คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่สอง
บทที่สอง
วสันตฤดูวนเวียนกลับมาเยือนอีกครา
แมกไม้นานาพันธุ์บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมเจือจางลอยไปตามสายลมแห่งฤดูกาล
ไม่ว่าจะมองไปทางใดล้วนพบเจอแต่สีสันสดใส อากาศอบอุ่น ท้องฟ้าแจ่มใส สายลมเย็นสบาย
เหมาะแก่การเที่ยวเล่นและผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง บรรยากาศในเมืองล้วนเต็มไปด้วยความรื่นเริงใจ
นับว่าเป็นการเริ่มต้นฤดูกาลที่ดี
“ ข้าอยู่นี่!
ข้าอยู่นี่! ”
“ ทางนี้เจ้าค่ะ ไม่สิ ทางนั้น ๆ ”
ภายในจวนตระกูลคิมเองก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนาน มีเด็กน้อยหลายคนส่งเสียงโหวกเหวกอยู่ตรงลานโล่งใต้ร่มไม้บริเวณหน้าจวนใหญ่ ท่ามกลางร่างกระจ้อยร่อยของเหล่าเด็ก ๆ มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งถูกคาดตาด้วยผ้าสีดำ ยื่นไม้ยื่นเดินสะเปะสะปะเพื่อไล่จับใครสักคน
“ เอ๋ .. คุณชายอย่าขี้โกงสิเจ้าคะ!
”
เด็กหญิงคล้ายสังเกตเห็นอะไรบางอย่างจึงร้องตะโกนขึ้นราวกับไม่ยินยอม
ทำให้เด็กคนอื่นพากันชะเง้อคอมองตามอย่างสนใจใคร่รู้ คนถูกจับได้แทนที่จะสำนึกผิดกลับยิ้มเผล่
เขาค่อย ๆ เอื้อมมือไปปลดผ้าคาดตาตนเองออก
ใช้เวลาชั่วครู่รอสายตาปรับความคุ้นชินกับแสงแดดยามสาย
“ โดนจับได้เสียแล้วหรือนี่
”
“ หวา ทำแบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ
ท่านพ่อข้าบอกเสมอว่าคนขี้โกงนั้นเป็นคนนิสัยไม่ดี! ”
“ ก็ข้าเหนื่อยแล้วนี่
ผ่านมาตั้งหลายรอบข้ายังจับพวกเจ้าไม่ได้เลยสักคน ”
เขาแสร้งบ่น จริง ๆ
ก็จับได้อยู่หรอกถ้าหากว่าคนโดนจับไม่ร้องกระจองอแงให้เริ่มใหม่อยู่ร่ำไป เฮ้อ
เด็กหนอเด็ก “ เจ้านี่หูตาไวดีจริง ๆ เลยนะซูยอน ”
“ แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ
ท่านพ่อของข้าบอกว่าข้าน่ะนะ .. หูตาไวเหมือนท่านแม่เปี๊ยบ! ”
เขายกนิ้วชี้ขึ้นทาบริมฝีปากตนเองเมื่อเริ่มมีบุคคลที่สามและสี่ถูกดึงมาพูดถึง
ก่อนจะมีใครผ่านมาได้ยินเข้าแล้วเอาไปร่ำลือเสีย ๆ หาย ๆ นางเป็นเด็กฉลาด
เห็นดังนั้นก็เข้าใจได้ในทันที ดวงตาของนางเบิกกว้าง
ฝ่ามือของนางรีบยกขึ้นปิดปากตนเองเอาไว้
“ เป็นผู้หญิงก็อย่าได้พูดเสียงดังไป
ใครมาเห็นเข้าจะตำหนิเอาได้รู้หรือไม่ ”
“ ขออภัยเจ้าค่ะ ”
เด็กหญิงกล่าวเสียงอ่อย
ดูเข้าอกเข้าใจเป็นอย่างดี ถึงอย่างนั้นแล้วก็ไม่วายมีเจ้าน้องชายตัวแสบของเขารีบวิ่งมากางแขนปกป้องด้วยสีหน้าขึงขัง
ดูน่ารักน่าชังมากกว่าน่ากลัว
“ แต่อย่างไรก็ตาม ..
