คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่หก
บทที่หก
เบื้องหน้าเขาคือทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตา
ดอกหญ้าลู่ไปตามสายลมที่พัดพาเอาความสดชื่นมาปะทะผิวหน้าและผิวกาย
เขายืนดื่มด่ำกับทัศนียภาพอันงดงาม สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดด้วยความกระปรี้กระเปร่า ก่อนห้วงอารมณ์แสนสงบสุขจะหยุดชะงักเนื่องจากแรงโถมกอดจากด้านหลัง
เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้น ลมหายใจอุ่น ๆ คลอเคลียแนบชิดริมใบหู
‘ ...พบเจ้าแล้ว
’
แทฮยองพลิกตัวหันหลังอย่างรวดเร็ว
อาศัยจังหวะที่ใครอีกคนยังตั้งตัวไม่ถูกกระโจนเข้าใส่ร่างนั้นจนพากันล้มหงายบนพื้นหญ้า
เขาพลิกตัวขึ้นคร่อมทับใครอีกคน
โน้มใบหน้าลงไปปัดป่ายปลายจมูกของตนกับปลายจมูกของคนใต้ร่าง
ก่อนเสียงหัวเราะสดใสจะดังกังวานไปทั่วบริเวณ
‘ เจ้าย่อมต้องพบข้าในเมื่อข้าต้องการให้เจ้าพบ
’
‘ ต่อให้เจ้าจะซุกซ่อนอยู่ที่ใดข้าก็จะตามหาเจ้าให้พบ
’ ใครอีกคนกล่าว
หลังจากนั้นกลับกลายเป็นเขาที่ถูกพลิกลงไปนอนบนพื้นหญ้าแทน ‘ แม้ว่าเจ้าจะตัวหดลงเท่ามดแล้วซ่อนตัวอยู่ในทุ่งหญ้า
ข้าก็จะดูต้นหญ้าทีละต้นจนกว่าจะพบเจ้า ’
‘ ขนาดนั้นเชียวหรือ? ’
คราแรกริมฝีปากพวกเขาสัมผัสกันแผ่วเบาราวผีเสื้อบินลงมาเกาะบนกลีบดอกไม้
ทว่าวินาทีต่อมาความนุ่มนวลละมุนละไมกลับกลายเป็นความกระหายอยากที่พุ่งทะยาน
แทฮยองถูกกักขังเอาไว้ภายใต้อ้อมแขนที่ทั้งอบอุ่นทั้งร้อนแรงแผดเผา
ฝ่ามือติดจะหยาบกร้านเล็กน้อยลูบไล้ผิวแก้มของเขา และเขาเองก็ประคองใบหน้านั้นเอาไว้ด้วยฝ่ามือสองข้าง
จุมพิตครานี้กินเวลายาวนานนัก
‘
หากว่าที่แห่งนั้นไกลมาก ๆ เจ้าจะยังออกตามหาข้าใช่หรือไม่? ’
‘ ข้าสาบาน
’ พวกเขาเกลือกกลิ้งบนผืนหญ้า
ปล่อยกายปล่อยใจให้ล่องลอยอย่างอิสรเสรีภายใต้ท้องฟ้าแจ่มใส ‘ ไม่ว่าแห่งหนใดข้าก็จะตามหาเจ้าอย่างแน่นอน ’
ตัวเขาที่ได้ฟังคำสาบานหนักแน่นพลันรู้สึกอ่อนหวานปนขมขื่นอยู่ในอก
ทรมานนัก
‘ เจ้านกน้อย ..
เหตุใดจึงไม่ลืมบ้านเก่าที่เจ้าจากมาแล้วอยู่ที่นี่กับข้าตลอดไปเลยเล่า? ’
ริมฝีปากเขาถูกแตะเบา ๆ ด้วยสัมผัสหยอกเย้า
เพียงแค่ความอุ่นจากปลายนิ้วของใครอีกคนกลับรู้สึกหวามไหว ใบหน้านั้นอยู่ห่างออกไปเพียงฝ่ามือกั้นกลาง
ทว่าน่าเสียดาย ..
