พี่ชาย - พี่ชาย นิยาย พี่ชาย : Dek-D.com - Writer

    พี่ชาย

    เป็นเรื่องราวของคนสองคนที่ผูกพันธ์กันมาตั้งแต่เด็ก

    ผู้เข้าชมรวม

    294

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    294

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  21 พ.ย. 53 / 23:29 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น


    พี่ชาย สำหรับเธอ คืออะไร?

    น้องสาวคำ ๆ นี้เขารู้จักมานานแค่ไหน?

    พี่นนท์...ผู้ชายข้างบ้านที่ น้องป่าน รักและนับถือเป็นพี่ชายมาตั้งแต่เธออายุห้าขวบ

    ความผูกพันของคนทั้งสอง ยากจะหาสิ่งใดแยกได้ ระยะทางและหน้าที่ยังไม่อาจทำให้สั่นคลอน พี่ชาย-น้องสาวมีรหัสลับระหว่างกัน...เขาสองคนเท่านั้นที่รู้

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ




      “โอย...กลุ้ม...กลุ้ม...กลุ้ม ใครก็ได้ช่วยบอกทีว่าผมควรจะทำยังไง?”

                 เสียงร้องครางแผ่ว ๆ หลุดมาจากปากของ ‘นนท์’ นักบินหนุ่มที่นั่งก้มหน้า เอามือกุมขมับทั้งสองข้าง เมื่อทราบผลการคัดเลือกให้ไปเรียนการบินพิเศษเพิ่มเติมที่ต่างประเทศเป็นเวลาหนึ่งปี หลังสิ้นสุดการฝึกในฝูงบินรบ F-16 ด้วยคะแนนดีเยี่ยม 
                 ทั้ง ๆ เป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่สิ่งทำให้ ‘เรืออากาศโทอนนท์ อรัญราช’ ต้องนั่งกลุ้ม ถึงขนาดครางออกมานั้น เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเรื่องของ ‘หัวใจ’ สิ่งที่ทำให้นักบินคนใหม่หัวใจว้าวุ่นไม่ใช่แค่ที่รู้ตัวว่า ‘รัก’ ‘น้องป่าน...นีราภัทร วรพงศ์’ หญิงสาวที่เขา ‘เคย’ คิดว่าเป็นแค่ ‘น้องสาว’ เท่านั้น แต่เขาดันยกหัวใจดวงน้อยของคนที่เขา ‘รัก’ ให้เพื่อนไปแล้วโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นี่คือปัญหาที่ทำให้เขานั่งกลุ้มจนต้องร้องครวญคราง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง...เพราะอยากพิสูจน์หัวใจ 

                  ‘ก็จะไม่ให้ทำแบบนั้นได้ยังไง รู้จักรักใคร่ นับถือเป็นพี่น้องกันมาตั้งนานสองนาน ต่อให้ เป็นใครที่ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่เหมือนฉันตอนนั้น ก็ต้องเลือกทำแบบนี้ทั้งนั้นแหละ’   นนท์คิดเข้าข้างตัวเองเมื่อนึกย้อนถึงสิ่งที่ตัดสินใจให้เลือกวิธีการที่ทำลงไป   เพราะความไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ของเขากับน้องป่านที่รู้จัก รักใคร่ นับถือกันมานานและความ...กลัว 

               'นนท์' นึกย้อนไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่เขาได้รู้จักกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ในวันที่เธอย้ายเข้ามาอยู่บ้านติดกับบ้านหลังใหญ่ของเขาในหมู่บ้านจัดสรรย่านชายเมือง เด็กผู้หญิงหน้าตาที่น่ารัก จิ้มลิ้ม ตาโต ปากนิด จมูกหน่อย พูดเจื้อยแจ้วได้ทั้งวัน  ทำให้เขาซึ่งไม่ค่อยมีเพื่อนมากมายสนิทกับเธอได้ไม่ยาก  อีกอย่างคือแม่ของเขากับแม่ของเธอรู้จักกันมาก่อน

                   “พี่..พี่จ๋า พี่ชื่ออะไร น้องชื่อน้องป่านนะ เพิ่งมาถึงวันนี้เอง” เด็กหญิงตัวเล็กตะโกนข้ามรั้วโปร่งเข้ามาถามเขาที่กำลังเล่นฟุตบอลคนเดียวอยู่สนามหญ้าข้างบ้าน

                   “พี่ชื่อ...นนท์”

                   “แล้วพี่นนท์ทำไมมาเล่นอยู่คนเดียวล่ะคะ ไม่มีเพื่อนเหรอ ให้น้องป่านไปเล่นเป็นเพื่อนไหม?” เด็กหญิงยังเกาะรั้วคุยกับเขาเจื้อยแจ้ว

                   “นนท์...นนท์ อยู่ไหนลูก มา...แม่จะพาไปรู้จักกับเพื่อนแม่ เพิ่งย้ายมาอยู่ข้างบ้านเรานี่เอง” เสียงแม่เรียกเขาพร้อมกับเดินมาถึงตัว

                   “อ้าว...นั่น...น้องป่านใช่มั้ยลูก” เสียงแม่ถามเด็กผู้หญิงที่เกาะรั้วมองมาที่เขาตาแป๋ว

                   “ใช่ค่ะ คุณป้าขา”
                  จากวันนั้นเขากับเด็กหญิงตัวน้อยก็ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ เหตุผลก็เพราะว่าแม่บอกว่าให้เขาเป็น ‘พี่ชาย’ และช่วยดูแล ‘น้องสาว’ เพราะทั้งเขาและน้องป่านเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่...

                   ตลอดสิบเจ็ดปี ไม่มีความสุขใดของเขา ที่ ‘น้องป่าน’ ไม่ได้ยิ้มและหัวเราะร่า และเช่นเดียวกัน ไม่มีความทุกข์ใดของ ‘น้องป่าน’ ที่เขาไม่ได้เช็ดน้ำตาให้...ความทรงจำของนนท์หลั่งไหลออกมาเป็นฉาก ๆ จากวีรกรรมของเขากับน้องน้อย

                   ฮือ...ฮือ...ฮัก  เสียงร้องไห้ ตามมาด้วยเสียงสะอื้นของเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เด็กผู้ชายที่มีรอยไม้เรียวอยู่ตามขา

                  “พี่นนท์เจ็บไหมคะ...ทำไมน้องป่านเจ็บจังเลย”

                   “น้องป่านเจ็บอะไร ไม่ได้ถูกแม่ตีกับพี่สักหน่อย” 
                   ตอนนั้นเขายังจำได้ว่าหัวเราะออกไปเต็มเสียงที่เห็นคนไม่ได้โดนตีร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร   ทั้ง ๆ ที่ปวดแสบที่ขาตามรอยไม้เรียว

                   “เก๊าะ...ก็ พอน้องป่านเห็นพี่นนท์โดนตี น้องป่านเจ็บด้วยทุกทีแหละ” เสียงร้องไห้ก็ดังตามมาอีกระลอกจนกว่าเขาต้องเข้าไปกอดปลอบ ลูบหลัง ลูบไหล่ เสียงร้องไห้ถึงเงียบหายไป

                  ตอนเป็นเด็กประถม ส่วนใหญ่ก็จำไม่ได้ คงเป็นเพราะวีรกรรมที่มีทั้งหมดเกิดขึ้นจากความดื้อ ความซนแบบเด็ก ๆ นอกจากความประทับใจที่เห็นเด็กผู้หญิงนั่งร้องไห้เวลาเขาโดนแม่ตี  จนเริ่มเข้าเรียนชั้นมัธยมความทรงจำดี ๆ จึงเกิดขึ้นมากมาย เพราะเขาเป็น ‘ฮีโร่’ ของน้องป่านทุกเรื่อง

                   น้องสาวที่กำลังเป็นสาว เข้าเรียน ม.1 ใหม่ ๆ ที่โรงเรียนเดียวกับเขา  สาวน้อยไม่เคยหวั่นกลัวเพราะเธอถือว่ามี ‘พี่ชาย’ ที่เป็นนักเรียนเรียนดี นักกีฬาเด่นของโรงเรียนเป็นผู้คุ้มครอง   ทุกเช้าเขาจะไปส่งเด็กนักเรียนหญิงคนใหม่ถึงหน้าห้องเรียน ตอนเย็นหลังซ้อมบาสเสร็จเขาจะพา ‘น้องสาว’ ไปหาของกินอร่อย ๆ ให้อิ่มท้องก่อนส่งน้องน้อยกลับเข้าบ้าน แต่วันพิเศษเช่นวันที่เขาต้องแข่งบาส...

