ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    bts ★ the bloody flower blooming in the springtime ★ minv

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่สี่

    • อัปเดตล่าสุด 4 เม.ย. 63




    บทที่สี่

     





    ชีวิตของแทฮยองนั้นแสนจะเรียบง่าย หากเทียบกับเด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว .. ก็อาจกล่าวได้ว่าเขาช่างเป็นคนที่จืดชืดและดูเกียจคร้านราวกับแมวอ้วนในตระกูลเศรษฐีเสียนี่กระไร ในวันหนึ่งเขาทำเพียงไม่กี่สิ่ง หากไม่หมกมุ่นอยู่แต่กับภาพวาด ก็เป็นอันต้องนอนเอกเขนกอ่านหนังสืออยู่ในห้องของตนเอง เรื่องใด ๆ ภายนอกจวนล้วนไม่รับรู้ ทว่าหลังจากราตรีนั้น แทฮยองกลับมีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดถึงเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง



    การร่ายรำที่งดงามจนเกือบลืมหายใจ รอยยิ้มน้อย ๆ ที่ทำให้ในอกปั่นป่วน



    ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่อาจลืมเลือนได้เลยสักอย่าง



    เขานั่งเหม่อลอย ถือพู่กันค้างเอาไว้กลางอากาศทั้งอย่างนั้น กว่าจะรู้ตัวหยดสีก็หยดลงบนกระดาษจนชุ่ม ช่างน่าเสียดายนักที่ภาพดอกเมฮวาบานสะพรั่งในสวนไม่อาจเสร็จสมบูรณ์ได้อีกต่อไป แทฮยองถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะวางพู่กันในมือลงที่เดิม ไม่อาจอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดวันนี้จึงได้ไม่เป็นตัวของตัวเอง จิตใจไม่นิ่งสงบเหมือนเคย ฝ่ามือเรียวลูบอกตัวเองแผ่วเบา พยายามนั่งนิ่ง ๆ จับจ้องดอกเมฮวาที่สั่นไหวน้อย ๆ ตามแรงลมเพื่อสงบจิตสงบใจ




    หัวใจของเขาร้อนรุ่ม




    นัยน์ตากลมเหลือบเห็นเชือกถักสีแดงตรงข้อมือตนโผล่ออกมาจากชายแขนเสื้อ สีสันของมันตัดกับสิ่งอื่นที่ปรากฏในกรอบสายตา แทฮยองลูบคลึงมัน ยังคงครุ่นคิดไม่ตกเกี่ยวกับคณะละครเร่ร่อนและการแสดงของชนเผ่าที่หายสาบสูญเมื่อคืนวาน เขาล้วงเอาถุงผ้าแพรออกมาจากอกเสื้อ ปลายนิ้วลูบไล้ตามรอยปักรูปดอกพลับพลึงด้วยแววตาสับสน ครู่ต่อมาจึงวางมันลงบนโต๊ะ ก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมากาง และเริ่มต้นวาดรูปดอกไม้ดอกใหม่แทนที่ดอกเมฮวาที่วันนี้ดูจะจืดชืดเสียเหลือเกิน



    ท่านพี่! ” แรงปะทะเบา ๆ ตรงแผ่นหลังทำให้แทฮยองเกือบหน้าจุ่มลงบนกระดาษ ท่านวาดรูปอีกแล้วหรือ ข้าเหงาแทบตายแต่ท่านกลับเอาแต่วาดรูป



    เจ้ายอนจุนตัวแสบชะโงกหน้ามาดูภาพวาดของเขาก่อนจะเริ่มส่งเสียงกระเง้ากระงอด เด็กชายกอดรัดรอบคอเขาแนบแน่น ดูท่าว่าจะตั้งใจมาก่อกวนโดยเฉพาะ



    เอ .. ท่านพี่วาดดอกไม้อะไรกันขอรับ แปลกตายิ่งนัก



    มันเรียกว่าดอกพลับพลึง



    เขากล่าวยิ้ม ๆ พลางดึงร่างที่เล็กกว่ามานั่งข้างกัน ไม่ได้เอ่ยปากห้ามปรามแต่อย่างใดเมื่อน้องชายตนหยิบกระดาษแผ่นนั้นไปถือเอาไว้ เพ่งสายตามองด้วยความสนอกสนใจ