ท่านพี่โกงพวกเรา ท่านพี่ต้องโดนลงโทษนะขอรับ ”
“ โดนลงโทษอย่างไรหรือ? ”
เด็กชายทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย
ดวงตาหลุกหลิกไปมา เขาลอบยิ้มเมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้น
เพียงแค่เจ้าน้องชายตัวแสบอ้าปากคนเป็นพี่หรือจะดูไม่ออก เด็ก ๆ คนที่เหลือสุมหัวกระซิบกระซาบกันถึงบทลงโทษ
แต่ทว่าเสียงเหล่านั้นก็ดังเกินไปจนลอยมาถึงหูเขาแล้ว
“ เอาล่ะ
ๆ ข้ายอมรับผิด วันพรุ่งนี้จะซื้อขนมในตลาดมาให้พวกเจ้าทุกคนเลยดีไหม? ”
เพียงได้ยินคำว่า ‘ขนม’ เสียงเจี๊ยวจ๊าวราวกับนกกระจิบแตกรังก็ดังขึ้นทันที
เขาหัวเราะ ต่อให้ไม่ถูกลงโทษเพราะแอบโกงการละเล่น
อย่างไรเสียตนก็มักจะซื้อขนมติดไม้ติดมือมาจากด้านนอกอยู่แล้ว ช่างเห็นแก่กินกันจริงเชียวเด็กพวกนี้
กลีบดอกไม้สีขาวแซมชมพูถูกปักลงบนผ้าแพรอย่างประณีต
“ ช่วงนี้คุณชายใหญ่ทำอะไรบ้างหรือ?
”
“ คุณชายใหญ่มักจะไปรวมกลุ่มกับจิตรกร
บางวันก็อยู่ในห้องเพื่อวาดรูปหรืออ่านตำราขอรับ ”
พ่อบ้านเหลือบมองนายหญิงของตนวางสะดึงปักผ้าผืนน้อยลงบนหน้าตัก
ปลายนิ้วลูบไล้ไปตามลายปักอย่างทะนุถนอม ดวงตาของนางเหม่อมองดอก*เมฮวาด้านนอกที่สั่นไหวตามแรงลมแห่งวสันตฤดู
ก่อนจะละสายตาจากความงามของธรรมชาติไปยังคนผู้หนึ่ง
“ ทุกอย่างปกติดีใช่หรือไม่?
”
“ ปกติดีทุกอย่างขอรับ ”
อดีตคุณชายน้อย .. ที่บัดนี้กลับกลายเป็นคุณชายใหญ่กำลังทอดกายนอนภายใต้ร่มเงาของต้นดอกเมฮวา
ใบหน้านั้นดูสงบสุขเป็นอย่างยิ่ง สายลมพัดผ่าน ดอกเมฮวาร่วงหล่น
กลีบดอกไม้สีขาวแซมชมพูกระจัดกระจายราวกับภาพฝัน ปลิวมาตกบนเส้นผม เปลือกตา
ผิวแก้ม และตามลำตัว
ชั่วครู่หนึ่งเปลือกตานั้นก็ค่อย ๆ
ปรือขึ้น จับจ้องมาทางนี้ราวกับรู้ตัวว่าถูกเฝ้ามอง เมื่อนายหญิงแย้มยิ้ม
คุณชายใหญ่จึงเผยยิ้มตาม เป็นรอยยิ้มที่งดงามจับใจ สว่างไสวราวกับแสงแดดยามรุ่งอรุณ
อีกทั้งบุคลิกนิสัยความสุภาพนุ่มนวล อบอุ่น และเป็นมิตร
คุณชายใหญ่ถึงได้เป็นที่นิยมของผู้คนที่ได้พบเห็นหรือคลุกคลีด้วยตั้งแต่เล็กจนโต
“ ...เช่นนั้นข้าก็วางใจ ”
หลังจากบุตรชายหายจากอาการป่วยไข้เป็นปลิดทิ้ง
ไม่นานนักก็ราวกับว่าฟ้าได้ประทานพรให้แก่พวกเขาอีกครั้ง
ซอนอาได้ตั้งครรภ์บุตรชายอีกหนึ่งคนเมื่อผ่านมาได้ราว ๆ หกปี
นางตั้งชื่อให้บุตรชายคนที่สองว่า คิมยอนจุน นับว่าเป็นเรื่องที่ดียิ่งที่ตระกูลคิมมีบุตรชายเป็นผู้สืบทอดถึงสองคน
บัดนี้ล่วงเลยผ่านมาหลายปี
บุตรชายของนางต่างเติบโตมาเป็นอย่างดี สองพี่น้องรักใคร่กลมเกลียว
ในแต่ละวันของจวนตระกูลคิมช่างสงบสุข ซอนอามักจะใช้เวลาตลอดทั้งวันไปกับการนั่งปักผ้า
อ่านหนังสือ เขียนกลอน และคอยมองดูความสดใสของบุตรชายอย่างเช่นวันนี้ อีกทั้งสองในเจ็ดวันมักจะมีเด็กหญิง
