คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่สาม
บทที่สาม
สองสามวันมานี้บ่าวรับใช้จวนตระกูลคิมกำลังตระเตรียมข้าวของสำหรับงานเลี้ยงวันเกิดของคุณชายใหญ่อย่างขยันขันแข็ง
แม้จะไม่ใช่งานเลี้ยงที่เอิกเกริกแต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความใส่ใจและพิถีพิถันเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากการเฉลิมฉลองเล็ก ๆ อย่างเช่นการร่วมมื้ออาหาร
นายหญิงกับคุณชายใหญ่ยังต้องการนำอาหารที่ตระเตรียมไปแจกจ่ายให้แก่ผู้ยากไร้อีกด้วย
ตระกูลคิมเป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คนในเมืองหลวงมานาน
ท่านเสนาบดีคิมเป็นขุนนางที่เก่งกาจ
อีกทั้งยังสร้างผลงานมากมายจนกลายเป็นที่โปรดปรานของพระราชา
ส่วนผู้เป็นภรรยาก็เป็นถึงคุณหนูจากตระกูลใหญ่ นางมักช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากด้วยการแจกจ่ายอาหารมานานหลายปี
แม้แต่คุณชายใหญ่กับคุณชายเล็กก็ยังเป็นที่รู้จักกว้างขวางในบรรดาลูกหลานขุนนางทั้งระดับต่ำไปจนถึงระดับสูง
เนื่องจากความเป็นมิตรและความไม่ถือตัว
นับเป็นครอบครัวที่มีแต่ผู้คนรักและนิยมชมชอบโดยแท้
แม้จะยังไม่ถึงวันเกิดของคุณชายใหญ่ตระกูลคิมทว่ากลับมีข้าวของมากมายถูกนำมามอบให้ถึงหน้าจวน
ช่างเป็นสองสามวันที่วุ่นวายไปด้วยผู้คนที่แวะมาเยี่ยมเยือนและอวยพร ใคร ๆ
ต่างก็รู้ว่าตระกูลคิมค่อนข้างรักษาความเป็นส่วนตัวอย่างยิ่ง
อาจเพราะสมัยก่อนคุณชายใหญ่สุขภาพอ่อนแอ
แม้ทุกวันนี้ผู้คนจะเห็นอีกฝ่ายเที่ยวเล่นไปทั่วเมืองแต่การใช้ชีวิตของจวนตระกูลคิมก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
“ ข้าวของมากมายเช่นนี้ข้าจะใช้หมดได้อย่างไรกัน
”
แทฮยองพึมพำกับตนเองพร้อมกับแสดงสีหน้าลำบากใจ
มองดูของขวัญมากมายที่ถูกส่งมาแล้วรู้สึกหนักใจอย่างไรชอบกล
เขาต้องใช้เวลาหลายชั่วยามในการนั่งคัดแยกสิ่งของเหล่านั้น
สิ่งใดเก็บเอาไว้กับตนได้ก็เก็บ สิ่งใดสามารถแจกจ่ายให้บ่าวในจวนได้ก็แจกจ่ายไปเสีย
หลังจากนั้นเขาจึงนำหมึก พู่กัน และกระดาษอย่างดีออกมาเพื่อเขียนคำขอบคุณ
ก่อนจะกำชับให้บ่าวคนหนึ่งนำจดหมายของตนไปส่งตามจวนตระกูลต่าง ๆ ให้ครบถ้วน
“ หืม? ”
เขาหยิบสิ่งหนึ่งขึ้นมาดูอย่างสนอกสนใจ
ท่ามกลางของขวัญมีราคามากมายที่กองพะเนิน ..
แทฮยองเหลือบไปเห็นถุงผ้าแพรสีดำตกอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล พอ กุงซู บ่าวรับใช้คนสนิทของคุณชายใหญ่สังเกตเห็นว่าผู้เป็นนายกำลังจับจ้องของชิ้นนั้นจึงรีบหยิบมันขึ้นมา
และส่งให้ถึงมืออย่างนอบน้อม
“ สิ่งนี้ผู้ใดให้มาหรือ? ”
ถุงผ้าแพรเรียบ ๆ นั้นปักด้วยลวดลายดอกไม้สีแดง
ประณีตและแปลกตายิ่งนัก
“ ขออภัยขอรับคุณชายใหญ่... ”
เด็กหนุ่มจ้องถุงผ้าในมือเขาอยู่ชั่วครู่
หัวคิ้วขมวดมุ่นคล้ายกำลังคิดไม่ตก “
ข้าน้อยเองก็เพิ่งเคยเห็นของสิ่งนี้ขอรับ ”
กุงซูจับจ้องถุงผ้าปริศนาไม่วางตา
รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมาเสียดื้อ ๆ แม้ว่าตนจะไม่ได้มีการศึกษาอะไรมากมายหากแต่ความทรงจำนั้นเป็นเลิศ
เขาเป็นคนรับของขวัญทุกชิ้นเองกับมือ
อีกทั้งยังจดจำใบหน้ากับชื่อของผู้ส่งได้หมดทุกคนไม่มีตกหล่นอย่างแน่นอน
เขาจำได้ว่าของขวัญทุกชิ้นหากไม่ถูกห่อด้วยผ้าก็เป็นกล่องไม้ — แต่ของชิ้นนี้มันอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?
