คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่แปด - คืบคลาน
บทที่แปด
ต่างฝ่ายต่างนั่งจิบสุราอย่างเงียบเชียบอยู่ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามา
ผ่านไปครู่หนึ่งถ้วยสุราก็ว่างเปล่า เสียงเนื้อผ้าเสียดสีกันดังขึ้นเบา ๆ
ก่อนที่ถ้วยสุราจะถูกเติมเต็มอีกหน แทฮยองแอบเหลือบแลมองกิริยานุ่มนวลของคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามตน
หัวใจคล้ายถูกขนนกอ่อนนุ่มปัดผ่านชวนจั๊กจี้
คนสองคนนั่งเงียบไร้บทสนทนา
คนหนึ่งจดจ้อง คนหนึ่งก้มหน้าน้อย ๆ แสดงท่าทีนอบน้อม
ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาแต้มรอยยิ้มบาง ๆ
นั้นทอแสงละมุนละไมใต้แสงจันทร์ งดงามชวนมอง คุณชายใหญ่ตระกูลคิมเคยพบพานคุณหนูและคุณชายที่งดงามราวดอกไม้มามากมาย
ทว่าเขานึกไม่ออกว่าผู้ใดกันที่จะมีแรงดึงดูดบางอย่างมากถึงเพียงนี้? แปลกนัก .. แต่กลับให้ความรู้สึกที่ดียิ่ง
“ เหตุใดคุณชายจึงมาที่นี่หรือขอรับ?
” กลิ่นหอมของสุราดอกไม้อบอวล
แม้จะค่อนข้างเจือจางทว่าพอสูดดมนานเข้าก็เริ่มรู้สึกมึนเมาวูบวาบขึ้นมาบ้างแล้ว “
สถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะกับท่านเลยแม้แต่น้อย หากมีใครมาพบเห็นเข้า อาจมีคนนำไปกล่าวให้ท่านต้องเสื่อมเสีย
”
“ อย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย
ตัวข้าหาได้ถือเรื่องพวกนี้เสียเมื่อไหร่ อยากมาข้าก็มา ไม่อยากมาข้าก็ไม่มา
ส่วนใครจะกล่าวอย่างไรก็ช่างเขาเถิด คนมีปากอย่างไรก็ห้ามพูดไม่ได้หรอก ”
ในขณะที่ผู้เป็นนายกล่าวด้วยท่าทีไม่ยี่หระในชื่อเสียงอันดีงาม
เด็กหนุ่มที่นั่งสงบเสงี่ยมตรงมุมห้องกลับตาแทบถลนออกจากเบ้า
จะให้ลงเอยเช่นนั้นได้อย่างไร! กุงซูพลันรู้สึกไม่ยินยอม
คุณชายใหญ่ของตนบริสุทธิ์ผุดผ่องมาตลอด
ครั้นจะต้องมาเสียชื่อให้คนติฉินนินทาเพราะคนไร้หัวนอนปลายเท้าผู้หนึ่งนับว่าไม่น่าให้อภัยอย่างยิ่ง!
