ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    bts ★ the bloody flower blooming in the springtime ★ minv

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่แปด - คืบคลาน

    • อัปเดตล่าสุด 6 เม.ย. 65


     

     

    บทที่แปด

     



              ต่างฝ่ายต่างนั่งจิบสุราอย่างเงียบเชียบอยู่ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามา ผ่านไปครู่หนึ่งถ้วยสุราก็ว่างเปล่า เสียงเนื้อผ้าเสียดสีกันดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่ถ้วยสุราจะถูกเติมเต็มอีกหน แทฮยองแอบเหลือบแลมองกิริยานุ่มนวลของคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามตน หัวใจคล้ายถูกขนนกอ่อนนุ่มปัดผ่านชวนจั๊กจี้



    คนสองคนนั่งเงียบไร้บทสนทนา คนหนึ่งจดจ้อง คนหนึ่งก้มหน้าน้อย ๆ แสดงท่าทีนอบน้อม 



    ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาแต้มรอยยิ้มบาง ๆ นั้นทอแสงละมุนละไมใต้แสงจันทร์ งดงามชวนมอง คุณชายใหญ่ตระกูลคิมเคยพบพานคุณหนูและคุณชายที่งดงามราวดอกไม้มามากมาย ทว่าเขานึกไม่ออกว่าผู้ใดกันที่จะมีแรงดึงดูดบางอย่างมากถึงเพียงนี้? แปลกนัก .. แต่กลับให้ความรู้สึกที่ดียิ่ง



     เหตุใดคุณชายจึงมาที่นี่หรือขอรับ? กลิ่นหอมของสุราดอกไม้อบอวล แม้จะค่อนข้างเจือจางทว่าพอสูดดมนานเข้าก็เริ่มรู้สึกมึนเมาวูบวาบขึ้นมาบ้างแล้ว สถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะกับท่านเลยแม้แต่น้อย หากมีใครมาพบเห็นเข้า อาจมีคนนำไปกล่าวให้ท่านต้องเสื่อมเสีย



              “ อย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย ตัวข้าหาได้ถือเรื่องพวกนี้เสียเมื่อไหร่ อยากมาข้าก็มา ไม่อยากมาข้าก็ไม่มา ส่วนใครจะกล่าวอย่างไรก็ช่างเขาเถิด คนมีปากอย่างไรก็ห้ามพูดไม่ได้หรอก



              ในขณะที่ผู้เป็นนายกล่าวด้วยท่าทีไม่ยี่หระในชื่อเสียงอันดีงาม เด็กหนุ่มที่นั่งสงบเสงี่ยมตรงมุมห้องกลับตาแทบถลนออกจากเบ้า จะให้ลงเอยเช่นนั้นได้อย่างไร! กุงซูพลันรู้สึกไม่ยินยอม คุณชายใหญ่ของตนบริสุทธิ์ผุดผ่องมาตลอด ครั้นจะต้องมาเสียชื่อให้คนติฉินนินทาเพราะคนไร้หัวนอนปลายเท้าผู้หนึ่งนับว่าไม่น่าให้อภัยอย่างยิ่ง!



              อีกทั้งในบางคราเขายังรับรู้ได้ถึงสายตาของนักเต้นผู้นั้นที่เหลือบมองมา คล้ายกำลังพิจารณา ทว่าเมื่อทำใจกล้าเงยหน้าขึ้นมองกลับไม่พบสิ่งปกติใด ๆ ถึงกระนั้นกุงซูก็ยังไม่คลายความระแวดระวังลง บรรยากาศไม่คุ้นเคยทำให้เขารู้สึกกระสับกระส่าย



              คุณชายขอรับ นี่ก็มืดแล้ว พวกเราควรรีบกลับจวนนะขอรับ เด็กหนุ่มโพล่งขึ้นมากลางปล้อง ป่านนี้ทุกคนคงรอท่านอยู่เป็นแน่