ต่อให้เขาจะพยายามเพ่งสายตามองมากเพียงใดก็ยังคงเลือนรางราวกับมีม่านหมอกบดบัง
‘ อยู่ครองคู่จนกว่าสองเราจะตายจาก
’
‘ ไม่เจ้า .. ก็ข้า .. จนกว่าจะตาย ’
ทันใดนั้นทุกสิ่งรอบตัวก็แปรเปลี่ยนไปในชั่วพริบตาเดียว
กลางวันกลายเป็นกลางคืน วสันตฤดูกลายเป็นสารทฤดู อากาศอบอุ่นกลับค่อย ๆ หนาวเย็น
แม้แต่คนที่อิงแอบแนบชิดกันยังดูราวกับไม่ใช่คน ๆ เดิมที่เคยหยอกล้อกันก่อนหน้านี้
รอยยิ้มอ่อนหวานเริ่มบิดเบี้ยวแลดูวิปลาส แรงกอดกระชับเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนแทฮยองได้แต่ดิ้นรนอย่างอึดอัด
แต่แล้วเจ้าของอ้อมแขนก็ผละออกห่างโดยไม่กล่าวสิ่งใด ทิ้งให้เขานอนนิ่งบนพื้นหญ้าราวกับมีอะไรกดทับร่างกายเอาไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อน
ทำได้เพียงมองดูใครอีกคนค่อย ๆ เยื้องย่างห่างไกลออกไปโดยไม่รู้ทิศทาง
ก่อนที่อีกฝ่ายจะชะงักฝีเท้าลงในที่สุด
อาภรณ์สีแดงดูโดดเด่นมีชีวิตชีวาท่ามกลางทุ่งหญ้าที่แห้งเหี่ยว
ใบหน้านั้นค่อย ๆ
ผินกลับมามองด้วยแววตาไร้ประกาย เส้นผมสีดำขลับปลิวไสวตามแรงลมที่รุนแรงราวกับพายุ
นัยน์ตาคู่นั้นจ้องมองมาทางแทฮยองเนิ่นนาน แล้วจึงเริ่มขยับร่างกายเคลื่อนไหวร่ายรำไปพร้อมกับเสียงกลองดังกระหึ่มมาจากที่ไกล
ๆ ไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันดังมาจากที่ใด — ที่แห่งนี้มีเพียงพวกเขา หนึ่งคนร่ายรำ
หนึ่งคนนอนแน่นิ่งเหมือนคนตาย
เขามองดูร่างนั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วมากขึ้น
.. มากขึ้น .. ราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังหมุนเคว้ง
แทฮยองกะพริบตา
รอบข้างล้วนมีแต่ความมืดมิดจนไม่อาจมองสิ่งใดได้ชัดเจน
ในหัวรู้สึกสับสนและหวาดกลัวที่ไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากนอนอยู่เช่นนี้ เกิดอะไรขึ้น?
เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เขาพยายามขยับร่างกายทุกส่วนอย่างยากเย็น ดิ้นรนอยู่นานจนกระทั่งสามารถผงกหัวขึ้นได้เล็กน้อย
เขาสอดส่องสายตาไปรอบ ๆ ทว่าท่ามกลางความมืดกลับไม่พบผู้ใด
หาย .. ไป .. ไหน ..
‘ มองหาข้าอยู่หรือ? ’
คนในชุดอาภรณ์สีแดงปรากฏตัวเหนือร่างของเขา
ชะโงกใบหน้าเข้ามาใกล้
นัยน์ตาคู่นั้นเจือไปด้วยกระแสความรู้สึกอันเข้มข้นจนคนมองอย่างเขารับรู้ได้อย่างชัดเจน
— หากแต่มันเป็นรักหรือแค้น?
‘ คนทรยศ ’
ฉับพลันแทฮยองรู้สึกได้ว่าหัวใจของตนผิดปกติไปจากเดิม
คราแรกมันเต้นเร่า ๆ จนเหนื่อยหอบ คราต่อมามันเต้นเชื่องช้าจนต้องทุรนทุรายพยายามหายใจ
ประหนึ่งมีคนกำลังบีบและคลายหัวใจของเขาเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น เหงื่อเย็น ๆ
ผุดซึมทั่วใบหน้ากับแผ่นหลัง แทฮยองนอนนิ่งบนพื้นที่ทั้งเย็นทั้งชื้นด้วยความทุกข์ทรมานแสนสาหัส
ทุกครั้งที่พยายามหายใจเอาอากาศเข้าปอดกลับเจ็บแปลบไปทั้งอกราวกับว่าถูกเข็มเสียดแทงอย่างไร้ปราณี
‘ เหตุใดเจ้าจึงเลือกที่จะจากข้าไป? ’
ใครอีกคนค่อย ๆ
เอนตัวลงนอนตะแคงขณะดวงตายังคงจับจ้องเขาโดยไม่ละออกไปไหน
กลีบปากอวบอิ่มคลี่ยิ้มละมุนละไม ปลายนิ้วชี้บรรจงแตะลงบนแผ่นอกของเขา
ตำแหน่งเดียวกับหัวใจ ครานี้มันปราศจากความหวามไหว ..
