ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    bts ★ the bloody flower blooming in the springtime ★ minv

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ห้า

    • อัปเดตล่าสุด 11 เม.ย. 63




    บทที่ห้า

             





              เจ้าว่าอย่างไรนะ หัวใจยองกวังหล่นวูบไปกองอยู่แทบเท้า “ —เป็นลมเช่นนั้นหรือ?



              ขอรับนายท่าน



    เมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้าได้เพียงไม่นาน พ่อบ้านตระกูลคิมได้รีบเร่งนำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานมาแจ้งแก่ผู้เป็นนาย พ่อบ้านเล่าว่า .. หลังจากคุณชายใหญ่กับกุงซูกลับมาจากด้านนอก เด็กหนุ่มได้มาเคาะประตูห้องของตนและบอกกล่าวเรื่องราวทั้งหมด คุณชายใหญ่ยืนชมการแสดงเบื้องหน้าอยู่ดี ๆ แต่แล้วกลับมีอาการแปลกประหลาด ใบหน้าที่มักประดับด้วยรอยยิ้มแช่มชื่นพลันซีดเผือด ฝ่ามือเรียวกอบกุมลำคอของตนเองและทำท่าคล้ายหายใจไม่ออก นั่นทำให้กุงซูตกใจเป็นอย่างมาก พยายามร้องเรียกหลายหนหากแต่ดูเหมือนว่าคุณชายใหญ่จะไม่มีสติรับรู้สิ่งใด ทว่าก่อนจะทันได้เข้าไปพยุงร่างที่ยืนโงนเงนนั้นเอาไว้กลับมีคนที่รวดเร็วกว่า...



    ก่อนที่คุณชายใหญ่จะล้มลง ก็ได้มีนักเต้นของคณะละครเร่ร่อนที่กำลังทำการแสดงอยู่เข้ามาช่วยเหลือขอรับ โชคดีที่คนผู้นั้นรับร่างคุณชายใหญ่เอาไว้ได้ทัน ไม่เช่นนั้นอาจจะฟกช้ำดำเขียวไม่น้อยขอรับ



              ใบหน้าคนฟังคลายความเครียดขึงลงมาหลายส่วน ทว่าความหนักอึ้งภายในใจถูกยกออกไปเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ยองกวังเคาะนิ้วลงบนโต๊ะอย่างครุ่นคิด หกปีมานี้บุตรชายคนโตของตนไม่เคยเจ็บป่วยสักหน ทว่าอยู่ดี ๆ กลับเป็นลมล้มพับโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้เขารู้สึกกังวลใจไม่น้อย



              ตอนนี้อาการของแทฮยองเป็นเช่นไรบ้าง?



              ดูเหมือนว่าจะปกติดีทุกอย่างขอรับ



              ถึงจะเป็นเช่นนั้น .. แต่จะให้วางใจได้อย่างไรกัน หลายปีก่อนที่บุตรชายอยู่ในสภาพซูบเซียวและทุกข์ทรมานจากโรคประจำตัวเปรียบเสมือนความหวาดกลัวที่ฝังรากลึกลงในจิตใจของยองกวัง แม้ว่าด้วยเวทมนตร์บ้า ๆ นั่นจะมอบชีวิตใหม่ และทำให้บุตรชายลืมเลือนช่วงเวลาที่ศาลเจ้าไปหมดสิ้นก็ตามที ไม่มีสักวันที่เขาหลงลืมว่าตนยังคงติดค้างบางสิ่งที่มีราคาแพงลิบลิ่วโดยไม่รู้เลยว่าจะต้องจ่ายด้วยสิ่งใด



