คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่เจ็ด - โรงเตี๊ยมหวนกลับมาและสุราดอกไม้
บทที่เจ็ด
ความฝันอันน่าสะพรึงไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัวแต่อย่างใด
มิหนำซ้ำกลับทำให้รู้สึกอยากทำความรู้จักกับคนที่มาปรากฏในฝันมากยิ่งขึ้น ช่างเป็นแรงดึงดูดที่แปลกประหลาดนัก
แทฮยองไม่มั่นใจว่าความรู้สึกนี้คือสิ่งใด
ทว่าเขานึกอยากพบพานและสนทนากับนักเต้นปริศนาผู้นั้นจนตัดสินใจออกจากจวนยามค่ำคืนเพื่อไปดูอีกฝ่ายทำการแสดงอีกครา
หากแต่กลับต้องพบกับความผิดหวัง
“
เรียนคุณชาย เท่าที่ข้าทราบ .. คณะละครเร่ร่อนจะเปิดแสดงสามวัน หยุดพักสี่วัน ดำเนินไปเช่นนี้จนกว่าจะครบกำหนดเดินทางออกจากเมืองหลวงขอรับ
”
พ่อค้าร้านขายผ้ากล่าว เมื่อได้ยินดังนั้นแทฮยองก็ไม่อาจปกปิดความผิดหวังและความเสียดายผ่านทางสีหน้าได้อีกต่อไป
นี่เป็นราตรีที่สี่ที่คณะละครเร่ร่อนเข้ามาในเมืองหลวงพอดิบพอดี
แสดงว่าตอนนี้พวกเขาคงกำลังพักผ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง
เพียงแค่คิดว่าตนจะไม่ได้พบใครอีกคนในราตรีนี้หัวใจพลันรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา
“ ...เช่นนั้นหรอกหรือ ”
นัยย์ตากลมโตเหลือบมองลานกว้างในตลาดที่มีเพียงผู้คนสัญจรไปมาตามปกติ
ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ พ่อค้าร้านขายผ้าเห็นท่าทางเช่นนั้นแล้วก็อดเอ่ยปากปลอบใจคุณชายท่านนี้ไม่ได้
ดูท่าแล้วอีกฝ่ายคงตั้งใจมาดูการแสดงจริง ๆ
หากแต่กลับไม่รู้ว่าการแสดงไม่ได้ถูกจัดขึ้นทุกวันจึงต้องมาเสียเที่ยว
“ คุณชายโปรดอดใจรออีกสามวันเถิด
ป่านนี้พวกเขาคงพักผ่อนอยู่กระมัง ”
“ แล้วท่านพอจะทราบหรือไม่ว่าพวกเขาพักอยู่ที่ใด?
”
“
อยู่ที่โรงเตี๊ยมท้ายตลาดนี่เองขอรับ ”
“ เห โรงเตี๊ยมนั่นไม่ใช่ว่าร้างมานานแล้วหรือท่านลุง?