    เจ้าคงจะไม่เคยเห็นมาก่อนล่ะสิ ในเมืองหลวงผู้คนไม่นิยมปลูกดอกไม้ชนิดนี้สักเท่าไหร่นักเพราะมันเป็นดอกไม้ที่มีความหมายอัปมงคล ดอกไม้แห่งความตาย



    เด็กชายพลันเปลี่ยนสีหน้า จากความสนอกสนใจกลายเป็นความหวาดผวา ภาพวาดดอกพลับพลึงที่ยังไม่สมบูรณ์ดีถูกวางกลับที่เดิมอย่างรวดเร็ว ยอนจุนรีบละมือราวกับกลัวว่าความโชคร้ายจะติดมาด้วยอย่างไรอย่างนั้น เขาโผเข้าหาพี่ชาย แม้มันมีสีสันงดงามกว่าดอกเมฮวา แต่เหตุใดพี่ชายของตนจึงต้องวาดรูปดอกไม้ที่ดูชั่วร้ายเช่นนี้ด้วย



    ในเมื่อดอกไม้นี้ไม่มีในเมืองหลวง แล้วท่านพี่ไปเห็นมันเมื่อใดกัน?



    คำถามเรียบง่ายจากปากน้องชายกลับทำให้แทฮยองชะงักงันไปชั่วครู่ คล้ายกับว่าหัวถูกเคาะด้วยอะไรบางอย่าง ภายในใจไหววูบ รู้สึกประหลาดใจเสียจนไม่อาจกักเก็บสีหน้าได้ นั่นสิ .. เมื่อใดกันที่ตนเคยพบเห็นดอกไม้ชนิดนี้ รู้สึกคุ้นเคยกับมันประหนึ่งเคยพบเห็นมาชั่วชีวิต ทว่าในความจริงแล้วนั้นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง



    แทฮยองมั่นใจว่าตนเคยเห็นมันมาก่อน ไม่ใช่จากตำรา รูปวาด หรือลายปักบนถุงผ้าปริศนา แต่ที่ใดเล่า? ที่ใดกัน? ในเมืองหลวงที่ตนอาศัยมาตลอดทั้งชีวิตไม่มีดอกพลับพลึงสักดอกปรากฏให้เห็น ดอกไม้นี้ผู้คนนิยมปลูกไว้ใกล้หลุมศพเพื่อใช้ไล่สิ่งมีชีวิตอื่นไม่ให้มากัดแทะศพ หากจะพบมันมาก่อนก็ย่อมต้องเคยเดินทางออกนอกเมือง ทว่าเมื่อใดกันที่เขาเคยออกนอกเมือง? ไยความทรงจำเกี่ยวกับมันจึงเลือนรางนัก?



    เขานึกไม่ออก



    เหตุใดจึงนึกไม่ออก...?




    ท่านพี่!



    แทฮยองกะพริบตา ถูกเสียงร้องเรียกฉุดออกจากภวังค์ความคิดฉับพลัน



    ไยท่านจึงนิ่งไป ข้าสะกิดท่านตั้งหลายหน



    นัยน์ตากลมโตหยีลงเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าแง่งอนของน้องชายตัวแสบของตน แม้ความคิดในหัวยังคลุมเครือและว้าวุ่นแต่สุดท้ายเขาก็เลือกจะปัดมันทิ้งไปเสีย เขาจี้เอวเด็กชายจนอีกฝ่ายกรีดร้องด้วยความจั๊กจี้ หัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล ก่อนการวิ่งเล่นไล่จับจะเกิดขึ้น



    อย่าหนีซี 



    ช่วยด้วย ๆ ท่านพี่จะจับข้ากินแล้ว! ”



    หนึ่งเด็กหนุ่ม หนึ่งเด็กชาย คนสองคนวิ่งตึงตังตามกันไปทั่วสวน บ่าวรับใช้ที่เดินผ่านไปมาต่างพากันก้มหน้าก้มตากลั้นยิ้ม คอยเฝ้ามองดูต้นตอเสียงหัวเราะกับความวุ่นวายเล็ก ๆ ภายในจวนตระกูลคิมอย่างปกติสุข






    เช่นนั้นหรือ?