อีกทั้งในบางคราเขายังรับรู้ได้ถึงสายตาของนักเต้นผู้นั้นที่เหลือบมองมา
คล้ายกำลังพิจารณา ทว่าเมื่อทำใจกล้าเงยหน้าขึ้นมองกลับไม่พบสิ่งปกติใด ๆ
ถึงกระนั้นกุงซูก็ยังไม่คลายความระแวดระวังลง
บรรยากาศไม่คุ้นเคยทำให้เขารู้สึกกระสับกระส่าย
“ คุณชายขอรับ
นี่ก็มืดแล้ว พวกเราควรรีบกลับจวนนะขอรับ ” เด็กหนุ่มโพล่งขึ้นมากลางปล้อง
“ ป่านนี้ทุกคนคงรอท่านอยู่เป็นแน่ ”
“ เจ้านี่อย่างไรกัน
ไม่เห็นหรือไรว่าข้ากำลังสนทนากับผู้อื่นอยู่ ”
บทสนทนาพลันชะงัก
กุงซูย่นคอเล็กน้อยเมื่อคุณชายใหญ่หันมามองด้วยสายตาติเตียน
“ โธ่ คุณชายขอรับ
คณะละครเร่ร่อนยังต้องรั้งอยู่ในเมืองอีกนาน
ไม่สู้ท่านมาพบกับเขาในวันใหม่ไม่ดีกว่าหรือขอรับ ”
จีมินเหลือบมองเด็กหนุ่มเบื้องหลังคุณชายใหญ่ตระกูลคิม
ริมฝีปากคลี่เป็นรอยยิ้ม นึกขบขันกับท่าทางเช่นนั้น
สีหน้าและคำพูดเหมือนผู้เฒ่าชราที่เห็นลูกหลานของตนออกนอกลู่นอกทาง ไม่เข้ากับใบหน้าอ่อนเยาว์เลยแม้แต่น้อย
“ ที่เขากล่าวก็มีเหตุผลนะขอรับ
” ถ้วยสุราในมือแทฮยองว่างเปล่า
ทว่าครั้งนี้จีมินกลับไม่ขยับตัว เป็นการสัญญาณกลาย ๆ
ว่าอีกฝ่ายไม่ยินยอมให้เขารั้งอยู่ต่อ “ แถวนี้ไกลหูไกลตาคน
อีกทั้งแสงไฟยังน้อยนัก รีบกลับเสียก่อนที่คนจะดับไฟเถิดขอรับ ”
“ หากวันหน้าข้าอยากจะพบท่าน...
”
แทฮยองรีบเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจ
แต่แล้วกลับพบว่าสิ่งที่เอ่ยนั้นค่อนข้างกำกวมจึงงับริมฝีปากด้วยความประหม่าเล็กน้อย
อา .. พูดออกไปเช่นนั้นแล้วอีกฝ่ายจะคิดอย่างไร เขาหลุบตาต่ำ
จดจ้องชายแขนเสื้อของตนชั่วครู่ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมองสบกับใครอีกคนอีกครั้ง
“
ตั้งแต่คราแรกที่ได้ชมการร่ายรำของท่าน ข้าก็รู้สึกประทับใจอย่างมาก วันนี้เพิ่งได้ยินพ่อค้าในตลาดกล่าวว่าเสนาบดีอีเพิ่งจ้างคณะละครของพวกท่านให้เข้าไปแสดงถึงในจวน
ข้าจึงสนใจอยากจะจ้างพวกท่านบ้างได้หรือไม่? ”
“ ขออภัยคุณชาย หากเป็นเรื่องนี้ข้าไม่สามารถให้คำตอบแก่ท่านได้
ท่านคงต้องให้คนไปเจรจากับหัวหน้าคณะละครขอรับ ทุกอย่างล้วนเป็นเขาที่ตัดสินใจ ”
“ ข้าเข้าใจแล้ว แย่จริง
ข้าคาดคั้นเอากับท่านเช่นนี้คงทำให้ท่านลำบากใจ ”
“ จีมินมิได้ลำบากใจขอรับ ” อีกฝ่ายเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม “ แม้จะเป็นเรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้
วันหน้า .. หากคุณชายมีสิ่งใดให้รับใช้ก็ไหว้วานผู้อื่นมาแจ้งแก่ข้าได้เสมอขอรับ ”
“
จีมินยินดีรับใช้คุณชาย ”
ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาก้มต่ำเล็กน้อยแสดงความนอบน้อมถ่อมตน
มุมปากแต้มด้วยรอยยิ้มละไม ฉับพลันหัวใจของแทฮยองกลับสั่นไหวแปลก ๆ ยามที่นัยน์ตาสีดำสนิทดูลึกราวท้องฟ้ายามค่ำคืนเหลือบขึ้นมองเขา
แสงเทียนวูบไหวสะท้อนบนนัยน์ตาคู่นั้นจนเกิดเป็นเสมือนประกายไฟไหวระริก
กว่าจะรู้สึกตัวว่าเผลอเหม่อมองใบหน้านั้นเนิ่นนานก็ตอนที่อีกฝ่ายหลุบตามองต่ำอีกครั้ง
แทฮยองกระแอมไอเล็กน้อย ใบหูร้อนฉ่า
เขายกฝ่ามือเก้กังขึ้นจัดเสื้อผ้าและหมวกของตน
อาการสั่นหวิวเช่นนี้ช่างไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย ผิวของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง
หากไม่ใช่เพราะภายในนี้มีแสงสว่างไม่มากนักก็เกรงว่าความน่าอายนี้จะถูกเปิดเผยเสียแล้ว
“ อีกสามวันข้าจะไปดูท่านแสดง...