ตรงกันข้ามมันเต็มไปด้วยความเจ็บแปลบแล่นไปทั่วสรรพางค์กายเสียจนลมหายใจขาดห้วงเป็นพัก
ๆ
‘ เจ้าเคยกล่าวว่าหัวใจของเจ้านั้นเป็นของข้า
เช่นนั้นแล้ว... ’
ดวงตาไร้ชีวิตชีวาจับจ้องมาทางเขาก่อนจะขยับยกมุมปากเป็นรอยยิ้มเย็นชืด
‘ ข้าขอมันได้หรือไม่? ’
เฮือก!
นัยน์ตากลมโตกะพริบถี่
เมื่อเห็นเพดานคุ้นตาจึงผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่
แทฮยองนอนนิ่งเพื่อปรับลมหายใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง
ดูเหมือนว่าตอนนี้ท้องฟ้าด้านนอกจะยังไม่สว่างดี
คงใช้เวลาอีกสักพักก่อนที่กุงซูจะเข้ามาปลุกและเตรียมน้ำล้างหน้าให้ตน
“ ฝันอะไรกัน... ”
ช่างเป็นฝันที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงเหลือเกิน
แม้ใบหน้าคนในฝันจะเลือนรางแต่อาภรณ์สีแดงนั้นชัดเจนยิ่งนัก
แทฮยองเหลือบมองแผ่นกระดาษที่ถูกกางทิ้งเอาไว้บนโต๊ะไม้ตรงมุมห้อง ใกล้กันมีอุปกรณ์วาดรูปวางระเกะระกะไม่น่าดูภาพวาดชิ้นใหม่ของเขายังไม่เสร็จสมบูรณ์ดีแต่ก็สามารถมองออกว่าเป็นภาพของคนผู้หนึ่งกำลังร่ายรำ
ที่แท้ตนก็ครุ่นคิดถึงจีมิน —
นักเต้นผู้นั้นจนเก็บมาฝันถึงเลยหรือนี่? ฝ่ามือเรียวยกขึ้นวางทาบบนอกซ้ายของตน
ความรู้สึกประหลาดยังคงไม่จางหาย
แม้เป็นเพียงฝันหนึ่งตื่นตนกลับรู้สึกราวกับเคยได้ประสบพบเจอมาก่อนจริง ๆ
“ จีมินงั้นหรือ? ”
แทฮยองลูบคลำเชือกถักสีแดงบนข้อมือตนอย่างเหม่อลอย
ใช้เวลานั่งรวบรวมความคิดที่กระจัดกระจายอยู่ชั่วครู่
เวลานี้ร่างกายตื่นตัวจนไม่อาจข่มตาหลับต่อได้อีก
เขาจึงลุกจากฟูกนอนแล้วตรงไปยังโต๊ะทำงานของตนเพื่อสานต่อภาพวาดที่ยังไม่สมบูรณ์
โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าในขณะเดียวกันนั้น
.. มีร่างหนึ่งยืนตระหง่านอยู่หน้าจวนตระกูลคิม ดวงอาทิตย์ยังไม่ทันผ่านพ้นขอบฟ้าบนถนนหนทางจึงร้างผู้คน
บัณฑิตหนุ่มผู้หนึ่ง — หรืออาจจะดูคล้ายกำลังจับจ้องบานประตูด้วยใบหน้าสงบนิ่งประหนึ่งรูปปั้น
เขายืนอยู่เช่นนั้น กลิ่นหอมของดอกไม้เจือจางในอากาศช่างสมกับเป็นวสันตฤดูเสียจริง
เวลาผ่านไปเนิ่นนานตัวเขาแทบจะหลงลืมไปแล้วว่าความมีชีวิตชีวานั้นเป็นเช่นไร
เขาสูดลมหายใจเข้าปอดด้วยท่าทีผ่อนคลายสบายใจ
ริมฝีปากค่อย ๆ ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มยากจะคาดเดา ก่อนจะเปล่งเสียงกล่าวบทกลอนบทหนึ่งอย่างเดียวดาย
วสันตฤดูใกล้ผ่านพ้น
สารทฤดูกำลังย่างกราย
ดอกไม้แห่งชีวิตร่วงหล่น
ดอกไม้แห่งความตายบานสะพรั่ง
“ ถึงเวลาเสียที ”
ฮยองชิกแวะมาเยี่ยมเยียนสหายตามปกติ