                 “เลิกเรียนแล้วรีบตามไปเชียร์พี่ที่สนามบาสนะครับ”
                 “ค่ะ...พี่นนท์สู้ ๆ ป่านเรียนเสร็จจะรีบไปทันที วันนี้ชนะให้ได้นะคะ พี่นนท์จะได้เลี้ยงขนมปังป่านอีก”

                 สถานที่ฉลองประจำของเขาและ ‘น้องสาว’ ตอนแข่งบาสชนะคือร้าน ‘ป้อม...สารพัดปัง’ ที่อยู่ตรงข้ามกับโรงเรียน ซึ่งเป็นร้านขายขนมปัง นมสด กาแฟเย็น ที่หนุ่มน้อย-สาวน้อยมากหน้าหลายตารู้จักดี และเขาต้องเป็นเจ้ามือเลี้ยงน้องสาวตัวยุ่งในฐานะ ‘คนเชียร์เก่ง’

                 “วันนี้น้องป่านได้กินฟรีอีกแล้วค่ะ น้าป้อมขา เพราะน้องป่านเชียร์เก่งอีกแล้ว”

                 “อุ๊ย...ดีใจด้วยนะคะคนเก่งของน้าป้อม…ดีจังนะคนแข่งเหนื่อยแล้วยังไม่พอ ต้องเป็นคนเลี้ยงอีก” ป้อม...เจ้าของร้านกระเซ้าเย้าแหย่ด้วยความคุ้นเคยกับเหตุการณ์ตลก ๆ ที่คนแข่งต้องเลี้ยงคนเชียร์เป็นประจำ 

                 “ปีนี้น้องป่านมาเรียนที่นี่แล้วสินะ ไม่ต้องวิ่งกระหืดกระหอบมาดูพี่นนท์แข่งบาสเหมือนเมื่อก่อนแล้ว”

                “ครับ...คุณน้า เป็นเด็กใหม่ ม.1  วันนี้พี่ผมต้องพามาเลี้ยงฉลองตามเคย...” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับหัวเราะน้อย ๆ หันไปโอบไหล่ ‘น้องสาว’ ก่อนจะบีบจมูกเล็ก ๆ อย่างเอ็นดู

                “นนท์...น้าได้ยินคุณแม่บอกว่าปีนี้จะสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารเหรอ?” คุณป้อมหันมาถามเขา
                “ครับ...ต้องลองดู ไม่รู้ว่าจะสู้คนอื่นได้หรือเปล่า ถ้าปีนี้ไม่ได้ ปีหน้าก็สอบใหม่อีกทีครับ” นนท์ตอบแบบถ่อมตัว

                “แต่น้องป่านเชื่อว่าพี่นนท์ต้องสอบได้อยู่แล้วค่ะ...ก็พี่นนท์เก่งที่สุดแล้ว  แถมตอนนี้น้องป่านไม่ให้พี่นนท์ทำอะไรเลย จัดการให้เองหมด บริการส่งข้าวส่งน้ำ  ให้พี่เขาอ่านหนังสืออย่างเดียว เพื่อความฝันสูงสุดของพี่นนท์...นักบินขับไล่ในฝูงบิน F-16 จะได้เป็นจริงไงคะ”  สาวน้อยที่นั่งข้าง ๆ รีบสาธยายถึงภารกิจอันสำคัญครั้งนั้นที่คิดว่าได้ทำเพื่ออนาคตของเขา

                 ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่เขาได้รับการเอาอกเอาใจจาก ‘น้องสาว’ ทุกอย่าง อาหาร ขนม นมเนย ที่เขาบอกอยากกิน น้องป่านจะจัดให้ไม่ขาดตกบกพร่อง เขาจึงมีเวลาทุ่มเทให้กับการอ่านหนังสืออย่างเต็มที่ ไม่ต้องห่วงว่าน้องสาวจะงอแงที่เขาไม่ได้พาเที่ยว เพราะเธอบอกเขาเสมอว่า

                 “น้องป่านอยากให้พี่นนท์เป็นนักบินขับเครื่องบิน ขับไล่ศัตรู เป็นผู้ปกป้องน่านฟ้าของไทย” คำพูดที่ยังกับไปท่องจำมาบอกเขาเจื้อยแจ้ว แต่ก็ทำให้เขาก็ปลื้มใจทุกครั้งที่ได้ยิน


                วันที่เขาและน้องป่านดีใจที่สุดคือวันประกาศผลสอบ เขาสอบติดได้เป็นนักเรียนเตรียมทหาร แต่อีกต่อมาไม่นานเขาก็รู้ว่า ‘น้องป่าน’ เหงา ว้าเหว่  ซึม เมื่อเขาต้องย้ายมาอยู่ กิน นอน ที่โรงเรียนแทนบ้าน  ถึงแม้ไม่ไกลมาก  แต่ก็ไม่สามารถกลับบ้านได้ทุกเวลาตามที่ต้องการ 
                แม่โทรมาบอกเขาว่าน้องป่านหงอยเหงาไปเป็นกอง เขาต้องโทรศัพท์หา ‘น้องสาว’ ทุกวันเพื่อให้สาวน้อยที่เคยมีเขาอยู่ข้าง ๆ มาตลอดไม่รู้สึกว้าเหว่มากนัก และทุกครั้งที่โทรศัพท์ไปหา เขาจะได้ยินเสียงหวานใสออดอ้อนมาทางคลื่นไร้สาย ซึ่งนั่นก็ทำให้เขามีความสุขมากเช่นเดียวกัน

                 “พี่นนท์ขา...เมื่อไหร่จะได้กลับบ้านสักที น้องป่านคิดถึง เหงามากด้วย ไม่มีเพื่อนเล่น”

                “พี่ก็คิดถึงน้องป่านมากนะ...ประกาศ Code Fly and Fish วันศุกร์ครับผม” เสียงแตกหนุ่ม ห้าว ทุ้ม ของเขาตอบกลับไปบอก ‘น้องสาว’ ซึ่งต่อมาเขารู้ว่าสาวน้อยที่รับ code กำลังยิ้มจนตายิบหยี มีความสุขไม่แพ้กัน เมื่อรู้ว่าอีกไม่กี่วันจะได้เจอหน้า ‘พี่ชาย’

                “น้องป่านจะรอนะคะ พอพี่นนท์กลับมาถึง ‘ชุดใหญ่ Fish’ ก็พร้อมสำหรับพี่นนท์ค่ะ” นี่ก็เป็นที่รู้กันว่า ‘ชุดใหญ่ Fish’ ที่น้องสาวเตรียมให้เขา เธอจะต้องตระเวนไปหาซื้อทุกที่ที่เขาเคยพาไปกินจนครบทุกอย่างตามที่เขาต้องการ


                  วีรกรรมสุดเด็ดระหว่างหนุ่มสาวมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเขาเป็นนักเรียนนายเรืออากาศชั้นปีสอง ด้วยพื้นฐานครอบครัวดี หน้าตาที่หล่อเหลาคมคาย คะแนนการเรียนเป็นอันดับต้น ๆ ของชั้นปี พ่วงท้ายด้วยการเป็นนักกีฬาดังของโรงเรียน คุณสมบัติที่ครบถ้วนกระบวนความ ซึ่งหาได้ยากยิ่งจากหนุ่ม ๆ ทำให้ตัวเขาเองเป็นที่หมายปองของสาว ๆ มากหน้าหลายตา แต่เขาไม่เคยรู้สึกอยากจะรักผู้หญิงคนไหน จนต้องวางแผนกับ ‘น้องสาว’ ที่ตอนนั้นเริ่มเป็นสาววัยใสอายุสิบหกสิบเจ็ด กำลังสดใส น่ารัก ดวงตากลมโต ใสแจ๋วเป็นประกาย ใบหน้าหวาน ยิ้มละมุนละไม อัธยาศัยดี จึงมีหนุ่มน้อยชักแถวเรียงเข้ามาขายขนมจีบเป็นว่าเล่น
                  ถึงกระนั้น ‘น้องสาว’ ของเขาก็ไม่เคยรับรักหนุ่มคนไหนเป็นเรื่องเป็นราว  ในเมื่อเขาและน้องสาวยังไม่ต้องการมีใครมาอยู่ในฐานะ ‘แฟน’ ทั้งสองคนจะถูกเรียกเพื่อปฏิบัติการ Code Red ทันที ถ้าหัวใจของอีกฝ่ายถูกรุกราน

                “พี่นนท์คะ Code Red ทราบแล้วเปลี่ยน”

                “คราวนี้มีเหตุผลอะไรอีกล่ะ...ยัยตัวยุ่ง ?”