”
“ หลังจากนั้นพวกเรามาพบกันได้หรือไม่?
”
จีมินหลุบตามองลายดอกไม้บิดเบี้ยวไร้ซึ่งความประณีตบนจอกสุรา
ส่วนแทฮยองได้แต่ผินหน้ามองไปยังมุมห้องว่างเปล่า รอแล้วรอเล่าจนกระทั่งฝ่ายหนึ่งเปิดปากพูดท่ามกลางความเงียบชวนอึดอัดขัดเขินนี้
“ จีมินจะรอขอรับ ”
ณ
มุมห้องที่หลงเหลือเพียงแสงสลัวจากเชิงเทียนใกล้มอดดับ
มีแมงมุมตัวหนึ่งกำลังพ่นใยพันรอบตัวเหยื่อที่ไร้ทางสู้อย่างนุ่มนวล มันพันธนาการเหยื่อตัวนั้นอย่างไม่รีบร้อน
จดจ้องอยู่เช่นนั้นโดยไม่ตะกละตะกลามกลืนกิน
แผ่นหลังของคุณชายใหญ่ตระกูลคิมถูกบดบังด้วยบานประตู
จีมินยังคงยิ้ม เขาเทสุราที่เหลืออยู่ในกาให้ตนเอง เงี่ยหูฟังจนกระทั่งเสียงฝีเท้าของคนสองคนค่อย
ๆ ห่างไกลออกไป เมื่อกระดกสุราถ้วยสุดท้ายของค่ำคืนนี้หมด เขาจึงค่อย ๆ หลับตาลง
กลิ่นเครื่องหอมเจือจางยังคงลอยอ้อยอิ่งในอากาศ ปะปนไปกับกลิ่นของสุราดอกไม้ กลิ่นที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวนี้ทำให้นึกถึงตัวตนของผู้ที่เพิ่งจากไป
โชคชะตา หรือจะวาสนา — ล้วนแต่ให้มันเป็นไปตามใจอยากเถิด
“ หากท่านไม่มาแล้วข้าจะทำอย่างไรเล่า...?
”
แทฮยองถูกเด็กหนุ่มอายุน้อยกว่าดึงรั้งชายแขนเสื้อให้รีบเดินตามหลัง
ในใจเขารู้สึกอิดออดเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะหันไปมองบนชั้นสองหลายต่อหลายครั้ง
บานประตูประดับลวดลายดอกไม้เจือจางและทึมเทาสงบนิ่งคล้ายตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
แทฮยองทอดถอนหายใจกับตนเอง สุดท้ายจึงต้องจำยอมก้าวตามกุงซูไปโดยไม่มีข้อแม้
“ คุณชายใหญ่ขอรับ? ”
ทว่าก่อนก้าวขาผ่านพ้นประตูโรงเตี๊ยม หางตาพลันเหลือบไปเห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ดูคุ้นเหน้าเล็กน้อย
ไม่นานนักเขาจึงนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายคือชายที่ร้องตะโกนเชื้อเชิญให้คนเข้ามาชมการแสดงในวันนั้นนั่นเอง
“ กุงซู
เจ้าคุ้นหน้าคุ้นตาชายผู้นั้นเหมือนข้าหรือไม่? ”
“ เอ๊ะ ” เด็กหนุ่มหันมองตาม
“ ข้าคิดว่าเขาคือหนึ่งในสมาชิกคณะละครเร่ร่อนนะขอรับ ”
กลุ่มคนที่นั่งโต๊ะเดียวกันกับชายผู้นั้นนั่งกำลังกระซิบกระซาบพูดคุยกันเป็นภาษาต่างถิ่นที่แทฮยองไม่คุ้นเคย
บรรยากาศเคร่งขรึมนัก ดูไม่ครึกครื้นรื่นเริงเหมือนตอนที่กำลังเปิดทำการแสดงในตลาด
ตัวเขาเคยได้พบเห็นผู้คนดื่มด่ำเมามายมาก็หลากหลาย
ทว่าคณะละครเร่ร่อนกลุ่มนี้กลับผิดแผกออกไป พวกเขาดื่มสุราบนโต๊ะราวกับไม่สามารถลิ้มรสรสชาติของมันได้
“ คุณชาย!
