คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ห้า
บทที่ห้า
“ เจ้าว่าอย่างไรนะ
” หัวใจยองกวังหล่นวูบไปกองอยู่แทบเท้า “ —เป็นลมเช่นนั้นหรือ? ”
“ ขอรับนายท่าน
”
เมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าได้เพียงไม่นาน
พ่อบ้านตระกูลคิมได้รีบเร่งนำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานมาแจ้งแก่ผู้เป็นนาย พ่อบ้านเล่าว่า
.. หลังจากคุณชายใหญ่กับกุงซูกลับมาจากด้านนอก เด็กหนุ่มได้มาเคาะประตูห้องของตนและบอกกล่าวเรื่องราวทั้งหมด
คุณชายใหญ่ยืนชมการแสดงเบื้องหน้าอยู่ดี ๆ แต่แล้วกลับมีอาการแปลกประหลาด
ใบหน้าที่มักประดับด้วยรอยยิ้มแช่มชื่นพลันซีดเผือด
ฝ่ามือเรียวกอบกุมลำคอของตนเองและทำท่าคล้ายหายใจไม่ออก นั่นทำให้กุงซูตกใจเป็นอย่างมาก
พยายามร้องเรียกหลายหนหากแต่ดูเหมือนว่าคุณชายใหญ่จะไม่มีสติรับรู้สิ่งใด ทว่าก่อนจะทันได้เข้าไปพยุงร่างที่ยืนโงนเงนนั้นเอาไว้กลับมีคนที่รวดเร็วกว่า...
“ ก่อนที่คุณชายใหญ่จะล้มลง — ก็ได้มีนักเต้นของคณะละครเร่ร่อนที่กำลังทำการแสดงอยู่เข้ามาช่วยเหลือขอรับ
โชคดีที่คนผู้นั้นรับร่างคุณชายใหญ่เอาไว้ได้ทัน
ไม่เช่นนั้นอาจจะฟกช้ำดำเขียวไม่น้อยขอรับ ”
ใบหน้าคนฟังคลายความเครียดขึงลงมาหลายส่วน
ทว่าความหนักอึ้งภายในใจถูกยกออกไปเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ยองกวังเคาะนิ้วลงบนโต๊ะอย่างครุ่นคิด
หกปีมานี้บุตรชายคนโตของตนไม่เคยเจ็บป่วยสักหน ทว่าอยู่ดี ๆ
กลับเป็นลมล้มพับโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้เขารู้สึกกังวลใจไม่น้อย
“
ตอนนี้อาการของแทฮยองเป็นเช่นไรบ้าง? ”
“ ดูเหมือนว่าจะปกติดีทุกอย่างขอรับ
”
ถึงจะเป็นเช่นนั้น ..
แต่จะให้วางใจได้อย่างไรกัน หลายปีก่อนที่บุตรชายอยู่ในสภาพซูบเซียวและทุกข์ทรมานจากโรคประจำตัวเปรียบเสมือนความหวาดกลัวที่ฝังรากลึกลงในจิตใจของยองกวัง
แม้ว่าด้วยเวทมนตร์บ้า ๆ นั่นจะมอบชีวิตใหม่ และทำให้บุตรชายลืมเลือนช่วงเวลาที่ศาลเจ้าไปหมดสิ้นก็ตามที
ไม่มีสักวันที่เขาหลงลืมว่าตนยังคงติดค้างบางสิ่งที่มีราคาแพงลิบลิ่วโดยไม่รู้เลยว่าจะต้องจ่ายด้วยสิ่งใด
“
เจ้าจงไปตามหมอมาตรวจคุณชายใหญ่เสีย เรื่องเช่นนี้ไม่ควรประมาท ”
เขากระซิบสั่ง
เสียงแผ่วเบาจนแทบจะกลืนเป็นเดียวกับเสียงหวีดหวิวของสายลม
“ นายท่านโปรดวางใจ ”
ไม่กี่ชั่วยามต่อมาจึงมีหมอท่านหนึ่งถูกเชิญมาถึงหน้าประตูห้องของคุณชายใหญ่
