ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    bts ★ the bloody flower blooming in the springtime ★ minv

    ลำดับตอนที่ #1 : ปฐมบท

    • อัปเดตล่าสุด 20 มี.ค. 63




    ปฐมบท

     





              สารทฤดูมาเยือนในรอบปี อากาศในยามค่ำจึงทำให้รู้สึกหนาวเหน็บไม่น้อย เสียงกรอบแกรบของใบไม้แห้ง เสียงนกและจิ้งหรีดเรไรร้องระงม แม้แต่เสียงลมพัดหวีดหวิวก็ยังฟังดูไม่น่าไว้ใจ พวกเขาจ้องมองสิ่งปลูกสร้างเบื้องหน้าด้วยความหวังและความหวาดหวั่น ที่แห่งนี้ดูคล้ายศาลเจ้า — ทว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกมานั้นชั่วร้ายกว่า มันตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางป่าเขาห่างไกลหมู่บ้าน ต้องรอนแรมตลอดทั้งวัน กว่าจะมาถึงก็พลบค่ำเสียแล้ว



              เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นที่นี่?



    มีเพียงที่แห่งนี้ที่เดียวขอรับ



              นัยน์ตาคมเพ่งมองแผ่นป้ายเขรอะ ๆ เหนือประตูบานใหญ่ ปรากฏเป็นข้อความสั้น ๆ ไม่คล้ายชื่อสถานที่ ในความมืดตัวหนังสือบนแผ่นป้ายนั้นเลือนรางนัก 




              พลับพลึงแดงฉาน

                เบ่งบานท่ามกลางเสียงร่ำไห้




                ยิ่งเวลาผ่านไปนานมากเท่าไหร่สายลมยามค่ำคืนยิ่งเย็นบาดผิว ความไม่น่าไว้ใจของสถานที่แห่งนี้ทำให้ คิมยองกวัง รู้สึกลังเลใจ ทว่าหากกลับไปทางเดิมก็เกรงว่าจะเจอสัตว์ป่าหรือโจรป่ามาเพ่นพ่าน อีกทั้งชีวิตบุตรชายของตนก็ไม่สามารถรีรอไปได้มากกว่านี้อีกแล้        



              เอาเถิด ข้างนอกนี้หนาวนัก อย่างไรเสียพวกเราจำเป็นต้องหาที่พักแรม



              ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาได้พลิกแผ่นดินหาทุกหนทางช่วยยื้อชีวิตของบุตรชาย หนทางเหล่านั้นช่างมืดมน การมาเยือนที่นี่ก็ถือได้ว่าไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไปไม่ใช่หรือ?



              เช่นนั้นข้าจะนำทางนายหญิงกับคุณชายน้อยมาขอรับ



              ระวังด้วย ดอกไม้พวกนี้มีพิษ



              หากมองไปรอบ ๆ ตัวแล้วจะพบว่ามีดอกพลับพลึงสีแดงบานสะพรั่งเต็มไปหมด มองเผิน ๆ ดูคล้ายเลือดปกคลุมผืนดิน งดงามทว่าชวนสยดสยอง ใบหน้ายองกวังพลันมืดครึ้มขึ้นมา สถานที่แห่งนี้ช่างอัปมงคลเสียจริง ดอกพลับพลึงสีแดงได้ชื่อว่าเป็นดอกไม้แห่งความตาย อีกทั้งยังเต็มไปด้วยพิษร้าย ผู้คนจึงนิยมปลูกใกล้หลุมฝังศพเท่านั้น หาได้มีใครนิยมเอามาปลูกเพื่อความสวยงาม



              ท่านพี่



    น้องหญิง เป็นอย่างไรบ้าง?



              ไม่กี่อึดใจต่อมาเขาได้สะดุ้งจากภวังค์ความคิด เรือนร่างบอบบางค่อย ๆ บีบกระชับฝ่ามือของเขาแผ่วเบา ใบหน้าของ ซอนอา นางผู้เป็นที่รักมีร่องรอยความอิดโรยตามประสาคุณหนูผู้ถูกประคบประหงมมาตลอดชีวิต หากแต่ครานี้นางยอมอดทนลำบากออกเดินทางมาพร้อมกับสามีและลูก



              ปวดเมื่อยเพียงเล็กน้อยเจ้าค่ะ นางตอบเสียงเบา แต่ข้าเกรงว่าลูกจะอ่อนเพลียมากเกินไป



              ใบหน้าของผู้เป็นทั้งภรรยาและมารดาของลูกตนนั้นเต็มไปด้วยความหม่นหมอง ยองกวังดึงร่างนางเข้ามากอด กระบอกตาร้อนผ่าวจนไม่อาจกลั้น หัวใจเขาก็แหลกสลายไม่แพ้นาง เวลาชีวิตบุตรชายที่ตนและคนรักเฝ้าฟูมฝักด้วยความรักกำลังนับถอยหลัง เพราะโรคประจำตัวที่ไม่ว่าจะอย่างไรก็รักษาไม่หาย



              ท่านพี่ ข้ากลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ



              จงอย่าคิดเช่นนั้นเลยน้องหญิง ลูกของเราสองคนจะต้องหายดี...