              เจ้าจงไปตามหมอมาตรวจคุณชายใหญ่เสีย เรื่องเช่นนี้ไม่ควรประมาท



              เขากระซิบสั่ง เสียงแผ่วเบาจนแทบจะกลืนเป็นเดียวกับเสียงหวีดหวิวของสายลม



              นายท่านโปรดวางใจ



    ไม่กี่ชั่วยามต่อมาจึงมีหมอท่านหนึ่งถูกเชิญมาถึงหน้าประตูห้องของคุณชายใหญ่ .. โดยที่อีกฝ่ายยังตื่นไม่เต็มตาเสียด้วยซ้ำ การตรวจร่างกายเป็นไปอย่างราบรื่น หมอได้แจ้งแก่พวกเขาว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติเลยแม้แต่น้อย คาดว่าที่คุณชายใหญ่เกิดเป็นลมล้มพับนั้นอาจจะเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น .. บ่าวรับใช้ทุกคนต่างรู้ดีว่าคุณชายใหญ่มักนั่งวาดรูปจนดึกดื่น บางวันก็ไม่ยอมหลับยอมนอน วันใดวันหนึ่งเกิดหน้ามืดขึ้นมาก็ไม่นับว่าแปลกอะไร ดังนั้นเช้าที่แสนวุ่นวายจึงผ่านไปแต่โดยดี

             







              แทฮยองยังคงเฝ้าครุ่นคิดถึงนักเต้นแสนเฉิดฉายผู้นั้นตลอดทั้งคืน จนกระทั่งแสงอรุณส่องลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง นอนเหม่อลอยเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงได้ไม่นานประตูห้องก็ถูกเคาะ พ่อบ้านนำตัวหมอท่านหนึ่งบุกเข้ามาตรวจร่างกายของตนตั้งแต่เช้าเชียวหรือนี่ เขากุมขมับ รู้ได้ทันทีว่าเรื่องราวเป็นเช่นนี้เพราะใคร เจ้าเด็กกุงซูนั่นช่างปากสว่างดีแท้! แค่หน้ามืดและหายใจติดขัดเพียงชั่วครู่เหตุใดจึงต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่ถึงอย่างไรตนก็เข้าใจในความเป็นห่วงของทุกคน .. แทฮยองจึงยินยอมให้ท่านหมอตรวจชีพจรและอาการอื่น ๆ แต่โดยดี



              ข้ากำชับเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าห้ามเอาเรื่องเมื่อคืนไปบอกใคร



              เขาหันมาหากุงซูทันทีที่ทุกคนพากันยกโขยงออกจากห้องของตนไปจนหมด นัยน์ตากลมโตหรี่ลง กะจะแกล้งข่มขู่เจ้าเด็กนี่ให้กลัวหัวหด เด็กหนุ่มย่นคอน้อย ๆ ดวงตาหลุบมองต่ำ รู้ตัวทันทีว่าตนเองกำลังตกเป็นเป้าหมายในการกลั่นแกล้งของคุณชายใหญ่ ถึงกระนั้นก็ยังทำใจกล้าเอ่ยวาจาเสียงอ่อย



              แต่คุณชายใหญ่ .. พ่อบ้านย้ำนักย้ำหนาว่าเรื่องสุขภาพของคุณชายใหญ่นั้นไม่อาจละเลยได้เลยแม้แต่น้อย แม้จะแค่อาการเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ต้องแจ้งให้นายท่านทราบนะขอรับ



              อย่าโกรธข้าเลยนะขอรับ



              เพียงแค่นำ นายท่านมาอ้างคุณชายใหญ่ก็หมดฤทธิ์อย่างง่ายดาย สีหน้านั้นอ่อนลงจนกุงซูลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างน้อย ๆ วันนี้หากตนรอดพ้นจากการถูกเย้าแหย่ให้หัวปั่นก็เป็นอันใช้ได้แล้ว



              เฮ้อ ช่างมันเถิด ข้าไม่โกรธเจ้าหรอก



              เช่นนั้นคุณชายใหญ่ต้องการขนมหลังมื้อเช้าหรือไม่ขอรับ?กุงซูเงยหน้าขึ้นมอง ท่าทางเริงร่าขึ้นมาทันตาเห็น เด็กหนุ่มรีบเอ่ยถ้อยคำเอาอกเอาใจผู้เป็นนาย ดูเหมือนว่าหน้าตาหงอย ๆ ของตนจะทำให้คุณชายใหญ่ใจอ่อนจริง ๆ ข้ายกไปไว้ให้ท่านในสวนดีหรือไม่ขอรับ?