”
กุงซูอุทานขึ้นมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
แทฮยองเองก็เผลอขมวดคิ้วน้อย ๆ เมื่อได้ยินสิ่งที่พ่อค้าร้านขายผ้าบอก
โรงเตี๊ยมท้ายตลาดนั้นตั้งอยู่ในตรอกลึก ครั้งสุดท้ายที่เห็นสภาพของมันก็ทรุดโทรมลงไปมากแล้ว
ห่างออกไปไม่ไกลจากโรงเตี๊ยมนั้นเป็นป่าทึบ บางฤดูกาลอาจโชคร้ายพบสัตว์ป่าหรือสัตว์มีพิษ
แม้เจ้าของเดิมจะขายด้วยราคาที่ถูกจนเหมือนให้เปล่า ๆ ปลี้ ๆ
เพียงใดก็ไม่มีใครคิดว่าการลงทุนกับโรงเตี๊ยมแห่งนั้นจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ด้วยทำเลที่ไม่เหมาะสมและความทรุดโทรมยากแก้ไขจึงทำให้ที่นั่นร้างมานานหลายสิบปี
“ ข้าได้ยินว่ามีบัณฑิตหนุ่มผู้หนึ่งซื้อโรงเตี๊ยมเอาไว้เมื่อหลายเดือนก่อน
” พ่อค้าร้านขายผ้าหัวเราะ “ คงมาจากต่างถิ่นกระมังถึงกล้าซื้อทำเลอัปมงคลเช่นนั้น
ข้าว่านะ .. อีกไม่นานที่นั่นคงกลับมาร้างตามเดิม นอกจากคนต่างถิ่นแล้วคงไม่มีใครในเมืองหลวงย่างกรายไปที่นั่นหรอก
”
บัณฑิตหนุ่ม? แทฮยองฉุกนึกถึงใบหน้านุ่มนวลที่ประดับรอยยิ้มของบัณฑิตหนุ่มที่บังเอิญได้สนทนากันไม่กี่วันก่อน
คุณชายผู้นั้นก็เคยบอกว่าตนมาจากต่างถิ่นเช่นกัน หากเป็นเช่นนั้นก็นับว่าพวกเขามีวาสนาต่อกันไม่น้อย
เจอกันครั้งหน้าก็อาจได้นับถือเป็นสหาย
“ คณะละครนั่นก็ตระหนี่จริงเชียว สามราตรีที่ผ่านมาสามารถกอบโกยเงินทองได้ตั้งมากมายแท้
ๆ แทนที่จะไปหาโรงเตี๊ยมดี ๆ อยู่กลับเลือกสถานที่ซอมซ่อเช่นนั้น ” ว่าแล้วพ่อค้าวัยกลางคนก็กวาดสายตาไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง
ก่อนจะเอนตัวมาทางพวกเขาเล็กน้อย “ พวกท่านไม่รู้ล่ะสิว่าเสนาบดีอีถึงกับลงทุนจ้างไปแสดงให้ดูเป็นการส่วนตัวถึงในจวนเชียวนา
”
เขาฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดอย่างนึกสนใจ
ดวงตาสีเข้มพลันกระจ่างใสเมื่อได้รู้ว่าสามารถจ้างคณะละครเร่ร่อนให้ไปแสดงถึงในจวนได้ด้วย
ในหัวเริ่มขบคิดต่าง ๆ นานาว่าควรจะทำอย่างไรจึงจะได้พบหน้าจีมินอีกสักครา
แทฮยองมัวแต่จมอยู่ในห้วงความคิดของตนโดยลืมเลือนสิ่งรอบตัวไปชั่วขณะ
โดยไม่รู้เลยว่าท่าทางสนอกสนใจของตนอยู่ในสายตาของเด็กหนุ่มข้างกายทั้งหมด
ในฐานะที่อยู่รับใช้คุณชายใหญ่มาทั้งชีวิต
มองปราดเดียวกุงซูก็รู้ได้ในทันทีว่าคุณชายใหญ่มีท่าทีที่ดูผิดแปลกไปจากเดิม
แม้จะแค่เล็กน้อยแต่เขาก็จับสังเกตได้ทั้งหมด เด็กหนุ่มไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดคุณชายของตนถึงได้ให้ความสนใจกับคณะละครเร่ร่อนนั่นนัก
นอกจากการแสดงของชนเผ่านอกด่านที่สาบสูญมานานหลายร้อยปีแล้วก็ไม่เห็นจะมีสิ่งใดแปลกใหม่
เอ ..
หรือเป็นเพราะว่าตนไม่สามารถเข้าถึงอารมณ์อันซับซ้อนของพวกศิลปินได้กันหนอ?