ท่านกำลังจะไปไหนอีกแล้วขอรับ! ”
“ ไม่นานหรอกน่า
เจ้าเองก็ตามมาเร็วเข้า ”
“ โธ่เอ๊ย เหตุใดหลายวันมานี้ท่านจึงทำตัวเหลวไหลนักนะขอรับ!
”
คุณชายใหญ่ตระกูลคิมเดินตรงเข้าไปหาคนกลุ่มนั้น
สายตาหลายคู่พลันจ้องมองมา เสียงสนทนาแผ่วเบาเงียบลงทันที กุงซูมีท่าทีระแวดระวัง สายตาล่อกแล่กมองหาทางหนีทีไล่
คุณชายช่างหาเรื่องเกินไปแล้ว! เด็กหนุ่มโอดครวญกับตนเอง
ถึงกระนั้นเจ้าตัวหาได้สะทกสะท้าน
“ ทุกท่าน ขออภัยที่มารบกวนเวลาพักผ่อน
”
แทฮยองโค้งตัวทักทายฝ่ายตรงข้ามอย่างสุภาพ
ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
ชายวัยกลางคนผู้ที่เป็นเป้าหมายของเขาตั้งแต่แรกเป็นฝ่ายขยับตัวก่อนคนอื่น ๆ อีกฝ่ายรีบกุลีกุจอลุกขึ้นยืน
ใบหน้าเคร่งขรึมพลันเจือด้วยรอยยิ้มการค้า มีท่าทีกระตือรือร้นขึ้นมาก
“ ไม่ทราบว่าคุณชายท่านนี้คือ...? ”
“ คิมแทฮยอง ” เขากล่าว
“ ท่านคือเจ้าของคณะละครใช่หรือไม่? ”
“ ขอรับคุณชาย
ไม่ทราบว่าคุณชายมีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือขอรับ? ”
“ ข้าได้ยินมาว่าเสนาบดีอีจ้างคณะละครของท่านไปแสดงที่จวน
ข้าฟังแล้วก็รู้สึกว่าน่าสนใจนัก ถ้าหากข้าอยากจ้างคณะละครของท่านเป็นการส่วนตัวบ้างจะได้หรือไม่?
”
“ แน่นอนขอรับคุณชาย ”
เจ้าของคณะละครเร่ร่อนแย้มยิ้ม แววตาส่องประกาย ก่อนจะตอบตกปากรับคำอย่างนอบน้อม
“ เป็นวาสนาของพวกเราจริง ๆ ที่ได้รับโอกาสดี ๆ
เช่นนี้จากท่าน ”
“ ท่านกล่าวหนักเกินไปแล้ว
ทั้งหมดเป็นเพราะฝีมือการแสดงของทุกท่านต่างหาก เป็นข้าเสียอีกที่โชคดีได้ชื่นชมการแสดงงดงามอันตระการตาเช่นนี้
”
เสียงปฏิเสธเจือหัวเราะชอบใจดังขึ้นทั่งบริเวณ
โต๊ะของคณะละครเร่ร่อนถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศรื่นเริงอีกครั้งเพราะคุณชายผู้นี้ที่สรรเสริญเยินยอการแสดงของพวกเขา
มีโอกาสไม่มากนักที่นักแสดงเร่ร่อนจะได้มีโอกาสสนทนาพูดคุยกับผู้ที่มีฐานะสูงส่งกว่า
บางคนรู้สึกกระอักกระอ่วนทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง แต่ก็นับว่ามีความรู้สึกดี ๆ
เจือปนอยู่
“ พรุ่งนี้ข้าจะให้คนนำสัญญาว่าจ้างมาส่งให้ท่าน
หากท่านรู้วันที่แน่ชัดแล้วก็ส่งคนมาแจ้งกับข้าได้ที่จวนตระกูลคิม
ให้พวกเขานำคนของท่านเข้าไปพบข้าด้านใน ”
“ โอ้ ..