              “ เจ้านี่อย่างไรกัน ไม่เห็นหรือไรว่าข้ากำลังสนทนากับผู้อื่นอยู่



    บทสนทนาพลันชะงัก กุงซูย่นคอเล็กน้อยเมื่อคุณชายใหญ่หันมามองด้วยสายตาติเตียน



              “ โธ่ คุณชายขอรับ คณะละครเร่ร่อนยังต้องรั้งอยู่ในเมืองอีกนาน ไม่สู้ท่านมาพบกับเขาในวันใหม่ไม่ดีกว่าหรือขอรับ



              จีมินเหลือบมองเด็กหนุ่มเบื้องหลังคุณชายใหญ่ตระกูลคิม ริมฝีปากคลี่เป็นรอยยิ้ม นึกขบขันกับท่าทางเช่นนั้น สีหน้าและคำพูดเหมือนผู้เฒ่าชราที่เห็นลูกหลานของตนออกนอกลู่นอกทาง ไม่เข้ากับใบหน้าอ่อนเยาว์เลยแม้แต่น้อย



              ที่เขากล่าวก็มีเหตุผลนะขอรับ ถ้วยสุราในมือแทฮยองว่างเปล่า ทว่าครั้งนี้จีมินกลับไม่ขยับตัว เป็นการสัญญาณกลาย ๆ ว่าอีกฝ่ายไม่ยินยอมให้เขารั้งอยู่ต่อ แถวนี้ไกลหูไกลตาคน อีกทั้งแสงไฟยังน้อยนัก รีบกลับเสียก่อนที่คนจะดับไฟเถิดขอรับ



              “ หากวันหน้าข้าอยากจะพบท่าน...



              แทฮยองรีบเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจ แต่แล้วกลับพบว่าสิ่งที่เอ่ยนั้นค่อนข้างกำกวมจึงงับริมฝีปากด้วยความประหม่าเล็กน้อย อา .. พูดออกไปเช่นนั้นแล้วอีกฝ่ายจะคิดอย่างไร เขาหลุบตาต่ำ จดจ้องชายแขนเสื้อของตนชั่วครู่ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมองสบกับใครอีกคนอีกครั้ง   



              “ ตั้งแต่คราแรกที่ได้ชมการร่ายรำของท่าน ข้าก็รู้สึกประทับใจอย่างมาก วันนี้เพิ่งได้ยินพ่อค้าในตลาดกล่าวว่าเสนาบดีอีเพิ่งจ้างคณะละครของพวกท่านให้เข้าไปแสดงถึงในจวน ข้าจึงสนใจอยากจะจ้างพวกท่านบ้างได้หรือไม่?



              “ ขออภัยคุณชาย หากเป็นเรื่องนี้ข้าไม่สามารถให้คำตอบแก่ท่านได้ ท่านคงต้องให้คนไปเจรจากับหัวหน้าคณะละครขอรับ ทุกอย่างล้วนเป็นเขาที่ตัดสินใจ



    ข้าเข้าใจแล้ว แย่จริง ข้าคาดคั้นเอากับท่านเช่นนี้คงทำให้ท่านลำบากใจ



    จีมินมิได้ลำบากใจขอรับ อีกฝ่ายเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม แม้จะเป็นเรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้ วันหน้า .. หากคุณชายมีสิ่งใดให้รับใช้ก็ไหว้วานผู้อื่นมาแจ้งแก่ข้าได้เสมอขอรับ



              จีมินยินดีรับใช้คุณชาย



    ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาก้มต่ำเล็กน้อยแสดงความนอบน้อมถ่อมตน มุมปากแต้มด้วยรอยยิ้มละไม ฉับพลันหัวใจของแทฮยองกลับสั่นไหวแปลก ๆ ยามที่นัยน์ตาสีดำสนิทดูลึกราวท้องฟ้ายามค่ำคืนเหลือบขึ้นมองเขา แสงเทียนวูบไหวสะท้อนบนนัยน์ตาคู่นั้นจนเกิดเป็นเสมือนประกายไฟไหวระริก