“ ส่งมันมาให้ข้าเถิดขอรับ ”
เด็กหนุ่มรีบบอกนายของตนด้วยเกรงว่าผู้ที่ส่งของสิ่งนี้มาอาจจะไม่ประสงค์ดี
ไหนจะดอกไม้ที่ปักอยู่บนถุงผ้านั้นมันเป็นดอกไม้อัปมงคล คนดี ๆ
ที่ไหนจะนำของเช่นนี้มามอบเป็นของขวัญวันเกิดให้ผู้อื่นกัน
“ เจ้ากังวลเกินไปแล้วกุงซู ไม่เป็นไร
.. ขอข้าดูของที่อยู่ด้านในก่อนก็แล้วกัน ”
แทฮยองหัวเราะน้อย ๆ
เมื่อเห็นท่าทีแตกตื่นของบ่าวรับใช้ เขาไม่ได้ส่งมันให้อีกฝ่ายซ้ำยังเปิดถุงนั้นออก
เมื่อถุงผ้าแพรถูกเปิดกลับมีกลิ่นหอมเจือจางคล้ายกำยานอะไรสักอย่าง เขามองบ่าวรับใช้ของตนกำลังเบิกตาจ้องมองสิ่งที่อยู่ในมือตาแทบไม่กะพริบ
ราวกับกลัวว่าจะมีอะไรสักอย่างกระโจนออกมา ก่อนเขาจะได้หยิบบางสิ่งออกมาดู
“ เจ้าดูนี่สิกุงซู
มันเป็นแค่สร้อยข้อมือเท่านั้นเอง ”
สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในถุงผ้าเป็นเพียงสร้อยข้อมือที่ทำมาจากเชือกถักสีแดงเท่านั้น
แทฮยองลูบนิ้วไปตามเส้นเชือกด้วยความแปลกประหลาดใจ มันเป็นแค่เชือกธรรมดา ๆ
หาได้มีสิ่งใดน่าสนใจแม้แต่น้อย ถึงกระนั้นแล้วสีแดงสดของมันกลับโดดเด่นสะดุดตา
ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกถูกใจ เขาจึงสวมมันบนข้อมือตน
แล้วเก็บถุงผ้าปักลายดอกไม้นั้นเอาไว้ในอกเสื้อ
“ อย่าใส่มันเลยขอรับคุณชาย ”
“ ข้าชอบมัน ”
ได้ยินเช่นนั้นผู้เป็นบ่าวก็ไม่อาจเอ่ยอะไรได้อีก
ผู้เป็นนายเห็นดังนั้นจึงระบายยิ้ม
“ เจ้าอย่าได้กังวลไปเลยน่ากุงซู ”
“ ขออภัยขอรับ
ข้าน้อยเพียงแต่เป็นห่วงความปลอดภัยของท่าน ”
“ ข้ารู้
หากแต่มันไม่มีสิ่งใดที่เจ้าจะต้องกังวลเลยแม้แต่น้อย เข้าใจหรือไม่? ”
“ …ขอรับคุณชาย ”
“ อ้อ จริงสิ ” จดหมายแผ่นหนึ่งถูกเลื่อนมาตรงหน้าเด็กหนุ่ม “ เจ้าจงนำจดหมายนี้ไปมอบให้คุณชายฮยองชิกเสีย
บอกเขาว่าราตรีนี้ข้าจะไปตามนัดแน่นอน ”
แม้จะกล่าวว่าเป็นงานเฉลิมฉลองให้แก่คุณชายใหญ่
.. หากแต่ความเป็นจริงแล้วค่ำวันนี้กลับไม่ได้แตกต่างไปจากการรับประทานอาหารร่วมกันในอีกวันหนึ่ง
ยกเว้นเสียแต่อาหารมื้อนี้กลับมีสุราดอกไม้หมักอย่างดีเพิ่มมา
แทฮยองที่เพิ่งได้ลิ้มรสของสุราครั้งแรกพลันเบิกตาโตเล็กน้อย ใบหน้าอุ่นซ่าน