                 “โธ่...ก็หน้าตาเหมือนอูฐอีกแหละค่ะ”

                “หน้าตาเขาเหมือนอูฐหรือว่าเราแอบรักใครอยู่รึปล่าว ?...เลยไม่อยากเป็นแฟนกับเขา ?”
       
                  เขาจำได้ว่าเมื่อ ‘น้องสาว’ เรียกใช้รหัสแดง เขาจะถามกลับไปทุกครั้งว่า ‘เพราะอะไร’ และแอบแย้มถามกลับไปว่ามีคนในหัวใจอยู่หรือเปล่าถึงไม่ยอมรับรักหนุ่มคนไหนสักที  แต่คำตอบที่ได้กลับมาก็เป็นคำตอบเดิม ๆ ทุกครั้ง  ‘หน้าตาเขาเหมือนอูฐ’  พร้อมกับเสียงหัวเราะ สดใส ร่าเริง และไม่เคยมีคำตอบที่สองให้เขาเลย ในทางกลับกันเมื่อหัวใจเขาถูกรุกราน

               “น้องป่านครับ Code Red ทราบแล้วเปลี่ยน”

              เสียงหัวเราะสดใส กังวาน เหมือนมีความสุขตลอดเวลา ของน้องสาวดังขึ้นทุกครั้งก่อนจะถามเขากลับมาว่า

               “แล้วคราวนี้เป็นยังไงอีกล่ะ ?”

                “เหมือนเดิม...ยังไม่ตรงสเป๊ค ขาดคุณสมบัติอีกหลายข้อ”

                นนท์เองจำได้ว่า ทุกครั้งที่เขาและ ‘น้องสาว’ ร่วมกันวางแผนปฏิบัติการภารกิจรหัสแดง เป็นช่วงเวลาที่เขาสนุกสนาน มีความสุขอยู่ลึก ๆ และเขาก็เห็นว่า ‘น้องสาว’ ยิ้มสดใส ร่าเริง ทุกครั้งเช่นเดียวกัน ในการปฏิบัติภารกิจรหัสแดงแต่ละครั้ง เขาและน้องสาวจะร่วมกันวางแผนปฏิบัติการแตกต่างกันไป

               ทว่าที่ผ่านมาทั้ง ‘พี่ชาย’ และ ‘น้องสาว’ ต่างกลับลืมความจริงที่ว่า ‘สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ วีรสตรี’  เมื่อหนุ่มสาวมีเหตุที่ต้องใช้ Code Red หลายครั้งจนนับไม่ถ้วน รวมเวลาผ่านมาหลายปี ทั้งสองคนมีความสุขในเวลาที่ได้แสดงตนในฐานะ ‘แฟน’ ของอีกฝ่ายจนไม่เคยเหลียวมองคนอื่น  ความสุขที่ได้รับจากเหตุการณ์ที่ถูกสร้างขึ้นเฉพาะกาล  แทรกเข้าไปฝังอยู่ในหัวใจ
       
               ฝ่ายหนึ่งรู้แน่ชัดว่า ความรู้สึกผูกพันที่เคยมีแต่เก่าก่อน ค่อย ๆ แนบแน่นเกินกว่าคำว่า ‘พี่ชาย’ เธอจึงเลือกที่จะแอบเก็บและซุกซ่อนความรู้สึกเอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ   เพราะคิดว่าอย่างน้อยก็ยังได้มีโอกาสใกล้ชิด โอบกอดคนที่เธอแอบรักในฐานะ ‘น้องสาว’ ดีกว่าการสูญเสียไปหาก ‘พี่ชาย’ รับไม่ได้กับความรู้สึกนั้น

               ในขณะที่ฝ่าย ‘พี่ชาย’ พอเริ่มรู้สึกถึงคำว่า ‘พี่ชาย’ ที่มีให้ ‘น้องสาว’ เปลี่ยนไป ความไม่มั่นใจทำให้เขาย้อนกลับมาถามตัวเอง ‘มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ? เป็นความจริงหรือไม่ ?’


               นักบินหนุ่มหล่อรู้แต่ว่าช่วงเวลาก่อนที่จะกลับบ้านในครั้งนั้น เขาเองเริ่มแปลก ๆ กับความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น เมื่อเหน็ดเหนื่อยจากการฝึกอย่างหนัก หากนึกถึงดวงหน้าหวานของ ‘น้องสาว’ รอยยิ้มละมุน  และเสียงใส ๆ ที่ออดอ้อนมาทางโทรศัพท์   มันทำให้เขาหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง รู้สึกอยากกอดร่างบางนุ่มนิ่ม หอมแก้มนุ่มซักฟอด จนอยากประกาศ Code Fly ซะเดี๋ยวนั้น แต่เขากลับไม่แน่ใจในความรู้สึกของตนเอง เพราะเขาได้สัมผัสกับสิ่งที่ว่ามาตลอด  จนสับสนว่าเป็นเพราะความเคยชินหรือไม่ เขาจึงเลือกที่จะพิสูจน์ความรู้สึกของตัวเองด้วยวิธีการที่คิดขึ้นเองง่าย ๆ

                “รัญ...อาทิตย์นี้จะกลับบ้าน ไปเที่ยวด้วยกันไหม ?”

                “ที่บ้านเอ็ง มีอะไรน่าสนใจมั่งวะไอ้นนท์ ?”

                “เฮ้ย...ไหนแกเคยบอกว่าอยากรู้จักน้องป่านไง ไม่อยากรู้จักแล้วเหรอ ?”

                ในวันที่ตัดสินใจได้ถึงวิธีการพิสูจน์หัวใจและความรู้สึก เขาชวนเพื่อนรัก ‘รัญ...เรืออากาศโทหิรัญ วงศ์วรรธน์’ ที่เพื่อน ๆ เรียกกันว่า ‘นักบินตาตี่’ เพราะมีเชื้อสายจีนกลับไปเที่ยวที่บ้านด้วยกัน นนท์อยากให้ ‘น้องสาว’ รู้จักเพื่อน  ซึ่งทั้งสองคนจะรู้จักกันเฉพาะจากที่เขาเคยเล่าให้ฟังเท่านั้น  ทุกครั้งเขาเองก็เห็นว่า ‘นักบินตาตี่’ ให้ความสนใจในตัว ‘น้องสาว’ พอสมควร หากมีคนจีบ ‘น้องสาว’ แบบจริงจัง เขาจะรู้สึกยังไงกันแน่ นนท์จึงเลือกใช้วิธีนี้และเวลาเดียวกันเขาก็ลองมองผู้หญิงคนอื่น นอกเหนือจาก ‘น้องป่าน’ และในวันนั้น…นักบินคนใหม่ยังจำเหตุการณ์และความรู้สึกในวันที่ไปยืนรอรับน้องป่านที่มหาวิทยาลัยครั้งสุดท้ายได้ดี...

                 ขณะที่สายตามองเห็น ‘น้องสาว’ วิ่งเข้ามาหา ความรู้สึกสับสน กระวนกระวาย ประหม่า ใจสั่น จู่โจมเข้ามาหาเขา เพราะไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรดีหากน้องสาววิ่งเข้ามากอดเหมือนทุกครั้ง  แต่ยังไม่ทันจะคิดอะไรออก  สาวสวยที่แต่ก่อนเป็นแค่สาวน้อยก็โผเข้ามาหาเขาดังเช่นทุกครั้งที่เจอกันนับตั้งแต่ที่เขาออกจากบ้านไปอยู่โรงเรียนเตรียมทหารเมื่อหลายปีก่อน   สุดท้ายก็ได้แต่อ้าแขนรอรับร่างบาง

                “พี่นนท์ขา...คิดถึงที่สุดเลย” สาวสวยช้อนตาขึ้นมาปากส่งเสียงออดอ้อนเหมือนที่ทำเป็นประจำในขณะตัวยังอยู่ในอ้อมกอด

               “พี่ก็คิดถึงน้องป่านนะ...ไม่เจอกันนานแค่ไหนแล้วนี่”

              “ไม่รู้สิ ป่านไม่นับหรอก ไม่เห็นพี่นนท์แค่วันเดียว ป่านก็คิดถึงแล้วล่ะ”