              กว่าจะรู้สึกตัวว่าเผลอเหม่อมองใบหน้านั้นเนิ่นนานก็ตอนที่อีกฝ่ายหลุบตามองต่ำอีกครั้ง



              แทฮยองกระแอมไอเล็กน้อย ใบหูร้อนฉ่า เขายกฝ่ามือเก้กังขึ้นจัดเสื้อผ้าและหมวกของตน อาการสั่นหวิวเช่นนี้ช่างไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย ผิวของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง หากไม่ใช่เพราะภายในนี้มีแสงสว่างไม่มากนักก็เกรงว่าความน่าอายนี้จะถูกเปิดเผยเสียแล้ว



              อีกสามวันข้าจะไปดูท่านแสดง...



              “ หลังจากนั้นพวกเรามาพบกันได้หรือไม่?



              จีมินหลุบตามองลายดอกไม้บิดเบี้ยวไร้ซึ่งความประณีตบนจอกสุรา ส่วนแทฮยองได้แต่ผินหน้ามองไปยังมุมห้องว่างเปล่า รอแล้วรอเล่าจนกระทั่งฝ่ายหนึ่งเปิดปากพูดท่ามกลางความเงียบชวนอึดอัดขัดเขินนี้



    จีมินจะรอขอรับ

     





              ณ มุมห้องที่หลงเหลือเพียงแสงสลัวจากเชิงเทียนใกล้มอดดับ มีแมงมุมตัวหนึ่งกำลังพ่นใยพันรอบตัวเหยื่อที่ไร้ทางสู้อย่างนุ่มนวล มันพันธนาการเหยื่อตัวนั้นอย่างไม่รีบร้อน จดจ้องอยู่เช่นนั้นโดยไม่ตะกละตะกลามกลืนกิน



              แผ่นหลังของคุณชายใหญ่ตระกูลคิมถูกบดบังด้วยบานประตู จีมินยังคงยิ้ม เขาเทสุราที่เหลืออยู่ในกาให้ตนเอง เงี่ยหูฟังจนกระทั่งเสียงฝีเท้าของคนสองคนค่อย ๆ ห่างไกลออกไป เมื่อกระดกสุราถ้วยสุดท้ายของค่ำคืนนี้หมด เขาจึงค่อย ๆ หลับตาลง กลิ่นเครื่องหอมเจือจางยังคงลอยอ้อยอิ่งในอากาศ ปะปนไปกับกลิ่นของสุราดอกไม้ กลิ่นที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวนี้ทำให้นึกถึงตัวตนของผู้ที่เพิ่งจากไป



              โชคชะตา หรือจะวาสนา — ล้วนแต่ให้มันเป็นไปตามใจอยากเถิด



              “ หากท่านไม่มาแล้วข้าจะทำอย่างไรเล่า...?

     





              แทฮยองถูกเด็กหนุ่มอายุน้อยกว่าดึงรั้งชายแขนเสื้อให้รีบเดินตามหลัง ในใจเขารู้สึกอิดออดเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะหันไปมองบนชั้นสองหลายต่อหลายครั้ง บานประตูประดับลวดลายดอกไม้เจือจางและทึมเทาสงบนิ่งคล้ายตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง แทฮยองทอดถอนหายใจกับตนเอง สุดท้ายจึงต้องจำยอมก้าวตามกุงซูไปโดยไม่มีข้อแม้



              “ คุณชายใหญ่ขอรับ?



    ทว่าก่อนก้าวขาผ่านพ้นประตูโรงเตี๊ยม หางตาพลันเหลือบไปเห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ดูคุ้นเหน้าเล็กน้อย ไม่นานนักเขาจึงนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายคือชายที่ร้องตะโกนเชื้อเชิญให้คนเข้ามาชมการแสดงในวันนั้นนั่นเอง



    กุงซู เจ้าคุ้นหน้าคุ้นตาชายผู้นั้นเหมือนข้าหรือไม่?