.. โดยที่อีกฝ่ายยังตื่นไม่เต็มตาเสียด้วยซ้ำ การตรวจร่างกายเป็นไปอย่างราบรื่น
หมอได้แจ้งแก่พวกเขาว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติเลยแม้แต่น้อย
คาดว่าที่คุณชายใหญ่เกิดเป็นลมล้มพับนั้นอาจจะเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอติดต่อกันเป็นเวลานาน
ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น .. บ่าวรับใช้ทุกคนต่างรู้ดีว่าคุณชายใหญ่มักนั่งวาดรูปจนดึกดื่น
บางวันก็ไม่ยอมหลับยอมนอน วันใดวันหนึ่งเกิดหน้ามืดขึ้นมาก็ไม่นับว่าแปลกอะไร
ดังนั้นเช้าที่แสนวุ่นวายจึงผ่านไปแต่โดยดี
แทฮยองยังคงเฝ้าครุ่นคิดถึงนักเต้นแสนเฉิดฉายผู้นั้นตลอดทั้งคืน
— จนกระทั่งแสงอรุณส่องลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง นอนเหม่อลอยเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงได้ไม่นานประตูห้องก็ถูกเคาะ
พ่อบ้านนำตัวหมอท่านหนึ่งบุกเข้ามาตรวจร่างกายของตนตั้งแต่เช้าเชียวหรือนี่
เขากุมขมับ รู้ได้ทันทีว่าเรื่องราวเป็นเช่นนี้เพราะใคร เจ้าเด็กกุงซูนั่นช่างปากสว่างดีแท้!
แค่หน้ามืดและหายใจติดขัดเพียงชั่วครู่เหตุใดจึงต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่
แต่ถึงอย่างไรตนก็เข้าใจในความเป็นห่วงของทุกคน .. แทฮยองจึงยินยอมให้ท่านหมอตรวจชีพจรและอาการอื่น
ๆ แต่โดยดี
“ ข้ากำชับเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าห้ามเอาเรื่องเมื่อคืนไปบอกใคร
”
เขาหันมาหากุงซูทันทีที่ทุกคนพากันยกโขยงออกจากห้องของตนไปจนหมด
นัยน์ตากลมโตหรี่ลง กะจะแกล้งข่มขู่เจ้าเด็กนี่ให้กลัวหัวหด เด็กหนุ่มย่นคอน้อย ๆ
ดวงตาหลุบมองต่ำ
รู้ตัวทันทีว่าตนเองกำลังตกเป็นเป้าหมายในการกลั่นแกล้งของคุณชายใหญ่
ถึงกระนั้นก็ยังทำใจกล้าเอ่ยวาจาเสียงอ่อย
“ แต่คุณชายใหญ่ ..
พ่อบ้านย้ำนักย้ำหนาว่าเรื่องสุขภาพของคุณชายใหญ่นั้นไม่อาจละเลยได้เลยแม้แต่น้อย
แม้จะแค่อาการเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ต้องแจ้งให้นายท่านทราบนะขอรับ ”
“ อย่าโกรธข้าเลยนะขอรับ ”
เพียงแค่นำ ‘นายท่าน’ มาอ้างคุณชายใหญ่ก็หมดฤทธิ์อย่างง่ายดาย
สีหน้านั้นอ่อนลงจนกุงซูลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างน้อย ๆ วันนี้หากตนรอดพ้นจากการถูกเย้าแหย่ให้หัวปั่นก็เป็นอันใช้ได้แล้ว
“ เฮ้อ ช่างมันเถิด
ข้าไม่โกรธเจ้าหรอก ”
“ เช่นนั้นคุณชายใหญ่ต้องการขนมหลังมื้อเช้าหรือไม่ขอรับ?