                ตอนนั้นเขารู้สึกกลัว...กลัวว่าเธอจะรู้ว่าเขาตื่นเต้น  กลัวเธอได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังเต้นรัวเมื่อเธอซุกหน้าอยู่กับอกเขา   แต่ก็ไม่กล้าผลักร่างบางออก ได้แต่ยกมือใหญ่แข็งแรงลูบไหล่ หลังของ ‘น้องสาว’ เหมือนเช่นที่เคยทำ   หากเป็นเมื่อก่อนหน้านั้นเขาคงไม่ลังเลที่จะจุ๊บหน้าผากเกลี้ยงเกลาหรือว่าหอมแก้มนุ่ม ๆ ซักฟอดเพื่อให้หายคิดถึง   แต่วันนั้นเขาจำได้ว่าไม่กล้าทำ เพราะเขา...อาย...อายเพราะรู้สึกถึงความไม่บริสุทธิ์ใจของตัวเอง และถ้าหาก ‘น้องสาว’ รู้ว่าเขาแอบ ‘รัก’ เธอเข้าแล้ว เขาก็กลัวสูญเสียเธอไป หากเธอรับไม่ได้

                 ร่างบางของสาวสวยถูกปล่อยออกจากอ้อมกอดเมื่อเวลาผ่านไปพอสมควร   น้องป่านหันหน้าหันหลังมองหาเพื่อน ‘หมวย’ ที่วันนี้มีนัดไปทำงานที่บ้านเธอก่อนที่เขาจะโทรไปบอกว่าจะไปรับที่มหาวิทยาลัย   มีหญิงสาวอีกคนยืนอยู่ข้างหลังเธอไปนิดเดียว ป่านเรียกเพื่อนมา และแนะนำเขาให้รู้จัก

               “พี่นนท์คะ...นี่หมวยเพื่อนของน้องป่านค่ะ”

               “สวัสดีค่ะพี่นนท์...แหม หล่อยังกับเทพบุตรเลยนะ  เหมือนที่ป่านอวดไว้จริง ๆ ด้วย” หมวยชมเขาแบบไม่อ้อมค้อม

                “ขอบคุณครับน้องหมวย ยินดีที่ได้รู้จัก แต่พี่มีหนุ่มหล่ออีกคนที่อยากแนะนำให้สองสาวรู้จักนะ” เขาทักทายเพื่อนน้องสาวเสร็จจึงพาสองสาวเดินมาที่รถที่มีเพื่อนรักยืนรออยู่

               “นี่รัญ...เรืออากาศโทหิรัญ วงศ์วรรธน์ เพื่อนของพี่ อนาคตนักบินขับไล่ F-16 อีกคนครับ”

             “สวัสดีค่ะพี่รัญ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” สองสาวยกมือไหว้เพื่อนพี่ชายพร้อมกัน

             “หวัดดีครับ ว่าที่นักวิเคราะห์ข่าวสาวสวย เอ๊ะ...ทั้งสองคนเลยรึเปล่านี่” เพื่อนเขารับไหว้พร้อมกับยกตำแหน่งที่น้องสาวของเขาใฝ่ฝันอยากเป็นให้ทันที

             “ทำไมพี่รัญรู้ล่ะคะว่าน้องป่านอยากเป็นนักวิเคราะห์ข่าว ?”

              “ก็พี่นนท์ของน้องป่านน่ะสิ พูดจนพี่คิดว่าพี่รู้จักน้องป่านมานานแล้ว”

             “พี่นนท์นินทาอะไรน้องป่าน ให้พี่รัญฟังมั่งนี่ ?”

            “เฮ้ย...ไอ้รัญ...แกก็พูดไปเดี๋ยวน้องฉันเข้าใจผิดหมด...พี่ไม่เคยนินทาน้องป่านนะ” เขาดุเพื่อนเบา ๆ ก่อนจะหันกลับพูดแก้ตัวกับน้องสาว

              “ใช่ ใช่ ไอ้นนท์มันไม่ได้นินทาอะไรน้องป่านหรอก แค่มันเพ้อพร่ำ พูดถึงน้องป่านไม่หยุดปาก  จนพี่อยากเห็นตัวจริงสักที  พอมันชวนมาเที่ยวบ้าน มันอยากให้พี่รู้จักกับน้องป่านไว้  พี่เลยกระโดดขึ้นรถตามมาแบบไม่ต้องรอให้ชวนรอบสอง  ใช่ไหมไอ้นนท์” เพื่อนรักของเขาส่งสายตาหวานหยดไปหาน้องสาว ในขณะที่แก้ตัวแทนเขา ก่อนบอกจุดประสงค์ที่ไปกับเขาในวันนั้น

              “อือ...อือ...ใช่แล้ว พี่อยากให้น้องป่านกับไอ้รัญรู้จักกันไว้” เขาจำได้ว่าตอบน้องสาวไม่เต็มเสียงนักเพราะรู้สึกว่าแผนที่คิดว่าจะให้เพื่อนจีบน้องสาวได้ผลเกินคาด ตอนที่เห็นเพื่อนส่งสายตาหวานฉ่ำไปที่น้องสาว ใจเขากลับรู้สึกหวั่น ๆ

               “ดีเหมือนกันค่ะ วันนี้หมวยก็จะไปทำงานที่บ้านป่านเหมือนกัน จะได้มีเพื่อนหลาย ๆ คน สนุกดี แต่ว่าตอนนี้เราไปซื้อกับข้าวก่อนดีกว่า เข้าบ้านไปแล้วจะได้ไม่ต้องออกมาอีก” น้องป่านบอกแผนการพร้อมกับชวนเขาไปหาซื้ออาหาร

              “เออ...น้องป่าน พี่ว่าเราต้องซื้อกัข้าวหลายอย่าง แล้วอยู่คนละทางด้วย เราแยกกันไปซื้อดีกว่าไหม จะได้เสร็จเร็ว ๆ ป่านเอารถมาอยู่ใช่ไหมครับ ?”

               “ค่ะ...ป่านขับรถมา”

               “ถ้างั้นป่านไปกับพี่รัญนะ ไปซื้ออีกทาง ส่วนพี่จะไปกับหมวยอีกทางเพราะเราสองคนรู้จักทางต้องแยกกันไป” เขาจัดแผนการเดินทางให้ทันทีโดยไม่ลืมแผนพิสูจน์หัวใจตัวเอง ทั้ง ๆ ที่หวั่น ๆ แต่ก็อยากตอบคำถามของตัวเองให้ได้สักทีว่าเขา ‘รักเธอเข้าแล้ว’ หรือแค่ ‘เคยชิน’ กับสิ่งที่เคยได้รับจากสาวสวย

                นนท์ไม่มีโอกาสรู้เลยว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนั้นสิ้นสุดลงที่ ความรู้สึก ‘เจ็บปวดและสับสน’ ของป่าน ซึ่งแอบเก็บความรู้สึกที่เรียกว่า ‘รัก’ ที่มีต่อพี่ชาย โดยยอมทำตัวให้อยู่ในฐานะ ‘น้องสาว’ เพื่อจะได้เอาใจ ดูแล ‘พี่ชาย’ เหมือนที่เคยทำ ได้รับการโอบกอด หอมแก้ม หยอกล้อ และเอาอกเอาใจจาก ‘พี่ชาย’ เหมือนที่ผ่านมา

                 “พี่นนท์นั่ง ๆ ค่ะ...ตรงนี้เลย” หมวยจัดแจงที่นั่ง หยิบช้อนส้อม จานชามให้พร้อมทั้งบริการหยิบโน่น เติมนี่ ปากก็เจื้อยแจ้วเชื้อเชิญให้กินอาหารหลากหลายที่นนท์รู้จักเป็นอย่างดี
      “อันนี้อร่อยนะคะ”
      “อุ๊ยอันนั้นน่ากิน พี่นนท์ลองไหมคะ”

                 “พี่นนท์คะ บ้านหลังนี้พี่นนท์คงจำไม่ได้แล้วใช่ไหม? มือก็ไม่มี หยิบกินเองไม่เป็นด้วย” ป่านพูดด้วยความน้อยใจ

                 “ป่านต่างหากที่น่าจะลืม...ไอ้ติ่มซำพวกนี้ก็เหมือนกัน ถ่อไปซื้อมาจากไหน พี่ไม่เคยบอกว่าชอบกิน” เขาโพล่งออกไปเพราะลืมตัว ที่เห็นอาหารที่เขาไม่เคยชอบกิน