    เอ๊ะ เด็กหนุ่มหันมองตาม ข้าคิดว่าเขาคือหนึ่งในสมาชิกคณะละครเร่ร่อนนะขอรับ



    กลุ่มคนที่นั่งโต๊ะเดียวกันกับชายผู้นั้นนั่งกำลังกระซิบกระซาบพูดคุยกันเป็นภาษาต่างถิ่นที่แทฮยองไม่คุ้นเคย บรรยากาศเคร่งขรึมนัก ดูไม่ครึกครื้นรื่นเริงเหมือนตอนที่กำลังเปิดทำการแสดงในตลาด ตัวเขาเคยได้พบเห็นผู้คนดื่มด่ำเมามายมาก็หลากหลาย ทว่าคณะละครเร่ร่อนกลุ่มนี้กลับผิดแผกออกไป พวกเขาดื่มสุราบนโต๊ะราวกับไม่สามารถลิ้มรสรสชาติของมันได้



              คุณชาย! ท่านกำลังจะไปไหนอีกแล้วขอรับ! ”



              “ ไม่นานหรอกน่า เจ้าเองก็ตามมาเร็วเข้า



              “ โธ่เอ๊ย เหตุใดหลายวันมานี้ท่านจึงทำตัวเหลวไหลนักนะขอรับ! ”



              คุณชายใหญ่ตระกูลคิมเดินตรงเข้าไปหาคนกลุ่มนั้น สายตาหลายคู่พลันจ้องมองมา เสียงสนทนาแผ่วเบาเงียบลงทันที กุงซูมีท่าทีระแวดระวัง สายตาล่อกแล่กมองหาทางหนีทีไล่ คุณชายช่างหาเรื่องเกินไปแล้ว! เด็กหนุ่มโอดครวญกับตนเอง ถึงกระนั้นเจ้าตัวหาได้สะทกสะท้าน



    ทุกท่าน ขออภัยที่มารบกวนเวลาพักผ่อน



    แทฮยองโค้งตัวทักทายฝ่ายตรงข้ามอย่างสุภาพ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ชายวัยกลางคนผู้ที่เป็นเป้าหมายของเขาตั้งแต่แรกเป็นฝ่ายขยับตัวก่อนคนอื่น ๆ อีกฝ่ายรีบกุลีกุจอลุกขึ้นยืน ใบหน้าเคร่งขรึมพลันเจือด้วยรอยยิ้มการค้า มีท่าทีกระตือรือร้นขึ้นมาก



    ไม่ทราบว่าคุณชายท่านนี้คือ...?



    คิมแทฮยอง เขากล่าว ท่านคือเจ้าของคณะละครใช่หรือไม่? ”



              “ ขอรับคุณชาย ไม่ทราบว่าคุณชายมีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือขอรับ?



              “ ข้าได้ยินมาว่าเสนาบดีอีจ้างคณะละครของท่านไปแสดงที่จวน ข้าฟังแล้วก็รู้สึกว่าน่าสนใจนัก ถ้าหากข้าอยากจ้างคณะละครของท่านเป็นการส่วนตัวบ้างจะได้หรือไม่?



              “ แน่นอนขอรับคุณชาย เจ้าของคณะละครเร่ร่อนแย้มยิ้ม แววตาส่องประกาย ก่อนจะตอบตกปากรับคำอย่างนอบน้อม เป็นวาสนาของพวกเราจริง ๆ ที่ได้รับโอกาสดี ๆ เช่นนี้จากท่าน



              “ ท่านกล่าวหนักเกินไปแล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะฝีมือการแสดงของทุกท่านต่างหาก เป็นข้าเสียอีกที่โชคดีได้ชื่นชมการแสดงงดงามอันตระการตาเช่นนี้