” กุงซูเงยหน้าขึ้นมอง ท่าทางเริงร่าขึ้นมาทันตาเห็น
เด็กหนุ่มรีบเอ่ยถ้อยคำเอาอกเอาใจผู้เป็นนาย ดูเหมือนว่าหน้าตาหงอย ๆ ของตนจะทำให้คุณชายใหญ่ใจอ่อนจริง
ๆ “ ข้ายกไปไว้ให้ท่านในสวนดีหรือไม่ขอรับ? ”
“ อืม ก็เอาสิ ”
แทฮยองคร้านจะสนใจกุงซูอีก
เขาผินหน้ามองออกไปข้างนอกหน้าต่างที่เปิดรับสายลมแห่งวสันตฤดู
กลีบดอกไม้ร่วงหล่นราวกับหิมะ ส่งกลิ่นหอมขจรขจายตลอดเวลา ฝ่ามือแบออกรอรับกลีบนั้นปลิวตกลงบนพื้น
แทฮยองเท้าคางบนขอบหน้าต่างอย่างเกียจคร้าน
ยามสายลมพัดมาใบไม้ดอกไม้แลดูคล้ายกำลังเต้นรำสนุกสนาน นั่นดอกไม้กลีบหนึ่งที่ปลิวมาตกลงกลางฝ่ามือ
ใช้เวลาพินิจมองมันไม่นานนักก็เป่าลมเบา ๆ ให้กลีบดอกไม้ทำให้เขาพาลนึกไปถึงใบหน้าเรียวเล็กของใครอีกคน
“ ข้ายังไม่ได้กล่าวขอบคุณเขาแม้เพียงครึ่งคำ...
”
“ อะไรนะขอรับ? ”
เด็กหนุ่มที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดเสื้อผ้าหันกลับมาทำหน้างุนงง
“ ไม่มีอะไร ”
หากคนผู้นั้นไม่เข้ามาช่วยเอาไว้เกรงว่าตัวเขาคงจะล้มหัวกระแทกพื้นแข็ง
ๆ ไปเสียแล้ว ไม่พออีกฝ่ายยังมีน้ำใจช่วยประคับประคองแทฮยองมาส่งถึงหน้าจวน
ลำพังแค่กุงซูที่ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่น่ะหรือจะสามารถแบกร่างของเขากลับมาได้
ทว่าพอเท้าเขาก้าวผ่านประตูรั้วของจวนตระกูลคิม .. คนผู้นั้นกลับไม่ได้ขยับตามเข้ามา
ใบหน้าก้มลงน้อย ๆ เป็นเชิงอำลา
หลังจากนั้นบ่าวรับใช้สองสามคนจะรีบกรูเข้ามาช่วยพยุงเขา สะบั้นโอกาสเล็ก ๆ
ในการทำความรู้จักกับใครอีกคนไปโดยสิ้นเชิง
รอยยิ้มเจือจางที่ประดับบนใบหน้าเรียวนั้นทำเอาตนเผลอเหม่อมองอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
ในเมืองหลวงล้วนเต็มไปด้วยผู้คนหน้าตาหมดจดงดงามมากมาย ประหนึ่งดอกไม้ที่แข่งกันชูช่อบานสะพรั่ง
ล่อตาล่อใจหมู่มวลภมร นักเต้นผู้นี้ไม่ได้งามหมดจดดังเช่นที่เขาเคยพบเห็นใครมาก่อน
— ทว่าอีกฝ่ายกลับมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่างที่ทำให้ไม่อาจจะละสายตาไปไหนได้เลย
อีกฝ่ายงามเหมือนดอกไม้ป่าหายาก มีสีสันโดดเด่นแปลกตา และมีกลิ่นอายแห่งความลึกลับทรงเสน่ห์
แววตาส่องประกายเช่นนั้นเขาไม่อาจลืมเลือนมันได้เลยแม้จะได้มองสบเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น
ๆ
“ กุงซู ” แทฮยองเอ่ยเรียกเด็กหนุ่ม นัยน์ตาเปล่งประกาย “ หลังมื้อเช้าเจ้าจงยกกระดาษ
หมึก สี และพู่กันไปไว้ในสวน ”
“ คุณชายใหญ่ต้องการสีอะไรบ้างหรือขอรับ?