                 “พี่นนท์คะ ป่านไม่เคยลืม…ไม่เคยเลยแม้แต่อย่างเดียว ทุกอย่างมันฝังอยู่ในหัวใจของป่านค่ะ” เสียงแผ่ว ๆ สั่นเครือออกมาจากปาก หัวใจสั่นหวิว ก้อนสะอึ้นวิ่งขึ้นมาจุกอก ‘ทำไมพี่นนท์ต้องพูดแบบนี้กับป่านด้วย พี่ไม่รู้เลยรึไงว่าป่านเจ็บปวดที่สุดแล้ว ป่านเห็นหมวยเอาใจพี่นนท์ ป่านอยากทำอย่างที่เคยทำ อยากให้พี่นนท์เรียก code สีแดงสักที แต่พี่นนท์ก็ไม่เรียก หัวใจของป่านจะแหลกสลายลงไปแล้ว’

                ความรู้สึกน้อยใจที่เขาทำในวันนั้น ทำให้ป่านเลือกที่จะประชด ‘พี่ชาย’ โดยการให้ความสนิทสนมกับเพื่อนของเขามากขึ้น เมื่อหิรัญติดต่อกลับไปหาเธออย่างสม่ำเสมอ

                ส่วนเขา...ในขณะที่มองเห็นเพื่อนรักติดต่อกับ ‘น้องสาว’ สม่ำเสมอ หัวใจก็เริ่มร้อนรน  กระวนกระวาย  อีกทั้งการติดต่อกับ ‘สาวสวยเซ็กซี่ อกระเบิด หุ่นสะบึ้ม’ ไม่ว่าจะเป็นน้องสาวของรุ่นพี่   หรือลูกสาวของเจ้านาย...เพื่อจะสำรวจใจของตัวเอง  แต่สุดท้ายบอกได้แค่ว่า  ‘คนนี้ไม่ใช่น้องป่าน’ ใช่แล้ว...แน่นอนแล้ว...เขารัก  ‘น้องสาว’  มันไม่ใช่แค่ความเคยชิน   ความรู้สึกหวงแหน หึงหวง วิ่งแซงความรู้สึกอื่นใด  แต่ตอนนี้จะทำยังไง น้องป่านเลือก ‘นักบินตาตี่’ ไปแล้ว


                 “นนท์...ดีใจด้วยนะเพื่อน คนเก่งอย่างนาย ก็อนาคตไกลอย่างนี้แหละ” เสียงห้าวของเพื่อนเรียกเขาให้ตื่นขึ้นจากความกลุ้ม

                “เออ...ขอบใจ” เสียงศร้า ๆ ขัดกับสิ่งที่ได้รับการแสดงความยินดีดังออกมา  แววตาไหววูบเมื่อนึกถึงใครอีกคนที่อยากให้รู้

                “รัญ...ฉันขอถามแกหน่อยได้ไหมว่า ตอนนี้แกกับน้อง...เอ่อ...น้องป่าน ยังรักกันดีอยู่รึเปล่า ?” นนท์ถามเพื่อนเพราะเขาต้องทำบางอย่างก่อนที่จะตัดสินใจให้เด็ดขาด

               “แกถามทำไมวะ...คนไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน มันก็ต้องยังรักกันดี”

                สายตาคมเปล่งแสงเด็ดเดี่ยว ลุกวาบออกมาทันที

               “ถ้าอย่างงั้น...ฉันขอโทษด้วยนะเพื่อน ฉันจะได้คิดว่า แกเป็นคู่แข่งคนสำคัญ  เพราะฉันคงไม่ปล่อยให้คนที่ฉันรัก ทะนุถนอมมานานปีต้องตกไปเป็นคนรักของคนอื่น ก่อนที่ฉันจะมีโอกาสได้บอกเธอหรอก” นนท์บอกเพื่อนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ตบบ่าเพื่อนหนัก ๆ

             “เฮ้ย...อะไรวะไอ้นนท์ แกว่าอะไรนะ?”

            “ฉันรักน้องป่านเหมือนกัน...และฉันจะลงสนามแข่งกับแก”

            ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า “แกคิดว่าแกจะชนะฉันเหรอไอ้นนท์ ฉันก็เป็นนักสู้เบอร์หนึ่งเหมือนกัน” หิรัญท้าทายเพื่อน

             “ฉันคงไม่บอกว่า...คนนี้พี่ขอ...เหมือนนางเอกรถไฟฟ้าฯ หรอกนะ เพราะฉันสู้ตายด้วยตัวของฉันเองแน่นอน   และก็จำได้มาตลอดด้วยว่า  ที่ฉันเคยแพ้แกเพราะฉันยอมที่จะแพ้ แต่ถ้าฉันไม่คิดจะยอม ฉันก็ไม่เคยแพ้ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน”

              “ถ้างั้น วันนี้เราไปฉลองกันก่อนที่จะเป็นคู่ต่อสู้กันดีกว่าไหม ให้ฉันได้เลี้ยงฉลองความสำเร็จของนายในฐานะเพื่อนก่อนลงสนามดีกว่า” หิรัญชวนเพื่อนไปฉลอง  เขาเองไม่ได้รู้สึกเสียใจเลย  เพราะรู้มาตลอดที่ติดต่อกับน้องป่านว่า ‘น้องสาวเพื่อน’ ไม่เคยมีใจให้เขา

                “ได้สิ ไหน ๆ ก็ต้องลงสนามหัวใจกันอยู่แล้ว ถ้าใครแพ้ก็จะได้แพ้อย่างลูกผู้ชาย กระชับมิตรกันไว้ก่อน จะได้ไม่เป็นศัตรูกันทีหลัง” นนท์รับคำเพื่อนทันที เพราะพรุ่งนี้เขาต้องรุกและจะต้องบอกน้องป่านก่อนบินแน่นอน


              อีกมุมหนึ่งของกรุงเทพมหานครฯ
                “ป่าน...ป่านรู้เรื่องรึยัง ? พี่นนท์ได้ทุนไปฝึกบินที่อเมริกาปีหนึ่ง” หมวยถามเพื่อนหลังออกจากห้องสอบ   มันเป็นความบังเอิญที่หมวยรู้เรื่องของอนนท์เพราะหิรัญบอกว่าโทรหาป่านแล้วแต่โทรไม่ติด จึงโทรหาเธอแล้วเล่าเรื่องที่นนท์สอบผ่านให้ฟัง

                 “อะไรนะ ? อ๋อ...พี่นนท์จะไปอเมริกาเหรอ ยังไม่รู้หรอก ตอนนี้ป่านยุ่ง ๆ อ่านหนังสือสอบ ไม่ค่อยได้คุยกับพี่นนท์ ” ป่านรีบปรับอารมณ์ ข่มความน้อยใจอย่างเต็มที่ พูดเสมือนกับสิ่งที่เพื่อนบอกไม่น่าสนใจแต่อย่างใด

                “สอบเสร็จแล้ว เย็นนี้ป่านไปไหนไหม ไปฉลองบัณฑิตใหม่กันดีกว่า”

              “ไปสิ...ดีเหมือนกันนะ ไม่ได้เที่ยวนานแล้ว ถ้าจบแล้วไปทำงาน คงไม่ค่อยได้เที่ยวอีก...ไปซะมันวันนี้แหละดี” ป่านตอบรับเพื่อนทันที เหตุผลของการอยากเที่ยววันนี้มีมากมาย แต่เหตุผลหลัก คือ ความเสียใจ น้อยใจ พี่ชายสุดที่รัก ที่ไม่มีเธออยู่ในสายตาอีกต่อไปแล้ว

             “มีใครไปบ้างล่ะหมวย?”

