ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    bts ★ the bloody flower blooming in the springtime ★ minv

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่หก

    • อัปเดตล่าสุด 22 เม.ย. 63




    บทที่หก

     





              เบื้องหน้าเขาคือทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตา ดอกหญ้าลู่ไปตามสายลมที่พัดพาเอาความสดชื่นมาปะทะผิวหน้าและผิวกาย เขายืนดื่มด่ำกับทัศนียภาพอันงดงาม สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดด้วยความกระปรี้กระเปร่า ก่อนห้วงอารมณ์แสนสงบสุขจะหยุดชะงักเนื่องจากแรงโถมกอดจากด้านหลัง เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้น ลมหายใจอุ่น ๆ คลอเคลียแนบชิดริมใบหู



              ...พบเจ้าแล้ว



              แทฮยองพลิกตัวหันหลังอย่างรวดเร็ว อาศัยจังหวะที่ใครอีกคนยังตั้งตัวไม่ถูกกระโจนเข้าใส่ร่างนั้นจนพากันล้มหงายบนพื้นหญ้า เขาพลิกตัวขึ้นคร่อมทับใครอีกคน โน้มใบหน้าลงไปปัดป่ายปลายจมูกของตนกับปลายจมูกของคนใต้ร่าง ก่อนเสียงหัวเราะสดใสจะดังกังวานไปทั่วบริเวณ



              เจ้าย่อมต้องพบข้าในเมื่อข้าต้องการให้เจ้าพบ



              ต่อให้เจ้าจะซุกซ่อนอยู่ที่ใดข้าก็จะตามหาเจ้าให้พบ ใครอีกคนกล่าว หลังจากนั้นกลับกลายเป็นเขาที่ถูกพลิกลงไปนอนบนพื้นหญ้าแทน แม้ว่าเจ้าจะตัวหดลงเท่ามดแล้วซ่อนตัวอยู่ในทุ่งหญ้า ข้าก็จะดูต้นหญ้าทีละต้นจนกว่าจะพบเจ้า



              ขนาดนั้นเชียวหรือ?



              คราแรกริมฝีปากพวกเขาสัมผัสกันแผ่วเบาราวผีเสื้อบินลงมาเกาะบนกลีบดอกไม้ ทว่าวินาทีต่อมาความนุ่มนวลละมุนละไมกลับกลายเป็นความกระหายอยากที่พุ่งทะยาน แทฮยองถูกกักขังเอาไว้ภายใต้อ้อมแขนที่ทั้งอบอุ่นทั้งร้อนแรงแผดเผา ฝ่ามือติดจะหยาบกร้านเล็กน้อยลูบไล้ผิวแก้มของเขา และเขาเองก็ประคองใบหน้านั้นเอาไว้ด้วยฝ่ามือสองข้าง จุมพิตครานี้กินเวลายาวนานนัก



              หากว่าที่แห่งนั้นไกลมาก ๆ เจ้าจะยังออกตามหาข้าใช่หรือไม่?



              ข้าสาบาน พวกเขาเกลือกกลิ้งบนผืนหญ้า ปล่อยกายปล่อยใจให้ล่องลอยอย่างอิสรเสรีภายใต้ท้องฟ้าแจ่มใส ไม่ว่าแห่งหนใดข้าก็จะตามหาเจ้าอย่างแน่นอน



              ตัวเขาที่ได้ฟังคำสาบานหนักแน่นพลันรู้สึกอ่อนหวานปนขมขื่นอยู่ในอก




              ทรมานนัก




              เจ้านกน้อย .. เหตุใดจึงไม่ลืมบ้านเก่าที่เจ้าจากมาแล้วอยู่ที่นี่กับข้าตลอดไปเลยเล่า?



              ริมฝีปากเขาถูกแตะเบา ๆ ด้วยสัมผัสหยอกเย้า เพียงแค่ความอุ่นจากปลายนิ้วของใครอีกคนกลับรู้สึกหวามไหว ใบหน้านั้นอยู่ห่างออกไปเพียงฝ่ามือกั้นกลาง ทว่าน่าเสียดาย .. ต่อให้เขาจะพยายามเพ่งสายตามองมากเพียงใดก็ยังคงเลือนรางราวกับมีม่านหมอกบดบัง



