คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่สี่
บทที่สี่
ชีวิตของแทฮยองนั้นแสนจะเรียบง่าย หากเทียบกับเด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว
..
ก็อาจกล่าวได้ว่าเขาช่างเป็นคนที่จืดชืดและดูเกียจคร้านราวกับแมวอ้วนในตระกูลเศรษฐีเสียนี่กระไร
ในวันหนึ่งเขาทำเพียงไม่กี่สิ่ง หากไม่หมกมุ่นอยู่แต่กับภาพวาด ก็เป็นอันต้องนอนเอกเขนกอ่านหนังสืออยู่ในห้องของตนเอง
เรื่องใด ๆ ภายนอกจวนล้วนไม่รับรู้ ทว่าหลังจากราตรีนั้น — แทฮยองกลับมีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดถึงเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง
การร่ายรำที่งดงามจนเกือบลืมหายใจ
รอยยิ้มน้อย ๆ ที่ทำให้ในอกปั่นป่วน
ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่อาจลืมเลือนได้เลยสักอย่าง
เขานั่งเหม่อลอย
ถือพู่กันค้างเอาไว้กลางอากาศทั้งอย่างนั้น
กว่าจะรู้ตัวหยดสีก็หยดลงบนกระดาษจนชุ่ม
ช่างน่าเสียดายนักที่ภาพดอกเมฮวาบานสะพรั่งในสวนไม่อาจเสร็จสมบูรณ์ได้อีกต่อไป
แทฮยองถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะวางพู่กันในมือลงที่เดิม ไม่อาจอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดวันนี้จึงได้ไม่เป็นตัวของตัวเอง
จิตใจไม่นิ่งสงบเหมือนเคย ฝ่ามือเรียวลูบอกตัวเองแผ่วเบา พยายามนั่งนิ่ง ๆ
จับจ้องดอกเมฮวาที่สั่นไหวน้อย ๆ ตามแรงลมเพื่อสงบจิตสงบใจ
หัวใจของเขาร้อนรุ่ม
นัยน์ตากลมเหลือบเห็นเชือกถักสีแดงตรงข้อมือตนโผล่ออกมาจากชายแขนเสื้อ
สีสันของมันตัดกับสิ่งอื่นที่ปรากฏในกรอบสายตา แทฮยองลูบคลึงมัน ยังคงครุ่นคิดไม่ตกเกี่ยวกับคณะละครเร่ร่อนและการแสดงของชนเผ่าที่หายสาบสูญเมื่อคืนวาน
เขาล้วงเอาถุงผ้าแพรออกมาจากอกเสื้อ ปลายนิ้วลูบไล้ตามรอยปักรูปดอกพลับพลึงด้วยแววตาสับสน
ครู่ต่อมาจึงวางมันลงบนโต๊ะ ก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมากาง และเริ่มต้นวาดรูปดอกไม้ดอกใหม่แทนที่ดอกเมฮวาที่วันนี้ดูจะจืดชืดเสียเหลือเกิน
“ ท่านพี่! ” แรงปะทะเบา
ๆ ตรงแผ่นหลังทำให้แทฮยองเกือบหน้าจุ่มลงบนกระดาษ “ ท่านวาดรูปอีกแล้วหรือ
ข้าเหงาแทบตายแต่ท่านกลับเอาแต่วาดรูป ”
เจ้ายอนจุนตัวแสบชะโงกหน้ามาดูภาพวาดของเขาก่อนจะเริ่มส่งเสียงกระเง้ากระงอด
เด็กชายกอดรัดรอบคอเขาแนบแน่น ดูท่าว่าจะตั้งใจมาก่อกวนโดยเฉพาะ
“ เอ ..