              บุตรชายของพวกเขาเกิดมามีหัวใจผิดปกติ ร่างกายอ่อนแอแม้กระทั่งสายลมพัดผ่านก็อาจส่งผลกระทบรุนแรง ตั้งแต่เล็กจนโตจึงได้แต่เก็บตัวอยู่ในจวน ไม่นานมานี้สุขภาพร่างกายของบุตรชายทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็วจนหมอหลายคนเกรงว่าจะอยู่ได้ไม่เกินสิบสามหนาว



              สุดท้ายตนจึงคว้าโอกาสสุดท้ายเอาไว้ — นั่นก็คือการมาเยือนสถานที่แห่งนี้



              ยองกวังหันไปมองบุตรชายตนเองที่ถูกพ่อบ้านอุ้มเดินตามมา ใบหน้าซีดขาวของเด็กชายวัยสิบเอ็ดหนาวส่งยิ้มจาง ๆ มาให้ พลันในค่ำคืนหนาวเหน็บกลับอุ่นวาบไปทั้งหัวใจ



              อากาศเริ่มเย็นแล้ว พวกเรารีบเข้าไปข้างในกันเถิด

             







              แอ๊ดด



              ...!?!



              อยู่ ๆ บานประตูที่เคยเปิดสนิทกลับค่อย ๆ แง้มออกจนเผยให้เห็นร่างชายคนหนึ่งยืนตระหง่านท่ามกลางแสงสลัว ในมือชายคนนั้นถือตะเกียงน้ำมันที่ให้แสงสว่างเพียงวูบไหว เขาดึงร่างภรรยามาหลบด้านหลังตน ก่อนจะรีบส่งสายตาให้พ่อบ้านรีบปกป้องบุตรชาย ทหารยี่สิบนายรีบเคลื่อนฝ่ามือไปจับดาบของตนเพื่อเตรียมเฝ้าระวังภัย



              โอ้ มืดค่ำป่านนี้แล้ว... ชายคนนั้นยังคงยืนนิ่ง พวกท่านมีธุระอันใดหรือขอรับ?



              แสงไฟวูบไหวจากตะเกียงน้ำมันนั้นสว่างไม่มากพอจะเห็นใบหน้าทั้งหมดของชายแปลกหน้า ทว่าหากสังเกตจากเค้าโครงรูปหน้านั้นแล้ว ชายผู้นี้ดูละม้ายคล้ายกับบัณฑิตมากกว่าบ่าวรับใช้ แต่เหตุใดบัณฑิตหนุ่มผู้นี้จึงมาอาศัยอยู่ในสถานที่ห่างไกลผู้คนกันเล่า?



              ขออภัยคุณชาย พวกข้าออกเดินทางมาตั้งแต่เช้ามืด กว่าจะมาถึงที่นี่ก็พลบค่ำเสียแล้ว



              พวกข้าเดินทางมาตามที่ชาวบ้านล่ำลือว่าที่นี่เป็นที่พำนักของ .. เอ่อ .. พ่อมด



              ยองกวังเอ่ยอย่างระมัดระวังเพราะยังไม่แน่ใจว่าชายผู้นี้เป็นใคร เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรับฟังอย่างนิ่งสงบจึงค่อยชื้นใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย



              เป็นท่านหรือที่ต้องการมาขอพร?



              ขอพร? เขาทวนคำ ก่อนจะรีบกระแอมไอเมื่อรู้ตัวว่าตนกำลังแสดงท่าทีข้องใจออกไป จะว่าเช่นนั้นก็ได้ แต่ความจริงแล้วข้ามาขอพรให้บุตรชายของข้า



              ชายผู้นั้นค่อย ๆ ยกตะเกียงขึ้น เผยให้เห็นใบหน้างดงามหมดจดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุภาพนุ่มนวลอย่างที่บัณฑิตพึงมี ยองกวังจ้องมองใบหน้าอีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะเพื่อค้นหาความไม่ชอบมาพากล เมื่อไม่พบสิ่งนั้นจึงค่อยวางใจได้บางส่วน อีกฝ่ายยกยิ้มน้อย ๆ พลางผายมือเชื้อเชิญ