              อยู่ครองคู่จนกว่าสองเราจะตายจาก



    ไม่เจ้า .. ก็ข้า .. จนกว่าจะตาย



    ทันใดนั้นทุกสิ่งรอบตัวก็แปรเปลี่ยนไปในชั่วพริบตาเดียว กลางวันกลายเป็นกลางคืน วสันตฤดูกลายเป็นสารทฤดู อากาศอบอุ่นกลับค่อย ๆ หนาวเย็น แม้แต่คนที่อิงแอบแนบชิดกันยังดูราวกับไม่ใช่คน ๆ เดิมที่เคยหยอกล้อกันก่อนหน้านี้ รอยยิ้มอ่อนหวานเริ่มบิดเบี้ยวแลดูวิปลาส แรงกอดกระชับเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนแทฮยองได้แต่ดิ้นรนอย่างอึดอัด แต่แล้วเจ้าของอ้อมแขนก็ผละออกห่างโดยไม่กล่าวสิ่งใด ทิ้งให้เขานอนนิ่งบนพื้นหญ้าราวกับมีอะไรกดทับร่างกายเอาไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อน ทำได้เพียงมองดูใครอีกคนค่อย ๆ เยื้องย่างห่างไกลออกไปโดยไม่รู้ทิศทาง ก่อนที่อีกฝ่ายจะชะงักฝีเท้าลงในที่สุด



    อาภรณ์สีแดงดูโดดเด่นมีชีวิตชีวาท่ามกลางทุ่งหญ้าที่แห้งเหี่ยว



    ใบหน้านั้นค่อย ๆ ผินกลับมามองด้วยแววตาไร้ประกาย เส้นผมสีดำขลับปลิวไสวตามแรงลมที่รุนแรงราวกับพายุ นัยน์ตาคู่นั้นจ้องมองมาทางแทฮยองเนิ่นนาน แล้วจึงเริ่มขยับร่างกายเคลื่อนไหวร่ายรำไปพร้อมกับเสียงกลองดังกระหึ่มมาจากที่ไกล ๆ ไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันดังมาจากที่ใด — ที่แห่งนี้มีเพียงพวกเขา หนึ่งคนร่ายรำ หนึ่งคนนอนแน่นิ่งเหมือนคนตาย



    เขามองดูร่างนั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วมากขึ้น .. มากขึ้น .. ราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังหมุนเคว้ง



    แทฮยองกะพริบตา รอบข้างล้วนมีแต่ความมืดมิดจนไม่อาจมองสิ่งใดได้ชัดเจน ในหัวรู้สึกสับสนและหวาดกลัวที่ไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากนอนอยู่เช่นนี้ เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เขาพยายามขยับร่างกายทุกส่วนอย่างยากเย็น ดิ้นรนอยู่นานจนกระทั่งสามารถผงกหัวขึ้นได้เล็กน้อย เขาสอดส่องสายตาไปรอบ ๆ ทว่าท่ามกลางความมืดกลับไม่พบผู้ใด




    หาย .. ไป .. ไหน ..




    มองหาข้าอยู่หรือ?



    คนในชุดอาภรณ์สีแดงปรากฏตัวเหนือร่างของเขา ชะโงกใบหน้าเข้ามาใกล้ นัยน์ตาคู่นั้นเจือไปด้วยกระแสความรู้สึกอันเข้มข้นจนคนมองอย่างเขารับรู้ได้อย่างชัดเจน — หากแต่มันเป็นรักหรือแค้น?



    คนทรยศ



    ฉับพลันแทฮยองรู้สึกได้ว่าหัวใจของตนผิดปกติไปจากเดิม คราแรกมันเต้นเร่า ๆ จนเหนื่อยหอบ คราต่อมามันเต้นเชื่องช้าจนต้องทุรนทุรายพยายามหายใจ ประหนึ่งมีคนกำลังบีบและคลายหัวใจของเขาเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น เหงื่อเย็น ๆ ผุดซึมทั่วใบหน้ากับแผ่นหลัง แทฮยองนอนนิ่งบนพื้นที่ทั้งเย็นทั้งชื้นด้วยความทุกข์ทรมานแสนสาหัส ทุกครั้งที่พยายามหายใจเอาอากาศเข้าปอดกลับเจ็บแปลบไปทั้งอกราวกับว่าถูกเข็มเสียดแทงอย่างไร้ปราณี



    เหตุใดเจ้าจึงเลือกที่จะจากข้าไป?