อีซูยอน ในวัยไล่เลี่ยกับบุตรชายคนเล็กมาวิ่งเล่นด้วยกันในจวนตระกูลคิมเสมอ
“ ท่านแม่ ”
ซอนอาอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสบตาผู้มาเยือน
วสันตฤดูครั้งนี้บุตรชายคนโตของนางจะอายุครบสิบแปดหนาว เค้าโครงใบหน้าบุตรชายคนนี้ละม้ายคล้ายนางหลายส่วนเพียงแต่มีกลิ่นอายของเด็กหนุ่มที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่
หน้าตาสดใส ท่วงท่าสง่างาม ไร้ซึ่งเค้ารางของอาการเจ็บป่วยที่ครั้งหนึ่งเกือบคร่าชีวิต
“ วสันตฤดูกลับมาเยือนอีกหนแล้ว... ”
นิ้วมือเรียวบรรจงปักด้ายลงบนผืนผ้าที่นางตั้งใจจะมอบมันให้บุตรชาย “
อีกไม่กี่วันก็เป็นวันเกิดของเจ้า
แม่ตั้งใจปักผ้าเช็ดหน้าเป็นรูปดอกเมฮวา เป็นของขวัญสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ในอีกปีหนึ่ง
”
ดอกเมฮวานั้นมักจะผลิบานในช่วงวสันตฤดู
เป็นดอกไม้แสนงาม บอบบางทว่ากลับอดทนต่อสภาพอากาศหนาวเย็นได้ดี ผลิดอกเร็วกว่าดอกไม้ประจำวสันตฤดูชนิดอื่น
ยามดอกเมฮวาผลิบานถือเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นชีวิตใหม่ — นั่นทำให้นางหวนนึกถึงบุตรชายอยู่เสมอ
“ ท่านแม่โปรดวางใจ
ข้าสัญญาว่าจะใช้ชีวิตเป็นอย่างดี ”
เมื่อบุตรชายให้คำมั่นสัญญานางจึงค่อย
ๆ แย้มยิ้มออกมาอีกครั้ง
“ ข้าเห็นท่านนั่งปักผ้ามาหลายชั่วยามแล้ว
เหตุใดท่านจึงไม่พักผ่อน? ” ฝ่ามือของนางถูกกอบกุมเอาไว้อย่างนุ่มนวล
หัวคิ้วบุตรชายขมวดเล็กน้อย ก่อนที่สะดึงในมือจะถูกดึงออกไป “ เอาเช่นนี้ .. ให้ข้าช่วยท่านปักต่อดีหรือไม่? ”
“ จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรกันเจ้าเด็กคนนี้
แม่ตั้งใจปักเป็นของขวัญวันเกิด หากเจ้าทำมัน
นั่นจะยังเรียกว่าของขวัญจากแม่ได้อีกหรือ? ”
ซอนอาหัวเราะก่อนจะเอื้อมมือไปแย่งสะดึงมาจากมือบุตรชาย
ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่ได้คิดจะปักมันต่อเพราะเริ่มรู้สึกเจ็บแปล๊บ ๆ
ตรงปลายนิ้วขึ้นมาบ้างแล้ว
“ พ่อบ้านกล่าวว่าช่วงนี้เจ้ากำลังอ่านตำราอยู่หรือ?
”
“ ขอรับ ” นางลูบแก้มบุตรชายอย่างรักใคร่
“ ดูเหมือนว่าท่านพ่อจะอยากให้ข้าเข้ารับราชการ ”
“ แล้วเจ้าอยากรับราชการหรือไม่ ”
“ ท่านแม่ก็รู้ว่าในชีวิตข้าสนใจเพียงแต่การวาดรูปเท่านั้น
”
บุตรชายกล่าวอย่างออดอ้อน
ทำไมผู้เป็นมารดาจะไม่รู้กันเล่าว่าบุตรของตนชอบหรือไม่ชอบสิ่งใด
แต่ไหนแต่ไรทั้งตัวนางและสามีก็มักตามใจบุตรชายทุกอย่าง ต่อให้ตอนนี้บุตรชายของนางจะไม่ได้มีสุขภาพย่ำแย่เหมือนแต่ก่อนแล้ว
ทว่ากลับยังคงไม่ใจแข็งพอที่จะบังคับฝืนใจบุตร
“ เอาเถิด แม่แล้วแต่เจ้า ” นางกล่าว “ เช่นนั้นเจ้าลองคิดเรื่องแต่งงานบ้างดีหรือไม่?