ขอบคุณขอรับคุณชาย! ”
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วอารมณ์ของคุณชายใหญ่ตระกูลคิมจึงเบิกบานยิ่งนัก
ไม่ต้องรอให้กุงซูดึงรั้งอีกหนก็ก้าวขาฉับ ๆ ออกไปจากโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว ฝีเท้าแทบจะล่องลอยประหนึ่งเดินบนปุยเมฆ
เสียงฮัมเพลงดังคลอเบา ๆ ระหว่างเส้นทางมืดสลัว
เขาหันมองทางนั้นทีทางนั้นทีราวกับกำลังดื่มด่ำกับทัศนียภาพอันงดงาม
แม้ว่าสิ่งที่เห็นจะมีเพียงดวงจันทร์เท่านั้นที่โดดเด่น
ทุกอย่างอยู่สายตาของกุงซูทั้งหมด ไม่รู้ว่าตนติดนิสัยขี้กังวลมาจากพ่อบ้านหรืออย่างไร
เด็กหนุ่มรู้สึกว่าทุกอย่างมันแปลกประหลาดอย่างไรชอบกล
ทว่าคิดกี่ตลบก็ไม่อาจบอกได้ว่าตรงไหนที่แปลกประหลาด
กุงซูหันกลับไปมองโรงเตี๊ยมเบื้องหลังอีกครั้ง
ก่อนจะพบว่าโคมไฟกระดาษที่เคยสว่างไสวกลับดับมืดลงจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด — ราวกับว่าโรงเตี๊ยมที่เคยมีชีวิตชีวาได้กลับไปร้างผู้คนอีกครั้ง
ทัศนียภาพของเขาถูกปกคลุมด้วยผ้าสีแดงโปร่งบาง
แทฮยองกะพริบตาอย่างมึนงง
ก่อนจะเริ่มสอดส่องสายตาสังเกตสภาพแวดล้อมรอบตัว ข้าวของเครื่องใช้ทุกชิ้นดูแปลกตา
ภายในห้องถูกตกแต่งด้วยสีแดงงดงามและฉูดฉาดเสียจนดวงตาพร่ามัว แทฮยองกำลังนั่งอยู่บนเตียงตามลำพัง
แผ่นหลังเหยียดตรงราวกับกำลังเฝ้ารอคอยอะไรบางอย่าง เขาไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งใด
แต่รู้ว่าสิ่งนั้นสำคัญกับตนเองเหลือเกิน
ทันใดนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงกระดิ่งดังแว่วมาจากที่ไกล
ๆ เสียงกรุ๊งกริ๊งสดใสขยับเข้ามาใกล้ทีละน้อย กลิ่นหอมของกำยานหรือดอกไม้แห้งลอยอบอวลรอบตัว
และกลิ่นหอมนั้นก็ทวีรุนแรงมากยิ่งขึ้นเมื่อใครคนหนึ่งปรากฏตัวหน้าประตู
สายลมยามค่ำคืนพัดพาความเย็นชื้นเข้ามาภายในห้อง
เมื่อบานประตูถูกปิดลงทุกอย่างก็กลับมาอบอุ่นอีกหน แทฮยองจ้องมองอีกฝ่ายค่อย ๆ คุกเข่าลงเบื้องหน้า
แม้จะไม่สามารถมองเห็นใบหน้านั้นได้ชัดเจนนักทว่าเขากลับรับรู้ได้ถึงรอยยิ้มและความยินดีของอีกฝ่าย
หัวใจดวงน้อยสั่นไหวยามที่ฝ่ามือถูกสัมผัส ใครอีกคนนวดคลึงนิ้วมือเขาเล่น ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
‘
เจ้าจะเป็นฝ่ายปลดผ้าคลุมหน้าของข้า หรือจะให้ข้าเป็นฝ่ายปลดผ้าคลุมหน้าของเจ้า? ’
‘ พวกเราปลดผ้าออกพร้อมกันเถิด
เช่นนี้ก็ไม่มีผู้ใดเสียเปรียบแล้ว ’
‘ เป็นความคิดที่ดี ’
อีกฝ่ายหัวเราะแผ่วเบา ดูพึงพอใจอย่างมาก ‘ ข้าจะได้จดจำภาพของเจ้าในอาภรณ์สีแดงนี้ไปชั่วชีวิต
’
‘ แล้วเจ้าจะไม่จดจำข้าในอาภรณ์สีอื่นบ้างเลยหรือ?