ท่านพี่วาดดอกไม้อะไรกันขอรับ แปลกตายิ่งนัก ”
“ มันเรียกว่าดอกพลับพลึง ”
เขากล่าวยิ้ม ๆ
พลางดึงร่างที่เล็กกว่ามานั่งข้างกัน
ไม่ได้เอ่ยปากห้ามปรามแต่อย่างใดเมื่อน้องชายตนหยิบกระดาษแผ่นนั้นไปถือเอาไว้ เพ่งสายตามองด้วยความสนอกสนใจ
“ เจ้าคงจะไม่เคยเห็นมาก่อนล่ะสิ
ในเมืองหลวงผู้คนไม่นิยมปลูกดอกไม้ชนิดนี้สักเท่าไหร่นักเพราะมันเป็นดอกไม้ที่มีความหมายอัปมงคล
— ดอกไม้แห่งความตาย ”
เด็กชายพลันเปลี่ยนสีหน้า
จากความสนอกสนใจกลายเป็นความหวาดผวา
ภาพวาดดอกพลับพลึงที่ยังไม่สมบูรณ์ดีถูกวางกลับที่เดิมอย่างรวดเร็ว
ยอนจุนรีบละมือราวกับกลัวว่าความโชคร้ายจะติดมาด้วยอย่างไรอย่างนั้น เขาโผเข้าหาพี่ชาย
แม้มันมีสีสันงดงามกว่าดอกเมฮวา
แต่เหตุใดพี่ชายของตนจึงต้องวาดรูปดอกไม้ที่ดูชั่วร้ายเช่นนี้ด้วย
“ ในเมื่อดอกไม้นี้ไม่มีในเมืองหลวง
แล้วท่านพี่ไปเห็นมันเมื่อใดกัน? ”
คำถามเรียบง่ายจากปากน้องชายกลับทำให้แทฮยองชะงักงันไปชั่วครู่
คล้ายกับว่าหัวถูกเคาะด้วยอะไรบางอย่าง ภายในใจไหววูบ
รู้สึกประหลาดใจเสียจนไม่อาจกักเก็บสีหน้าได้ นั่นสิ ..
เมื่อใดกันที่ตนเคยพบเห็นดอกไม้ชนิดนี้ รู้สึกคุ้นเคยกับมันประหนึ่งเคยพบเห็นมาชั่วชีวิต
ทว่าในความจริงแล้วนั้นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
แทฮยองมั่นใจว่าตนเคยเห็นมันมาก่อน
ไม่ใช่จากตำรา รูปวาด หรือลายปักบนถุงผ้าปริศนา แต่ที่ใดเล่า? ที่ใดกัน?
ในเมืองหลวงที่ตนอาศัยมาตลอดทั้งชีวิตไม่มีดอกพลับพลึงสักดอกปรากฏให้เห็น
ดอกไม้นี้ผู้คนนิยมปลูกไว้ใกล้หลุมศพเพื่อใช้ไล่สิ่งมีชีวิตอื่นไม่ให้มากัดแทะศพ
หากจะพบมันมาก่อนก็ย่อมต้องเคยเดินทางออกนอกเมือง ทว่าเมื่อใดกันที่เขาเคยออกนอกเมือง?
ไยความทรงจำเกี่ยวกับมันจึงเลือนรางนัก?
เขานึกไม่ออก
เหตุใดจึงนึกไม่ออก...?
“ ท่านพี่! ”
แทฮยองกะพริบตา
ถูกเสียงร้องเรียกฉุดออกจากภวังค์ความคิดฉับพลัน
“ ไยท่านจึงนิ่งไป
ข้าสะกิดท่านตั้งหลายหน ”
นัยน์ตากลมโตหยีลงเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าแง่งอนของน้องชายตัวแสบของตน
แม้ความคิดในหัวยังคลุมเครือและว้าวุ่นแต่สุดท้ายเขาก็เลือกจะปัดมันทิ้งไปเสีย
เขาจี้เอวเด็กชายจนอีกฝ่ายกรีดร้องด้วยความจั๊กจี้ หัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล
ก่อนการวิ่งเล่นไล่จับจะเกิดขึ้น
“ อย่าหนีซี ”
“ ช่วยด้วย ๆ ท่านพี่จะจับข้ากินแล้ว!
”
หนึ่งเด็กหนุ่ม หนึ่งเด็กชาย
คนสองคนวิ่งตึงตังตามกันไปทั่วสวน บ่าวรับใช้ที่เดินผ่านไปมาต่างพากันก้มหน้าก้มตากลั้นยิ้ม
คอยเฝ้ามองดูต้นตอเสียงหัวเราะกับความวุ่นวายเล็ก ๆ ภายในจวนตระกูลคิมอย่างปกติสุข
…
เช่นนั้นหรือ?
“ คุณชายใหญ่ คุณชายฮยองชิกกล่าวว่าราตรีนี้ไม่อาจออกมาเที่ยวเล่นกับท่านได้ขอรับ
” กุงซูแจ้งข่าวแก่ผู้เป็นนายอย่างนอบน้อม “ คุณชายฮยองชิกยังฝากกล่าวอีกว่า ..