              “มีไอ้นิก ไอ้เจษ และก็คงมีอีก คงราว ๆ ห้าหกคนมั้ง ไปเจอกันที่ร้าน........ตอนสี่ทุ่มนะ”

             “ได้เลย เจอกันที่ร้านก็แล้วกัน” ป่านพูดจบรีบแยกย้ายจากเพื่อนทันที


              ในร้านชื่อดังแห่งหนึ่งของนักท่องราตรี   คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย หนึ่งในนั้นคือกลุ่มบัณฑิตใหม่   ที่กำลังสนุกสนานกับความสำเร็จขั้นแรกในชีวิต   เสียงพูดคุยจ๊อกแจ๊กถึงงานในอนาคตดังสลับกันคลอไปกับเสียงดนตรีคลาสสิคแผ่ว ๆ ที่เหมาะกับการนั่งดื่ม นั่งคุย   แต่ในจำนวนนั้นหญิงสาวคนหนึ่งกลับไม่รู้สึกอยากร่วมวงสนทนากับเพื่อน   เสียงดนตรีเพราะ ๆ ที่ผ่านเข้ามาในโสตประสาทไม่ได้ทำให้บรรยากาศเหล่านั้นเลยดีขึ้น   ความรู้สึกน้อยใจ   เสียใจยังไม่หายไป   สำหรับเธอจึงมีแต่ความเงียบกับแก้วเครื่องดื่มน้ำสีอำพันในมือเท่านั้นที่เธอรับรู้


      ที่ประตูทางเข้าร้าน ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสองคนกำลังเดินเข้ามา ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินดุ่มโดยไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ในขณะที่อีกคนสอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ ร้าน


                 “เอ๊ะ...นั่นน้องป่านกับน้องหมวยนี่ มาเที่ยวกันด้วยเหรอ?” เสียงหนุ่มหน้าตี๋ดังขึ้นพอที่จะทำให้คนที่เดินนำหน้าหยุดชะงักและหันไปมองทางที่เพื่อนชี้ไป

               “เออ...สงสัยคงมาฉลองสอบเสร็จกันมั้ง ไปเถอะ...ไปหาที่นั่ง” นักบินหน้าหยกรีบชวนเพื่อนหาที่นั่งเพราะตอนนี้ใจกำลังเต้นโครมครามที่บังเอิญเจอคนที่ต้องการเจอก่อนเวลาอันควร

             “ได้ไง...เจอคนรู้จัก คนรัก หวานใจ แกไม่คิดจะไปทักทายหน่อยเหรอ ไหนบอกว่าจะลงสนามแล้ว  แค่นี้ก็จะวิ่งหนี  แล้วจะบังอาจมาแข่งกับฉันได้ไง” หนุ่มหน้าตี๋ท้าทายเพื่อนอีกครั้ง

             “ก็ได้...เอาสิ แกเข้าไปทักน้องเขาก่อนนะ ฉันจะหาที่นั่งรอ เดี๋ยวตามไป”

            “มาเถอะ...ไปด้วยกัน” นักบินหน้าตี๋พูดพร้อมกับลากแขนเพื่อนเดินไปที่โต๊ะเป้าหมายทันที

            “สวัสดีครับน้องป่าน น้องหมวย และก็ทุก ๆ คน” เสียงทักทายดังขึ้น ดึงความสนใจจากทุกคนที่นั่งในโต๊ะให้หันไปมองที่มาของเสียง

             “อ้าว...หวัดดีค่ะพี่รัญ พี่นนท์ มายังไงไปยังไงกันเนี่ย ถึงมาถึงนี่ได้” เสียงสาวหมวยตอบรับพร้อมกับส่งคำถามออกไป

            “พี่มาฉลองกับไอ้นนท์...ที่มันผ่านการคัดเลือกให้เป็นคนที่ต้องไปนำความรู้กลับมาป้องกันราชอาณาจักรไทย”

            “แล้วพี่ ๆ นั่งโต๊ะไหนกันคะ นั่งกับพวกหมวยไหม?” สาวหมวยถามพร้อมกับชวนสองหนุ่มร่วมวง

            “ดีสิ...จะได้ไม่ต้องหาที่นั่ง ดื่มกันสองคนเหงาด้วย อยู่หลาย ๆ คนแบบนี้คงสนุกกว่ากัน” หิรัญรีบรับข้อเสนอ

             “นนท์...แกเข้าไปนั่งตรงนั้นเลย ข้าง ๆ น้องหมวยโน่น ฉันนั่งตรงนี้เอง” หิรัญรีบตัดหน้าชิงโอกาส

               หนุ่มหน้าหยกเดินไปนั่งลงที่ว่างข้างสาวหมวยแต่ในใจกลับไม่ได้กลัวเพื่อน ในความคิดของเขา ‘แค่ที่นั่งห่างกัน ไม่สามารถกั้นหัวใจฉันได้หรอก ฉันลงสนามแล้วตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป นายทำใจได้เลย ฉันไม่ปล่อยเวลาโดยเปล่าประโยชน์อีกแล้ว’

                นักบินคนเก่งต้องยกแก้วชน ครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะทุกคนเมื่ออยากยก สิ่งแรกที่เป็นเหตุผลในการยกแก้ว คือ ‘แด่ความสำเร็จของพี่นนท์’ เขาเลยต้องยกตามทุกครั้ง แต่มีหนึ่งสาวที่ตกอยู่ในความเงียบท่ามกลางความเฮฮานั้น

               “ป่านขอตัวไปห้องน้ำเดี๋ยวนะคะ” หญิงสาวขอตัวไปห้องน้ำ ความน้อยใจที่มีอยู่ เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ เมื่อเธอคิดว่าพี่นนท์มาพบหมวยกับเธอที่นี่ คงเป็นเรื่องที่สองคนนัดกัน ไม่ใช่การมาพบโดยบังเอิญ แม้กระทั่งความสำเร็จที่เขามีความสุขกับการฉลองตอนนี้เธอแทบไม่รู้เรื่องเลยหากไม่ได้ยินที่หมวยบอก

               นักบินหนุ่มที่มีสมองปราดเปรื่อง เคยรู้มาว่าคนที่ดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปสักระยะ พอระดับแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดสูงได้ที่ มันจะไปออกฤทธิ์สั่งการที่สมองให้คนดื่มรู้สึกสนุก ต่อจากนั้นก็กล้า และต่อมาก็รู้สึกเศร้าเคล้าน้ำตา  สุดท้ายก็ลืมทุกอย่างที่อยากลืม ตอนนี้เขาคงอยู่ในโหมดความกล้า เพราะความในใจที่พกพามา เริ่มอยากบอกให้อีกคนรับรู้ หลังจากที่เคยกลัวกับการสูญเสีย แต่ทว่าตอนนี้มองหา ‘น้องสาว’ คนที่อยากบอกแต่ไม่เจอ ‘ทำไมน้องป่านไปห้องน้ำนานจังเลย’ 


             เวลาผ่านไปร่วมครึ่งชั่วโมงน้องสาวที่ไปห้องน้ำยังไม่ยอมกลับมา พี่ชายที่นั่งรอเริ่มกระสับกระส่าย หันมองซ้าย-ขวา หน้า-หลัง จนสุดท้ายไม่อาจทนรอต่อไปได้

              “ฉันไปตามน้องป่านก่อนนะไอ้รัญ ไม่รู้ว่าเมารึเปล่า หรือว่าหลับในห้องน้ำแล้วก็ไม่รู้”

              “หมวยไปด้วยค่ะพี่นนท์ ถ้าป่านอยู่ในห้องน้ำผู้หญิง หมวยจะได้ตามเข้าไปหาได้” สาวหมวยรีบเสนอตัวเป็นผู้ช่วย

               “อือ..ก็ดีเหมือนกัน ไปเถอะหมวย พี่เป็นห่วงป่าน” ชายหนุ่มรีบลุกเดินลิ่วตรงไปทางห้องน้ำหญิงทันทีโดยมีมือเล็กของสาวหมวยที่ถูกมือใหญ่ดึงลากตามมาติด ๆ

                  ภาพสองหนุ่มสาวที่เดินจูงมือกันไม่ได้พ้นแววตาเศร้า ๆ ของ ‘น้องสาว’ ที่ออกมานั่งสงบอารมณ์อยู่นอกร้าน เธอไม่อาจทนมองเห็นภาพและจินตนาการจากความคิดของตัวเองที่คิดว่าหมวยและพี่นนท์คงรักกันได้ และภาพตรงหน้าได้ตอกย้ำสิ่งที่เธอคิดให้กระจ่างยิ่งขึ้น สุดท้ายเธอจึงเลือกนั่งอยู่ด้านนอก ปล่อยน้ำตาให้รินไหล รดหัวใจที่กำลังเจ็บแปลบ เฝ้าบอกตัวเองว่า เวลาของน้องสาวคนนี้หมดลงแล้ว  เธอจะขอร้องไห้วันนี้เป็นวันสุดท้าย ร้องให้กับความรู้สึกที่เปลี่ยนแปรไป และจะกลับไปเป็นน้องสาวให้กับเขาเหมือนเดิม