     







    คุณชายใหญ่ คุณชายฮยองชิกกล่าวว่าราตรีนี้ไม่อาจออกมาเที่ยวเล่นกับท่านได้ขอรับ กุงซูแจ้งข่าวแก่ผู้เป็นนายอย่างนอบน้อม คุณชายฮยองชิกยังฝากกล่าวอีกว่า .. คณะละครเร่ร่อนจะอยู่ในเมืองหลวงอีกหนึ่งเดือน หลังจากครบกำหนดจึงจะออกเดินทางไปยังเมืองอื่นขอรับ



    เช่นนั้นหรือ อา .. ช่างน่าเสียดายจริง ๆ



    คุณชายใหญ่แห่งจวนตระกูลคิมเพียงแค่ครางรับเบา ๆ ในลำคอ ดูไม่ได้หงอยเหงาแต่อย่างใดแม้จะไร้เงาสหายคู่ใจออกไปเที่ยวเล่นด้วย กุงซูลอบมองใบหน้ายิ้มแย้มนั้นด้วยความรู้สึกคับข้องใจไม่น้อย ไม่รู้ว่าคุณชายใหญ่ติดอกติดใจอันใดกับคณะละครเร่ร่อนนักหนา ครั้นพอตนเสนอตัวไปด้วยก็ถูกปฏิเสธ ในราตรีที่จะถึงนี้ผู้เป็นนายของตนดูจดจ่อรอคอยเสียเหลือเกิน



    คุณชายใหญ่จะไม่ให้ข้าตามไปด้วยจริง ๆ หรือขอรับ มืดค่ำเช่นนั้น...



    เหตุใดเจ้าจึงชอบทำตัวเหมือนพ่อบ้านมากขึ้นทุกวัน ฝ่ามือเรียวสวยสะบัดพัดเบา ๆ ก่อนจะย่นจมูกใส่เด็กหนุ่ม ข้าดูแลตัวเองได้น่า แทนที่เจ้าจะมัวมาตามติดข้า เหตุใดเจ้าไม่เอาเวลาว่างไปหัดอ่านเขียนหนังสือกันเล่า



    แน่นอนว่าเรื่องของคุณชายใหญ่ย่อมสำคัญกว่าสิ่งอื่น



    แทฮยองพ่นลมหายใจ มองสบกับดวงตาสุกใสของเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วนึกอ่อนใจ กุงซูเป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์หากแต่ก็สร้างความเหนื่อยหน่ายให้เขาได้ในบางครั้ง ก็เจ้าหมอนี่น่ะ .. เชื่อฟังคำสั่งท่านพ่อกับพ่อบ้านมากกว่าตัวเขาน่ะซี ยิ่งโตกุงซูก็ยิ่งเหมือนพ่อบ้านประจำตระกูลเข้าไปทุกวัน ทั้งเข้มงวดทั้งละเอียดอ่อน หลายคราก็ทำให้เขารู้สึกว่าตนเป็นคุณหนูน้อยมากกว่าคุณชายใหญ่เสียอีก



    เดี๋ยวนี้เจ้ากล้าต่อปากต่อคำกับข้าหรือ?



    มิบังอาจ คุณชายใหญ่โปรดอย่ากล่าวเช่นนั้น



    เด็กหนุ่มแลเห็นแววตาของผู้เป็นนายพราวระยับพลันรู้สึกเหงื่อตก ใครจะรู้ว่าคุณชายใหญ่ตระกูลคิมที่แสนสุภาพเรียบร้อยนั้นก็มีมุมดื้อรั้นจนน่าปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่เช่นกัน และกุงซูก็เป็นหนึ่งในคนที่ต้องรับมือกับความดื้อรั้นนั้นด้วย เฮ้อ .. ใช่ว่าตนจะอยากตามติดคุณชายใหญ่เสียเมื่อไหร่ แต่ เขาหากเชื่อฟังพ่อบ้านก็ย่อมโดนคุณชายใหญ่กลั่นแกล้ง หากเชื่อฟังคุณชายใหญ่ก็ย่อมโดนพ่อบ้านจับเขกหัวไม่ต่างกัน แบบนี้เรียกว่ามืดแปดด้านได้หรือไม่หนอ?



    ในเมืองหลวงแห่งนี้ใคร ๆ ต่างก็รู้จักท่านพ่อ ในเมื่อรู้จักท่านพ่อก็ย่อมต้องรู้จักข้า เป็นเช่นนี้เจ้ายังคิดว่าข้าจะมีอันตรายอีกหรืออย่างไรกัน?