คณะละครเร่ร่อนจะอยู่ในเมืองหลวงอีกหนึ่งเดือน
หลังจากครบกำหนดจึงจะออกเดินทางไปยังเมืองอื่นขอรับ ”
“ เช่นนั้นหรือ อา ..
ช่างน่าเสียดายจริง ๆ ”
คุณชายใหญ่แห่งจวนตระกูลคิมเพียงแค่ครางรับเบา
ๆ ในลำคอ ดูไม่ได้หงอยเหงาแต่อย่างใดแม้จะไร้เงาสหายคู่ใจออกไปเที่ยวเล่นด้วย กุงซูลอบมองใบหน้ายิ้มแย้มนั้นด้วยความรู้สึกคับข้องใจไม่น้อย
ไม่รู้ว่าคุณชายใหญ่ติดอกติดใจอันใดกับคณะละครเร่ร่อนนักหนา ครั้นพอตนเสนอตัวไปด้วยก็ถูกปฏิเสธ
ในราตรีที่จะถึงนี้ผู้เป็นนายของตนดูจดจ่อรอคอยเสียเหลือเกิน
“ คุณชายใหญ่จะไม่ให้ข้าตามไปด้วยจริง
ๆ หรือขอรับ มืดค่ำเช่นนั้น... ”
“
เหตุใดเจ้าจึงชอบทำตัวเหมือนพ่อบ้านมากขึ้นทุกวัน ”
ฝ่ามือเรียวสวยสะบัดพัดเบา ๆ ก่อนจะย่นจมูกใส่เด็กหนุ่ม “ ข้าดูแลตัวเองได้น่า
แทนที่เจ้าจะมัวมาตามติดข้า เหตุใดเจ้าไม่เอาเวลาว่างไปหัดอ่านเขียนหนังสือกันเล่า
”
“ แน่นอนว่าเรื่องของคุณชายใหญ่ย่อมสำคัญกว่าสิ่งอื่น
”
แทฮยองพ่นลมหายใจ
มองสบกับดวงตาสุกใสของเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วนึกอ่อนใจ
กุงซูเป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์หากแต่ก็สร้างความเหนื่อยหน่ายให้เขาได้ในบางครั้ง
ก็เจ้าหมอนี่น่ะ .. เชื่อฟังคำสั่งท่านพ่อกับพ่อบ้านมากกว่าตัวเขาน่ะซี
ยิ่งโตกุงซูก็ยิ่งเหมือนพ่อบ้านประจำตระกูลเข้าไปทุกวัน ทั้งเข้มงวดทั้งละเอียดอ่อน
หลายคราก็ทำให้เขารู้สึกว่าตนเป็นคุณหนูน้อยมากกว่าคุณชายใหญ่เสียอีก
“ เดี๋ยวนี้เจ้ากล้าต่อปากต่อคำกับข้าหรือ?
”
“ มิบังอาจ
คุณชายใหญ่โปรดอย่ากล่าวเช่นนั้น ”
เด็กหนุ่มแลเห็นแววตาของผู้เป็นนายพราวระยับพลันรู้สึกเหงื่อตก
ใครจะรู้ว่าคุณชายใหญ่ตระกูลคิมที่แสนสุภาพเรียบร้อยนั้นก็มีมุมดื้อรั้นจนน่าปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่เช่นกัน
และกุงซูก็เป็นหนึ่งในคนที่ต้องรับมือกับความดื้อรั้นนั้นด้วย เฮ้อ ..
ใช่ว่าตนจะอยากตามติดคุณชายใหญ่เสียเมื่อไหร่ แต่
เขาหากเชื่อฟังพ่อบ้านก็ย่อมโดนคุณชายใหญ่กลั่นแกล้ง
หากเชื่อฟังคุณชายใหญ่ก็ย่อมโดนพ่อบ้านจับเขกหัวไม่ต่างกัน
แบบนี้เรียกว่ามืดแปดด้านได้หรือไม่หนอ?