’
แทฮยองเอ่ยหยอกล้อ
พวกเขาสอดประสานนิ้วมือ ขยับเล่นโต้ตอบไปมาอย่างมีความสุข ความรู้สึกนี้แทบจะล้นทะลักออกมาจากร่างกาย
— มันมากมายถึงเพียงนั้น
เขาหลับตาลงเมื่อผ้าคลุมหน้าถูกปลดออก
ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อไร้สิ่งใดบดบัง
‘ ...เจ้างดงามถึงเพียงนี้ ’
แทฮยองกระซิบ น้ำเสียงเลื่อนลอย
ใบหน้านั้นเลือนรางทว่ากลับทำให้หัวใจเต็มตื้นไปด้วยความยินดีปรีดา
ราวกับว่านี่คือช่วงเวลาแสนวิเศษที่ใฝ่หามาทั้งชีวิต ฝ่ามืออบอุ่นสัมผัสแก้มของเขา
ทะนุถนอมราวกับของล้ำค่า เขาดึงฝ่ามือที่แนบข้างแก้มมาจุมพิตเบา ๆ อีกฝ่ายขยับเข้ามากอดเอว
ซุกซบใบหน้าลงกับแผ่นอกอย่างออดอ้อน
‘ เสียงหัวใจเจ้าดังเหลือเกิน
’ ปลายนิ้วซุกซนแตะไล้ไปทั่ว จุดไหนที่ไม่ควรสัมผัสก็สัมผัส สร้างหวามไหวปนขัดเขินให้แก่ตัวเขา
‘ ข้ามีความสุขมากจริง ๆ ’
อีกฝ่ายยันตัวลุกขึ้นยืน
ท่วงท่าเบียดชิดเสียจนแทฮยองล้มหงายนอนแผ่บนฟูกนุ่ม ผ้าคลุมหน้าปลิวตกลงสู่พื้น
ทว่าใครอีกคนยังไม่พึงพอใจจึงได้ปลดเสื้อผ้าส่วนอื่นออกตาม ๆ กัน เขาจ้องมองรอยยิ้มที่ทั้งอ่อนหวานทั้งยั่วเย้า
ใบหน้านั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ จุมพิตอ้อยอิ่งไปตามลำคอและใบหู แทฮยองโอบกอดร่างนั้นแนบแน่น
ภายในใจบังเกิดเป็นความไม่ยินยอมแยกจาก
เขาอยากมอบทั้งหมดที่ตนมีให้แก่คนผู้นี้
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดที่อีกฝ่ายปรารถนา
‘ เจ้าเองก็งดงาม
ทุกครั้งที่ข้ามองเจ้า ยิ่งมองก็ยิ่งงาม ยิ่งมองก็ยิ่งรัก ’
‘ แล้วจะให้ข้ายอมปล่อยเจ้านกน้อยตัวนี้ไปได้อย่างไร?