    ใครอีกคนค่อย ๆ เอนตัวลงนอนตะแคงขณะดวงตายังคงจับจ้องเขาโดยไม่ละออกไปไหน กลีบปากอวบอิ่มคลี่ยิ้มละมุนละไม ปลายนิ้วชี้บรรจงแตะลงบนแผ่นอกของเขา ตำแหน่งเดียวกับหัวใจ ครานี้มันปราศจากความหวามไหว .. ตรงกันข้ามมันเต็มไปด้วยความเจ็บแปลบแล่นไปทั่วสรรพางค์กายเสียจนลมหายใจขาดห้วงเป็นพัก ๆ



    เจ้าเคยกล่าวว่าหัวใจของเจ้านั้นเป็นของข้า เช่นนั้นแล้ว...



    ดวงตาไร้ชีวิตชีวาจับจ้องมาทางเขาก่อนจะขยับยกมุมปากเป็นรอยยิ้มเย็นชืด



    ข้าขอมันได้หรือไม่?



     

    เฮือก!



    นัยน์ตากลมโตกะพริบถี่ เมื่อเห็นเพดานคุ้นตาจึงผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แทฮยองนอนนิ่งเพื่อปรับลมหายใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง ดูเหมือนว่าตอนนี้ท้องฟ้าด้านนอกจะยังไม่สว่างดี คงใช้เวลาอีกสักพักก่อนที่กุงซูจะเข้ามาปลุกและเตรียมน้ำล้างหน้าให้ตน



    ฝันอะไรกัน...



    ช่างเป็นฝันที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงเหลือเกิน



    แม้ใบหน้าคนในฝันจะเลือนรางแต่อาภรณ์สีแดงนั้นชัดเจนยิ่งนัก แทฮยองเหลือบมองแผ่นกระดาษที่ถูกกางทิ้งเอาไว้บนโต๊ะไม้ตรงมุมห้อง ใกล้กันมีอุปกรณ์วาดรูปวางระเกะระกะไม่น่าดูภาพวาดชิ้นใหม่ของเขายังไม่เสร็จสมบูรณ์ดีแต่ก็สามารถมองออกว่าเป็นภาพของคนผู้หนึ่งกำลังร่ายรำ ที่แท้ตนก็ครุ่นคิดถึงจีมิน นักเต้นผู้นั้นจนเก็บมาฝันถึงเลยหรือนี่? ฝ่ามือเรียวยกขึ้นวางทาบบนอกซ้ายของตน ความรู้สึกประหลาดยังคงไม่จางหาย แม้เป็นเพียงฝันหนึ่งตื่นตนกลับรู้สึกราวกับเคยได้ประสบพบเจอมาก่อนจริง ๆ



    จีมินงั้นหรือ?



    แทฮยองลูบคลำเชือกถักสีแดงบนข้อมือตนอย่างเหม่อลอย ใช้เวลานั่งรวบรวมความคิดที่กระจัดกระจายอยู่ชั่วครู่ เวลานี้ร่างกายตื่นตัวจนไม่อาจข่มตาหลับต่อได้อีก เขาจึงลุกจากฟูกนอนแล้วตรงไปยังโต๊ะทำงานของตนเพื่อสานต่อภาพวาดที่ยังไม่สมบูรณ์

     



    โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าในขณะเดียวกันนั้น .. มีร่างหนึ่งยืนตระหง่านอยู่หน้าจวนตระกูลคิม ดวงอาทิตย์ยังไม่ทันผ่านพ้นขอบฟ้าบนถนนหนทางจึงร้างผู้คน บัณฑิตหนุ่มผู้หนึ่ง หรืออาจจะดูคล้ายกำลังจับจ้องบานประตูด้วยใบหน้าสงบนิ่งประหนึ่งรูปปั้น เขายืนอยู่เช่นนั้น กลิ่นหอมของดอกไม้เจือจางในอากาศช่างสมกับเป็นวสันตฤดูเสียจริง



    เวลาผ่านไปเนิ่นนานตัวเขาแทบจะหลงลืมไปแล้วว่าความมีชีวิตชีวานั้นเป็นเช่นไร



    เขาสูดลมหายใจเข้าปอดด้วยท่าทีผ่อนคลายสบายใจ ริมฝีปากค่อย ๆ ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มยากจะคาดเดา ก่อนจะเปล่งเสียงกล่าวบทกลอนบทหนึ่งอย่างเดียวดาย