“ ในเมืองหลวงแห่งนี้ใคร ๆ
ต่างก็รู้จักท่านพ่อ ในเมื่อรู้จักท่านพ่อก็ย่อมต้องรู้จักข้า
เป็นเช่นนี้เจ้ายังคิดว่าข้าจะมีอันตรายอีกหรืออย่างไรกัน? ”
“ การไม่ประมาทย่อมดีที่สุดขอรับ ”
กุงซูเอ่ยอย่างนุ่มนวล
ไม่อาจกล่าวได้เต็มปากว่าใบหน้างาม ๆ ของคุณชายใหญ่นั้นเป็นที่หมายตาของผู้คนไม่ใช่น้อย
ๆ หากว่ามีเพียง ‘คุณหนูน้อย’ ถูกตาต้องใจผู้เป็นนายตนคงไม่กังวลใจหรอก เพียงแต่มันไม่ได้มีเพียงแค่ ‘คุณหนูน้อย’ น่ะซี เป็นเช่นนี้แล้วจะให้เขาวางใจยอมปล่อยอีกฝ่ายออกไปเตร็ดเตร่ยามราตรีตามลำพังได้อย่างไรกันเล่า
“ โปรดให้ข้าติดตามท่านไปด้วยเถิดขอรับ
”
คุณชายใหญ่ถอนหายใจอีกครา
นัยน์ตากลมโตหรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับแกน ๆ
ด้วยเหตุนี้แทฮยองจึงมีกุงซูคอยเดินตามประกบอยู่ไม่ห่าง
แม้อีกฝ่ายจะพยายามสวมบทบาทเป็นพ่อบ้านผู้เข้มงวดและละเอียดอ่อนเช่นไร ..
สุดท้ายก็ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มผู้หนึ่งเท่านั้น ตลอดทางกุงซูดูตื่นเต้นกับความมีชีวิตชีวารอบตัวไม่น้อย
เขาซื้อขนมหวานแล้วยัดใส่มือกุงซูเอาดื้อ ๆ
คราแรกอีกฝ่ายทำท่าจะปฏิเสธแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจขัดใจเขาได้ แทฮยองยกยิ้มขบขัน
กุงซูหนอกุงซู ปากบอกเกรงใจ แต่ยัดขนมจนเต็มสองแก้มเช่นนั้นคืออะไรกัน
ถนนเส้นนี้คึกคักไปด้วยผู้คนเดินขวักไขว่
โคมไฟหลากหลายลวดลายและสีสันประดับประดาเต็มสองข้างทาง
เนื่องจากยังพอมีเวลาอยู่บ้างก่อนที่คณะละครเร่ร่อนจะเริ่มเปิดการแสดง
สองนายบ่าวจึงพากันเดินเที่ยวเตร็ดเตร่ชมบรรยากาศโดยรอบอย่างสำราญใจ
แต่ดูเหมือนจะว่าสำราญใจมากไปเสียหน่อย —
แทฮยองจึงได้เดินชนคนผู้หนึ่งเข้าอย่างจัง
“ คุณชายใหญ่!
”
เสียงอุทานของกุงซูดังขึ้นทันที
ใบหน้าเด็กหนุ่มร้อนรนราวกับเขาเพิ่งโดนรถม้าเฉี่ยวหาใช่เดินชนกับคน
ต้นแขนของเขาถูกจับเอาไว้ก่อนจะทันได้ล้มหงายไปกับพื้น
นัยน์ตากลมโตมองสำรวจตั้งแต่ฝ่ามือขาวจัดไปจนถึงใบหน้างดงามหมดจด
แฝงไปด้วยความสุภาพนุ่มนวลอยู่หลายส่วน
คนที่ตนเพิ่งจะเดินชนแต่งกายไม่ต่างจากคุณชายจากตระกูลมั่งคั่งทั่วไป ซ้ำยังดูโตกว่าเขาอยู่หลายปี
“ คุณชายได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?