”
บุตรชายมองสบตานางก่อนจะยิ้มหวาน
“ ข้ายังไม่มีคนในดวงใจขอรับ ”
เป็นเช่นนี้แล้วนางจึงได้แต่ส่ายหน้าเบา
ๆ ด้วยความระอาใจ รอยยิ้มเจือจางปรากฏตรงมุมปาก
ยิ้มหนึ่งครา
บุปผาเหี่ยวเฉาบานสะพรั่ง
วสันตฤดูมาเยือนถึงหน้าบ้านข้า
เฉลิมฉลองให้แก่ความงามของเจ้า
“ เป็นอย่างไร?
เจ้าชอบกลอนบทนี้หรือไม่? ”
“ ไพเราะดี ” เขาเอ่ยปากชม
กลอนเช่นนี้หญิงสาวคนใดได้ยินก็คงจะเขินอาย “ เจ้าแต่งเองหรือ
”
แทนที่คนฟังจะดีอกดีใจกลับกลายเป็นว่าทำหน้ายับย่นคล้ายไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง
ฮยองชิก ตบโต๊ะเบา ๆ ก่อนจะชี้หน้าสหายผู้นี้ที่ดูจะไม่สนใจสิ่งใดเลย
เจ้าหมอนี่ช่างน่าโมโหเสียจริง
ไม่ว่าเขาจะนำเรื่องใดมาเล่าให้ฟังก็หาได้สนใจเลยแม้แต่น้อย!
“ เจ้านี่มันอย่างไรกัน เห็นออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกแทบทุกวันแต่กลอนบทนี้เจ้ากลับไม่รู้จัก
”
“ เหตุใดเจ้าจึงต้องโมโหด้วยเล่า? ”
อีกฝ่ายกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ฝ่ามือเรียวสวยรินน้ำชาให้ตนอย่างนุ่มนวลเพื่อเป็นการเอาอกเอาใจ
“ ก็เพราะกลอนบทนี้มีคนแต่งให้เจ้าน่ะสิ
”
“ แต่งให้ข้า? ”
ว่ากันว่าความงามของคุณชายใหญ่ตระกูลคิมนั้นเป็นที่เลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง
จนถึงขนาดว่ามีคนแต่งกลอนเพื่อบรรยายถึงรอยยิ้มงาม ๆ ของอีกฝ่ายกันเลยทีเดียวเชียว
เวลาออกไปเตร็ดเตร่ในตลาดฮยองชิกมักจะได้ยินคนกล่าวกลอนบทนี้อยู่เสมอ เขาเคยนึกสนใจอยากรู้ว่าผู้ใดกันที่แต่งกลอนชมเชยสหายผู้ไม่รู้ความของตน
ทว่ากลับไม่พบแม้แต่เงา
“ หากข้าเป็นหญิงสาวก็คงจะเขินอายอยู่หรอกนะ
”
เฮ้อ
เจ้าคนผู้นี้อายุย่างเข้าสิบแปดหนาวแล้วแต่กลับไม่สนใจเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ
เลยแม้แต่น้อย
บัณฑิตหนุ่มจิบชาอย่างเกียจคร้าน นั่งเท้าคางมองภาพวาดที่ยังไม่สมบูรณ์ดีบนผืนกระดาษไปพลาง
ๆ เมื่อเห็นว่าสหายของตนกำลังเพ่งความสนใจไปที่มันแล้วจึงได้ถอนหายใจอีกครา
ในชีวิตของคนผู้นี้เห็นทีคงมีแต่การวาดรูป วาดรูป และวาดรูปเสียกระมัง
“ เจ้าวาดสิ่งใดอยู่หรือ? ”
“ ข้ากำลังวาดดอกเมฮวาที่บานสะพรั่งบนกิ่งก้าน
ดูสิ .. สวยใช่ไหม? ”
ทว่าฮยองชิกกลับมองเพียงแค่ชั่วครู่ก่อนจะหมดความสนใจโดยสิ้นเชิง
“ นี่
ข้าได้ยินมาว่าในตลาดมีคณะละครเร่ร่อนมาเปิดการแสดงด้วยล่ะ ”