    การไม่ประมาทย่อมดีที่สุดขอรับ



    กุงซูเอ่ยอย่างนุ่มนวล ไม่อาจกล่าวได้เต็มปากว่าใบหน้างาม ๆ ของคุณชายใหญ่นั้นเป็นที่หมายตาของผู้คนไม่ใช่น้อย ๆ หากว่ามีเพียง คุณหนูน้อยถูกตาต้องใจผู้เป็นนายตนคงไม่กังวลใจหรอก เพียงแต่มันไม่ได้มีเพียงแค่ คุณหนูน้อยน่ะซี เป็นเช่นนี้แล้วจะให้เขาวางใจยอมปล่อยอีกฝ่ายออกไปเตร็ดเตร่ยามราตรีตามลำพังได้อย่างไรกันเล่า



    โปรดให้ข้าติดตามท่านไปด้วยเถิดขอรับ



    คุณชายใหญ่ถอนหายใจอีกครา นัยน์ตากลมโตหรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับแกน ๆ

     







              ด้วยเหตุนี้แทฮยองจึงมีกุงซูคอยเดินตามประกบอยู่ไม่ห่าง แม้อีกฝ่ายจะพยายามสวมบทบาทเป็นพ่อบ้านผู้เข้มงวดและละเอียดอ่อนเช่นไร .. สุดท้ายก็ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มผู้หนึ่งเท่านั้น ตลอดทางกุงซูดูตื่นเต้นกับความมีชีวิตชีวารอบตัวไม่น้อย เขาซื้อขนมหวานแล้วยัดใส่มือกุงซูเอาดื้อ ๆ คราแรกอีกฝ่ายทำท่าจะปฏิเสธแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจขัดใจเขาได้ แทฮยองยกยิ้มขบขัน กุงซูหนอกุงซู ปากบอกเกรงใจ แต่ยัดขนมจนเต็มสองแก้มเช่นนั้นคืออะไรกัน



              ถนนเส้นนี้คึกคักไปด้วยผู้คนเดินขวักไขว่ โคมไฟหลากหลายลวดลายและสีสันประดับประดาเต็มสองข้างทาง เนื่องจากยังพอมีเวลาอยู่บ้างก่อนที่คณะละครเร่ร่อนจะเริ่มเปิดการแสดง สองนายบ่าวจึงพากันเดินเที่ยวเตร็ดเตร่ชมบรรยากาศโดยรอบอย่างสำราญใจ แต่ดูเหมือนจะว่าสำราญใจมากไปเสียหน่อย แทฮยองจึงได้เดินชนคนผู้หนึ่งเข้าอย่างจัง



              คุณชายใหญ่! ”



              เสียงอุทานของกุงซูดังขึ้นทันที ใบหน้าเด็กหนุ่มร้อนรนราวกับเขาเพิ่งโดนรถม้าเฉี่ยวหาใช่เดินชนกับคน ต้นแขนของเขาถูกจับเอาไว้ก่อนจะทันได้ล้มหงายไปกับพื้น นัยน์ตากลมโตมองสำรวจตั้งแต่ฝ่ามือขาวจัดไปจนถึงใบหน้างดงามหมดจด แฝงไปด้วยความสุภาพนุ่มนวลอยู่หลายส่วน คนที่ตนเพิ่งจะเดินชนแต่งกายไม่ต่างจากคุณชายจากตระกูลมั่งคั่งทั่วไป ซ้ำยังดูโตกว่าเขาอยู่หลายปี



              คุณชายได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?



              ไม่ขอรับ แทฮยองอ้ำอึ้งไปเล็กน้อย พอตั้งตัวได้จึงรีบกล่าวขอโทษ ขออภัยคุณชาย เป็นความเลินเล่อของข้าเองที่เดินไม่ดูทางจนทำให้ท่านต้องเดือดร้อน



    มันเป็นอุบัติเหตุ แน่นอนว่าข้าย่อมไม่โกรธเคืองท่าน



    อีกฝ่ายแย้มยิ้ม ท่าทางแจ่มใส ดูไม่ได้ถือสาหาความที่ตนเป็นฝ่ายถูกเดินชนแต่อย่างใด กุงซูลอบมองชายแปลกหน้าอย่างระแวดระวัง คุณชายผู้นี้ดูเหมือนบัณฑิตหนุ่มที่พบได้ทั่วไปในเมืองหลวง ทว่ากลับมีอะไรบางอย่างที่ให้ความรู้สึกแตกต่างอย่างสิ้นเชิง อีกฝ่ายผละมือออกจากคุณชายใหญ่ของตนอย่างสุภาพ ปราศจากท่าทีคุกคาม



              ที่นี่คนพลุกพล่านยิ่งนัก ไม่ทราบว่ามีงานเทศกาลอะไรกันหรือ?