”
“ ไม่ขอรับ ” แทฮยองอ้ำอึ้งไปเล็กน้อย พอตั้งตัวได้จึงรีบกล่าวขอโทษ “ ขออภัยคุณชาย
เป็นความเลินเล่อของข้าเองที่เดินไม่ดูทางจนทำให้ท่านต้องเดือดร้อน ”
“ มันเป็นอุบัติเหตุ แน่นอนว่าข้าย่อมไม่โกรธเคืองท่าน
”
อีกฝ่ายแย้มยิ้ม ท่าทางแจ่มใส ดูไม่ได้ถือสาหาความที่ตนเป็นฝ่ายถูกเดินชนแต่อย่างใด
กุงซูลอบมองชายแปลกหน้าอย่างระแวดระวัง
คุณชายผู้นี้ดูเหมือนบัณฑิตหนุ่มที่พบได้ทั่วไปในเมืองหลวง
ทว่ากลับมีอะไรบางอย่างที่ให้ความรู้สึกแตกต่างอย่างสิ้นเชิง อีกฝ่ายผละมือออกจากคุณชายใหญ่ของตนอย่างสุภาพ
ปราศจากท่าทีคุกคาม
“ ที่นี่คนพลุกพล่านยิ่งนัก
ไม่ทราบว่ามีงานเทศกาลอะไรกันหรือ? ”
แทฮยองพลันกระจ่างขึ้นมาทันทีว่าชายผู้นี้คงจะไม่ใช่คนที่นี่
“ ราตรีนี้มีคณะละครเร่ร่อนมาเปิดแสดงน่ะขอรับ
มีการแสดงหนึ่งงดงามตระการตามากทีเดียว ” เขากล่าวอย่างนุ่มนวล
“ ไม่ทราบว่า .. คุณชายมาจากที่อื่นหรือขอรับ? ”
“ โอ้ ใช่ ถึงกับมองออกเชียวหรือ
”
คุณชายผู้นั้นหัวเราะเบา
ๆ บรรยากาศระหว่างพวกเขาผ่อนคลายขึ้นมาหลายส่วน
“ ...เคยเป็นน่ะ
” อีกฝ่ายกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ แต่ก็มีเหตุให้ต้องหวนกลับมาที่นี่อีกจนได้
บ้านเรือนล้วนเปลี่ยนแปลงไปเกือบหมด อะไรที่คุ้นเคยก็ไม่คุ้นเคยเสียแล้ว ”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ชายแปลกหน้าเงียบลงไปชั่วครู่ เนื่องจากอีกฝ่ายกำลังกวาดสายตามองไปรอบ ๆ
ตัว แทฮยองชั่งใจว่าควรจะเอ่ยปากชวนอีกฝ่ายไปดูการแสดงด้วยกันดีหรือไม่
หากปล่อยให้คุณชายต่างถิ่นผู้นี้เตร็ดเตร่ตามลำพังในเมืองหลวง
เห็นทีคงจะเป็นค่ำคืนที่เหงาหงอยไม่น้อย เขาก้มมองชายแขนเสื้อของตนถูกกระตุกหลายครา
แววตากุงซูคล้ายจะบอกว่า ‘อย่าเชียวนะขอรับ!’ แต่ทว่ายังไม่ทันขยับตัวทำสิ่งใดชายแปลกหน้ากลับหันกลับมาส่งยิ้มอีกครั้ง
“ รบกวนเวลาคุณชายมากแล้ว
หากมีวาสนาเราคงได้พบพานกันอีก ”
ว่าแล้วคุณชายผู้นั้นก็เดินจากไปอย่างง่ายดาย
กุงซูถอนหายใจเล็กน้อย รู้สึกเหมือนชีวิตสั้นลงไปอีกหลายปีทีเดียวเชียว
แม้คุณชายผู้นั้นจะไม่ได้มีท่าทีเป็นอันตราย
แต่เด็กหนุ่มก็ไม่นึกไว้ใจแววตาที่ฉายประกายแปลกประหลาดยามจับจ้องคุณชายใหญ่ของตนเอาเสียเลย
“ พวกเรารีบไปกันเถิด
”
“ ขอรับคุณชายใหญ่ ”
ราตรีนี้ยังคงมีผู้คนเบียดเสียดเพื่อรอชมการแสดงของคณะละครเร่ร่อนไม่ต่างจากคืนวาน
การแสดงครึ่งแรกเป็นการแสดงศิลปะพื้นบ้านทั่วไป เช่น ละครใบ้ และระบำหน้ากาก แทฮยองชื่นชมการแสดงเหล่านั้นด้วยความเพลิดเพลิน
คาดว่าคณะละครเร่ร่อนคงจะรวบรวมสมาชิกมาจากหลาย ๆ ชนเผ่าเป็นแน่ การแสดงต่าง ๆ ล้วนไม่ซ้ำซาก
ช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาและหลากหลายเป็นอย่างยิ่ง
กุงซูลอบมองเสี้ยวใบหน้าของผู้เป็นนาย
อดสงสัยไม่ได้ว่านี่คือสิ่งที่ทำให้คุณชายใหญ่รีบร้อนออกจากจวนตระกูลคิมเช่นนั้นหรือ?