              เสียงปฏิเสธเจือหัวเราะชอบใจดังขึ้นทั่งบริเวณ โต๊ะของคณะละครเร่ร่อนถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศรื่นเริงอีกครั้งเพราะคุณชายผู้นี้ที่สรรเสริญเยินยอการแสดงของพวกเขา มีโอกาสไม่มากนักที่นักแสดงเร่ร่อนจะได้มีโอกาสสนทนาพูดคุยกับผู้ที่มีฐานะสูงส่งกว่า บางคนรู้สึกกระอักกระอ่วนทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง แต่ก็นับว่ามีความรู้สึกดี ๆ เจือปนอยู่



              “ พรุ่งนี้ข้าจะให้คนนำสัญญาว่าจ้างมาส่งให้ท่าน หากท่านรู้วันที่แน่ชัดแล้วก็ส่งคนมาแจ้งกับข้าได้ที่จวนตระกูลคิม ให้พวกเขานำคนของท่านเข้าไปพบข้าด้านใน



              “ โอ้ .. ขอบคุณขอรับคุณชาย! ”



              เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วอารมณ์ของคุณชายใหญ่ตระกูลคิมจึงเบิกบานยิ่งนัก ไม่ต้องรอให้กุงซูดึงรั้งอีกหนก็ก้าวขาฉับ ๆ ออกไปจากโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว ฝีเท้าแทบจะล่องลอยประหนึ่งเดินบนปุยเมฆ เสียงฮัมเพลงดังคลอเบา ๆ ระหว่างเส้นทางมืดสลัว เขาหันมองทางนั้นทีทางนั้นทีราวกับกำลังดื่มด่ำกับทัศนียภาพอันงดงาม แม้ว่าสิ่งที่เห็นจะมีเพียงดวงจันทร์เท่านั้นที่โดดเด่น



              ทุกอย่างอยู่สายตาของกุงซูทั้งหมด ไม่รู้ว่าตนติดนิสัยขี้กังวลมาจากพ่อบ้านหรืออย่างไร เด็กหนุ่มรู้สึกว่าทุกอย่างมันแปลกประหลาดอย่างไรชอบกล ทว่าคิดกี่ตลบก็ไม่อาจบอกได้ว่าตรงไหนที่แปลกประหลาด กุงซูหันกลับไปมองโรงเตี๊ยมเบื้องหลังอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าโคมไฟกระดาษที่เคยสว่างไสวกลับดับมืดลงจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด — ราวกับว่าโรงเตี๊ยมที่เคยมีชีวิตชีวาได้กลับไปร้างผู้คนอีกครั้ง

             








              ทัศนียภาพของเขาถูกปกคลุมด้วยผ้าสีแดงโปร่งบาง



    แทฮยองกะพริบตาอย่างมึนงง ก่อนจะเริ่มสอดส่องสายตาสังเกตสภาพแวดล้อมรอบตัว ข้าวของเครื่องใช้ทุกชิ้นดูแปลกตา ภายในห้องถูกตกแต่งด้วยสีแดงงดงามและฉูดฉาดเสียจนดวงตาพร่ามัว แทฮยองกำลังนั่งอยู่บนเตียงตามลำพัง แผ่นหลังเหยียดตรงราวกับกำลังเฝ้ารอคอยอะไรบางอย่าง เขาไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งใด แต่รู้ว่าสิ่งนั้นสำคัญกับตนเองเหลือเกิน



    ทันใดนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงกระดิ่งดังแว่วมาจากที่ไกล ๆ เสียงกรุ๊งกริ๊งสดใสขยับเข้ามาใกล้ทีละน้อย กลิ่นหอมของกำยานหรือดอกไม้แห้งลอยอบอวลรอบตัว และกลิ่นหอมนั้นก็ทวีรุนแรงมากยิ่งขึ้นเมื่อใครคนหนึ่งปรากฏตัวหน้าประตู