สุราดอกไม้มีรสชาตินุ่มละมุนลิ้น หากแต่เมื่อกลืนลงคอจะรู้สึกร้อนวูบวาบช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่ยิ่งนัก
ดังนั้นเขาจึงอยู่ในอารมณ์รื่นเริงมากเป็นพิเศษ
ของขวัญจากท่านพ่อเป็นพัดที่สั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษ
เขาหยิบพัดราคาแพงมาจากกล่องไม้ ก่อนจะค่อย ๆ
คลี่มันออกเพื่อชื่นชมภาพวาดทัศนียภาพอันงดงามซึ่งมีตัวอักษรตวัดเขียนด้วยพู่กันที่หนักแน่นและเป็นระเบียบของท่านพ่อ
หลังจากชื่นชมพัดจนพอใจแล้วเขาจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกเมฮวาฝีมือท่านแม่ขึ้นมาสูดดม
กลิ่นหอม ๆ ดอกเมฮวายังคงกรุ่นอยู่บนผืนผ้า
เขาพับผ้าเช็ดหน้าเก็บเอาไว้ในอกเสื้อของตน และของขวัญอีกชิ้นคือสร้อยข้อมือที่ทำมาจากหินสีหายากของเจ้าน้องชายตัวแสบ
“ นี่เจ้ามีเงินซื้อของแพง ๆ
เช่นนี้ด้วยหรือ? ”
“ ข้าก็เก็บหอมรอมริบเอาน่ะสิท่านพี่!
” น้องชายที่อายุห่างกันถึงหกปียืดอกขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
อธิบายสรรพคุณของของขวัญของตนเองประหนึ่งเป็นพ่อค้าเสียเอง “ หินสีเช่นนี้คนยื้อแย่งกันแทบตายท่านรู้หรือไม่ คนขายบอกข้าว่ามันจะช่วยปกป้องจากสิ่งชั่วร้าย
โชคดีที่ข้าไปทันจับจองเส้นสุดท้ายพอดิบพอดี เป็นอย่างไรเล่าท่านพี่ ..
ข้าเป็นน้องชายที่ดีใช่หรือไม่? ”
คนอื่น ๆ พากันหัวเราะชอบใจในความช่างพูดช่างคุยนั้น
แทฮยองยื่นมือไปลูบเส้นผมของน้องชายเบา ๆ ด้วยความเอ็นดูระคนมันเขี้ยว ก่อนจะรับสร้อยข้อมือเส้นนั้นมาสวมคู่กับเชือกถักสีแดงพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า
วันเกิดของเขาก็ผ่านไปเช่นนี้
“ พ่อกับแม่ไม่ได้หวังอะไรไปมากกว่าการขอให้เจ้ามีชีวิตที่ดี
”
แทฮยองยิ้มรับ
เขาดึงฝ่ามือของท่านพ่อและท่านแม่มากอบกุมเอาไว้ บีบกระชับเบา ๆ
“ ขอบคุณท่านพ่อและท่านแม่
หากไม่มีพวกท่านข้าก็คงไม่มีวันนี้ ”
“ แล้วข้าล่ะ? ”
ยอนจุนกระตุกแขนเสื้อเขายิก ๆ
ใบหน้าบูดบึ้งด้วยความไม่พอใจ
“ ขอบคุณเจ้าเหมือนกันนะเจ้าตัวแสบ ”
“ ข้าไม่ใช่เจ้าตัวแสบเสียหน่อย!