    วสันตฤดูใกล้ผ่านพ้น

    สารทฤดูกำลังย่างกราย

    ดอกไม้แห่งชีวิตร่วงหล่น

    ดอกไม้แห่งความตายบานสะพรั่ง



    ถึงเวลาเสียที

     







    ฮยองชิกแวะมาเยี่ยมเยียนสหายตามปกติ คนแรกที่เขาพบคือนายหญิงจวนตระกูลคิมที่มักจะนั่งปักผ้าอยู่เสมอ แม้อยู่ในช่วงวัยกลางคนแล้วความงามของนางกลับยังคงส่องประกายโดดเด่นสมกับที่เป็นอดีตคุณหนูตระกูลใหญ่ นางส่งยิ้มให้เขาเช่นทุกที เอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบเพียงคร่าว ๆ ก่อนจะบอกให้บ่าวรับใช้นำทางเขาเข้าไปด้านในสุดของสถานที่กว้างขวางแห่งนี้ มุ่งตรงไปยังจวนขนาดกลางที่แยกตัวออกมาจากจวนหลัก ที่ซึ่งเป็นแหล่งซุกหัวนอนของคุณชายใหญ่ตระกูลคิม



              หลายวันมานี้ นอกจากมื้ออาหารคุณชายใหญ่ก็แทบไม่ออกจากจวนเลย เอ่อ .. คุณชายใหญ่ยังกล่าวอีกว่าหากไม่มีเหตุจำเป็นก็ห้ามรบกวนขอรับ



              สหายมาเยี่ยมเยือนนี่แหละเหตุจำเป็น ฮยองชิกกล่าวเสียงใส หาได้สนใจสีหน้าคล้ายจะร้องไห้ของเด็กหนุ่มข้างตัวแต่อย่างใด อย่าได้กังวลไปเลยน่า เอาไว้ข้าจะบอกกับเขาว่าเป็นข้าเองที่ดึงดันอยากมาหา เช่นนี้แล้วเขาจะได้ไม่หาเรื่องกลั่นแกล้งเจ้าให้ปวดหัว ดีหรือไม่?



    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อยที่สหายผู้ไม่รู้ความผู้นั้นเก็บตัวอยู่ในจวนของตนทั้งวันทั้งคืน และไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเมินเฉยต่อคำว่า ห้ามรบกวนของอีกฝ่าย ถึงกระนั้นก็ไม่ลืมตกปากรับคำเด็กหนุ่มที่ยืนเบื้องหน้าว่าความผิดทั้งหมดตนจะรับไว้แต่เพียงผู้เดียว เนื่องจากนึกเห็นใจที่อีกฝ่ายมักจะโดนสหายของเขาหาเรื่องเย้าแหย่ให้หัวหมุนอยู่ร่ำไป



              “ …เช่นนั้นเชิญคุณชายทางนี้ขอรับ



              จวนคุณชายใหญ่ตระกูลคิมเต็มไปด้วยความร่มรื่นของแมกไม้นานาพันธุ์ บ้างแผ่กิ่งก้านสาขา บ้างออกดอกชูช่อบานสะพรั่ง ไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดลอดออกมาจากประตูที่ปิดสนิท ยกเว้นเสียแต่หน้าต่างที่เปิดอ้าทิ้งไว้พร้อมกับกลิ่นสีที่ลอยมาตามลม เด็กหนุ่มกระซิบบอกกับเขาว่าคุณชายใหญ่ของตนกำลังหมกมุ่นอยู่กับการรังสรรค์ผลงานชิ้นใหม่ ดูจริงจังตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง



              แทฮยอง?



              ฮยองชิกเคาะประตูสองสามครั้งขณะคอยเงี่ยหูฟังเสียงกุกกักและเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านใน ยืนรอไม่นานนักประตูก็เปิดออก ปรากฏใบหน้าง่วงงุนของคุณชายใหญ่ตระกูลคิมที่มองดูก็รู้ว่าอดหลับอดนอน อีกฝ่ายอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมต้อนรับแขกสักเท่าไหร่



              ดูเหมือนว่าเจ้า ฮยองชิกกวาดสายตามองสำรวจร่องรอยความอ่อนล้าบนใบหน้าอีกฝ่ายด้วยความอ่อนใจ “ —จะกำลังยุ่งสินะ?



              ข้าบอกกุงซูแล้วนี่ว่าห้ามให้ใครมารบกวนถ้าไม่มีเหตุจำเป็น



              ตัวข้าไม่ถือว่าเป็นเหตุจำเป็นหรอกหรือ?