                 “น้องป่าน...เป็นไงทำข้อสอบไม่ได้เหรอ หรือว่ากลัวไม่ได้งานที่สมัครไว้ เลยมาแอบนั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้ ไม่เห็นโทรไปเล่าให้พี่ฟังเลย ” นนท์นั่งลงข้างหญิงสาว หลังจากที่เดินหาจนทั่วร้าน หาในห้องน้ำทุกห้องไม่เจอ สุดท้ายเดินมาพบน้องสาวนั่งน้ำตานองหน้าอยู่ด้านนอก  แต่เขาเลือกที่จะถามเรื่องทั่ว ๆ ไป เพราะเขาเองก็ไม่รู้สาเหตุของน้ำตานั้น

               “พี่นนท์อยากรู้ด้วยเหรอคะ ว่าป่านเป็นยังไง ขนาดเรื่องของพี่นนท์ พี่ยังไม่เห็นบอกป่านเลย ต้องให้รู้จากปากคนอื่น”

               “อ๋อ...เรื่องที่พี่ต้องไปอเมริกาเหรอ พี่ต้องบอกน้องป่านอยู่แล้ว แต่กะว่าจะไปบอกพรุ่งนี้ ไม่คิดว่าจะเจอป่านก่อน”

               “แต่พี่ก็เลือกที่จะบอกหมวยก่อน ใช่มั้ยคะ ป่านคงไม่ใช่คนที่พี่เลือกที่จะให้รู้เป็นคนแรกอีกแล้ว เพราะพี่มีคนรักแล้ว ป่านก็ต้องสำคัญน้อยกว่าคนรักของพี่ ป่านเป็นแค่น้องสาว” หญิงสาวตัดพ้อคนข้าง ๆ ดวงตาแดงช้ำหันมามองหน้าชายหนุ่ม

             “ทำไมป่านคิดแบบนั้นล่ะ...พี่ไม่เคยคิดที่จะบอกให้ใครรู้เรื่องที่สำคัญที่สุดของพี่เป็นคนแรก นอกจากป่าน”

              “แต่ก่อนอาจจะใช่ แต่ตอนนี้คงไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ” เสียงแผ่ว ๆ ดังออกมาจากปากหญิงสาว

             “ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหน พี่ก็ไม่เคยมีใครเป็นที่หนึ่ง นอกจากป่านคนเดียว”

              “ทำไมพี่นนท์ต้องหลอกป่านด้วย ทำไมต้องโกหกป่าน ในเมื่อป่านรู้เรื่องจากหมวย ไม่ใช่จากพี่” เสียงสั่น ๆ เพราะแรงสะอื้นเริ่มดังขึ้น

              “หมวยอาจรู้ แต่ไม่ใช่จากพี่ เพราะพี่ไม่เคยคิดที่จะบอกใครก่อนป่าน”

              “พี่นนท์ทำตัวห่างเหิน พี่ไม่โทรหาป่าน ป่านต้องรู้เรื่องพี่ผ่านทางหมวย ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนพี่โทรหาป่านตลอด”

               “ป่านล่ะ...พี่รอนะ รอว่าวันไหนป่านจะเรียกพี่ ป่านลืมเรียก Code red ไปแล้วเหรอ หรือว่าไม่จำเป็นต้องใช้มันแล้ว ป่านเจอคนที่ใช่แล้วใช่ไหม?”

               “ ป่านจะเรียกได้ยังไง ในเมื่อป่านไม่มีใครอีกแล้ว ถึงมีคนมาจีบ ป่านก็คงเรียกพี่ไม่ได้อีก เพราะพี่ก็คงไม่สามารถมาทำหน้าที่นั้นได้อีกแล้ว แฟนพี่ก็ต้องเข้าใจผิด”

                “ใครเป็นแฟนพี่ พี่เคยบอกป่านเหรอว่ามีแฟนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรของพี่ ถึงรู้ช้าหรือเร็ว ป่านจะเป็นคนแรกที่พี่จะบอก...ทุกเรื่อง”

                “หมวยไง เป็นแฟนพี่ เมื่อกี้ป่านยังเห็นเดินจูงมือกันอยู่เลย”

              “น้องป่านครับ...มองตาพี่แล้วก็ฟังนะ พี่มีเรื่องจะบอก...”  นนท์ใช้มือใหญ่กุมมือบอบบางขึ้นมาแนบหน้าอกบริเวณที่หัวใจกำลังเต้นรัว ตาจ้องตา

               “ตลอดเวลาสิบเจ็ดปี ไม่มีมือไหน ๆ ที่พี่เคยจับมาเหมือนมือของป่าน ใบหน้าหมื่นแสนคนที่ผ่านสายตา ไม่เคยมีใครติดตาติดใจพี่ตลอดเวลาทั้งยามหลับและยามตื่นเหมือนใบหน้าสาวน้อยคนนี้  เสียงทุกเสียงที่พี่เคยได้ยิน ไม่มีเสียงไหนเพราะพริ้งเท่าเสียงเรียกหาพี่จากริมฝีปากบาง ๆ นี้”

             มือใหญ่ที่เกาะกุมมือเล็กย้ายขึ้นมาประคองใบหน้านวลให้แหงนเงยเพื่อรอรับริมฝีปากอุ่นที่ประกบลงมาที่ริมฝีปากบางอย่างแผ่วเบา ความรักความอบอุ่น อ่อนโยนถ่ายทอดผ่านรอยจูบที่นุ่มนวล หญิงสาวเผยอปากเปิดรับความอ่อนหวานโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่จูบอบอุ่นจะเปลี่ยนเป็นเร่าร้อน สติของคนที่บอกตัวเองว่าจะเป็นน้องสาวกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว   พร้อมกับก้มหน้าหลบสายตาคมที่จ้องมาด้วยความอายที่เผลอใจไปกับชายหนุ่มที่เธอเรียกว่า ‘พี่ชาย’

              “พี่นนท์ทำแบบนี้ทำไม ทำไมต้องจูบป่าน ทำแบบนี้ป่านไขว้เขวนะคะ ถ้าแฟนพี่มาเห็นเข้าป่านจะแย่เอา”

             “โธ่...จนป่านนี้ ป่านยังไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่ทำเหรอ  หรือว่าป่านมีคนอื่นที่ทำแบบนี้กับป่านไปแล้ว”

                ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ตกใจกับคำพูดของพี่นนท์ ที่คิดว่าเธอเคยทำแบบนี้กับคนอื่น เคยจูบกับคนอื่น ก่อนที่พี่นนท์จะจูบเธอ ความน้อยใจจึงปรี่ขึ้นมาเต็มอกอีกครั้ง

             “พี่นนท์คิดว่าป่านเป็นยังไง เป็นคนแบบไหน จูบกับใครก็ได้ไม่เลือกหน้าเหรอคะ” เสียงสั่นเครือพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมาจากตาใสจนสุดจะกลั้น

             “พี่นนท์ขอโทษ...ขอโทษที่ทำให้ป่านเสียใจอีกแล้ว” ชายหนุ่มรีบเช็ดน้ำตาน้องสาวเหมือนทุกครั้งที่เธอเสียใจจนน้ำร่วง

              “ พี่ไม่ได้ตั้งใจดูถูกป่านนะ แต่พี่น้อยใจ ก็ป่านไม่ยอมเข้าใจในสิ่งที่พี่ทำนี่นา ป่านคิดว่าคนที่เขาจูบกัน เขาทำเพราะอะไรล่ะ”

              “ไม่รู้หรอก ป่านไม่เคยจูบกับใคร ไม่เคยมีใคร”

               “ไม่คิดบ้างรึไงว่า ที่พี่ทำไปเพราะหัวใจสั่งให้ทำ ถ้าป่านไม่คิดเหมือนพี่ ทำไมตอบสนองพี่แบบนั้นล่ะ ป่านก็ชอบที่พี่จูบไม่ใช่เหรอ”

               “ป่านเคยคิด แต่ว่าไม่แน่ใจ พี่นนท์หายไปเลย ไม่ติดต่อ ไม่กลับบ้าน ไม่ส่งข่าว แล้วจะให้ป่านเชื่อว่ายังไง”

               “รู้ไหม...ว่าพี่ต้องหักอกหักใจแทบตาย กว่าจะบังคับตัวเองได้ขนาดนั้น ไม่โทรมาหา ไม่พูดกับป่านในสิ่งที่ไม่สมควรพูดออกไป พี่กลัว...กลัวเสียป่านไป แต่วันนี้พี่ทนไม่ไหวแล้ว ต้องบอกให้ป่านรู้ ถ้าป่านตัดสินใจแบบไหน บอกพี่ด้วย พี่ยอมรับการตัดสินใจของน้องทุกอย่าง”