”
“ สีแดง ”
ชายกระโปรงสีแดงพลิ้วไสวอาบไล้ด้วยแสงจากเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วง
วูบหนึ่งดูมีชีวิตชีวา วูบหนึ่งดูบ้าคลั่ง เส้นผมสีดำขลับปล่อยสยาย
และริมฝีปากแต้มด้วยสีชาด เขาจดจำมันได้เมื่อตกอยู่ในอ้อมแขนของนักเต้นผู้นั้นชั่วขณะหนึ่ง
ทั้งหมดเปรียบดังภาพที่สลักลงกลางใจ ยากจะลืมเลือน แทฮยองพบว่าตนเองหมกมุ่นยิ่งนัก
นักเต้นผู้นั้นมาจากแห่งหนใด? เดินทางมาไกลแค่ไหน? เป็นลูกเต้าเหล่าใคร?
เขาอยากรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ความรู้สึกที่เอ่อล้นในอกคลุมเครือราวกับมีเมฆหมอกปกคลุม
คล้ายนึกบางสิ่งออกแต่ก็เจือจางชวนสับสน
เขาเพียงแค่อยากพบนักเต้นผู้นั้นอีกสักครั้งหนึ่งเท่านั้น
และตอนนี้ตัวเขาก็ไม่รู้จะบรรเทาความรู้สึกท่วมท้นนี้เช่นไร
แทฮยองมักจะขลุกตัววาดรูปในยามเช้าและออกไปเที่ยวเล่นในยามบ่าย
ชีวิตแต่ละวันของเขาดำเนินเช่นนี้มาได้หลายปีแล้ว บางคนมองว่าเขาไม่เป็นโล้เป็นพาย
ตนเป็นถึงบุตรชายคนโตของเสนาบดีคิมกลับไม่เข้ารับราชการ เอาแต่เที่ยวเล่นไปวัน ๆ เทียบกับสหายสนิทแล้วช่างดูเลื่อนลอยไร้หลักแหล่ง
บางคนกลับมองว่าเขาช่างมีชีวิตที่สุขสบาย ไม่ต้องทำงานหนักก็มีกินมีใช้
พรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดอย่างเช่น การวาดรูป สร้างเม็ดเงินให้แก่เขาอยู่ไม่น้อย
แม้ไม่มากมายแต่ไม่เคยขัดสน หรือหากเขามีความคิดอยากจะเข้ารับราชการใน*โดฮวาซอก็ย่อมได้แน่นอน
ช่างมันปะไร ตัวเขาเพียงแค่รับฟังผ่านหู
ไม่ใคร่เก็บมาใส่ใจ ในวัยเด็กตนเคยป่วยหนักใกล้ตายมาก่อน จึงรู้ดีถึงรสชาติของการมีชีวิตครึ่งเป็นครึ่งตาย
อยากใช้ชีวิตแต่กลับไม่ได้ใช้ชีวิต
โลกภายนอกกว้างใหญ่แต่ตนทำได้เพียงเก็บตัวอยู่ในห้อง
ลำพังแค่ออกไปนั่งในสวนยังไม่อาจทำได้ดั่งใจ หากก็เป็นโชคดีของเขาที่ได้กลับมาสมบูรณ์แข็งแรงอีกครั้ง
นับแต่วินาทีนั้นจึงให้คำมั่นกับตนเองว่าจะใช้ชีวิตใหม่อย่างที่ใจต้องการ
ถึงแม้ท่านพ่อจะอยากให้เขาเข้ารับราชการแต่ก็ไม่ได้คิดฝืนใจเลยสักครั้ง
“ ท่านพี่! กำลังจะไปที่ใดหรือขอรับ
”
แทฮยองก้มลงสวมรองเท้าได้เพียงข้างเดียวก็หันไปพบใบหน้ากลม
ๆ ยิ้มแป้นของเจ้าน้องชายตัวแสบที่กำลังวิ่งตรงมาก่อนจะโผเข้ากอดรัดเขา
นัยน์ตาสุกใสเต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังอย่างปิดไม่มิด
ดูเหมือนว่าจะมีใครแอบไปกระซิบบอกว่าเขากำลังจะออกไปเที่ยวเล่นจึงได้รีบวิ่งมาหา
“ ไม่ใช่ว่าเจ้ารู้อยู่แล้วหรือ? ”
“ ข้าขอไปกับท่านพี่ได้หรือไม่ ”