              อืม ก็เอาสิ



              แทฮยองคร้านจะสนใจกุงซูอีก เขาผินหน้ามองออกไปข้างนอกหน้าต่างที่เปิดรับสายลมแห่งวสันตฤดู กลีบดอกไม้ร่วงหล่นราวกับหิมะ ส่งกลิ่นหอมขจรขจายตลอดเวลา ฝ่ามือแบออกรอรับกลีบนั้นปลิวตกลงบนพื้น แทฮยองเท้าคางบนขอบหน้าต่างอย่างเกียจคร้าน ยามสายลมพัดมาใบไม้ดอกไม้แลดูคล้ายกำลังเต้นรำสนุกสนาน นั่นดอกไม้กลีบหนึ่งที่ปลิวมาตกลงกลางฝ่ามือ ใช้เวลาพินิจมองมันไม่นานนักก็เป่าลมเบา ๆ ให้กลีบดอกไม้ทำให้เขาพาลนึกไปถึงใบหน้าเรียวเล็กของใครอีกคน



              ข้ายังไม่ได้กล่าวขอบคุณเขาแม้เพียงครึ่งคำ...



              อะไรนะขอรับ?



    เด็กหนุ่มที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดเสื้อผ้าหันกลับมาทำหน้างุนงง



              ไม่มีอะไร



              หากคนผู้นั้นไม่เข้ามาช่วยเอาไว้เกรงว่าตัวเขาคงจะล้มหัวกระแทกพื้นแข็ง ๆ ไปเสียแล้ว ไม่พออีกฝ่ายยังมีน้ำใจช่วยประคับประคองแทฮยองมาส่งถึงหน้าจวน ลำพังแค่กุงซูที่ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่น่ะหรือจะสามารถแบกร่างของเขากลับมาได้ ทว่าพอเท้าเขาก้าวผ่านประตูรั้วของจวนตระกูลคิม .. คนผู้นั้นกลับไม่ได้ขยับตามเข้ามา ใบหน้าก้มลงน้อย ๆ เป็นเชิงอำลา หลังจากนั้นบ่าวรับใช้สองสามคนจะรีบกรูเข้ามาช่วยพยุงเขา สะบั้นโอกาสเล็ก ๆ ในการทำความรู้จักกับใครอีกคนไปโดยสิ้นเชิง



    รอยยิ้มเจือจางที่ประดับบนใบหน้าเรียวนั้นทำเอาตนเผลอเหม่อมองอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ในเมืองหลวงล้วนเต็มไปด้วยผู้คนหน้าตาหมดจดงดงามมากมาย ประหนึ่งดอกไม้ที่แข่งกันชูช่อบานสะพรั่ง ล่อตาล่อใจหมู่มวลภมร นักเต้นผู้นี้ไม่ได้งามหมดจดดังเช่นที่เขาเคยพบเห็นใครมาก่อน ทว่าอีกฝ่ายกลับมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่างที่ทำให้ไม่อาจจะละสายตาไปไหนได้เลย อีกฝ่ายงามเหมือนดอกไม้ป่าหายาก มีสีสันโดดเด่นแปลกตา และมีกลิ่นอายแห่งความลึกลับทรงเสน่ห์ แววตาส่องประกายเช่นนั้นเขาไม่อาจลืมเลือนมันได้เลยแม้จะได้มองสบเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ



              กุงซู แทฮยองเอ่ยเรียกเด็กหนุ่ม นัยน์ตาเปล่งประกาย หลังมื้อเช้าเจ้าจงยกกระดาษ หมึก สี และพู่กันไปไว้ในสวน



              คุณชายใหญ่ต้องการสีอะไรบ้างหรือขอรับ?