คนแรกที่เขาพบคือนายหญิงจวนตระกูลคิมที่มักจะนั่งปักผ้าอยู่เสมอ
แม้อยู่ในช่วงวัยกลางคนแล้วความงามของนางกลับยังคงส่องประกายโดดเด่นสมกับที่เป็นอดีตคุณหนูตระกูลใหญ่
นางส่งยิ้มให้เขาเช่นทุกที เอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบเพียงคร่าว ๆ
ก่อนจะบอกให้บ่าวรับใช้นำทางเขาเข้าไปด้านในสุดของสถานที่กว้างขวางแห่งนี้
มุ่งตรงไปยังจวนขนาดกลางที่แยกตัวออกมาจากจวนหลัก — ที่ซึ่งเป็นแหล่งซุกหัวนอนของคุณชายใหญ่ตระกูลคิม
“ หลายวันมานี้
นอกจากมื้ออาหารคุณชายใหญ่ก็แทบไม่ออกจากจวนเลย เอ่อ .. คุณชายใหญ่ยังกล่าวอีกว่าหากไม่มีเหตุจำเป็นก็ห้ามรบกวนขอรับ
”
“ สหายมาเยี่ยมเยือนนี่แหละเหตุจำเป็น
” ฮยองชิกกล่าวเสียงใส หาได้สนใจสีหน้าคล้ายจะร้องไห้ของเด็กหนุ่มข้างตัวแต่อย่างใด
“ อย่าได้กังวลไปเลยน่า เอาไว้ข้าจะบอกกับเขาว่าเป็นข้าเองที่ดึงดันอยากมาหา
เช่นนี้แล้วเขาจะได้ไม่หาเรื่องกลั่นแกล้งเจ้าให้ปวดหัว ดีหรือไม่? ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อยที่สหายผู้ไม่รู้ความผู้นั้นเก็บตัวอยู่ในจวนของตนทั้งวันทั้งคืน
และไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเมินเฉยต่อคำว่า ‘ห้ามรบกวน’
ของอีกฝ่าย
ถึงกระนั้นก็ไม่ลืมตกปากรับคำเด็กหนุ่มที่ยืนเบื้องหน้าว่าความผิดทั้งหมดตนจะรับไว้แต่เพียงผู้เดียว
เนื่องจากนึกเห็นใจที่อีกฝ่ายมักจะโดนสหายของเขาหาเรื่องเย้าแหย่ให้หัวหมุนอยู่ร่ำไป
“ …เช่นนั้นเชิญคุณชายทางนี้ขอรับ
”
จวนคุณชายใหญ่ตระกูลคิมเต็มไปด้วยความร่มรื่นของแมกไม้นานาพันธุ์
บ้างแผ่กิ่งก้านสาขา บ้างออกดอกชูช่อบานสะพรั่ง ไม่มีเสียงใด ๆ
เล็ดลอดออกมาจากประตูที่ปิดสนิท ยกเว้นเสียแต่หน้าต่างที่เปิดอ้าทิ้งไว้พร้อมกับกลิ่นสีที่ลอยมาตามลม
เด็กหนุ่มกระซิบบอกกับเขาว่าคุณชายใหญ่ของตนกำลังหมกมุ่นอยู่กับการรังสรรค์ผลงานชิ้นใหม่
ดูจริงจังตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง
“ แทฮยอง?
”
ฮยองชิกเคาะประตูสองสามครั้งขณะคอยเงี่ยหูฟังเสียงกุกกักและเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านใน
ยืนรอไม่นานนักประตูก็เปิดออก
ปรากฏใบหน้าง่วงงุนของคุณชายใหญ่ตระกูลคิมที่มองดูก็รู้ว่าอดหลับอดนอน
อีกฝ่ายอยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมต้อนรับแขกสักเท่าไหร่
“ ดูเหมือนว่าเจ้า— ” ฮยองชิกกวาดสายตามองสำรวจร่องรอยความอ่อนล้าบนใบหน้าอีกฝ่ายด้วยความอ่อนใจ
“ —จะกำลังยุ่งสินะ? ”
“ ข้าบอกกุงซูแล้วนี่ว่าห้ามให้ใครมารบกวนถ้าไม่มีเหตุจำเป็น
”
“ ตัวข้าไม่ถือว่าเป็นเหตุจำเป็นหรอกหรือ?