เจ้าตัวแสบหาได้ปฏิเสธ ซ้ำยังพยายามก้มมาหอมแก้มเขาอย่างออดอ้อนเอาใจ
“ พาข้าไปกับท่านด้วยนะ ๆ ”
“ ขอคิดดูก่อน ”
เจ้าตัวแสบทำหน้ายู่พลางย่ำเท้าเล็กน้อยอย่างขัดอกขัดใจเมื่อเขาแกล้งทำท่าคิดหนัก
มือเล็กคอยกระตุกแขนเสื้อของเขาซ้ำ ๆ ก่อนที่จะตะโกนออกมาว่า
“ ข้าเคยได้ยินท่านพ่อกล่าวว่าท่านพี่จำเป็นต้องมีคนคอยดูแล
ฉะนั้นวันนี้ให้ข้าทำหน้าที่ดูแลท่านแทนกุงซูเถิด! กะอีแค่ดูแลท่านพี่คนเดียวข้าย่อมทำได้แน่นอน!
”
คนในจวนนี้เห็นเขาเป็นคุณหนูน้อยหรืออย่างไรกัน!?
แทฮยองถอนหายใจเบา ๆ
“ ข้าให้เจ้าตามมาด้วยก็ได้ แต่ไม่ต้องมาดูแลข้าหรอก
”
“ ข้าว่าแล้วเชียวว่าท่านพี่ต้องดูแลตัวเองได้แน่! ”
“ แต่เมื่อกี้เจ้าเพิ่งบอกว่าข้าต้องมีคนดูแลนี่
เฮ้อ .. ช่างเถิด ”
บ่ายวันนี้อากาศไม่ร้อนอบอ้าว สายลมพัดโชยตลอดเวลาเหมาะแก่การออกมาเดินเล่นอย่างยิ่ง
แทฮยองปล่อยให้น้องชายจับจูงไปทางโน้นทางนี้โดยไม่เอ่ยค้านอะไร
แต่ละร้านที่ยอนจุนแวะเข้าไปเยือนมักเป็นร้านขนมหวานเสียส่วนใหญ่
รองลงมาก็คือร้านขายของเล่น เจ้าตัวแสบกระโดดโลดเต้นอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
ฝีเท้าฉับไว ปากพูดจ้อตลอดทาง
“ ท่านพี่ ข้าอยากกินขนมร้านนี้ ”
“ ท่านพี่
ข้าอยากเข้าไปดูของเล่นร้านนั้น! ”
ช่างเป็นภาพน่ารักน่าชังนักเมื่อทุกคนเห็นว่าวันนี้คุณชายใหญ่ตระกูลคิมกำลังเดินจับจูงมือมากับคุณชายน้อยตระกูลคิม
คนทั้งคู่หน้าตาคล้ายคลึงกันหลายส่วน บนใบหน้ามีรอยยิ้มประดับตลอดเวลา
มองดูแล้วสบายหูสบายตายิ่งนัก
ท่านเสนาบดีคิมแท้จริงเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลา มีบุตรชาย
บุตรชายก็ล้วนหน้าตาหล่อเหลา ช่างเป็นครอบครัวที่มีวาสนาดีแท้
“ ข้าจะแวะไปที่ร้านเครื่องเขียนเสียหน่อย
เจ้าอยากไปด้วยกันหรือไม่? ”
“ ข้ารอที่นี่ดีกว่าขอรับ ” ยอนจุนรีบตอบทันที มือไม้ง่วนอยู่กับการลูบคลำสิ่งของในมือ ของเล่นทำจากไม้หลากหลายรูปทรงบนชั้นวางของดึงดูดความสนใจของเด็กชายไปจนหมด
“ ท่านพี่ไปทำธุระของท่านเถิดขอรับ ไม่ต้องห่วงข้า ”
“ ถ้าเช่นนั้นก็รออยู่ที่นี่
อย่าได้เถลไถลไปไกลเชียว ”
“ โธ่
ข้าไม่ใช่เด็กไม่รู้ความนะขอรับ! ”
ก็เด็กอยู่ดีไม่ใช่หรืออย่างไรกัน
แทฮยองอมยิ้มก่อนจะส่ายหน้าน้อย ๆ ด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ แม้ยอนจุนโตพอที่จะดูแลตนเองได้แต่เขาก็ยังนึกห่วงอยู่ไม่น้อย
บางทีเขาอาจติดนิสัยขี้กังวลมาจากท่านพ่อท่านแม่ พ่อบ้าน และกุงซูเสียแล้วกระมัง?