               “ป่านไม่เข้าใจ...พูดชัด ๆ ได้ไหม” หญิงสาวแกล้งไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่ชายพูดเพราะอยากได้ยินจากปากของเขา ไม่ใช่นั่งคิดเองแบบนี้

              “น้องสาวคนสวยของพี่ น้องเคยรู้บ้างไหมว่า ตอนที่เราเรียก Code Red กันน่ะ เป็นช่วงเวลาที่พี่มีความสุขที่สุด อย่างน้อยพี่ก็ได้มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะสูญเสียป่านไป เพราะมันเป็นสัญญาของเรา และทุกครั้งที่เป็นแบบนั้นพี่อยากบอกเลิกการใช้ Code เสียเอง พี่เหนื่อยใจ ทำไมต้องแกล้งเป็นแฟนกัน ทั้ง ๆ ที่หัวใจพี่พร้อมที่จะเป็นพี่ชาย เป็นคนรัก เป็นคนที่รักป่านและป่านรักคนเดียวตลอดไป” สายตาอ่อนโยน น้ำเสียงนุ่มถูกถ่ายทอดออกจากปากของผู้ชายตัวโตให้น้องสาวที่เขารักมาเนิ่นนานได้ยินเป็นครั้งแรก เขาไม่กลัวสิ่งใดแล้ว แม้กระทั่งการสูญเสีย

                 “แล้วพี่นนท์ไม่เคยรู้เลยรึไงว่า ป่านน่ะ ไม่ได้แตกต่างจากพี่เลย พี่นนท์ถูกเก็บอยู่ส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจป่าน ทำไมพี่ไม่มองดูบ้าง ป่านเหงาแค่ไหน เสียใจมากแค่ไหนที่พี่ทิ้งให้ป่านอยู่โดยที่พี่ไปสนใจคนอื่น ป่านยังไม่รู้เลยว่า ถ้าพี่มีแฟน แต่งงานไป ป่านจะอยู่ยังไง” เสียงสั่น ๆ เพราะแรงสะอื้นดังขึ้นอีกรอบ และแผ่วลงเรื่อย ๆ จนแทบไม่ได้ยิน

             “ถ้าพี่แต่งงาน ทำไมป่านถึงคิดว่าจะอยู่ไม่ได้ล่ะ ?”

      “........”

             “ถ้าน้องป่านคิดว่า ต้องอยู่กับพี่ ถึงจะอยู่ได้ พี่ว่าไม่น่าเป็นห่วงเลยนะ เพราะพี่จะไม่ไปไหนไกลจากป่านเลย ตลอดชีวิต” แขนแข็งแรงโอบกอดรอบตัวน้องสาวที่เขากอดมาแต่เล็กแต่น้อย กดศีรษะซบลงที่ไหล่แข็งแรง จมูกโด่งสูดความหอมจากผมนุ่ม นิ่งนาน

              “นั่นเป็นตอนที่พี่นนท์ยังไม่แต่งงาน ถ้าพี่แต่งแล้ว พี่ก็อยู่กับป่านไม่ได้ตลอดชีวิตหรอก”

              “ทำไมจะอยู่ไม่ได้ เพราะถ้าพี่จะแต่ง ก็ไม่เคยคิดจะแต่งกับใคร นอกจากแต่งกับน้องป่านคนเดียวเท่านั้น ถ้าป่านให้โอกาสพี่ รอพี่ได้ไหม ? คนดี ขอเวลาอีกไม่นาน...แล้วพี่จะกลับมา…กลับมารับสาวน้อยของพี่คนนี้...

               ดวงตากลมโตแหงนมองหน้าพี่ชาย จ้องลึกลงไปในดวงตาคมเข้ม สื่อความรักความจริงใจที่มีต่อกันออกมาจนหมด ยิ้มทั้งที่ยังมีคราบน้ำตาเต็มหน้า

               “ค่ะ...ป่านจะรอวันนั้น ตลอดชีวิตป่านไม่เคยรอใคร นอกจากพี่นนท์…และจะรอตลอดไป”

              หลังจากปรับความเข้าใจหนุ่มสาวเลือกนั่งอิงแอบที่ม้ายาวหน้าร้าน ฟังเพลงที่ส่งเสียงแผ่ว ๆ ที่ออกมาจากในร้านอย่างมีความสุข รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจที่มีโอกาสได้บอกความในใจแล้วไม่มีการสูญเสียตามมา

            “พี่นนท์คะ Code Red ทราบแล้วเปลี่ยน”

            พี่ชายทำหน้างุนงง สงสัย แต่ตอบกลับไปเหมือนทุกครั้งตามความเคยชิน

             “ทราบแล้วเปลี่ยน พร้อมลงมือปฏิบัติการครับผม...แต่พี่ขอถามหน่อยได้ไหมว่า ทำไมคราวนี้ต้องใช้รหัสแดงล่ะ”

             “เอ่อ...เอ่อ...คราวนี้เขาก็ใช้ได้ทุกอย่างนะคะพี่นนท์ แต่ไม่รู้เพราะอะไร น้องป่านก็ไม่รู้เหมือนกัน” น้องสาวตอบพี่ชายก่อนที่จะชี้มือไปทางที่ ‘นักบินตาตี่’ กำลังเดินมา

             ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า...ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ กับชัยชนะในศึกรักครั้งนี้
            “พี่ขอเปลี่ยนเป็น Code Love ได้ไหม เพราะพี่ไม่คิดจะเป็นแค่ ‘แสดงเป็นแฟน’ แต่พี่เป็นแฟนแล้วนะ” พูดจบชายหนุ่มหันไปรั้งสาวร่างบางเข้าสู่อ้อมกอดพร้อมกับโน้มหน้าเข้าหาใบหน้านวล   ริมฝีปากอุ่นประกบลงที่ริมฝีปากบางเนิ่นนาน   แสดงความมีชัยในศึกรักครั้งแรก...ให้ไอ้ตี๋เพื่อนรักดูและจะถนอม ‘รัก’ ที่เป็น ‘รักแรก รักเดียวไว้...ตลอดกาล’

            หนึ่งปีผ่านไป
             “ว่าที่คุณนายครับ... Code Love and Code Fly ทราบแล้วเปลี่ยน”   เสียงห้าวทุ้มที่ส่งผ่านมาทางโทรศัพท์ข้ามทวีปมาหาหญิงคนรักหลังจากทราบกำหนดการเดินทางกลับ

             “รับทราบค่ะ...พี่ชายสุดที่รัก”

            “อะไรนะ ยังเป็นได้แค่พี่ชายเหรอ?” เสียงงอน ๆ ยังตามมาอีกระลอกหลังจากได้ยินคำว่า ‘พี่ชาย’

             “ใครบอกว่าแค่พี่ชายคะ... 'พี่ชายสุดที่รักต่างหาก’ หรือจะให้เรียกว่า...ว่าที่สามีสุดที่รักคะ”

           “นั่นแหละ ถูกต้องที่สุดเลย ‘สามีสุดที่รัก’ เพราะพอเครื่องบินลงจอดที่สุวรรณภูมิแค่วันเดียว พี่ก็จะเป็นสามีของป่านแล้ว เรือนหอน่ะคุณพ่อกับคุณแม่จัดการให้พี่พร้อมแล้ว ว่าแต่ว่า...น้องป่านเข้าคอร์สเจ้าสาวพร้อมหมดแล้วรึยัง...โดยเฉพาะ Code จุด จุด จุด”

             คนที่อยู่อีกฟากของโลกไม่รู้ว่าไอ้ Code จุด จุด จุด ของเขาทำให้คนอีกฟากแก้มแดงเรื่อขึ้นทันทีพร้อมกับรอยยิ้มเอียงอายอยู่กับโทรศัพท์ เพราะกำลังคิดถึงวิธีการเตรียมตัวเป็น ‘ภรรยา’ ของตัวเองจนหนังสือนิยายโรม๊านซ์เต็มห้องนอนไปหมดแล้ว

             จากวันแรกที่ได้รู้จัก ความรักที่เกิดขึ้น ไม่เคยหายไปไหน เพียงแต่วันนั้นอาจเป็นวันที่ ‘รัก’ ในความหมายอีกแบบ แต่ตราบถึงวันนี้ ‘รัก’ นั้นยังเป็น ‘รักแรก รักเดียว รักสุดหัวใจ’

      ******************จบบริบูรณ์******

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×