”
อาหารที่เหลือถูกบ่าวรับใช้ยกออกไปแล้ว
เหลือทิ้งไว้เพียงสุราดอกไม้กับขนมหวานสามสี่อย่างบนโต๊ะ พวกเขาสี่คนพ่อแม่ลูกร่วมใช้เวลาที่มีอยู่เพื่อพูดคุยกัน
เนื่องจากท่านพ่อมีงานรออยู่อีกมากจึงมักไม่ค่อยมีเวลาให้พวกเขามากมายนัก ดังนั้นช่วงเวลาเช่นนี้จึงมีค่ายิ่งกว่าทอง
“ ว่าแต่เจ้าให้กุงซูไปที่ใดมาหรือ? ”
“ ข้าให้กุงซูไปแจ้งการนัดหมายแทนข้ากับฮยองชิกขอรับ
” แทฮยองรินเหล้าให้ท่านพ่ออีกจอกหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยสำทับว่า “
เห็นว่าราตรีนี้จะมีคณะละครเร่ร่อนมาทำการแสดง น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
”
“ เช่นนั้นก็ให้กุงซูไปกับเจ้า ”
“ โธ่ ท่านพ่อ อย่าได้เป็นกังวลไปเลยขอรับ
ข้าไปเที่ยวตามลำพังเสียเมื่อไหร่ อีกอย่างราตรีนี้คนพลุกพล่านทั่วเมือง
ไม่มีสิ่งใดอันตรายหรอกขอรับ ”
ผู้เป็นบิดาเงียบไปชั่วครู่ขณะที่ในมือหมุนจอกเล็ก
ๆ ไปมา ดวงตาคมกริบเหลือบมองตนอยู่หลายอึดใจกว่าจะยกจอกนั้นขึ้นดื่มจนหมด แล้วกล่าวว่า
“ เช่นนั้นก็อย่าได้เหลวไหล ”
ราตรีนี้ผู้คนพลุกพล่านอย่างที่กล่าวไว้ไม่มีผิดจริง
ๆ เสียด้วย .. สองข้างถนนประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสีชวนตื่นตาตื่นใจ
ร้านรวงมากมายช่างครึกครื้น พวกเขาสองคนได้กลิ่นหอมของอาหารและขนมหวานตลอดทาง
ไหนจะกลิ่นดอกไม้ยามสายลมพัดผ่านมาอีกเล่า แทฮยองเดินเคียงคู่ไปตามท้องถนนกับสหายคนสนิท
จิตใจจดจ่ออยู่กับการแสดงที่กำลังจะเกิดขึ้นมากกว่าสิ่งใด
ขณะที่กำลังเดินเหม่อลอยนั้น จู่ ๆ
ฝ่ามือของฮยองชิกกลับแปะลงมาบนแก้มทั้งสองข้างของเขา บังคับให้หันไปทางตนเอง
อีกทั้งยังพลิกใบหน้าเขาไปมาจนเวียนหัวอีกต่างหาก
“ เหตุใดแก้มเจ้าจึงแดงเช่นนี้? ”
“ เอามือของเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้เลย ”
เขาร้อง “ ข้าเพิ่งดื่มฉลองวันเกิดกับท่านพ่อมาอย่างไรเล่า
”
“ อ้อ... ”
เมื่อหายสงสัยอีกฝ่ายก็ไม่ได้ใส่ใจแก้มแดง
ๆ ของเขาอีก
“ จริง ๆ ข้านึกว่าเจ้าจะผิดนัดเสียแล้วเชียว
ทำไมถึงได้ชักช้านัก ”
“ นั่นเป็นเพราะเจ้ารีบร้อนเกินไปต่างหาก
”
“ หนอย เกินไปแล้วนะเจ้าน่ะ! ”
ฮยองชิกเริ่มบ่นกะปอดกะแปด ช่างเป็นคุณชายที่จู้จี้จริง
ๆ เลยเชียว แทฮยองล้วงเอาพัดที่เพิ่งได้มาจากท่านพ่อออกมาจากแขนเสื้อ เคาะมันลงบนช่วงอกสหายคนสนิทของตนเองสองสามทีก่อนจะคลี่ยิ้มน้อย
ๆ อย่างไม่คิดแยแสเสียงกร่นด่านั้น
“ อย่ามัวแต่พูดมากซี
หากข้าพลาดการแสดงข้าจะโทษเจ้า ”
“ เฮอะ ” อีกฝ่ายเบ้ปาก
“ เช่นนั้นก็รีบเร่งเท้าของเจ้าเสีย! ”
พวกเขาใช้เวลาเดินเท้าไม่นานนักก็มาถึงลานกว้างกลางตลาด