คุณชายใหญ่ตระกูลคิมแจกจ่ายรอยยิ้มงาม
ๆ ของตนให้ใครอีกหลายคนกว่าจะเกินมาถึงหน้าร้านประจำของตน เมื่อเจ้าของร้านเครื่องเขียนหันมาเห็นเขาเข้าก็ฉีกยิ้มกว้าง
รีบร้อนเดินออกมาต้อนรับขับสู้ด้วยใบหน้าแจ่มใส คุณชายผู้นี้เป็นถึงลูกค้ากิตติมศักดิ์ของร้าน
เป็นที่รู้กันว่าคุณชายตระกูลคิมชื่นชอบการวาดรูปจนเรียกได้ว่าเข้าขั้นหมกมุ่น
ไม่เพียงเท่านั้นยังมีพรสวรรค์ชนิดที่หาตัวจับยาก อีกฝ่ายมักมาอุดหนุนร้านของตนเป็นประจำ
ซื้อแต่ละครั้งก็คำนวณเป็นเงินมากพอที่จะทำให้ใบหน้าเจ้าของร้านมีรอยยิ้มประดับตลอดทั้งวัน
“ คุณชายคิม! ”
ชายวัยกลางคนร้องเรียกเสียงดังเมื่อแทฮยองปรากฏตัว “ เชิญขอรับ ๆ ”
“ สวัสดีตอนบ่ายขอรับท่านลุง ”
“ อ๊า มิบังอาจ ๆ
คุณชายโปรดอย่าให้เกียรติข้าถึงเพียงนั้นเลยขอรับ! ”
เขาเพียงแค่ยิ้มรับ ไม่ได้ตอบอะไร
เจ้าของร้านเครื่องเขียนกระตือรือร้นที่ดูแลเขาเป็นอย่างยิ่ง
แทฮยองยืนฟังอีกฝ่ายอธิบายถึงสินค้าใหม่ ๆ ยาวเหยียด
ก่อนจะถูกปล่อยให้เดินดูของที่ตนต้องการตามลำพัง
ช่างเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายและสงบสุขยิ่งนัก ทว่าในขณะที่เขากำลังยืนลูบไล้เนื้อกระดาษสำหรับวาดรูปอย่างเพลิดเพลินนั้น
สายตาบังเอิญเหลือบไปเห็นแผ่นหลังไว ๆ ดูคล้ายน้องชายของตนเอง คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
ไม่ใช่ว่าเขากำชับให้อยู่รอที่ร้านของเล่นหรืออย่างไรกัน?