’
เสียงกระซิบบอกรักนั้นเต็มไปด้วยความยั่วยวน
ชักนำให้ดำดิ่งลงในวังวนแห่งรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า เนื้อแนบเนื้อ
ริมฝีปากสัมผัสริมฝีปาก ตามองประสานตา
เขาไม่เคยได้เสพสุขทางเนื้อหนังหรือทางจิตวิญญาณเช่นนี้กับผู้ใดมาก่อน
จึงทำได้เพียงสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมกอดอีกฝ่าย
‘ เจ้าโกรธข้าไหมที่เห็นแก่ตัวเช่นนี้?
’
ม่านสีแดงถูกปิดลง
ตัดขาดทุกอย่างออกจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
ในฝันนั้นแทฮยองร้องไห้ออกมา
ริมฝีปากขยับเอื้อนเอ่ยคำบางคำ ทว่ากลับจำไม่ได้ว่าตนได้พูดสิ่งใดออกไป บางที ..
อาจจะเป็นอะไรบางอย่างที่สำคัญมาก
อะไรบางอย่างที่ทำให้ชายที่อยู่ในฝันของเขานั้นร่ำไห้ออกมา
จะด้วยความทุกข์หรือด้วยความสุข เขาไม่อาจรู้เลย
เฮือก!
แทฮยองสะดุ้งตื่นจากความฝัน
ครั้นพบว่าตนยังคงตื่นมาในห้องนอนที่คุ้นเคยจึงพรูลมหายใจออกมายาวเหยียด เขายกฝ่ามือขึ้นลูบใบหน้าเบา
ๆ ก่อนผิวแก้มจะเริ่มร้อนฉ่าด้วยความอับอายทันทีที่รู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตน
เพราะความฝันนั่นแท้ ๆ!
นอกหน้าต่างดวงจันทร์กลมโตยังคงทอแสงนุ่มนวลไม่ต่างจากเดิม
อีกหลายชั่วยามกว่าจะเข้าสู่เช้าวันใหม่ ทว่าความรู้สึกหวามไหวจากความฝันรัญจวนใจเมื่อครู่กลับยังไม่ทุเลาราวกับมันได้เกิดขึ้นจริง
ๆ แล้วคืนนี้เขาจะสามารถข่มตานอนได้อย่างไรเล่า?
นอนกระสับกระส่ายได้ครู่หนึ่งสายตาพลันเหลือบมองเห็นภาพวาดของนักเต้นในอาภรณ์สีแดงสดใสตรงมุมห้อง
ภาพวาดนั้นถูกแสงจันทร์ตกกระทบพอดิบพอดี ทอแสงเรืองรองท่ามกลางความมืด แทฮยองรู้สึกอับอายเล็กน้อย
ดวงตาของคนในภาพวาดมองมายังเขา ริมฝีปากบิดเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ
สงวนท่าทีไม่ต่างจากตัวจริง
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าภาพวาดของตนเองนั้นเหมือนจริงจนน่ากระอักกระอ่วน
อีกทั้งคนในฝันของเขาผู้นั้นยังสวมอาภรณ์สีแดงที่ดูคล้ายกันอีกด้วย อา ..