แม้จะรีบรุดมาแต่พื้นที่ว่างกลับถูกจับจองไปจนเกือบหมดแล้ว การแสดงพิเศษของคณะละครเร่ร่อนดูจะเป็นที่เลื่องลือไม่น้อยจึงได้มีผู้คนมากมายเบียดเสียดกันอยู่
ณ ที่นี่ นัยน์ตากลมโตกวาดมองไปรอบตัว
พบว่ามีทั้งคนที่อยู่ในเมืองหลวงและคนที่น่าจะเดินทางมาจากเมืองอื่นปะปนกัน
ดูเหมือนว่าสิ่งที่ฮยองชิกกล่าวคงไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใด
“ ผู้คนมากมายเช่นนี้พวกเราจะมองเห็นการแสดงหรือ
”
“ ดูเหมือนตรงนั้นจะไม่มีใคร ”
พวกเขาพยายามเบียดฝูงชนเข้าไปอยู่ใกล้
ๆ แต่กลับล้มเหลว แต่โชคดีที่แทฮยองบังเอิญเห็นมุมอับสายตาคนมุมหนึ่งอยู่ไม่ไกลจึงได้สะกิดให้สหายมองตาม
พวกเขาสบตากันเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนที่ปักหลักในการรอชมการแสดงอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้มีใครตามมาเบียดเสียดด้วย
“ ข้ารู้ว่าราตรีนี้พวกท่านทั้งหลายกำลังเฝ้ารอคอยสิ่งใด
”
ชายสวมหน้ากากผู้หนึ่งเดินออกมาโค้งคำนับผู้ชม
ทันใดนั้นเสียงพูดคุยเซ็งแซ่พลันเงียบลง
“ พวกท่านเคยได้ยินเรื่องเล่าของ ชนเผ่านอกด่าน
ที่สาบสูญไปตั้งแต่หลายร้อยปีก่อนในสมัยอาณาจักรชิลลาหรือไม่? ”
พัดในมือของเขาหยุดชะงัก แทฮยองจับจ้องไปยังชายสวมหน้ากากผู้นั้นด้วยความสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง
ชายผู้นั้นกำลังกล่าวถึงสิ่งใดกัน?
เรื่องเล่าเช่นนี้ตั้งแต่ลืมตาดูโลกเขาไม่เคยได้เรียนหรือแม้แต่ได้ยินใครพูดถึงมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
“ ชนเผ่านอกด่านที่สาบสูญเช่นนั้นหรือ?
” เขาเอ่ยทวนคำพูดของชายผู้นั้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “
เรื่องเล่าเช่นนี้ข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับมันมาก่อน ”
“ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เจ้าไม่เคยได้ยิน
เรื่องมันเกิดตั้งแต่หลายร้อยปีที่แล้ว จะมีสิ่งใดหลงเหลือให้ศึกษานอกเสียจากเรื่องเล่าที่ถูกแต่งเติมเป็นเสียส่วนใหญ่
”
“ เจ้าจะบอกว่าสิ่งที่ชายสวมหน้ากากกล่าวเป็นเรื่องแต่งเติม?
”
“ ข้าคิดว่าเป็นเช่นนั้น ” ฮยองชิกลูบคางตนเองเบา ๆ พวกเขาพูดคุยกันขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปยังเบื้องหน้า
“ ในวันแรกชายสวมหน้ากากผู้นั้นกล่าวว่า .. การแสดงนี้เดิมทีเป็นการเต้นรำของชนเผ่านอกด่านที่หายสาบสูญ
หากแต่มันจะเป็นไปได้หรือที่วัฒนธรรมของชนเผ่าที่หายสาบสูญไปเมื่อหลายร้อยปีที่แล้วจะยังคงหลงเหลือมาจนถึงบัดนี้?
”
“ แล้วในบันทึกที่เจ้าเคยอ่านไม่มีเรื่องราวเกี่ยวกับชนเผ่านี้เลยหรืออย่างไร?