แทฮยองละมือออกจากมวนกระดาษก่อนจะรีบก้าวเท้าตามชายเสื้อไหว
ๆ ของน้องชาย ยอนจุนเดินเร็วมากจนเขาเกือบตามไม่ทันอยู่หลายครา ร่างนั้นกึ่งเดินกึ่งวิ่งเบียดเสียดผู้คนก่อนจะหายไปในถนนเส้นเล็กที่ไม่มีสิ่งใด
แทฮยองพยายามร้องเรียกน้องชายแต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ยินสิ่งใด เขาวิ่งไปตามถนนที่คดเคี้ยวลึกเข้าไปเรื่อย
ๆ ก่อนเห็นว่าชายเสื้อสีเขียวอ่อนหายลับไปตรงมุมถนน
เมื่อตนวิ่งตามมากลับไม่พบน้องชาย — แต่พบผู้อื่นแทน
คนผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
สายตาเหม่อมองไปยังที่ไหนสักที่ ท่าทางนิ่งสงบ
มีเพียงเส้นผมสีดำขลับกับแพขนตาเท่านั้นที่ขยับน้อย ๆ เขาชะลอฝีเท้าลงในจังหวะเดียวกับที่ใบหน้านั้นผินมามอง
พวกเขายืนห่างกันหลายสิบก้าว ดวงตาสองคู่มองประสานท่ามกลางสายลม แสงแดด
และกลิ่นดอกไม้นานาพันธุ์ของวสันตฤดู หัวใจเขาเต้นระส่ำ คลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นเห็นภาพเช่นนี้
ณ แห่งหนใดมาก่อน ภาพนั้นปรากฏอยู่หลังเปลือกตาของเขาทว่าช่างเลือนรางเหลือเกิน
“
เจอท่านอีกแล้ว ”
ริมฝีปากสีแดงระเรื่อค่อย ๆ
คลี่ยิ้มบางเบา นัยน์ตาเรียวเล็กหยีลงเล็กน้อย
“ ท่านดูรีบเร่งนัก
กำลังตามหาใครหรือขอรับ? ”
แทนที่จะพบน้องชาย ..
กลับพบคนที่คอยวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดมาหลายค่ำคืน คนผู้นั้นสวมเพียงชุดผ้าต่วนเฉกเช่นชาวบ้านทั่วไป
ยกเว้นเสียแต่ใบหน้าเรียวที่ยังคงโดดเด่นสะดุดตา สายตาที่ทอดมองมาราวกับกำลังมองเด็กเล็กวิ่งเล่น
เขาเผลอนิ่งอึ้งอยู่นานกว่าจะเค้นเจอเสียงของตน
“ ข้า .. มาตามหาน้องชาย ท่านเห็นเด็กผู้ชายวิ่งผ่านมาแถวนี้บ้างหรือไม่
”
“ ข้ามองไม่เห็นผู้ใด — ยกเว้นเพียงแต่ท่าน ”
คำพูดเช่นนั้นช่างกำกวมยิ่งนัก
พลันรู้สึกร้อนฉ่าที่ผิวแก้มจนต้องกระแอมไอเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกยุบยิบในอก
แทฮยองพบว่าตนเองรู้สึกประหม่าเหลือเกินเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าคนผู้นี้
“ ช่างเถิด
ระหว่างทางข้าก็ไม่พบผู้ใด สงสัยจะมองผิดกระมัง ” เขากล่าว “
แล้วท่านเล่า? เหตุใดจึงมาอยู่ในซอยเปลี่ยวตามลำพังเช่นนี้? ”
“ ข้ามาตามหาคนเช่นเดียวกับท่าน
”
“ อ้อ .. แล้วเจ้าเจอคนผู้นั้นหรือไม่?