              ถ้าเช่นนั้นก็ให้ข้านำทางพวกท่านเข้าไปด้านในเถิด

          







              ภายในศาลเจ้าแห่งนี้กว้างขวางและสะอาดสะอ้านมากกว่าที่พวกเขาจินตนาการ แต่ถึงอย่างไรบรรยากาศเงียบสงบจนวังเวงนั้นกลับไม่ได้ทำให้ที่นี่น่ามาเยือนแต่อย่างใด สถานที่นี้เต็มไปด้วยความอึมครึมและกลิ่นอายอะไรสักอย่าง ทหารยี่สิบนายยืนยันว่าจะรอด้านนอกจนกว่าพวกเขาจะกลับออกมา เนื่องด้วยชายแปลกหน้ากล่าวว่าพวกเขาสามารถเข้าไปในด้านในได้เพียงสามคนก็มากเกินพอ



              ท่านกลัวหรือ? เช่นนั้นท่านกลัวอะไรมากกว่ากันเล่า?



              ชายผู้นั้นปรายตามองบุตรชายวัยสิบเอ็ดหนาวของเขาอย่างมีความนัย นั่นทำให้เขาและภรรยาจำใจต้องจับจูงมือกันเดินหายลับไปหลังบานประตูที่ถูกแกะสลักเป็นลวดลายอะไรสักอย่างที่ไม่อาจคาดเดา ยองกวังจูงมือซอนอาข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งก็เป็นบุตรชายตนซึ่งใบหน้าซีดขาวมากขึ้นทุกที



    ที่แห่งนี้ถูกตกแต่งด้วยสีแดงสลับดำเป็นส่วนใหญ่ ผืนผ้าห้อยระโยงระยางมาจากฝ้าเพดาน มีเพียงแสงไฟสลัวจากเชิงเทียนที่ตั้งอยู่ตามมุมห้อง ยามเคลื่อนไหวหนึ่งก้าว เปลวเทียนก็จะวูบไหวหนึ่งครั้ง อีกทั้งกลิ่นกำยานหอมประหลาดยังตลบอบอวลชวนหายใจลำบากกว่าปกติ



              พวกเขาพบกับคนผู้หนึ่ง



                ท่านคือ — พ่อมดผู้นั้นหรือ?



    ร่างนั้นนอนเอนตัวอย่างเกียจคร้านบนตั่งไม้ขนาดใหญ่ที่แกะสลักอย่างวิจิตรงดงาม คลุมทับด้วยผ้านวมสีแดง คนผู้นั้นสวมใส่เพียงชุดคลุมสีดำ ปักลวดลายคล้ายดอกไม้ด้วยด้ายสีแดง เมื่อมองดี ๆ แล้วจึงนึกออกว่าดอกไม้บนผืนผ้าคือดอกพลับพลึงนั่นเอง



              ถ้าข้าบอกว่า ใช่ แล้วมันจะเป็นเช่นไรหรือท่านเสนาบดี?



              นี่ท่าน...



    ยองกวังตื่นตระหนกไม่น้อยที่คนแปลกหน้าล่วงรู้เรื่องราวของตน แต่เพื่อชีวิตน้อย ๆ ของบุตรชายเพียงคนเดียวแล้วเขาย่อมทำได้ทุกอย่าง หรือแม้กระทั่งทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่าต่อหน้าชายผู้นี้โดยที่ไม่อาจรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายจะสามารถช่วยบุตรชายตนได้จริงหรือไม่



    ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย! ลูกชายเพียงคนเดียวของเรากำลังจะตาย!



    แม้ความมืดสลัวจะทำให้มองเห็นใบหน้านั้นได้ไม่ชัดเจน แต่สัญชาตญาณทำให้รู้ว่าชายผู้นั้นกำลังจับจ้องใบหน้าซีดเซียวของบุตรชายวัยสิบเอ็ดหนาวของเขา มองสำรวจอย่างอ้อยอิ่ง มองอยู่เช่นนั้นจนใบหน้าเผือดขาวเริ่มเจือด้วยสีระเรื่อจึงได้ยอมละสายตา



    ทุกคำขอย่อมมีข้อแลกเปลี่ยน ท่านยอมรับได้หรือ?



    ข้ายอมรับได้ทุกอย่าง ขอเพียงท่านช่วยลูกชายของข้า



              ท่านจะเอาดาวบนฟ้า สมบัติใต้ทะเลลึก หรือก้อนกรวดที่สวยงามที่สุดในทะเลทรายมากองแทบเท้าเพียงข้าเอ่ยปากขอ — มันจะเป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่?