    สายลมยามค่ำคืนพัดพาความเย็นชื้นเข้ามาภายในห้อง เมื่อบานประตูถูกปิดลงทุกอย่างก็กลับมาอบอุ่นอีกหน แทฮยองจ้องมองอีกฝ่ายค่อย ๆ คุกเข่าลงเบื้องหน้า แม้จะไม่สามารถมองเห็นใบหน้านั้นได้ชัดเจนนักทว่าเขากลับรับรู้ได้ถึงรอยยิ้มและความยินดีของอีกฝ่าย หัวใจดวงน้อยสั่นไหวยามที่ฝ่ามือถูกสัมผัส ใครอีกคนนวดคลึงนิ้วมือเขาเล่น ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล



              เจ้าจะเป็นฝ่ายปลดผ้าคลุมหน้าของข้า หรือจะให้ข้าเป็นฝ่ายปลดผ้าคลุมหน้าของเจ้า?



              ‘ พวกเราปลดผ้าออกพร้อมกันเถิด เช่นนี้ก็ไม่มีผู้ใดเสียเปรียบแล้ว



              ‘ เป็นความคิดที่ดี อีกฝ่ายหัวเราะแผ่วเบา ดูพึงพอใจอย่างมาก ข้าจะได้จดจำภาพของเจ้าในอาภรณ์สีแดงนี้ไปชั่วชีวิต



              ‘ แล้วเจ้าจะไม่จดจำข้าในอาภรณ์สีอื่นบ้างเลยหรือ?



              แทฮยองเอ่ยหยอกล้อ พวกเขาสอดประสานนิ้วมือ ขยับเล่นโต้ตอบไปมาอย่างมีความสุข ความรู้สึกนี้แทบจะล้นทะลักออกมาจากร่างกาย — มันมากมายถึงเพียงนั้น



              เขาหลับตาลงเมื่อผ้าคลุมหน้าถูกปลดออก ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อไร้สิ่งใดบดบัง



    ...เจ้างดงามถึงเพียงนี้



    แทฮยองกระซิบ น้ำเสียงเลื่อนลอย



              ใบหน้านั้นเลือนรางทว่ากลับทำให้หัวใจเต็มตื้นไปด้วยความยินดีปรีดา ราวกับว่านี่คือช่วงเวลาแสนวิเศษที่ใฝ่หามาทั้งชีวิต ฝ่ามืออบอุ่นสัมผัสแก้มของเขา ทะนุถนอมราวกับของล้ำค่า เขาดึงฝ่ามือที่แนบข้างแก้มมาจุมพิตเบา ๆ อีกฝ่ายขยับเข้ามากอดเอว ซุกซบใบหน้าลงกับแผ่นอกอย่างออดอ้อน



              เสียงหัวใจเจ้าดังเหลือเกิน ปลายนิ้วซุกซนแตะไล้ไปทั่ว จุดไหนที่ไม่ควรสัมผัสก็สัมผัส สร้างหวามไหวปนขัดเขินให้แก่ตัวเขา ข้ามีความสุขมากจริง ๆ



    อีกฝ่ายยันตัวลุกขึ้นยืน ท่วงท่าเบียดชิดเสียจนแทฮยองล้มหงายนอนแผ่บนฟูกนุ่ม ผ้าคลุมหน้าปลิวตกลงสู่พื้น ทว่าใครอีกคนยังไม่พึงพอใจจึงได้ปลดเสื้อผ้าส่วนอื่นออกตาม ๆ กัน เขาจ้องมองรอยยิ้มที่ทั้งอ่อนหวานทั้งยั่วเย้า ใบหน้านั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ จุมพิตอ้อยอิ่งไปตามลำคอและใบหู แทฮยองโอบกอดร่างนั้นแนบแน่น ภายในใจบังเกิดเป็นความไม่ยินยอมแยกจาก



    เขาอยากมอบทั้งหมดที่ตนมีให้แก่คนผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดที่อีกฝ่ายปรารถนา  



              ‘ เจ้าเองก็งดงาม ทุกครั้งที่ข้ามองเจ้า ยิ่งมองก็ยิ่งงาม ยิ่งมองก็ยิ่งรัก



    แล้วจะให้ข้ายอมปล่อยเจ้านกน้อยตัวนี้ไปได้อย่างไร?