              แทฮยองพลันกระจ่างขึ้นมาทันทีว่าชายผู้นี้คงจะไม่ใช่คนที่นี่



              ราตรีนี้มีคณะละครเร่ร่อนมาเปิดแสดงน่ะขอรับ มีการแสดงหนึ่งงดงามตระการตามากทีเดียว เขากล่าวอย่างนุ่มนวล ไม่ทราบว่า .. คุณชายมาจากที่อื่นหรือขอรับ?



              โอ้ ใช่ ถึงกับมองออกเชียวหรือ



              คุณชายผู้นั้นหัวเราะเบา ๆ บรรยากาศระหว่างพวกเขาผ่อนคลายขึ้นมาหลายส่วน



              ...เคยเป็นน่ะ อีกฝ่ายกล่าวพร้อมรอยยิ้ม แต่ก็มีเหตุให้ต้องหวนกลับมาที่นี่อีกจนได้ บ้านเรือนล้วนเปลี่ยนแปลงไปเกือบหมด อะไรที่คุ้นเคยก็ไม่คุ้นเคยเสียแล้ว



              ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ชายแปลกหน้าเงียบลงไปชั่วครู่ เนื่องจากอีกฝ่ายกำลังกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ตัว แทฮยองชั่งใจว่าควรจะเอ่ยปากชวนอีกฝ่ายไปดูการแสดงด้วยกันดีหรือไม่ หากปล่อยให้คุณชายต่างถิ่นผู้นี้เตร็ดเตร่ตามลำพังในเมืองหลวง เห็นทีคงจะเป็นค่ำคืนที่เหงาหงอยไม่น้อย เขาก้มมองชายแขนเสื้อของตนถูกกระตุกหลายครา แววตากุงซูคล้ายจะบอกว่า อย่าเชียวนะขอรับ!’ แต่ทว่ายังไม่ทันขยับตัวทำสิ่งใดชายแปลกหน้ากลับหันกลับมาส่งยิ้มอีกครั้ง



              รบกวนเวลาคุณชายมากแล้ว หากมีวาสนาเราคงได้พบพานกันอีก



              ว่าแล้วคุณชายผู้นั้นก็เดินจากไปอย่างง่ายดาย กุงซูถอนหายใจเล็กน้อย รู้สึกเหมือนชีวิตสั้นลงไปอีกหลายปีทีเดียวเชียว แม้คุณชายผู้นั้นจะไม่ได้มีท่าทีเป็นอันตราย แต่เด็กหนุ่มก็ไม่นึกไว้ใจแววตาที่ฉายประกายแปลกประหลาดยามจับจ้องคุณชายใหญ่ของตนเอาเสียเลย



              พวกเรารีบไปกันเถิด



              ขอรับคุณชายใหญ่

     







              ราตรีนี้ยังคงมีผู้คนเบียดเสียดเพื่อรอชมการแสดงของคณะละครเร่ร่อนไม่ต่างจากคืนวาน การแสดงครึ่งแรกเป็นการแสดงศิลปะพื้นบ้านทั่วไป เช่น ละครใบ้ และระบำหน้ากาก แทฮยองชื่นชมการแสดงเหล่านั้นด้วยความเพลิดเพลิน คาดว่าคณะละครเร่ร่อนคงจะรวบรวมสมาชิกมาจากหลาย ๆ ชนเผ่าเป็นแน่ การแสดงต่าง ๆ ล้วนไม่ซ้ำซาก ช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาและหลากหลายเป็นอย่างยิ่ง



              กุงซูลอบมองเสี้ยวใบหน้าของผู้เป็นนาย อดสงสัยไม่ได้ว่านี่คือสิ่งที่ทำให้คุณชายใหญ่รีบร้อนออกจากจวนตระกูลคิมเช่นนั้นหรือ? การแสดงตรงหน้างดงามและชวนเพลิดเพลินดีอยู่หรอก แต่ตนก็ไม่เห็นว่ามันจะมีสิ่งใดไปมากกว่านั้นเลยนี่?