    ย่อมเป็นเช่นนั้นยองกวังตอบ ข้ามีอำนาจ มีเงินทอง มีทุกสิ่งที่หลายคนปรารถนาจะมี ดังนั้นไม่ว่าสิ่งใดที่ท่านต้องการข้าจะหามาให้อย่างแน่นอน



              ชายผู้นั้นหัวเราะ กึ่งชอบใจกึ่งเย้ยหยัน อีกฝ่ายค่อย ๆ นวยนาดก้าวขาลงจากตั่งไม้แสนโอ่อ่า บรรยากาศภายในห้องทวีความอึดอัดเสียจนผู้เป็นภรรยาข้างกายเริ่มตัวสั่น นางจับต้นแขนของเขาเอาไว้อย่างต้องการที่พึ่งพิง



              ท่านพี่



              ชู่ว .. ไม่เป็นไรน้องหญิง .. ไม่เป็นไร



    ท่ามกลางแสงสว่างเพียงน้อยนิดจึงไม่อาจรู้ว่านัยน์ตาคู่นั้นกำลังจับจ้องอยู่ที่ใคร



              ซอกจิน เงาดำไหววูบอยู่ตรงมุมห้อง เปิดตู้เสียสิ



              อยู่ ๆ เงาดำนั้นกลับกลายเป็นบัณฑิตหนุ่มที่นำทางพวกเขามาที่นี่ตั้งแต่แรก ซอนอากรีดร้องด้วยความตกใจ นางรีบดึงรั้งบุตรชายเข้ามากอดก่อนจะผวาเข้ามาหาเขา ร่างนั้นโผล่ออกมาจากเงามืดโดยปราศจากสุ้มเสียงใด ชายหนุ่มเพียงแค่ดึงผ้าคลุมสีแดงออก — เผยให้เห็นตู้ไม้อันหนึ่ง



    เมื่ออีกฝ่ายเปิดตู้นั้นออกมา พวกเขาตกใจเป็นอย่างมากที่พบว่าข้างในเรียงรายไปด้วยโหลแก้วมากมาย และในแต่ละโหลแก้วมีก้อนเนื้อคล้ายอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของมนุษย์และสัตว์แช่อยู่ สวรรค์! อวัยวะพวกนั้นกำลังขยับอยู่หรือ! ซอนอาทำท่าจะอาเจียน นางรีบเบือนหน้าหนี ไม่สามารถจ้องมองไปยังตู้อันนั้นได้อีก



    อย่ามอง! ”



    นางพยายามยกมือปิดตาบุตรชาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว .. เด็กชายตัวน้อยเห็น พวกมัน เต็มสองตาจึงได้แต่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ในอ้อมแขนผู้เป็นมารดา ใบหน้ากลับมาซีดเผือดอีกครั้ง



    สิ่งเหล่านั้นมันคืออะไรกัน...?



    ลูกชายท่านจะได้ชีวิตใหม่ เพียงแค่เลือกหัวใจสักดวงในโหลเหล่านี้ขึ้นมา



    แต่เลือกให้ดี ๆ หน่อยเล่า หัวใจทุกดวงในโหลล้วนมีเจ้าของ แล้วก็จงอย่าลืมว่านี่เป็นเพียงการหยิบยืมเท่านั้น ข้าไม่ได้ให้มันกับท่านเปล่า ๆ ปลี้ ๆ



    ที่แท้พวกมันก็คือ หัวใจ



    เด็กชายผงะ เผลอหันไปสบตาชายผู้นั้นด้วยความตื่นตกใจ มันหมายความว่าอย่างไรกัน .. เหตุใดหัวใจพวกนี้จึงสามารถช่วยชีวิตเขาได้? เหตุใดเขาจึงต้องเลือกมัน? เหตุใดหัวใจพวกนี้จึงถูกเก็บเอาไว้ ราวกับเป็นเพียงแค่ของสะสมธรรมดา ๆ ?



    ใครอยากได้ก็จงเลือกเอง



              เด็กชายเหลือบมองใบหน้าเครียดขึงของบิดาและใบหน้าเผือดสีของมารดา เขารู้มาตลอดว่าชีวิตตนช่างเปราะบางเหลือเกิน แม้จะนั่งเฉย ๆ ก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้า หลายเดือนหลายปีต้องเห็นบิดาพลิกฟ้าตามหาหมอที่เก่งที่สุด ยาที่ดีที่สุด อีกหลายสิ่งหลายอย่างมากมายที่จะสามารถยื้อชีวิตนี้ได้



              หากว่านี่คือสิ่งที่บิดามารดาปรารถนาแล้วล่ะก็...