              แทฮยองพ่นลมหายใจก่อนจะพึมพำว่า เจ้าคนหน้าไม่อายแม้จะมีท่าทีอิดออดอยู่บ้างแต่ก็ยอมเปิดประตูต้อนรับ ภายในจวนมีกลิ่นสีกับกลิ่นหมึกคละคลุ้งเสียจนฮยองชิกต้องย่นจมูก มีกระดาษแผ่นใหญ่ถูกขึงอยู่บนโต๊ะไม้ พู่กันวางระเกะระกะบนพื้น เขาถือวิสาสะเดินไปเปิดหน้าต่างบานอื่น ๆ เพื่อให้อากาศถ่ายเท ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งโดยไม่รอให้เจ้าบ้านเชื้อเชิญ



              ไปนำน้ำชามาต้อนรับคุณชายพัค



              ขอรับ



              เมื่อบ่าวรับใช้หายลับไปจากระยะการมองเห็นภายในจวนจึงเหลือเพียงพวกเขาสองคนตามลำพัง ฮยองชิกเพิ่งสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าบนตัวสหายเปรอะเปื้อนไปด้วยสีแดง เลอะไปถึงฝ่ามือ มองเผิน ๆ ดูคล้ายรอยเลือดอย่างไรชอบกล มองแล้วก็ชวนให้ตกใจไม่น้อย เฮ้อ .. สภาพช่างดูไม่ได้เอาเสียเลย



              บ่าวรับใช้ของเจ้าบอกว่าเจ้ากำลังเก็บตัวสร้างผลงานชิ้นใหม่งั้นหรือ? ข้าชักจะอยากเห็นเสียแล้วสิ ครานี้เจ้าวาดอะไรถึงได้มีแต่สีแดงเปรอะเสื้อผ้าขนาดนี้? ดอกไม้?



              มิใช่ แทฮยองยกยิ้มจาง ๆ แววตาพราวระยับอย่างภาคภูมิใจ ครานี้เป็นคน



              หืม? ผู้ใดกัน?



              กระดาษแผ่นนั้นถูกหมุนมาทางเขา แผ่นกระดาษสีขาวถูกละเลงด้วยสีแดงเสียส่วนมาก ภาพวาดเบื้องหน้าเขายังไม่เสร็จสมบูรณ์ดีจึงทำให้ยังไม่อาจตัดสินใจได้ว่าเป็นผู้ใด ท่วงท่าของคนในภาพวาดคล้ายกำลังเต้นรำ ชุดสีแดงบนเรือนร่างนั้นพลิ้วไสว ดูอ่อนช้อยงดงาม ทว่ากลับคุ้นหูคุ้นตาเสียจนต้องครุ่นคิด ฮยองชิกเงยหน้าขึ้นสบตากับสหายของตนพลันเข้าใจแจ่มแจ้ง



              นักเต้นของคณะละครเร่ร่อนผู้นั้น?



              แทฮยองหัวเราะเสียงใส ก่อนเคาะนิ้วลงบนใบหน้าเลือนรางของคนในภาพวาดที่ยังไม่สมบูรณ์ดี



              คนผู้นี้มีนามว่า จีมิน



              เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน?



              เมื่อวานข้าพบกับคนผู้นั้นโดยบังเอิญ จึงมีโอกาสได้ยืนสนทนาอยู่ครู่หนึ่ง



              ดูเหมือนว่าเจ้าจะชื่นชอบคนผู้นี้ไม่น้อย



              แต่ก็ไม่อาจรู้ว่าเพียงแค่ชื่นชอบการแสดง .. หรือสิ่งใดกันแน่



              ข้าว่ามันประหลาด



              อย่างไร?



              ตั้งแต่คราแรกที่พบหน้า ไม่มีวันใดที่ข้าไม่นึกถึงคนผู้นั้นเลย แทฮยองกล่าวด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มพลางเหม่อมองภาพวาดเบื้องหน้าอย่างใจลอย หัวใจของข้าว้าวุ่นยิ่งนัก



              ฮยองชิกได้ยินเช่นนั้นพลันเบิกตาโต รู้สึกประหลาดใจระคนตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้ยินสหายผู้นี้พร่ำเพ้อถึงผู้อื่น แต่ไหนแต่ไรชีวิตแต่ละวันของคุณชายใหญ่ตระกูลคิมก็มีเพียงแค่การวาดรูปและเที่ยวเล่นเท่านั้น เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เฉกเช่นหนุ่มสาวทั่วไปไม่เคยสนใจไยดี จนป่านนี้แล้วแม้แต่คู่หมั้นคู่หมายสักคนก็ยังไม่มี ทว่าเวลานี้อีกฝ่ายกลับกำลังว้าวุ่นใจเพราะผู้อื่นหรือนี่?