“ คุณชายใหญ่คงไม่คิดที่จะทำแบบเดียวกับท่านเสนาบดีอีใช่หรือไม่ขอรับ
”
“ นับว่าเจ้ารู้ใจข้า ” คุณชายใหญ่หัวเราะ “ การแสดงของพวกเขางดงามตระการตา
อีกทั้งยังหาชมได้ยาก หากท่านพ่อกับท่านแม่ได้ชมคงจะทำให้พวกท่านผ่อนคลายไม่น้อย
หรือเจ้าไม่คิดเช่นนั้น? ”
“ เอ๊ย! ข้ามิบังอาจหรอกขอรับคุณชายใหญ่
เพียงแต่เราไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าของพวกเขามาก่อน หากเชิญเข้าจวนก็เกรงว่าจะ... ”
แทฮยองใช้พัดในมือเคาะหน้าผากเด็กหนุ่มเบา
ๆ ไปหนึ่งที
“ ระวังปากเสียบ้าง
เราไม่รู้จักพวกเขาไม่ใช่หรือ เช่นนั้นก็ไม่ควรไปตัดสินพวกเขา ”
“ โธ่ คุณชายใหญ่ขอรับ
ข้าเพียงแต่เป็นห่วงเท่านั้นเอง ”
“ เอาเป็นว่า
ถ้าหากวันนั้นมาถึงพวกเราค่อยจ้างทหารมาคุ้มกันเพิ่มดีหรือไม่? ”
เมื่อผู้เป็นนายกล่าวเช่นนี้แล้วตัวเขาหรือจะกล้าเอ่ยแย้งให้ขุ่นเคืองใจอีก
กุงซูทำปากยื่นปากยาวพลางยกมือขึ้นลูบหน้าผากป้อย ๆ แม้ตนจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่ต้องพาใครก็ไม่รู้เข้ามาในจวน
แต่ถ้ามีทหารรับจ้างฝีมือดีมาคุ้มกันเพิ่มก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกกระมัง?
“ ดี!
เช่นนั้นพวกเรารีบไปกันเถอะ ”
ทว่าเส้นทางที่คุณชายใหญ่กำลังจะไปมันมิใช่ทางกลับจวนนี่นา!
“ ค .. คุณชายใหญ่ ทางกลับจวนอยู่ทางนี้นะขอรับ
”
คุณชายใหญ่ค่อย ๆ ผลิรอยยิ้มซุกซน
— รอยยิ้มที่ทำให้กุงซูรู้สึกถึงเม็ดเหงื่อตรงแผ่นหลัง!
“ ข้าบอกเมื่อใดว่าจะกลับจวน?
”
//
“ พวกเรากลับกันเถอะขอรับ! ”
กุงซูแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
ภายในตรอกลึกอันเป็นหนทางไปสู่โรงเตี๊ยมท้ายตลาดที่ติดชายป่านั้นค่อนข้างซับซ้อนและคดเคี้ยวคล้ายกับเขาวงกตขนาดย่อมอย่างไรอย่างนั้น
ระหว่างทางก็เงียบเหงาวังเวงเป็นอย่างยิ่ง โชคดีที่ราตรีนี้จันทร์กระจ่างจึงทำให้พอจะมองเห็นสิ่งรอบข้างได้เลือนราง
แต่ถึงอย่างไรก็เถอะ!
บรรยากาศเช่นนี้มันชวนขนหัวลุกเกินไปแล้ว! เด็กหนุ่มเบียดตัวเข้าไปใกล้คุณชายใหญ่
มือที่ถือโคมไฟสั่นงันงกเสียจนเงาสะท้อนบนพื้นสั่นไหวไปมา
“ ว ..
ไว้พวกเราค่อยกลับมาตอนเช้าไม่ดีกว่าหรือขอรับ ”
“ หากเจ้ากลัวก็ไปรอข้าที่ตลาด
”
“ ได้อย่างไรเล่าขอรับ!