              สีแดง



              ชายกระโปรงสีแดงพลิ้วไสวอาบไล้ด้วยแสงจากเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วง วูบหนึ่งดูมีชีวิตชีวา วูบหนึ่งดูบ้าคลั่ง เส้นผมสีดำขลับปล่อยสยาย และริมฝีปากแต้มด้วยสีชาด เขาจดจำมันได้เมื่อตกอยู่ในอ้อมแขนของนักเต้นผู้นั้นชั่วขณะหนึ่ง ทั้งหมดเปรียบดังภาพที่สลักลงกลางใจ ยากจะลืมเลือน แทฮยองพบว่าตนเองหมกมุ่นยิ่งนัก นักเต้นผู้นั้นมาจากแห่งหนใด? เดินทางมาไกลแค่ไหน? เป็นลูกเต้าเหล่าใคร? เขาอยากรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ความรู้สึกที่เอ่อล้นในอกคลุมเครือราวกับมีเมฆหมอกปกคลุม คล้ายนึกบางสิ่งออกแต่ก็เจือจางชวนสับสน เขาเพียงแค่อยากพบนักเต้นผู้นั้นอีกสักครั้งหนึ่งเท่านั้น และตอนนี้ตัวเขาก็ไม่รู้จะบรรเทาความรู้สึกท่วมท้นนี้เช่นไร

             







              แทฮยองมักจะขลุกตัววาดรูปในยามเช้าและออกไปเที่ยวเล่นในยามบ่าย ชีวิตแต่ละวันของเขาดำเนินเช่นนี้มาได้หลายปีแล้ว บางคนมองว่าเขาไม่เป็นโล้เป็นพาย ตนเป็นถึงบุตรชายคนโตของเสนาบดีคิมกลับไม่เข้ารับราชการ เอาแต่เที่ยวเล่นไปวัน ๆ เทียบกับสหายสนิทแล้วช่างดูเลื่อนลอยไร้หลักแหล่ง บางคนกลับมองว่าเขาช่างมีชีวิตที่สุขสบาย ไม่ต้องทำงานหนักก็มีกินมีใช้ พรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดอย่างเช่น การวาดรูป สร้างเม็ดเงินให้แก่เขาอยู่ไม่น้อย แม้ไม่มากมายแต่ไม่เคยขัดสน หรือหากเขามีความคิดอยากจะเข้ารับราชการใน*โดฮวาซอก็ย่อมได้แน่นอน



    ช่างมันปะไร ตัวเขาเพียงแค่รับฟังผ่านหู ไม่ใคร่เก็บมาใส่ใจ ในวัยเด็กตนเคยป่วยหนักใกล้ตายมาก่อน จึงรู้ดีถึงรสชาติของการมีชีวิตครึ่งเป็นครึ่งตาย อยากใช้ชีวิตแต่กลับไม่ได้ใช้ชีวิต โลกภายนอกกว้างใหญ่แต่ตนทำได้เพียงเก็บตัวอยู่ในห้อง ลำพังแค่ออกไปนั่งในสวนยังไม่อาจทำได้ดั่งใจ หากก็เป็นโชคดีของเขาที่ได้กลับมาสมบูรณ์แข็งแรงอีกครั้ง นับแต่วินาทีนั้นจึงให้คำมั่นกับตนเองว่าจะใช้ชีวิตใหม่อย่างที่ใจต้องการ ถึงแม้ท่านพ่อจะอยากให้เขาเข้ารับราชการแต่ก็ไม่ได้คิดฝืนใจเลยสักครั้ง



    ท่านพี่! กำลังจะไปที่ใดหรือขอรับ



    แทฮยองก้มลงสวมรองเท้าได้เพียงข้างเดียวก็หันไปพบใบหน้ากลม ๆ ยิ้มแป้นของเจ้าน้องชายตัวแสบที่กำลังวิ่งตรงมาก่อนจะโผเข้ากอดรัดเขา นัยน์ตาสุกใสเต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังอย่างปิดไม่มิด ดูเหมือนว่าจะมีใครแอบไปกระซิบบอกว่าเขากำลังจะออกไปเที่ยวเล่นจึงได้รีบวิ่งมาหา



    ไม่ใช่ว่าเจ้ารู้อยู่แล้วหรือ?