              นั่นคงเป็นเพราะเจ้าประทับใจในการแสดงของนักเต้นผู้นั้นมาก หรือไม่ก็...



              อะไรหรือ?



              เขามองสีหน้าไร้เดียงสาของสหายตนแล้วก็ไม่รู้จะกล่าวเช่นไรดี



    เกรงว่าเจ้าคงกำลังตกอยู่ในห้วงรักเสียแล้วกระมัง?



              คนฟังชะงักเล็กน้อย สีหน้ากับแววตาปรากฏอารมณ์หลากหลาย ฮยองชิกเหลือบมองภาพวาดนั้นอีกคราก่อนจะยกยิ้มอ่อนใจ ปกติแล้วสหายผู้นี้มักเลือกวาดเฉพาะสิ่งที่ตัวเองพึงพอใจเสียส่วนใหญ่ หากไม่พึงพอใจในตัวนักเต้นผู้นั้นมีหรือจะวาดภาพนี้ หรือถ้าหากเป็นเพียงแค่ความประทับใจก็นับเป็นความประทับใจที่มากมายทีเดียวเชียว



              แต่ข้ากับเขาเพิ่งได้พบกันแค่สามครา



              ปัดโธ่เอ๊ย พบกันกี่คราหาใช่ตัวกำหนดความรู้สึก ไม่เช่นนั้นโลกนี้จะมีคำว่ารักแรกพบหรือ



              เมื่อคืนข้าฝันถึงเขา



              โฮ่ นี่ถึงขั้นนั้นเชียวหรือ เขาแสร้งยกมือขึ้นปิดปากด้วยท่าทางที่ดูตกใจเป็นอย่างยิ่ง ในใจนึกหัวเราะสหายผู้ไม่รู้ความของตนผู้นี้ที่ไร้เดียงสาเสียเหลือเกิน ชายหนุ่มย่อมต้องเคยฝันถึงคนที่ตนชอบพอแน่นอนอยู่แล้ว หาได้เป็นเรื่องแปลกใหม่อันใด ฝันเช่นไร หวามไหวปานจะขาดใจเลยหรือไม่



              ฮยองชิกคาดหวังว่าสหายจะมีท่าทีเขินอายให้เย้าแหย่เล่น ทว่าอีกฝ่ายกลับหลุบตาลงต่ำเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ น่าเสียดายที่ไม่ทันจะได้เอ่ยปากถามอะไรต่อเสียงเคาะประตูกลับดังขึ้นเสียก่อน เด็กหนุ่มโผล่เข้ามาพร้อมกับชุดน้ำชาควันฉุย แทฮยองรินน้ำชาให้ทั้งตนเองและฮยองชิกด้วยท่าทางนิ่งสงบ



    ไม่เชิง



    ไม่เชิง? หมายความว่าอย่างไรเล่า?



    อีกฝ่ายเลิกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยกประคองถ้วยชาร้อนขึ้นจิบ เขาเหลือบเห็นเชือกถักสีแดงไม่คุ้นตาบนข้อมือนั้นแต่ก็เพียงแค่มองผ่านเลยไป เขากำลังเฝ้ารอคอยคำตอบจากสหายของตนด้วยความอยากรู้ ถึงกระนั้นแทฮยองกลับไม่ตอบสิ่งใดนอกจากส่งรอยยิ้มที่เป็นปริศนาคาใจให้แก่เขา






    TALK;

    ตอนหน้าเป็นต้นไปคาดว่าพระเอกน่าจะมีซีนกับเขาแล้วค่ะ แอร๊
    ถึงเวลาจ่ายหนี้แล้วตระกูลคิมจะเป็นยังไงต่อไปโปรดติดตามตอนต่อไป
    การดำเนินเรื่องช้าหน่อยนะคะ อย่าเพิ่งเบื่อกัน

    #ดอกไม้สีแดงเบ่งบานยามวสันตฤดู        

        

             
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×