    เด็กชายก้าวเท้าไปข้างหน้าจนกระทั่งหยุดตรงหน้าตู้ไม้ชวนขนลุกนั้น พยายามแข็งใจกวาดสายตามองหัวใจมากมายในขวดโหล กลิ่นที่โชยออกมาทำให้รู้สึกคลื่นเหียน หลังจากอดทนฝืนใจมองสำรวจหัวใจพวกนั้นอยู่นาน สุดท้ายจึงได้เลือกหัวใจดวงหนึ่งขึ้นมา เขาประคับประคองโหลแก้วอย่างระมัดระวัง แล้วยื่นมันให้ชายผู้นั้น — โดยไม่ทันได้สังเกตว่านัยน์ตาอีกฝ่ายกำลังเปล่งประกายวาววับ



    เจ้าเลือกหัวใจดวงนี้แน่หรือ?



    ...ไม่ได้หรือขอรับ? ”



    ชายผู้นั้นค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งเบื้องหน้าเด็กชาย ก่อนริมฝีปากจะแย้มออกเป็นรอยยิ้ม



    ย่อมได้ ปลายนิ้วอีกฝ่ายแตะลงบนโหลแก้วแผ่วเบา ถ้าหากมั่นใจว่าจ่ายไหว



    แล้วหัวใจที่ดูเย็นชืดไร้ชีวิตชีวาในขวดโหลพลันกลับมา เต้นรัวอีกครั้ง .. ช่างเป็นภาพที่น่าหวาดหวั่นยิ่งนักสำหรับเด็กชายในวัยเพียงสิบเอ็ดหนาว เขาอยากจะถอยหนีไปให้ไกลจากคนตรงหน้า แต่คล้ายกับว่ากำลังถูกนัยน์ตาดำมืดคู่นั้นจับตรึง ฝ่ามือเย็นเฉียบแนบลงมาข้างแก้ม




    พลับพลึงแดงฉาน

                เบ่งบานท่ามกลางเสียงร่ำไห้




    จงใช้ชีวิตให้มีความสุข อีกฝ่ายกระซิบเยือกเย็น ข้าอวยพรให้เจ้า



    ก่อนฝ่ามือนั้นจะเลื่อนลงมายังลำคอ ราวกับสามารถบีบเขาให้ตายได้ในครั้งเดียว




    หัวใจร้าวราน

    ดินกลบหน้าเจ้า มิอาจกลบความเศร้าในใจข้า




    “ …และขอสาปแช่งเจ้า



    เด็กชายได้ยินเสียงกรีดร้องของมารดาดังแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล แรงบีบตรงลำคอเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาเขาพร่ามัวจนได้แต่หลั่งน้ำตาอย่างไร้ทางสู้



    ข้าจะไปตามทวง มัน คืนเมื่อถึงเวลา

     





    TALK;

    ขออธิบายคร่าว ๆ นี่เป็นพีเรียดเรื่องยาวเรื่องแรกของเราที่เขียนอย่างจริงจัง เป็นพีเรียดเกาหลีแต่อ้างอิงความเชื่อของญี่ปุ่นเยอะมาก (เอ๊ะ) 

    พล็อตหลักของเรื่องนี้บางคนอาจจะพอคุ้นบ้าง เราเอามาจากอันนี้ค่ะ คลิ๊ก เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย รวมกับพล็อตสั้น ๆ ที่เคยเขียนไว้นานแล้ว

    เนื้อเรื่องที่คาดไว้เป็นแนวสั่นประสาท (มั้งนะ) และเหนือธรรมชาติ อาจจะมีฉากไม่เหมาะสมโผล่มาบ้างแต่ยังไงจะขึ้นแจ้งเตือนให้ในตอนค่ะ

    อยากเขียนพีเรียดกับเขาบ้าง อยากเขียนเกี่ยวกับดอกไม้ และดอกไม้ยอดฮิต(?) ในพีเรียดจีนก็คือดอกพลับพลึงสีแดงนี่แหละ


    ปล. ข้อมูลบางอย่างถ้าไม่ถูกต้องก็สามารถกนะซิบบอกได้นะคะ 

    ปล. อย่าลืมฟังเพลงหน้าบทความนะก้ะ

    ปล. ฟิคเรื่องเก่าที่ค้างไว้ยังไปต่อไม่ได้เลยค่ะ ; - ; ขออนุญาตเปิดเรื่องใหม่ก่อนน้า


    คอมเม้นท์สักเร้ก ๆ น้อย ๆ ให้ชื่นใจได้ที่ #ดอกไม้สีแดงเบ่งบานยามวสันตฤดู



             
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×