” กุงซูร้อง ไม่ว่าตนจะตามกับคุณชายใหญ่ไปหรือปล่อยให้อีกฝ่ายไปเองก็น่ากังวลพอ
ๆ กัน “ ข้าปล่อยให้คุณชายไปที่นั่นตามลำพังไม่ได้เด็ดขาดขอรับ
ฮือ คุณชายใหญ่ ท่านอย่าทำให้ข้าลำบากใจเช่นนี้เลย ไม่สู้ท่านรอให้ถึงเช้า
แล้วค่อยมาอีกทีเถิดขอรับ ”
“ พวกเราเดินมาตั้งขนาดนี้แล้วยังคิดจะหันหลังกลับอยู่หรือ
”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาบริเวณนี้แทบไม่มีผู้คนสัญจร
ยกเว้นเสียแต่จะอยากใช้ทางลัดเข้าป่าไปหาของมาขาย ระหว่างทางมีบ้านเพียงไม่กี่หลังปลูกห่างกันและค่อนข้างเงียบสงบ
กุงซูกลืนน้ำลายลงคอ ต่อให้ไม่มีสิ่งลี้ลับก็น่าจะมีโจร หรือถ้าไม่มีโจรก็อาจมีผี!
บรรยากาศวังเวงทำให้เด็กหนุ่มกระวนกระวายเป็นอย่างมาก เขากวาดตามองรอบตัวอย่างระแวดระวัง
ใจก็บ่นผู้เป็นนายที่ไม่รู้จักระวังตัว
พวกเขาสองคนล้วนไม่มีใครต่อสู้เป็น เรี่ยวแรงรวมกันยังแล้วก็ยังล้มผู้ชายตัวใหญ่สักคนไม่ได้เลยกระมัง
หากเกิดอะไรขึ้นมาล่ะก็—
“ ที่นี่แหละ
”
เบื้องหน้าของพวกเขาปรากฏโรงเตี๊ยมที่สว่างไสวด้วยโคมไฟกระดาษ
ตั้งตระหง่านท่ามกลางความมืด โดยเบื้องหลังคือป่าทึบที่มีเสียงใบไม้ไหวดังแว่วมาเป็นระยะ
โคมไฟกระดาษหน้าประตูแกว่งไกวเล็กน้อยตามแรงลม โรงเตี๊ยมแห่งนี้ถูกซ่อมแซมไปแล้วบางส่วน
แม้สภาพจะดีขึ้นจากเดิมแต่ก็ยังคงความเก่าและทึมเทา
เหนือประตูไม้มีป้ายที่สลักตัวอักษรไว้อย่างประณีตว่า
‘หวนคืนกลับมา’
“ พวกเรากลับกันเถิดขอรับ
ข .. ข้ากลัวจนจะบ้าแล้วนะขอรับ! ”
“ ชู่ว! ” แทฮยองยกนิ้วแตะริมฝีปาก “ เจ้าลองเงี่ยหูฟังดูสิ
”
เมื่อเดินเข้าไปใกล้พวกเขาก็ได้ยินเสียงพูดคุยสนุกสนานดังเล็ดลอดออกมา
แทฮยองสบตากับกุงซูเล็กน้อย เด็กหนุ่มขี้ตื่นตูมมีสีหน้าประหลาดใจ
ฝ่ามือเรียวผลักประตูให้เปิดออก ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปโดยไม่สนใจเด็กหนุ่มที่ยืนทำหน้าเหรอหราอยู่ข้างหลัง
ที่แห่งนี้เคยร้างมาเป็นสิบปี กุงซูจึงคิดว่ามันจะทรุดโทรม
ทว่าเมื่อลองมองให้เต็มตากลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่คิดโดยสิ้นเชิง
“ โอ้
ที่นี่มีคนเยอะกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีก ”
แทฮยองรู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง
บรรยากาศภายในโรงเตี๊ยมผิดกับบรรยากาศข้างนอกลิบลับ
ราวกับอยู่คนละโลกอย่างไรอย่างนั้น ที่นี่สะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบเรียบร้อย
ไม่ได้โอ่อ่าแต่ก็ถูกตกแต่งอย่างประณีต แม้ผู้คนจะไม่พลุกพล่านดังเช่นโรงเตี๊ยมใจกลางเมืองแต่ก็ไม่ได้เงียบเหงาเลยแม้แต่น้อย