”
“ เจอแล้วขอรับ ”
อีกฝ่ายกล่าวอย่างนุ่มนวล ท่วงท่าดูแตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปโดยสิ้นเชิง
หากไม่รู้มาก่อนว่าคนผู้นี้เป็นนักเต้นของคณะละครเร่ร่อนคงจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคุณชายจากตระกูลไหนสักตระกูลแน่
ๆ ใบหน้านั้นก้มลงเล็กน้อยก่อนที่นัยน์ตาเรียวจะค่อย ๆ ช้อนขึ้นมองอ้อยอิ่ง แทฮยองมองสบสายตาแวววาวด้วยความรู้สึกราวกับมีพายุปั่นป่วนในท้องน้อย
“ เรื่องเมื่อคืนวาน .. ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือข้า
”
“ คุณชายโปรดอย่าถือเป็นบุญคุณ
ข้าเพียงแค่ช่วยเหลือท่านเล็กน้อยเท่านั้น ”
“ หามิได้
การช่วยเหลือไม่ว่ามากหรือน้อยก็นับเป็นบุญคุณที่ต้องตอบแทน ”
พวกเขายังคงเว้นระยะห่างต่อกันเช่นเดิม
หากแต่ความรู้สึกกลับปั่นป่วนรุนแรงราวกับว่าได้ยืนอิงแอบแนบชิดอย่างไรอย่างนั้น เขาไม่เคยสนใจเรื่องรัก
ๆ ใคร่ ๆ มาก่อน และไม่เคยรู้สึกถูกตาต้องใจใคร แต่คนผู้นี้มีแรงดึงดูดอะไรบางอย่างที่ทำให้หัวใจของแทฮยองไม่สงบสุขเหมือนดังที่เคยเป็น
“ ข้าขอทราบนามของท่านได้หรือไม่?
”
“ —มิน ” ดวงตาคู่นั้นหลุบลงเล็กน้อย เผยให้เห็นแพขนตาที่สั่นไหว “ จีมินขอรับ ”
แทฮยองเดินกลับมาในตลาดตามเดิมหลังจากแยกย้ายกับ
จีมิน นักเต้นแสนเฉิดฉายผู้นั้น อีกฝ่ายจากไปพร้อมกับความอาลัยอาวรณ์เล็ก ๆ
ในใจเขา ชั่ววูบหนึ่งตนนึกอยากรั้งคนผู้นั้นเอาไว้ แต่จะทำได้เช่นไรเล่า? ในเมื่อความจริงแล้วพวกเขายังเป็นแค่คนแปลกหน้าที่เคยพบกันเพียงสามคราเท่านั้น
แทฮยองสะบัดหน้าเล็กน้อยเมื่อเผลอเหม่อลอยไปไกล ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตามหายอนจุน
เขารีบเดินเข้าไปในร้านขายของเล่น
หมายจะถามเจ้าของร้านว่าน้องชายตนเดินไปที่ใด —
แต่กลับพบว่ายอนจุนยังคงยืนเลือกของเล่นอยู่ในร้าน ไม่ได้หายตัวไปดังที่คิด
“ ท่านพี่ ซื้อของเสร็จแล้วหรือ? ”
เด็กชายหันมามอง
ก่อนจะระบายยิ้มเต็มแก้มเมื่อเห็นว่าเป็นเขาที่เดินเข้ามา
“ อืม ” แทฮยองครางรับเบา ๆ มองท่าทีไม่รู้เรื่องรู้ราวนั้นด้วยความประหลาดใจ “ ก่อนหน้านี้เจ้าได้ออกไปไหนมาหรือไม่? ”
“ ข้าอยู่ในร้านตลอด
ไม่ได้ก้าวขาออกจากร้านเลยแม้แต่น้อย ไม่เชื่อท่านลองถามเถ้าแก่ดูซี
เขาคอยมองตามข้ายังกับเงาแน่ะ! ”
“ ...เช่นนั้นหรอกหรือ
”
นี่เขาตาฝาดจริง ๆ
อย่างนั้นหรือ? แปลกนัก ถ้าหากยอนจุนอยู่ที่นี่ตลอดเวลา
แล้วคนที่ตนวิ่งตามอยู่ตั้งนานสองนานเป็นใครกันเล่า?
“ ท่านพี่? ”
แทฮยองหันกลับไปส่งยิ้มให้น้องชายตน
แล้วจึงกล่าวว่า
“ เปล่า .. ไม่มีอะไร ”
TALK;
*โดฮวาซอ = ศูนย์ศิลปะของวังหลวง
พระเอก(?)ค่าตัวแพงชิบหายวายวอด ออกแบบกะปริบกะปรอย
ดำเนินเรื่องช้าหน่อยนะคะ ชอบเขียนบรรยายเพลิน ; w ; แฮ่
#ดอกไม้สีแดงเบ่งบานยามวสันตฤดู
ความคิดเห็น