    ข้าขอไปกับท่านพี่ได้หรือไม่ เจ้าตัวแสบหาได้ปฏิเสธ ซ้ำยังพยายามก้มมาหอมแก้มเขาอย่างออดอ้อนเอาใจ พาข้าไปกับท่านด้วยนะ ๆ



    ขอคิดดูก่อน



    เจ้าตัวแสบทำหน้ายู่พลางย่ำเท้าเล็กน้อยอย่างขัดอกขัดใจเมื่อเขาแกล้งทำท่าคิดหนัก มือเล็กคอยกระตุกแขนเสื้อของเขาซ้ำ ๆ ก่อนที่จะตะโกนออกมาว่า



    ข้าเคยได้ยินท่านพ่อกล่าวว่าท่านพี่จำเป็นต้องมีคนคอยดูแล ฉะนั้นวันนี้ให้ข้าทำหน้าที่ดูแลท่านแทนกุงซูเถิด! กะอีแค่ดูแลท่านพี่คนเดียวข้าย่อมทำได้แน่นอน! ”




    คนในจวนนี้เห็นเขาเป็นคุณหนูน้อยหรืออย่างไรกัน!?




    แทฮยองถอนหายใจเบา ๆ



    ข้าให้เจ้าตามมาด้วยก็ได้ แต่ไม่ต้องมาดูแลข้าหรอก



    ข้าว่าแล้วเชียวว่าท่านพี่ต้องดูแลตัวเองได้แน่!



    แต่เมื่อกี้เจ้าเพิ่งบอกว่าข้าต้องมีคนดูแลนี่ เฮ้อ .. ช่างเถิด

     







    บ่ายวันนี้อากาศไม่ร้อนอบอ้าว สายลมพัดโชยตลอดเวลาเหมาะแก่การออกมาเดินเล่นอย่างยิ่ง แทฮยองปล่อยให้น้องชายจับจูงไปทางโน้นทางนี้โดยไม่เอ่ยค้านอะไร แต่ละร้านที่ยอนจุนแวะเข้าไปเยือนมักเป็นร้านขนมหวานเสียส่วนใหญ่ รองลงมาก็คือร้านขายของเล่น เจ้าตัวแสบกระโดดโลดเต้นอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ฝีเท้าฉับไว ปากพูดจ้อตลอดทาง



    ท่านพี่ ข้าอยากกินขนมร้านนี้



    ท่านพี่ ข้าอยากเข้าไปดูของเล่นร้านนั้น!



    ช่างเป็นภาพน่ารักน่าชังนักเมื่อทุกคนเห็นว่าวันนี้คุณชายใหญ่ตระกูลคิมกำลังเดินจับจูงมือมากับคุณชายน้อยตระกูลคิม คนทั้งคู่หน้าตาคล้ายคลึงกันหลายส่วน บนใบหน้ามีรอยยิ้มประดับตลอดเวลา มองดูแล้วสบายหูสบายตายิ่งนัก ท่านเสนาบดีคิมแท้จริงเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลา มีบุตรชาย บุตรชายก็ล้วนหน้าตาหล่อเหลา ช่างเป็นครอบครัวที่มีวาสนาดีแท้



    ข้าจะแวะไปที่ร้านเครื่องเขียนเสียหน่อย เจ้าอยากไปด้วยกันหรือไม่?