              คุณชายใหญ่... หลังจากทะเลาะตบตีกับตนเองด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วเด็กหนุ่มจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม นี่คือการแสดงที่ท่านกล่าวถึงหรือขอรับ?



    มิใช่ ถ้าหากเจ้าอดทนรอให้นานกว่านี้เจ้าก็จะได้เห็นเอง



              คุณชายใหญ่ผินใบหน้ามาทางเขาเพียงเล็กน้อย ทว่าสายตายังคงจับจ้องไปยังการแสดงเบื้องหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ กุงซูได้ยินเช่นนั้นก็ย่นคอ แม้น้ำเสียงผู้เป็นนายจะไร้ซึ่งอารมณ์ขุ่นมัว แต่ทำไมตนจะไม่รู้ว่ามันมีความหมายแอบแฝงว่า หุบปาก แล้วจงดูเอาเองซี!



              หลังจากการแสดงพื้นบ้านจบลงไป .. ก็เป็นตาของการแสดงที่ทุกคนต่างเฝ้ารอคอย แรกเริ่มนั้นการแสดงเริ่มต้นด้วยการขับร้อง*พันโซรีที่กล่าวถึงเรื่องราวความรักและโศกนาฏกรรมของคนคู่หนึ่ง ความรักต่างชนชั้นขององค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรชิลลากับเด็กหนุ่มรูปงามที่เป็นเพียงชาวชนเผ่าห่างไกลความเจริญ เด็กหนุ่มผู้อ่อนเดียงสาไม่รู้แม้แต่น้อยว่าชายคนรักของตนมีต้นกำเนิดสูงส่งจนมิอาจเอื้อม ยามแรกรักช่างหวานชื่น กลืนน้ำลายลงคอยังละเมอเพ้อพกว่าหวานล้ำเสียยิ่งกว่าน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ แต่ทว่าความสุขย่อมไม่ยาวนานดั่งใจหวัง...



              หัวใจแทฮยองเต้นระส่ำระส่ายเมื่อเห็นเท้าเปลือยเปล่าของใครคนหนึ่งค่อย ๆ ก้าวออกมาจากเงามืด สวมเสื้อผ้าสีแดงตั้งแต่หัวจรดเท้าดูโดดเด่นสะดุดตาท่ามกลางผู้คนแออัด นิ้วมือเริ่มกรีดกรายในอากาศ ก่อนร่างกายเพรียวบางนั้นจะโยกย้ายไปตามจังหวะดนตรีหนักแน่นที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสดใสมีชีวิตชีวา เสียงขลุ่ยดังกังวานทำให้บรรยากาศโดยรอบนุ่มละมุน ริมฝีปากนั้นแย้มยิ้มน้อย ๆ คล้ายเอียงอาย ไร้เดียงสาเสียจนคนมองหัวใจสั่นไหว



              ราตรีหนึ่งเด็กหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นมาตามลำพังบนเตียงนอน ได้กลิ่นไหม้และกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งชวนคลื่นเหียน ข้างนอกบ้านตนแว่วเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดหวั่นและทุกข์ทรมาน เด็กหนุ่มจึงรีบร้อนวิ่งออกไปเพื่อพบว่าหมู่บ้านของตนถูกเผาจนวอดวาย ท่ามกลางความมืดมิดนั้นเขาเห็นชายคนรักที่ร่วมเรียงเคียงหมอนมาแรมปียืนตระหง่าน ทหารมากมายยืนรุมล้อม พลันได้ยินเสียงเรียก องค์รัชทายาท กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินไปเสียแล้ว...



              ท่วงทำนองสดใสมีชีวิตชีวาพลันถูกแปรเปลี่ยนไปอีกขั้วอารมณ์หนึ่งโดยไม่ทันตั้งตัว ทุกคนคล้ายถูกกระชากลงแม่น้ำที่เย็นเยียบ รู้สึกอึดอัดอยู่ในอกประหนึ่งกำลังจมน้ำอยู่จริง ๆ จังหวะกลองช้าลงเรื่อย ๆ ทว่าความหนักหน่วงกลับเพิ่มขึ้นราวกับโกรธแค้นชิงชัง การเคลื่อนไหวร่างกายของคนผู้นั้นดูแปลกไปจากเดิม คล้ายกำลังทุรนทุรายมากกว่าเต้นรำ บนใบหน้านั้นยังคงประดับดาด้วยรอยยิ้ม หากแต่เป็นรอยยิ้มบิดเบี้ยวและบ้าคลั่ง