    เสียงกระซิบบอกรักนั้นเต็มไปด้วยความยั่วยวน ชักนำให้ดำดิ่งลงในวังวนแห่งรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า เนื้อแนบเนื้อ ริมฝีปากสัมผัสริมฝีปาก ตามองประสานตา เขาไม่เคยได้เสพสุขทางเนื้อหนังหรือทางจิตวิญญาณเช่นนี้กับผู้ใดมาก่อน จึงทำได้เพียงสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมกอดอีกฝ่าย 



    เจ้าโกรธข้าไหมที่เห็นแก่ตัวเช่นนี้?



              ม่านสีแดงถูกปิดลง ตัดขาดทุกอย่างออกจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง



    ในฝันนั้นแทฮยองร้องไห้ออกมา ริมฝีปากขยับเอื้อนเอ่ยคำบางคำ ทว่ากลับจำไม่ได้ว่าตนได้พูดสิ่งใดออกไป บางที .. อาจจะเป็นอะไรบางอย่างที่สำคัญมาก อะไรบางอย่างที่ทำให้ชายที่อยู่ในฝันของเขานั้นร่ำไห้ออกมา จะด้วยความทุกข์หรือด้วยความสุข เขาไม่อาจรู้เลย


     

              เฮือก!



              แทฮยองสะดุ้งตื่นจากความฝัน ครั้นพบว่าตนยังคงตื่นมาในห้องนอนที่คุ้นเคยจึงพรูลมหายใจออกมายาวเหยียด เขายกฝ่ามือขึ้นลูบใบหน้าเบา ๆ ก่อนผิวแก้มจะเริ่มร้อนฉ่าด้วยความอับอายทันทีที่รู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตน



              เพราะความฝันนั่นแท้ ๆ!



    นอกหน้าต่างดวงจันทร์กลมโตยังคงทอแสงนุ่มนวลไม่ต่างจากเดิม อีกหลายชั่วยามกว่าจะเข้าสู่เช้าวันใหม่ ทว่าความรู้สึกหวามไหวจากความฝันรัญจวนใจเมื่อครู่กลับยังไม่ทุเลาราวกับมันได้เกิดขึ้นจริง ๆ แล้วคืนนี้เขาจะสามารถข่มตานอนได้อย่างไรเล่า?



              นอนกระสับกระส่ายได้ครู่หนึ่งสายตาพลันเหลือบมองเห็นภาพวาดของนักเต้นในอาภรณ์สีแดงสดใสตรงมุมห้อง ภาพวาดนั้นถูกแสงจันทร์ตกกระทบพอดิบพอดี ทอแสงเรืองรองท่ามกลางความมืด แทฮยองรู้สึกอับอายเล็กน้อย ดวงตาของคนในภาพวาดมองมายังเขา ริมฝีปากบิดเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ สงวนท่าทีไม่ต่างจากตัวจริง



    นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าภาพวาดของตนเองนั้นเหมือนจริงจนน่ากระอักกระอ่วน อีกทั้งคนในฝันของเขาผู้นั้นยังสวมอาภรณ์สีแดงที่ดูคล้ายกันอีกด้วย อา .. ไม่รู้ว่าเขาหมกมุ่นกับจีมินมากเกินไปหรืออย่างไร ฝันกี่คราก็ต้องพบกับอีกฝ่ายอยู่ร่ำไป

             






              บรรยากาศภายในจวนตระกูลคิมยามเช้าตรู่นั้นเงียบสงบ บ่าวรับใช้ต่างพากันเริ่มต้นกิจวัตรประจำวันอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้เกิดเสียงรบกวนเจ้านายของตน กุงซูสับฝีเท้าไปตามทางเดินเขียวชอุ่มแซมสีสันหลากหลายของดอกไม้ ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด หากว่าเด็กหนุ่มสามารถเร่งฝีเท้าได้เร็วกว่านี้ก็เกรงว่ากลับดอกเมฮวาบนพื้นคงพากันปลิวว่อน