นัยน์ตากลมโตลอบสังเกตการแต่งกายและลักษณะท่าทางของผู้คน รู้ได้ในทันทีว่าที่นี่มีแต่คนต่างถิ่นมาพักจริง
ๆ ดังที่พ่อค้าร้านขายผ้ากล่าว และเขายังพบคนจากคณะละครเร่ร่อนอีกด้วย พวกเขากำลังสนุกสนานและเมามายได้ที่
“ ยินดีต้อนรับคุณชายทั้งสอง ” ชายคนหนึ่งเดินมาต้อนรับพวกเขาด้วยท่าทีเป็นมิตร “
ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือไม่ขอรับ? ”
“ ข้าต้องการโต๊ะสำหรับสองคน ”
“ อา .. ต้องขออภัยคุณชายทั้งสอง
ราตรีนี้ไม่มีโต๊ะใดว่างเลยขอรับ ”
เป็นอีกครั้งที่แทฮยองต้องแสดงสีหน้าผิดหวังออกมา
รู้สึกทดท้อใจเป็นอย่างมากที่การจะได้เจอใครสักคนหนึ่งช่างยากเย็นแสนเข็ญ ครั้งเมื่อมีวาสนาได้พบหน้ากลับมีเวลาเพียงน้อยนิดในการสนทนาพูดคุย
เขาถอนหายใจ ในเมื่อราตรีนี้โชคไม่เข้าข้าง อย่างไรค่อยกลับมาใหม่ในวันพรุ่งนี้ก็ไม่สาย
“ หากคุณชายไม่รังเกียจ... ”
“ ข้ายินดีเชิญท่านไปนั่งชมจันทร์ด้วยกันในราตรีนี้
”
บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมมีใครคนหนึ่งยืนตระหง่านท่ามกลางแสงวูบไหวน้อย
ๆ จากตะเกียงน้ำมัน ใบหน้าเรียวเล็กครึ่งหนึ่งถูกบดบังด้วยเงามืด
อีกครึ่งหนึ่งถูกอาบไล้ด้วยแสงสลัว นัยน์ตาเรียวเล็กเรืองรองจากแสงที่ตกกระทบ
อีกฝ่ายทอดมองมาพร้อมรอยยิ้มบางเบาที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายลึกลับ แทฮยองเพ่งมองใบหน้านั้นด้วยความประหลาดใจในคราแรก
ก่อนจะค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นระคนยินดี สายตาสองคู่มองสบกันผ่านแสงสลัว
หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตักสลับบีบรัดอยู่ในอก
ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดดีแท้
ผิวแก้มร้อนวูบวาบจนเผลอยกมือขึ้นสัมผัสมันเบา
ๆ
“ ...ต้องขอรบกวนท่านแล้ว ”
ผู้ดูแลที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลไม่ได้กล่าวสิ่งใดนอกจากค้อมตัวน้อย
ๆ แล้วเดินเลี่ยงออกไปจากบทสนทนาอย่างเงียบเชียบ
จีมินเยื้องย่างลงมาตามขั้นบันได
ทุกท่วงท่าเต็มไปด้วยความสง่างามและมั่นคงราวกับคุณชายผู้หนึ่งหาใช่นักเต้นในคณะละครเร่ร่อน
อีกฝ่ายหยุดตรงชานบันได เว้นระยะห่างไม่ใกล้ไม่ไกลจนเกินไป
“ เชิญคุณชายตามมาทางนี้ ”
แทฮยองพยักหน้าก่อนจะเดินตามใครอีกคนไปยังชั้นสองของโรงเตี๊ยม
ชายเสื้อคลุมของจีมินพริ้วไสวตามจังหวะก้าวเดิน ยามมันขยับเขาจะได้กลิ่นหอมของอะไรบางอย่างลอยมาแตะจมูก
กลิ่นหอมนั้นไม่เจือจางรวดเร็วดังเช่นน้ำหอมทั่วไป หากแต่กลับลอยอบอวลในอากาศ เมื่อสูดดมมากเข้าก็รู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องและสั่นไหวในจิตใจ
กลิ่นดอกไม้แห้งงั้นหรือ?