    โดนหลอกใช้ โดนหลอกให้รัก




    รัก รัก รัก รัก รัก รัก




    รักมากเหลือเกิน




    แทฮยองได้ยินเสียงร้องดังแว่วมา มันกำลังกระซิบแนบชิดใบหู ทว่าตัวคนร้องกลับยืนห่างไกลออกไป นัยน์ตากลมโตเบิกกว้างยามจับจ้องภาพเบื้องหน้า ลำคอแห้งผาก และรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกโดยไร้สาเหตุ คนผู้นั้นตะกุยลำคอตนเองด้วยใบหน้าทุกข์ทรมานก่อนจะทรุดลงพื้น ตะเกียกตะกายราวกับทรมานเหลือแสน ชุดสีแดงพลิ้วไสวคล้ายอาบไปด้วยเลือดแดงฉาน ร่างนั้นเคลื่อนไหวช้าลง ช้าลง จนกระทั่งหยุดแน่นิ่ง หัวใจเขาราวกับถูกกระชากออกไปจากอก




              ข้าเรียกเจ้าว่าเจ้านกน้อย เพราะเจ้าเคยบอกว่าเจ้าจากบ้านมาไกลเหลือเกิน

                เจ้านกน้อย .. บอกข้าทีว่าเจ้าจะหวนกลับมาหรือไม่




                นัยน์ตากลมโตปวดแสบปวดร้อนทว่ากลับไม่มีอะไรไหลออกมา แทฮยองเงยหน้าขึ้นฟ้าเพื่อพยายามกอบโกยอากาศหายใจเข้าปอด เขาเห็นท้องฟ้ายามราตรีกำลังสั่นไหวรุนแรง สองขาพลันอ่อนแรง นี่มัน .. เกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา?



                ฝังข้า .. ไว้ที่นี่ .. บ้านของเรา



                ฝังข้าเอาไว้ที่นี่



              โปรดหวนกลับมา



              หวนกลับมา



              กลับมาหาข้า



              ข้าจะกลับมาหาเจ้า



              คุณชายใหญ่ขอรับ!!! ”



              เขารู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างกำลังร่วงหล่น กลีบดอกเมฮวาฟุ้งกระจายอยู่เหนือหัวประหนึ่งถูกฉีกทึ้งรุนแรงจนปลิวว่อน หูของเขาอื้ออึงไปชั่วขณะ แม้กระทั่งดวงตายังพร่าเลือนไม่อาจมองเห็นสิ่งใดชัดแจ้ง เสียงร้องตะโกนของกุงซูดังอยู่ไกลลิบ ก่อนที่จะสะดุ้งโหยงเมื่อร่างกายถูกสัมผัส



              แทฮยองกะพริบตาถี่ ๆ พลันสติเริ่มกระจ่างขึ้นมาทีละน้อยจนรู้ตัวว่าตนเองล้มหงายหลังไปในอ้อมแขนคนผู้หนึ่ง เขาเหลือบมองเห็นชายผ้าสีแดงคุ้นตา เสียงกระดิ่งเล็ก ๆ ใสกังวานดังกรุ๊งกริ๊งอยู่ใกล้หู ก่อนจะพบว่ามีนัยน์ตาเรียวคู่หนึ่งกำลังจ้องมองมาตาแทบไม่กะพริบ



              ริมฝีปากชุ่มชื้นค่อย ๆ ขยับเปล่งเสียงพูด



              คุณชายเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ?



                นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยลโฉมหน้าของนักเต้นแสนเฉิดฉายผู้นั้นได้อย่างชัดเจน






    TALK;
    inspired by IU // Flower ()

    เจอกันแล้วหลังจากลีลามาหลายตอน ; w ; มุแง้
    มีปมอะไรโผล่มาอีกแล้วน้อ แต่ส่วนมากเราแต่งไม่ซับซ้อนมากค่ะ กลัวงงเอง แอร๊

    *พันโซรี = ศิลปะการร้องเพลงพื้นบ้านของเกาหลี เป็นดนตรีและละครที่สลับกันด้วยการสนทนา การร้องเพลง และการแสดงท่าทาง มีการตีกลองประกอบ (ที่มา: เพจ ศัลยกรรมเส้นเสียง เยซอนคลินิก - Yeson Voice Center)

    #ดอกไม้สีแดงเบ่งบานยามวสันตฤดู



             
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×