การแสดงตรงหน้างดงามและชวนเพลิดเพลินดีอยู่หรอก แต่ตนก็ไม่เห็นว่ามันจะมีสิ่งใดไปมากกว่านั้นเลยนี่?
“ คุณชายใหญ่...
” หลังจากทะเลาะตบตีกับตนเองด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง
สุดท้ายแล้วเด็กหนุ่มจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม “ นี่คือการแสดงที่ท่านกล่าวถึงหรือขอรับ?
”
“ มิใช่
ถ้าหากเจ้าอดทนรอให้นานกว่านี้เจ้าก็จะได้เห็นเอง ”
คุณชายใหญ่ผินใบหน้ามาทางเขาเพียงเล็กน้อย
ทว่าสายตายังคงจับจ้องไปยังการแสดงเบื้องหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ กุงซูได้ยินเช่นนั้นก็ย่นคอ
แม้น้ำเสียงผู้เป็นนายจะไร้ซึ่งอารมณ์ขุ่นมัว แต่ทำไมตนจะไม่รู้ว่ามันมีความหมายแอบแฝงว่า
‘หุบปาก แล้วจงดูเอาเองซี!’
หลังจากการแสดงพื้นบ้านจบลงไป
.. ก็เป็นตาของการแสดงที่ทุกคนต่างเฝ้ารอคอย แรกเริ่มนั้นการแสดงเริ่มต้นด้วยการขับร้อง*พันโซรีที่กล่าวถึงเรื่องราวความรักและโศกนาฏกรรมของคนคู่หนึ่ง
ความรักต่างชนชั้นขององค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรชิลลากับเด็กหนุ่มรูปงามที่เป็นเพียงชาวชนเผ่าห่างไกลความเจริญ
เด็กหนุ่มผู้อ่อนเดียงสาไม่รู้แม้แต่น้อยว่าชายคนรักของตนมีต้นกำเนิดสูงส่งจนมิอาจเอื้อม
ยามแรกรักช่างหวานชื่น กลืนน้ำลายลงคอยังละเมอเพ้อพกว่าหวานล้ำเสียยิ่งกว่าน้ำหวานจากเกสรดอกไม้
แต่ทว่าความสุขย่อมไม่ยาวนานดั่งใจหวัง...
หัวใจแทฮยองเต้นระส่ำระส่ายเมื่อเห็นเท้าเปลือยเปล่าของใครคนหนึ่งค่อย
ๆ ก้าวออกมาจากเงามืด สวมเสื้อผ้าสีแดงตั้งแต่หัวจรดเท้าดูโดดเด่นสะดุดตาท่ามกลางผู้คนแออัด
นิ้วมือเริ่มกรีดกรายในอากาศ ก่อนร่างกายเพรียวบางนั้นจะโยกย้ายไปตามจังหวะดนตรีหนักแน่นที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสดใสมีชีวิตชีวา
เสียงขลุ่ยดังกังวานทำให้บรรยากาศโดยรอบนุ่มละมุน ริมฝีปากนั้นแย้มยิ้มน้อย ๆ คล้ายเอียงอาย
ไร้เดียงสาเสียจนคนมองหัวใจสั่นไหว
ราตรีหนึ่งเด็กหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นมาตามลำพังบนเตียงนอน
ได้กลิ่นไหม้และกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งชวนคลื่นเหียน
ข้างนอกบ้านตนแว่วเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดหวั่นและทุกข์ทรมาน เด็กหนุ่มจึงรีบร้อนวิ่งออกไปเพื่อพบว่าหมู่บ้านของตนถูกเผาจนวอดวาย
ท่ามกลางความมืดมิดนั้นเขาเห็นชายคนรักที่ร่วมเรียงเคียงหมอนมาแรมปียืนตระหง่าน ทหารมากมายยืนรุมล้อม
พลันได้ยินเสียงเรียก ‘องค์รัชทายาท’ กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินไปเสียแล้ว...