“ คุณชายใหญ่
”
“ หือ? ”
กุงซูกระตุกรั้งแขนเสื้อของเขาเบา
ๆ ใบหน้าของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความกังวล
“ ท่านไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่ได้นานนัก
ไม่เช่นนั้นคนที่จวนจะเป็นห่วงเอาได้นะขอรับ ”
“ เข้าใจแล้ว ” แทฮยองส่งยิ้มให้เจ้าเด็กขี้ตื่นตูม “ เจ้าทำตัวเหมือนพ่อบ้านเข้าทุกวัน
”
“ โธ่ คุณชายล่ะก็…
”
พวกเขาพากันเดินมาหยุดตรงหน้าห้อง ๆ
หนึ่งสุดทางเดินชั้นสองของโรงเตี๊ยม นัยน์ตาเรียวเหลือบแลมองมาสบตากับเขาอีกคราหนึ่ง
คล้ายไม่ตั้งใจหรืออาจจะตั้งใจ ประกายแวววาวในแววตาคู่นั้นทำให้หัวใจคุณชายใหญ่ตระกูลคิมไหวระริกราวกับใบไม้ที่ลู่ไปตามสายลม
จีมินคลี่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเปิดประตูเชื้อเชิญให้พวกเขาเข้าไปด้านใน
“ อาจจะคับแคบไปบ้าง ลำบากคุณชายแล้ว
”
“ อ๊ะ ไม่เลย ”
ห้องนี้ไม่ได้กว้างมากแต่ก็ไม่ได้คับแคบเกินไปสำหรับคนสามคน
ภายในสะอาดสะอ้าน ข้าวของน้อยชิ้นทำให้บรรยากาศดูโปร่งโล่ง สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของแทฮยองมากที่สุดคือหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดรับลมเย็น
สามารถเห็นภาพวิวทิวทัศน์ของชายป่ายามราตรี กับดวงจันทร์กลมโตลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน
แม้แต่กุงซูยังถึงกับต้องร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นตาตื่นใจ ความอคติที่มีต่อโรงเตี๊ยม
‘หวนคืนกลับมา’ ลดลงจนแทบไม่เหลือ
เด็กหนุ่มลอบมองใบหน้าสุขุมเจือรอยยิ้มของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยความสงสัยใคร่รู้
ความเป็นอยู่ของอีกฝ่ายไม่ได้ย่ำแย่เลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนสามราตรีที่ผ่านมาคณะละครเร่ร่อนจะกอบโกยเงินทองไปได้มากมายจริงดังที่มีคนว่า
“ นี่คือแพคฮวาจู*ขอรับ
ทำมาจากดอกไม้แห้งร้อยชนิด เข้ากันยิ่งนักกับวสันตฤดู ”
หลังจากที่พวกเขาเข้ามาในห้องได้ไม่นานนัก
ผู้ดูแลคนเดิมก็เดินเข้ามาพร้อมกับขวดสุราและกับแกล้มสองสามอย่างบนถาดไม้
ก่อนจะจากไปชายคนเดิมยังได้กล่าวอวยพรอีกว่า
“ ดวงใจพลัดพรากจากไปเนิ่นนาน
ณ ที่แห่งนี้ .. หวนคืนกลับมาสู่อ้อมแขน ”
“ ขอให้เป็นราตรีที่ดีสำหรับทุกท่าน
”
แทฮยองหันไปมองชายคนนั้นด้วยความฉงน
ทว่าอีกฝ่ายกลับหมุนตัวเดินหายลับไปจากบานประตูอย่างรวดเร็ว
เสียงฝีเท้าห่างไกลออกไปจนกระทั่งเหลือเพียงความเงียบสงบบริเวณชั้นสอง
“ สิ่งที่เขากล่าวมามันหมายความว่าอย่างไรหรือ?