”
แทฮยองพ่นลมหายใจก่อนจะพึมพำว่า
‘เจ้าคนหน้าไม่อาย’ แม้จะมีท่าทีอิดออดอยู่บ้างแต่ก็ยอมเปิดประตูต้อนรับ
ภายในจวนมีกลิ่นสีกับกลิ่นหมึกคละคลุ้งเสียจนฮยองชิกต้องย่นจมูก
มีกระดาษแผ่นใหญ่ถูกขึงอยู่บนโต๊ะไม้ พู่กันวางระเกะระกะบนพื้น
เขาถือวิสาสะเดินไปเปิดหน้าต่างบานอื่น ๆ เพื่อให้อากาศถ่ายเท
ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งโดยไม่รอให้เจ้าบ้านเชื้อเชิญ
“ ไปนำน้ำชามาต้อนรับคุณชายพัค
”
“ ขอรับ ”
เมื่อบ่าวรับใช้หายลับไปจากระยะการมองเห็นภายในจวนจึงเหลือเพียงพวกเขาสองคนตามลำพัง
ฮยองชิกเพิ่งสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าบนตัวสหายเปรอะเปื้อนไปด้วยสีแดง
เลอะไปถึงฝ่ามือ มองเผิน ๆ ดูคล้ายรอยเลือดอย่างไรชอบกล มองแล้วก็ชวนให้ตกใจไม่น้อย
เฮ้อ .. สภาพช่างดูไม่ได้เอาเสียเลย
“ บ่าวรับใช้ของเจ้าบอกว่าเจ้ากำลังเก็บตัวสร้างผลงานชิ้นใหม่งั้นหรือ?
ข้าชักจะอยากเห็นเสียแล้วสิ ครานี้เจ้าวาดอะไรถึงได้มีแต่สีแดงเปรอะเสื้อผ้าขนาดนี้?
ดอกไม้? ”
“ มิใช่ ” แทฮยองยกยิ้มจาง ๆ แววตาพราวระยับอย่างภาคภูมิใจ “ ครานี้เป็นคน
”
“ หืม? ผู้ใดกัน? ”
กระดาษแผ่นนั้นถูกหมุนมาทางเขา
แผ่นกระดาษสีขาวถูกละเลงด้วยสีแดงเสียส่วนมาก
ภาพวาดเบื้องหน้าเขายังไม่เสร็จสมบูรณ์ดีจึงทำให้ยังไม่อาจตัดสินใจได้ว่าเป็นผู้ใด
ท่วงท่าของคนในภาพวาดคล้ายกำลังเต้นรำ ชุดสีแดงบนเรือนร่างนั้นพลิ้วไสว ดูอ่อนช้อยงดงาม
ทว่ากลับคุ้นหูคุ้นตาเสียจนต้องครุ่นคิด ฮยองชิกเงยหน้าขึ้นสบตากับสหายของตนพลันเข้าใจแจ่มแจ้ง
“ นักเต้นของคณะละครเร่ร่อนผู้นั้น?
”
แทฮยองหัวเราะเสียงใส
ก่อนเคาะนิ้วลงบนใบหน้าเลือนรางของคนในภาพวาดที่ยังไม่สมบูรณ์ดี
“ คนผู้นี้มีนามว่า จีมิน
”
“ เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน? ”
“ เมื่อวานข้าพบกับคนผู้นั้นโดยบังเอิญ
จึงมีโอกาสได้ยืนสนทนาอยู่ครู่หนึ่ง ”
“ ดูเหมือนว่าเจ้าจะชื่นชอบคนผู้นี้ไม่น้อย
”
แต่ก็ไม่อาจรู้ว่าเพียงแค่ชื่นชอบการแสดง
.. หรือสิ่งใดกันแน่
“ ข้าว่ามันประหลาด
”
“ อย่างไร? ”
“ ตั้งแต่คราแรกที่พบหน้า
ไม่มีวันใดที่ข้าไม่นึกถึงคนผู้นั้นเลย ” แทฮยองกล่าวด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มพลางเหม่อมองภาพวาดเบื้องหน้าอย่างใจลอย
“ หัวใจของข้าว้าวุ่นยิ่งนัก ”
ฮยองชิกได้ยินเช่นนั้นพลันเบิกตาโต
รู้สึกประหลาดใจระคนตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้ยินสหายผู้นี้พร่ำเพ้อถึงผู้อื่น
แต่ไหนแต่ไรชีวิตแต่ละวันของคุณชายใหญ่ตระกูลคิมก็มีเพียงแค่การวาดรูปและเที่ยวเล่นเท่านั้น
เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เฉกเช่นหนุ่มสาวทั่วไปไม่เคยสนใจไยดี
จนป่านนี้แล้วแม้แต่คู่หมั้นคู่หมายสักคนก็ยังไม่มี ทว่าเวลานี้อีกฝ่ายกลับกำลังว้าวุ่นใจเพราะผู้อื่นหรือนี่?