ไม่รู้ว่าเขาหมกมุ่นกับจีมินมากเกินไปหรืออย่างไร ฝันกี่คราก็ต้องพบกับอีกฝ่ายอยู่ร่ำไป
บรรยากาศภายในจวนตระกูลคิมยามเช้าตรู่นั้นเงียบสงบ
บ่าวรับใช้ต่างพากันเริ่มต้นกิจวัตรประจำวันอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้เกิดเสียงรบกวนเจ้านายของตน
กุงซูสับฝีเท้าไปตามทางเดินเขียวชอุ่มแซมสีสันหลากหลายของดอกไม้
ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด หากว่าเด็กหนุ่มสามารถเร่งฝีเท้าได้เร็วกว่านี้ก็เกรงว่ากลับดอกเมฮวาบนพื้นคงพากันปลิวว่อน
เมื่อมาถึงที่หมายก็พบว่าคุณชายใหญ่กำลังนั่งชงชาเอง
สายตาเหม่อมองไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้าราวกับครุ่นคิดถึงอะไรสักอย่าง
ภาพที่เห็นทำให้กุงซูรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
ปกติแล้วเวลาเช้าตรู่เช่นนี้มักจะเป็นเวลาที่คุณชายใหญ่นอนหลับอุตุ
กว่าจะตื่นก็ปาเข้าไปช่วงสายของวันแล้ว
ทว่าวันนี้กลับมีกะจิตกะใจตื่นแต่เช้ามาดื่มชาชมวิวหรือนี่
“ คุณชายใหญ่
” เด็กหนุ่มร้องเรียกเบา ๆ “ หากท่านต้องการดื่มชาทำไมไม่เรียกข้าล่ะขอรับ
”
“ เจ้าหายตัวไปตั้งแต่เช้ามืด
จะให้ข้าเรียกเจ้าได้อย่างไรฮึ? ”
“ เรียกบ่าวคนอื่นมารับใช้ก็ได้นี่ขอรับ
หากท่านเผลอทำตัวเองบาดเจ็บจะแย่เอานะขอรับ ”
แทฮยองเท้าคางมองเจ้าเด็กขี้บ่นด้วยความขบขัน
รอจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอยัดขนมเข้าปากเพื่อให้หยุดพูดเสีย กุงซูเกือบสำลัก อ๊า
จริง ๆ เลยคุณชายใหญ่!
“ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เจ้าจะจู้จี้จุกจิกไปทำไม
” เขาเลื่อนจานขนมไปตรงหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะรินชาส่งให้ด้วย “
เอ้า กินให้อิ่มเสีย
ตื่นมาแต่เช้าคงยังไม่มีอะไรตกถึงท้องใช่หรือไม่ ”
ใจจริงกุงซูนึกอยากปฏิเสธเพราะเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องแจ้ง
แต่เด็กหนุ่มรู้ดีว่าหากตนไม่กินให้อิ่มตามที่คุณชายใหญ่บอก
อีกฝ่ายคงไม่ยอมปล่อยไปง่าย ๆ เป็นแน่ เด็กหนุ่มจึงทำได้แต่สงบปากสงบคำ
รับจานขนมกับถ้วยชามา ก่อนจะถอยไปนั่งกินอีกมุมหนึ่งเงียบ ๆ
“ เหตุใดวันนี้ท่านจึงตื่นเร็วกว่าปกติล่ะขอรับ?
”
“ ข้าตื่นเช้าบ้างไม่ได้หรือ?
”
“ มิใช่เช่นนั้นขอรับ ”
สายตากุงซูล่อกแล่กไปมา “ เพียงแต่ท่านตื่นเช้าเช่นนี้ก็ดี
.. หากทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วก็รีบไปแต่งเนื้อแต่งตัวเถิดขอรับ ”
นิ้วมือที่กำลังเกลี่ยขอบถ้วยชาเล่นอย่างใจลอยพลันชะงัก
แทฮยองเอียงคอมองเด็กหนุ่มอย่างนึกแปลกใจ
พลางระลึกถึงเรื่องราวมากมายที่ตนได้กระทำ
“ ก็เพราะเมื่อวานท่านกลับจวนเสียมืดค่ำ
ทำให้นายท่านและนายหญิงไม่อาจข่มตานอน ดูเหมือนว่านายท่านจะโกรธมากทีเดียวขอรับ...
”
แย่แล้วสิ
talk;
ชะแว้บบ หายหน้าหายตาไปนาน มีใครอยู่มั้ยน้อ
แนะนำให้กลับไปอ่านใหม่อีกสักรอบ เพราะคนเขียนก็ย้อนกลับไปอ่านเหมือนกันค่ะ แหะๆ
ว่างๆ ก็แวะไปเล่นกันได้ที่ #ดอกไม้สีแดงเบ่งบานยามวสันตฤดู นะคะ
ความคิดเห็น