    ข้ารอที่นี่ดีกว่าขอรับ ยอนจุนรีบตอบทันที มือไม้ง่วนอยู่กับการลูบคลำสิ่งของในมือ ของเล่นทำจากไม้หลากหลายรูปทรงบนชั้นวางของดึงดูดความสนใจของเด็กชายไปจนหมด ท่านพี่ไปทำธุระของท่านเถิดขอรับ ไม่ต้องห่วงข้า



    ถ้าเช่นนั้นก็รออยู่ที่นี่ อย่าได้เถลไถลไปไกลเชียว



    โธ่ ข้าไม่ใช่เด็กไม่รู้ความนะขอรับ! ”



    ก็เด็กอยู่ดีไม่ใช่หรืออย่างไรกัน แทฮยองอมยิ้มก่อนจะส่ายหน้าน้อย ๆ ด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ แม้ยอนจุนโตพอที่จะดูแลตนเองได้แต่เขาก็ยังนึกห่วงอยู่ไม่น้อย บางทีเขาอาจติดนิสัยขี้กังวลมาจากท่านพ่อท่านแม่ พ่อบ้าน และกุงซูเสียแล้วกระมัง?



    คุณชายใหญ่ตระกูลคิมแจกจ่ายรอยยิ้มงาม ๆ ของตนให้ใครอีกหลายคนกว่าจะเกินมาถึงหน้าร้านประจำของตน เมื่อเจ้าของร้านเครื่องเขียนหันมาเห็นเขาเข้าก็ฉีกยิ้มกว้าง รีบร้อนเดินออกมาต้อนรับขับสู้ด้วยใบหน้าแจ่มใส คุณชายผู้นี้เป็นถึงลูกค้ากิตติมศักดิ์ของร้าน เป็นที่รู้กันว่าคุณชายตระกูลคิมชื่นชอบการวาดรูปจนเรียกได้ว่าเข้าขั้นหมกมุ่น ไม่เพียงเท่านั้นยังมีพรสวรรค์ชนิดที่หาตัวจับยาก อีกฝ่ายมักมาอุดหนุนร้านของตนเป็นประจำ ซื้อแต่ละครั้งก็คำนวณเป็นเงินมากพอที่จะทำให้ใบหน้าเจ้าของร้านมีรอยยิ้มประดับตลอดทั้งวัน



    คุณชายคิม! ” ชายวัยกลางคนร้องเรียกเสียงดังเมื่อแทฮยองปรากฏตัว เชิญขอรับ ๆ



    สวัสดีตอนบ่ายขอรับท่านลุง



    อ๊า มิบังอาจ ๆ คุณชายโปรดอย่าให้เกียรติข้าถึงเพียงนั้นเลยขอรับ! ”



    เขาเพียงแค่ยิ้มรับ ไม่ได้ตอบอะไร เจ้าของร้านเครื่องเขียนกระตือรือร้นที่ดูแลเขาเป็นอย่างยิ่ง แทฮยองยืนฟังอีกฝ่ายอธิบายถึงสินค้าใหม่ ๆ ยาวเหยียด ก่อนจะถูกปล่อยให้เดินดูของที่ตนต้องการตามลำพัง ช่างเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายและสงบสุขยิ่งนัก ทว่าในขณะที่เขากำลังยืนลูบไล้เนื้อกระดาษสำหรับวาดรูปอย่างเพลิดเพลินนั้น สายตาบังเอิญเหลือบไปเห็นแผ่นหลังไว ๆ ดูคล้ายน้องชายของตนเอง คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเขากำชับให้อยู่รอที่ร้านของเล่นหรืออย่างไรกัน?



