้กับผม ผมดีใจและรู้สึกขอบคุณคุณเฮอร์ริงมากที่ให้โอกาสผมออกไปข้างนอกนั่น

     

    ----

                 เวลาเช้าของวันรุ่งขึ้นมาถึง ณ หมู่บ้านริมชายฝั่งโฟล์ราวิล สายลมพัดมารี่ๆ ไม่ขาดสาย เสียงฝูงนกลอว์ราส่งเสียงร้องวอกแวก พระอาทิตย์ค่อยๆปรากฏจากเส้นขอบฟ้าทางด้านตะวันออกอย่างช้าๆ แสงของมันทำให้เหล่านกที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งเริ่มออกหาอาหารในยามเช้า เพื่อให้มีชิวิตอยู่ต่อไปและเพื่อลูกน้องของพวกมัน พวกมันอาศัยจะงอยปากที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ออกมาได้ดั่งกับว่ามีไว้ดักจับปลาโดยเฉพาะ พวกมันจะโบยบินรอคอยโอกาสอยู่บนท้องฟ้า เมื่อฝูงปลาตัวเล็กตัวน้อยว่ายขึ้นมาใกล้ผิวน้ำ เพื่อกินสาหร่ายเขียวเป็นอาหาร ซึ่งมีอยู่ทั่วชายฝั่งด้านทะวันออกนี้ไปจนถึงเมืองหลวงเซนทิเนล สาหร่ายพวกนี้ขยายพันธุ์ได้เร็วมาก สีเขียวของพวกมันทำให้ดูเหมือนว่าน้ำทะเลมีสีเขียวกลมกลืนไปด้วย ทะเลในแถบนี้จึงถูกเรียกขนานว่า กรีนซี ( Green Sea ) นกลอว์ราจะบินดิ่งลงไปแล้วใช้ปากของมัน ลากไปตามผิวน้ำเมื่อปลาผู้โชคร้ายหลบจะงอยปากของนกลอว์ราไม่ได้ มันก็ต้องตกเป็นเหยื่ออันโอชะนั่นเอง วัฏจักรของสิ่งมีชีวิตนั่นมีอยู่ทั่วผืนดินและผืนน้ำทั่วอาณาจักรไพร์ทแลน

                          "ผมให้สัญญา ผมจะพาเบตตีกลับมาให้ได้ " คุณเฮอร์ริงยิ้มออกมานิดๆ

                           "ขอโทษทีนะลูอิส...ที่ฉันห้ามไม่ให้เธอออกไปไหน... "

                          "ฉันสูญเสียมามากเหลือเกินทั้งคนที่ฉันรักและเพื่อน ฉันกลัวที่จะสูญเสียเธอไปอีกคน "

                          "แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันให้สัญญาไว้กับแม่ของเธอ "

                          "พ่อของเธอต้องออกไปข้างนอกตามคำสั่งของราชาเดลลอน แม่ของเธอจึงต้องอยู่เพียงลำพัง "

                          "เธอเพื่อนสนิทของฉัน... ฉันให้สัญญากับแม่ของเธอไว้ว่าจะเลี้ยงดูเธอให้เติบโตอย่างที่เธอจะเป็น "

                          "คุณเฮอร์ริง..."

                          "อะไรกันร้องไห้ทำไม?? เธอไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ " เฮอร์ริงเข้ากอดเด็กน้อยที่ชื่อว่าลูอิสที่ร้องไห้เหมือนกับเด็กไม่มีผิดเพี้ยน

                          "ได้เวลาแล้วนะลูอิส ไปเถอะ "

                          "ลูอิสฉันของฝากเธออยู่อย่างหนึ่งได้ไหม? " คุณปู่นั่งคุกเข่าลงแล้วมองมาที่ผม

                          "ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่าได้ลืมสิ่งที่ฉันสอนเธอเอาไว้นะลูอิส และที่สำคัญที่สุด... "

                          "จงเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเธอเอง โชคชะตาจะนำทางเธอไปยังจุดหมายอย่างได้แน่นอน " ลูอิสวิ่งเข้ากอดคุณปู่เป็นครั้งสุดท้าย              

                          "ไปได้แล้วเจ้าหนู เดียวก็สายกันพอดี "

                          “ผมไปละฮะ ผมโบกมือลาคุณปู่และคุณเฮอร์ริง

                          “โชคดีนะ! “ เสียงตอบกลับของคุณเฮอร์ริงและคุณปู่

                 และแล้วหนุ่มน้อยก็เริ่มวิ่งไปตามทางสู่ทางเหนือเส้นทางสายนี้อยู่ติดชายทะเลมีลมพัดตลอดเวลา ไม่มีไม้ยืนต้นบดบังทัศนวิสัยมากนักทำให้มองเห็นจุดที่อยู่ห่างออกไปไกลๆได้ ดอกไม้ตามธรรมชาติเจริญขึ้นตามข้างทาง ผีเสื้อหลายตัวบินเข้ามาเพราะสีสันของดอกไม้เหล่านี้ พื้นหญ้าสีเขียวอ่อนปกคลุมไปทั่วจนสุดสายตา เฮอร์ริงบอกกับลูอิสว่าเบตตีและพ่อของเธออาจเข้าไปหาในเมืองทางเหนือ หนุ่มน้อยจึงตัดสินใจมุ่งหน้าไปทันที

                          "จะไหวไหมนี่คุณเคล ฉันอดเป็นห่วงเขาไม่ได้จริงๆ "

                          "ไม่ต้องห่วงไปหรอกเขาต้องพบสิ่งที่ตัวเองต้องการแน่.... และที่สำคัญเขาไม่ได้เดินทางคนเดียวนะ "

                           "จริงด้วย... ฝากลูอิสด้วยนะ ลีฟ... "

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×