“ นั่นคงเป็นเพราะเจ้าประทับใจในการแสดงของนักเต้นผู้นั้นมาก
หรือไม่ก็... ”
“ อะไรหรือ? ”
เขามองสีหน้าไร้เดียงสาของสหายตนแล้วก็ไม่รู้จะกล่าวเช่นไรดี
“ เกรงว่าเจ้าคงกำลังตกอยู่ในห้วงรักเสียแล้วกระมัง?
”
คนฟังชะงักเล็กน้อย
สีหน้ากับแววตาปรากฏอารมณ์หลากหลาย ฮยองชิกเหลือบมองภาพวาดนั้นอีกคราก่อนจะยกยิ้มอ่อนใจ
ปกติแล้วสหายผู้นี้มักเลือกวาดเฉพาะสิ่งที่ตัวเองพึงพอใจเสียส่วนใหญ่ หากไม่พึงพอใจในตัวนักเต้นผู้นั้นมีหรือจะวาดภาพนี้
หรือถ้าหากเป็นเพียงแค่ความประทับใจก็นับเป็นความประทับใจที่มากมายทีเดียวเชียว
“ แต่ข้ากับเขาเพิ่งได้พบกันแค่สามครา
”
“ ปัดโธ่เอ๊ย
พบกันกี่คราหาใช่ตัวกำหนดความรู้สึก ไม่เช่นนั้นโลกนี้จะมีคำว่ารักแรกพบหรือ ”
“ เมื่อคืนข้าฝันถึงเขา ”
“ โฮ่ นี่ถึงขั้นนั้นเชียวหรือ
” เขาแสร้งยกมือขึ้นปิดปากด้วยท่าทางที่ดูตกใจเป็นอย่างยิ่ง
ในใจนึกหัวเราะสหายผู้ไม่รู้ความของตนผู้นี้ที่ไร้เดียงสาเสียเหลือเกิน
ชายหนุ่มย่อมต้องเคยฝันถึงคนที่ตนชอบพอแน่นอนอยู่แล้ว
หาได้เป็นเรื่องแปลกใหม่อันใด “ ฝันเช่นไร หวามไหวปานจะขาดใจเลยหรือไม่
”
ฮยองชิกคาดหวังว่าสหายจะมีท่าทีเขินอายให้เย้าแหย่เล่น
ทว่าอีกฝ่ายกลับหลุบตาลงต่ำเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
น่าเสียดายที่ไม่ทันจะได้เอ่ยปากถามอะไรต่อเสียงเคาะประตูกลับดังขึ้นเสียก่อน
เด็กหนุ่มโผล่เข้ามาพร้อมกับชุดน้ำชาควันฉุย แทฮยองรินน้ำชาให้ทั้งตนเองและฮยองชิกด้วยท่าทางนิ่งสงบ
“ ไม่เชิง ”
“ ไม่เชิง? หมายความว่าอย่างไรเล่า? ”
อีกฝ่ายเลิกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยกประคองถ้วยชาร้อนขึ้นจิบ เขาเหลือบเห็นเชือกถักสีแดงไม่คุ้นตาบนข้อมือนั้นแต่ก็เพียงแค่มองผ่านเลยไป เขากำลังเฝ้ารอคอยคำตอบจากสหายของตนด้วยความอยากรู้ ถึงกระนั้นแทฮยองกลับไม่ตอบสิ่งใดนอกจากส่งรอยยิ้มที่เป็นปริศนาคาใจให้แก่เขา
TALK;
ตอนหน้าเป็นต้นไปคาดว่าพระเอกน่าจะมีซีนกับเขาแล้วค่ะ แอร๊
ถึงเวลาจ่ายหนี้แล้วตระกูลคิมจะเป็นยังไงต่อไปโปรดติดตามตอนต่อไป
การดำเนินเรื่องช้าหน่อยนะคะ อย่าเพิ่งเบื่อกัน
#ดอกไม้สีแดงเบ่งบานยามวสันตฤดู
ความคิดเห็น