ครานี้มือที่กำลังวาดรูปอย่างขยันขันแข็งชะงักลง
ฮยองชิกแทบโห่ร้องที่ในที่สุดใบหน้างาม ๆ
ของสหายรักก็ยอมเงยขึ้นมองกันและมีท่าทีสนใจสิ่งที่เขากล่าวเสียที
นัยน์ตากลมโตกะพริบปริบก่อนจะหรี่ลงน้อย ๆ แสดงความสนอกสนใจอย่างชัดเจน
“ เมื่อไหร่กัน? ”
“ ตอนกลางคืน ” เขาเติมน้ำชาลงในถ้วยของตนอีกครา พยายามนำเสนอความน่าตื่นตาตื่นใจเพื่อให้สหายผู้นี้ยอมออกไปเที่ยวเล่นกับตน
“ เห็นว่ามีการแสดงหนึ่งงดงามแปลกตายิ่งนัก ข้าอยากไปดูให้เห็นกับตา
เจ้าเองก็รีบหาวันว่าง ๆ ไปชมการแสดงนั้นกับข้าเสียสิ ”
“ เอาไว้ข้าจะส่งคนไปนัดหมายเจ้าอีกทีดีหรือไม่
”
“ เช่นนั้นก็ได้
แต่อย่าให้มันนานนักล่ะ ข้าไม่รู้ว่าคณะละครเร่ร่อนจะออกจากเมืองหลวงเมื่อไหร่ ”
“ ข้าไม่ผิดนัดกับเจ้าหรอกน่า ”
“ อยากรู้จริงเชียวว่าการแสดงที่เจ้าว่าจะงดงามแปลกตาขนาดไหน
”
กลีบดอกเมฮวาบนผืนกระดาษค่อย ๆ
ถูกแต่งเติมด้วยสีสันจนเผยให้เห็นถึงความงดงามของภาพจำลองนั้น
ช่วงบ่ายในจวนของคุณชายใหญ่ดำเนินไปเช่นนี้ ..
เจ้าของจวนนั่งวาดรูปเล่นอยู่ในสวนของตน โดยมีสหายรู้ใจนั่งจิบชาชมนกชมไม้ไปเรื่อยเปื่อย
กว่าฮยองชิกจะขอตัวกลับจวนของตนบนโต๊ะก็กองไปด้วยภาพดอกเมฮวาที่ทับถมกันร่วงหล่น เนื่องจากไม่มีพื้นที่บนโต๊ะเหลืออีกแล้ว
เย็นวันนั้นคนในจวนตระกูลคิมได้แต่ลอบยิ้มขบขัน
คุณชายใหญ่ปรากฏตัวขึ้นยามมื้ออาหารพร้อมกับรอยหมึกและสีเลอะเป็นจุดบนใบหน้ากับเสื้อผ้า
ท่าทางอ่อนล้าหากแต่ดวงตายังส่องประกายสดใส
ยองกวังมองใบหน้าเลอะเทอะราวกับเด็กของบุตรชายตนแล้วจึงทอดถอนลมหายใจ
เขาจับตะเกียบขึ้น คีบอาหารที่บุตรชายคนชอบในในถ้วยของอีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไร
“ ขอบคุณขอรับ ”
บุตรชายฉีกยิ้มหวาน
“ อืม กินให้เยอะ ๆ ”
ขอเพียงแค่มีชีวิตที่ดีในอีกปีก็ดีแล้ว
เรื่องที่ผ่านแล้วจงลืมมันไปเสียเถิด
TALK;
* ดอกเมฮวา = ดอกบ๊วยหรือดอกแอปริคอต คล้าย ๆ ดอกซากุระ เป็นดอกไม้มงคลของทางจีนด้วย
* สะดึง = ที่ปักผ้าทรงกลม ไอ้ที่เอาไว้ขึงผ้าให้ตึง ๆ นั่นเอง
ลืมอะไร! ใครลืม!
บทนี้ใช้เวลาไปกับการบรรยายความงามของคุณชายตระกูลคิม อยากให้รู้ว่าเขางามแค่ไหน!!! (ಥ _ ಥ)
แต่ละตอนจะไม่เขียนยาวมากนะคะ เพื่อเป็นการกระตุ้นตัวเองให้ขยันขึ้นอีกนิดดดดนึง
เดี๋ยวนี้เอะอะแต่งกลอนจริง ๆ
#ดอกไม้สีแดงเบ่งบานยามวสันตฤดู
ความคิดเห็น