              เมื่อมาถึงที่หมายก็พบว่าคุณชายใหญ่กำลังนั่งชงชาเอง สายตาเหม่อมองไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้าราวกับครุ่นคิดถึงอะไรสักอย่าง ภาพที่เห็นทำให้กุงซูรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ปกติแล้วเวลาเช้าตรู่เช่นนี้มักจะเป็นเวลาที่คุณชายใหญ่นอนหลับอุตุ กว่าจะตื่นก็ปาเข้าไปช่วงสายของวันแล้ว ทว่าวันนี้กลับมีกะจิตกะใจตื่นแต่เช้ามาดื่มชาชมวิวหรือนี่



              คุณชายใหญ่ เด็กหนุ่มร้องเรียกเบา ๆ หากท่านต้องการดื่มชาทำไมไม่เรียกข้าล่ะขอรับ



              “ เจ้าหายตัวไปตั้งแต่เช้ามืด จะให้ข้าเรียกเจ้าได้อย่างไรฮึ?



              “ เรียกบ่าวคนอื่นมารับใช้ก็ได้นี่ขอรับ หากท่านเผลอทำตัวเองบาดเจ็บจะแย่เอานะขอรับ



              แทฮยองเท้าคางมองเจ้าเด็กขี้บ่นด้วยความขบขัน รอจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอยัดขนมเข้าปากเพื่อให้หยุดพูดเสีย กุงซูเกือบสำลัก อ๊า จริง ๆ เลยคุณชายใหญ่!



              เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เจ้าจะจู้จี้จุกจิกไปทำไม เขาเลื่อนจานขนมไปตรงหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะรินชาส่งให้ด้วย เอ้า กินให้อิ่มเสีย ตื่นมาแต่เช้าคงยังไม่มีอะไรตกถึงท้องใช่หรือไม่



              ใจจริงกุงซูนึกอยากปฏิเสธเพราะเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องแจ้ง แต่เด็กหนุ่มรู้ดีว่าหากตนไม่กินให้อิ่มตามที่คุณชายใหญ่บอก อีกฝ่ายคงไม่ยอมปล่อยไปง่าย ๆ เป็นแน่ เด็กหนุ่มจึงทำได้แต่สงบปากสงบคำ รับจานขนมกับถ้วยชามา ก่อนจะถอยไปนั่งกินอีกมุมหนึ่งเงียบ ๆ



    เหตุใดวันนี้ท่านจึงตื่นเร็วกว่าปกติล่ะขอรับ?



              “ ข้าตื่นเช้าบ้างไม่ได้หรือ?



              “ มิใช่เช่นนั้นขอรับ สายตากุงซูล่อกแล่กไปมา เพียงแต่ท่านตื่นเช้าเช่นนี้ก็ดี .. หากทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วก็รีบไปแต่งเนื้อแต่งตัวเถิดขอรับ



              นิ้วมือที่กำลังเกลี่ยขอบถ้วยชาเล่นอย่างใจลอยพลันชะงัก แทฮยองเอียงคอมองเด็กหนุ่มอย่างนึกแปลกใจ พลางระลึกถึงเรื่องราวมากมายที่ตนได้กระทำ



              “ ก็เพราะเมื่อวานท่านกลับจวนเสียมืดค่ำ ทำให้นายท่านและนายหญิงไม่อาจข่มตานอน ดูเหมือนว่านายท่านจะโกรธมากทีเดียวขอรับ...



              แย่แล้วสิ





    talk;
    ชะแว้บบ หายหน้าหายตาไปนาน มีใครอยู่มั้ยน้อ
    แนะนำให้กลับไปอ่านใหม่อีกสักรอบ เพราะคนเขียนก็ย้อนกลับไปอ่านเหมือนกันค่ะ แหะๆ

    ว่างๆ ก็แวะไปเล่นกันได้ที่ #ดอกไม้สีแดงเบ่งบานยามวสันตฤดู นะคะ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×