    แทฮยองละมือออกจากมวนกระดาษก่อนจะรีบก้าวเท้าตามชายเสื้อไหว ๆ ของน้องชาย ยอนจุนเดินเร็วมากจนเขาเกือบตามไม่ทันอยู่หลายครา ร่างนั้นกึ่งเดินกึ่งวิ่งเบียดเสียดผู้คนก่อนจะหายไปในถนนเส้นเล็กที่ไม่มีสิ่งใด แทฮยองพยายามร้องเรียกน้องชายแต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ยินสิ่งใด เขาวิ่งไปตามถนนที่คดเคี้ยวลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ก่อนเห็นว่าชายเสื้อสีเขียวอ่อนหายลับไปตรงมุมถนน เมื่อตนวิ่งตามมากลับไม่พบน้องชาย แต่พบผู้อื่นแทน



              คนผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ สายตาเหม่อมองไปยังที่ไหนสักที่ ท่าทางนิ่งสงบ มีเพียงเส้นผมสีดำขลับกับแพขนตาเท่านั้นที่ขยับน้อย ๆ เขาชะลอฝีเท้าลงในจังหวะเดียวกับที่ใบหน้านั้นผินมามอง พวกเขายืนห่างกันหลายสิบก้าว ดวงตาสองคู่มองประสานท่ามกลางสายลม แสงแดด และกลิ่นดอกไม้นานาพันธุ์ของวสันตฤดู หัวใจเขาเต้นระส่ำ คลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นเห็นภาพเช่นนี้ ณ แห่งหนใดมาก่อน ภาพนั้นปรากฏอยู่หลังเปลือกตาของเขาทว่าช่างเลือนรางเหลือเกิน



              เจอท่านอีกแล้ว



    ริมฝีปากสีแดงระเรื่อค่อย ๆ คลี่ยิ้มบางเบา นัยน์ตาเรียวเล็กหยีลงเล็กน้อย



    ท่านดูรีบเร่งนัก กำลังตามหาใครหรือขอรับ?



    แทนที่จะพบน้องชาย .. กลับพบคนที่คอยวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดมาหลายค่ำคืน คนผู้นั้นสวมเพียงชุดผ้าต่วนเฉกเช่นชาวบ้านทั่วไป ยกเว้นเสียแต่ใบหน้าเรียวที่ยังคงโดดเด่นสะดุดตา สายตาที่ทอดมองมาราวกับกำลังมองเด็กเล็กวิ่งเล่น เขาเผลอนิ่งอึ้งอยู่นานกว่าจะเค้นเจอเสียงของตน



              ข้า .. มาตามหาน้องชาย ท่านเห็นเด็กผู้ชายวิ่งผ่านมาแถวนี้บ้างหรือไม่



              ข้ามองไม่เห็นผู้ใด ยกเว้นเพียงแต่ท่าน



              คำพูดเช่นนั้นช่างกำกวมยิ่งนัก พลันรู้สึกร้อนฉ่าที่ผิวแก้มจนต้องกระแอมไอเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกยุบยิบในอก แทฮยองพบว่าตนเองรู้สึกประหม่าเหลือเกินเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าคนผู้นี้



              ช่างเถิด ระหว่างทางข้าก็ไม่พบผู้ใด สงสัยจะมองผิดกระมัง เขากล่าว แล้วท่านเล่า? เหตุใดจึงมาอยู่ในซอยเปลี่ยวตามลำพังเช่นนี้?



              ข้ามาตามหาคนเช่นเดียวกับท่าน



              อ้อ .. แล้วเจ้าเจอคนผู้นั้นหรือไม่?



              เจอแล้วขอรับ



              อีกฝ่ายกล่าวอย่างนุ่มนวล ท่วงท่าดูแตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปโดยสิ้นเชิง หากไม่รู้มาก่อนว่าคนผู้นี้เป็นนักเต้นของคณะละครเร่ร่อนคงจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคุณชายจากตระกูลไหนสักตระกูลแน่ ๆ ใบหน้านั้นก้มลงเล็กน้อยก่อนที่นัยน์ตาเรียวจะค่อย ๆ ช้อนขึ้นมองอ้อยอิ่ง แทฮยองมองสบสายตาแวววาวด้วยความรู้สึกราวกับมีพายุปั่นป่วนในท้องน้อย  