ท่วงทำนองสดใสมีชีวิตชีวาพลันถูกแปรเปลี่ยนไปอีกขั้วอารมณ์หนึ่งโดยไม่ทันตั้งตัว
ทุกคนคล้ายถูกกระชากลงแม่น้ำที่เย็นเยียบ
รู้สึกอึดอัดอยู่ในอกประหนึ่งกำลังจมน้ำอยู่จริง ๆ จังหวะกลองช้าลงเรื่อย ๆ ทว่าความหนักหน่วงกลับเพิ่มขึ้นราวกับโกรธแค้นชิงชัง
การเคลื่อนไหวร่างกายของคนผู้นั้นดูแปลกไปจากเดิม คล้ายกำลังทุรนทุรายมากกว่าเต้นรำ
บนใบหน้านั้นยังคงประดับดาด้วยรอยยิ้ม หากแต่เป็นรอยยิ้มบิดเบี้ยวและบ้าคลั่ง
โดนหลอกใช้ โดนหลอกให้รัก
รัก รัก รัก รัก รัก รัก
รักมากเหลือเกิน
แทฮยองได้ยินเสียงร้องดังแว่วมา มันกำลังกระซิบแนบชิดใบหู
ทว่าตัวคนร้องกลับยืนห่างไกลออกไป นัยน์ตากลมโตเบิกกว้างยามจับจ้องภาพเบื้องหน้า
ลำคอแห้งผาก และรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกโดยไร้สาเหตุ คนผู้นั้นตะกุยลำคอตนเองด้วยใบหน้าทุกข์ทรมานก่อนจะทรุดลงพื้น
ตะเกียกตะกายราวกับทรมานเหลือแสน ชุดสีแดงพลิ้วไสวคล้ายอาบไปด้วยเลือดแดงฉาน
ร่างนั้นเคลื่อนไหวช้าลง ช้าลง จนกระทั่งหยุดแน่นิ่ง หัวใจเขาราวกับถูกกระชากออกไปจากอก
‘ ข้าเรียกเจ้าว่าเจ้านกน้อย
เพราะเจ้าเคยบอกว่าเจ้าจากบ้านมาไกลเหลือเกิน ’
‘ เจ้านกน้อย ..
บอกข้าทีว่าเจ้าจะหวนกลับมาหรือไม่ ’
นัยน์ตากลมโตปวดแสบปวดร้อนทว่ากลับไม่มีอะไรไหลออกมา
แทฮยองเงยหน้าขึ้นฟ้าเพื่อพยายามกอบโกยอากาศหายใจเข้าปอด
เขาเห็นท้องฟ้ายามราตรีกำลังสั่นไหวรุนแรง สองขาพลันอ่อนแรง นี่มัน .. เกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา?
‘ ฝังข้า .. ไว้ที่นี่
.. บ้านของเรา ’
ฝังข้าเอาไว้ที่นี่
‘ โปรดหวนกลับมา
’
หวนกลับมา
‘ กลับมาหาข้า
’
ข้าจะกลับมาหาเจ้า
“ คุณชายใหญ่ขอรับ!!! ”
เขารู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างกำลังร่วงหล่น
กลีบดอกเมฮวาฟุ้งกระจายอยู่เหนือหัวประหนึ่งถูกฉีกทึ้งรุนแรงจนปลิวว่อน
หูของเขาอื้ออึงไปชั่วขณะ แม้กระทั่งดวงตายังพร่าเลือนไม่อาจมองเห็นสิ่งใดชัดแจ้ง
เสียงร้องตะโกนของกุงซูดังอยู่ไกลลิบ ก่อนที่จะสะดุ้งโหยงเมื่อร่างกายถูกสัมผัส
แทฮยองกะพริบตาถี่ ๆ พลันสติเริ่มกระจ่างขึ้นมาทีละน้อยจนรู้ตัวว่าตนเองล้มหงายหลังไปในอ้อมแขนคนผู้หนึ่ง
เขาเหลือบมองเห็นชายผ้าสีแดงคุ้นตา เสียงกระดิ่งเล็ก ๆ
ใสกังวานดังกรุ๊งกริ๊งอยู่ใกล้หู
ก่อนจะพบว่ามีนัยน์ตาเรียวคู่หนึ่งกำลังจ้องมองมาตาแทบไม่กะพริบ
ริมฝีปากชุ่มชื้นค่อย ๆ
ขยับเปล่งเสียงพูด
“ คุณชายเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ?
”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยลโฉมหน้าของนักเต้นแสนเฉิดฉายผู้นั้นได้อย่างชัดเจน
เจอกันแล้วหลังจากลีลามาหลายตอน ; w ; มุแง้
มีปมอะไรโผล่มาอีกแล้วน้อ แต่ส่วนมากเราแต่งไม่ซับซ้อนมากค่ะ กลัวงงเอง แอร๊
#ดอกไม้สีแดงเบ่งบานยามวสันตฤดู
ความคิดเห็น