”
“ มีข้อมูลปรากฏเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
หาได้มีประโยชน์อันใด ”
กองไฟโดยรอบถูกพ่นน้ำมันจนมันลุกโชนราวกับจะแผดเผาทุกอย่างให้มอดไหม้
ผู้คนพากันถอยหนีด้วยความตื่นตระหนก เกิดความโกลาหลขึ้นชั่วขณะหนึ่งพร้อมกับเสียงดังโหวกเหวกโวยวาย
ทว่าต่อมาความวุ่นวายเหล่านั้นกลับสงบลงทันใด — คนผู้หนึ่งค่อย
ๆ เดินออกมาจากเงามืด ทุกย่างก้าวแผ่วเบาและมั่นคง
ใบหน้านั้นถูกผ้าคลุมสีแดงราวกับชุดวิวาห์ของชาวจีนบดบังจนใครหลาย ๆ
คนต้องชะเง้อคอมองตามอย่างสนใจใคร่รู้
“ ...การแสดงกำลังจะเริ่มแล้ว ”
แทฮยองได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของฮยองชิกดังอยู่ใกล้หู
หากแต่เขาไม่ได้ใส่ใจที่จะฟังมัน
ภาพสะท้อนในแววตาของเขามีเพียงคนผู้นั้นยืนสงบนิ่งท่ามกลางแสงเจิดจ้าจากกองไฟที่ลุกโชนอย่างเร่าร้อน
เสียงตีกลองดังกระหึ่มในตอนแรก ก่อนที่ผ้าคลุมสีแดงผืนบางจะพลิ้วไสวไปตามสายลมยามราตรี
คนผู้นั้นค่อย ๆ
ปลดผ้าคลุมลงพร้อมกับขยับจัดท่าทางของร่างกายเพื่อเตรียมพร้อมที่จะทำการแสดง เสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวมใส่เป็นสีดำทั้งหมดจนแทบถูกกลืนหายไปในความมืด
แต่เมื่อแสงเจิดจ้าร้อนแรงจากกองไฟตกกระทบกลับดูสวยงามยิ่งนัก
ทันทีที่คนผู้นั้นเริ่มร่ายรำ —
หัวใจของเขาพลันเต้นตุบรุนแรงด้วยความรู้สึกอันหนักหน่วง
ภาพเบื้องหน้าช่างงดงามเหลือจะกล่าว
คนมองเช่นตนแทบลืมหายใจยามเฝ้าดูร่างนั้นร่ายรำด้วยท่วงท่าที่งดงามแปลกตาอย่างที่ไม่เคยพบเห็นจากที่ใดมาก่อน
ทุกท่วงท่าอ้อนช้อยทว่าแฝงเร้นไปด้วยความแข็งแกร่งดุดัน ท่วงทำนองดนตรีเร่าร้อนรุนแรง
ประกอบกับกองไฟโดยรอบนั่นแล้วจึงยิ่งเสริมให้บรรยากาศรุ่มร้อนเข้าไปใหญ่ การแสดงนี้คล้ายกำลังเชิญชวนและยั่วเย้าผู้ที่เฝ้ามองตนอย่างไรอย่างนั้น
ผู้คนโดยรอบล้วนแต่ตกอยู่ในภวังค์ไม่เว้นแม้แต่เขา
เปลวไฟที่แดงอมส้มสว่างไสวภายใต้ท้องฟ้ายามราตรีที่มืดสนิท
ฉาบไล้บนเสี้ยวใบหน้าของคนผู้นั้นที่กำลังร่ายรำให้ผู้คนนับสิบนับร้อยชื่นชม
แทฮยองกะพริบตา เหตุใดเขาจึงมองเห็นรอยยิ้มน้อย ๆ บนใบหน้านั้นได้ชัดเจนยิ่งนัก?
เขายืนเหม่อลอยมองภาพเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกวูบวาบในอกอย่างน่าประหลาด เผลอนำพัดแตะค้างไว้ตรงริมฝีปากตนเองเนิ่นนาน
ชายเสื้อร่นลงเล็กน้อย เผยให้เห็นเชือกถักสีแดงโดยที่ผู้เป็นเจ้าของไม่รู้ตัว
สายลมเย็นสดชื่นยามราตรีพัดผ่านมาวูบหนึ่ง กลีบดอกเมฮวาร่วงหล่นลงมาบนศีรษะของคุณชายใหญ่ตระกูลคิมแผ่วเบา ก่อนที่สายลมนั้นจะพัดผ่านมาอีกหนหนึ่งพร้อมกับหอบเอากลีบดอกไม้บอบบางนั้นลอยเข้าไปใกล้เปลวเพลิง ชั่วพริบตากลีบดอกเมฮวากลับถูกแผดเผาไม่เหลือสิ่งใดให้ยล
TALK;
เรื่องชนเผ่าที่หายสาบสูญเป็นเพียงสิ่งที่แต่งขึ้นมาเองเท่านั้นน้า
ช่วงนี้ว่างและฟุ้งซ่านมากค่ะ ; - ; ชีวิตเด็กจบใหม่แต่ยังออกไปหางานไม่ได้มันเจ็บเหมือนมีคนเอาศอกมาโดนนม
ไม่มีไรทำก็จบลงด้วยการเขียนก๊อก ๆ แก๊ก ๆ หวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้นในเร็ววัน
ดูแลตัวเองกันด้วยน้า กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ใส่แมสก์
#ดอกไม้สีแดงเบ่งบานยามวสันตฤดู
ความคิดเห็น