”
ขวดสุราบนโต๊ะส่งกลิ่นหอมอ่อน
ๆ ของดอกไม้นานาชนิดออกมายั่วยวนใจแม้จะยังไม่ได้เปิดฝาออก เพียงแค่ได้กลิ่นลำคอก็แห้งผากอยากจะลิ้มรสแทบแย่
เขายื่นมือออกไปหมายจะเป็นฝ่ายรินสุราแจกจ่ายให้แก่ทุกคน ทว่าใครอีกคนกลับเคลื่อนไหวรวดเร็วกว่า
— จึงทำให้ฝ่ามือของพวกเขาสัมผัสกันโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ ...ขออภัย ”
กระแสความอุ่นวาบแล่นปราดไปทั่วปลายนิ้วเสียจนเขาชะงักงัน
ก่อนความอุ่นนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนผ่าวที่ลามไล้ไปทั่วทั้งใบหน้าและหู สัมผัสเพียงบางเบากลับส่งผลกระทบต่อหัวใจรุนแรงเป็นเท่าตัว
แทฮยองกระแอมไอด้วยความกระดากอายแล้วจึงขอโทษอีกฝ่ายอย่างสุภาพ
ใบหน้านั้นยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม
ไร้ซึ่งท่าทีโกรธเคือง เว้นเสียแต่แววตาทอประกายที่เจือกระแสอารมณ์บางอย่างยามทอดสายตาอ้อยอิ่งมองมา
นำพาความรู้สึกร้อนวูบวาบแผ่ไปทั่วร่างกาย อีกฝ่ายค่อย ๆ รินสุราลงในถ้วย
ท่าทีนุ่มนวลชวนมองมิรู้เบื่อ จีมินส่งถ้วยให้แทฮยองและกุงซู แพคฮวาจูส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะเมื่อต่างคนต่างประคองถ้วยเหล้าของตนเองขึ้นลิ้มรส
“ คุณชายอาจไม่ทันได้สังเกต
” อีกฝ่ายกล่าวเสียงนุ่ม “ ‘ดวงใจพลัดพรากจากไปเนิ่นนาน ณ ที่แห่งนี้ .. หวนคืนกลับมาสู่อ้อมแขน’
นั้นเป็นที่มาของชื่อโรงเตี๊ยมขอรับ ”
“ เป็นเช่นนี้นี่เอง ”
รสชาติอ่อนนุ่มกรุ่นกลิ่นดอกไม้ไหลผ่านลำคอ
ช่างเป็นรสชาติที่เข้ากับวสันตฤดูดังที่ชายคนนั้นกล่าวไว้จริง ๆ เสียด้วย
แทฮยองละเลียดชิมมันอย่างพึงพอใจ
“ รสชาติถูกปากคุณชายหรือไม่?
”
จีมินรินสุราลงในถ้วยของเขาอีกครา
“ อืม เป็นสุราที่ดีทีเดียว
”
“ ขอรับ เป็นสุราที่ดี... ”
จีมินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
อีกฝ่ายยกถ้วยสุราของตนขึ้นสูดกลิ่นหอมของแพคฮวาจูหลังจากรินมันให้เขาแล้วหลายถ้วย
ริมฝีปากอวบอิ่มเผยอน้อย ๆ ขณะจรดลงบนขอบถ้วย ในจังหวะหนึ่งนัยน์ตาเรียวค่อย ๆ
ช้อนขึ้นมองเขา ทว่าเมื่อดวงตาสอดประสานกันอีกฝ่ายกลับหลุบตาลงพร้อมกับเอ่ยเบา ๆ
ว่า
“ ชวนให้ลิ้มลองไม่รู้เบื่อจริง
ๆ ”
Talk;
*แพคฮวาจู = สุราที่ทำจากดอกไม้แห้ง 100 ชนิด
จะพยายามมาอัพบ่อย ๆ นะต้ะ
#ดอกไม้สีแดงเบ่งบานยามวสันตฤดู
ความคิดเห็น