              เรื่องเมื่อคืนวาน .. ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือข้า



              คุณชายโปรดอย่าถือเป็นบุญคุณ ข้าเพียงแค่ช่วยเหลือท่านเล็กน้อยเท่านั้น



              หามิได้ การช่วยเหลือไม่ว่ามากหรือน้อยก็นับเป็นบุญคุณที่ต้องตอบแทน



              พวกเขายังคงเว้นระยะห่างต่อกันเช่นเดิม หากแต่ความรู้สึกกลับปั่นป่วนรุนแรงราวกับว่าได้ยืนอิงแอบแนบชิดอย่างไรอย่างนั้น เขาไม่เคยสนใจเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มาก่อน และไม่เคยรู้สึกถูกตาต้องใจใคร แต่คนผู้นี้มีแรงดึงดูดอะไรบางอย่างที่ทำให้หัวใจของแทฮยองไม่สงบสุขเหมือนดังที่เคยเป็น



              ข้าขอทราบนามของท่านได้หรือไม่?



              “ —มินดวงตาคู่นั้นหลุบลงเล็กน้อย เผยให้เห็นแพขนตาที่สั่นไหว จีมินขอรับ

               







              แทฮยองเดินกลับมาในตลาดตามเดิมหลังจากแยกย้ายกับ จีมิน นักเต้นแสนเฉิดฉายผู้นั้น อีกฝ่ายจากไปพร้อมกับความอาลัยอาวรณ์เล็ก ๆ ในใจเขา ชั่ววูบหนึ่งตนนึกอยากรั้งคนผู้นั้นเอาไว้ แต่จะทำได้เช่นไรเล่า? ในเมื่อความจริงแล้วพวกเขายังเป็นแค่คนแปลกหน้าที่เคยพบกันเพียงสามคราเท่านั้น แทฮยองสะบัดหน้าเล็กน้อยเมื่อเผลอเหม่อลอยไปไกล ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตามหายอนจุน



    เขารีบเดินเข้าไปในร้านขายของเล่น หมายจะถามเจ้าของร้านว่าน้องชายตนเดินไปที่ใด แต่กลับพบว่ายอนจุนยังคงยืนเลือกของเล่นอยู่ในร้าน ไม่ได้หายตัวไปดังที่คิด



    ท่านพี่ ซื้อของเสร็จแล้วหรือ?



              เด็กชายหันมามอง ก่อนจะระบายยิ้มเต็มแก้มเมื่อเห็นว่าเป็นเขาที่เดินเข้ามา



              อืม แทฮยองครางรับเบา ๆ มองท่าทีไม่รู้เรื่องรู้ราวนั้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนหน้านี้เจ้าได้ออกไปไหนมาหรือไม่?



              ข้าอยู่ในร้านตลอด ไม่ได้ก้าวขาออกจากร้านเลยแม้แต่น้อย ไม่เชื่อท่านลองถามเถ้าแก่ดูซี เขาคอยมองตามข้ายังกับเงาแน่ะ! ”



              ...เช่นนั้นหรอกหรือ



              นี่เขาตาฝาดจริง ๆ อย่างนั้นหรือ? แปลกนัก ถ้าหากยอนจุนอยู่ที่นี่ตลอดเวลา แล้วคนที่ตนวิ่งตามอยู่ตั้งนานสองนานเป็นใครกันเล่า?



              ท่านพี่?



              แทฮยองหันกลับไปส่งยิ้มให้น้องชายตน แล้วจึงกล่าวว่า



              เปล่า .. ไม่มีอะไร






    TALK;     

    *โดฮวาซอ = ศูนย์ศิลปะของวังหลวง

    พระเอก(?)ค่าตัวแพงชิบหายวายวอด ออกแบบกะปริบกะปรอย
    ดำเนินเรื่องช้าหน่อยนะคะ ชอบเขียนบรรยายเพลิน ; w ; แฮ่

    #ดอกไม้สีแดงเบ่งบานยามวสันตฤดู

     

             


             
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×