ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (one piece) straw hat gangster|อันธพาลหมวกฟาง (yaoi)

    ลำดับตอนที่ #9 : Chapter 09 :: คาเวนดิชถูกทำร้าย? กลุ่มหมวกฟางรวมพล!

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.82K
      236
      4 ต.ค. 62

     


     

     

     

              เมืองอีสท์ทาวน์ในเวลากลางคืนเต็มไปด้วยแสงสีจากบ้านเรือนตึกอาคารทั้งหลาย ผู้คนจำนวนมากเดินขวักไขว่เพื่อชมเชยความงดงามที่จะมีขึ้นในยามค่ำคืนเท่านั้น แม้อาจจะไม่สามารถเทียบเท่าความงามยามรัตติกาลของแผ่นดินใหญ่ได้ แต่มันก็มีเอกลักษณ์บางอย่างที่แผ่นดินใหญ่ไม่มี

     

              เคร้ง!!

     

              ไม่ใกล้ไม่ไกลจากในตัวเมืองนัก ความเงียบสงบยามค่ำคืนถูกทำลายไปโดยประกายแสงวูบวาบและเสียงที่เกิดจากการกระทบกันของโลหะ ไม่มีใครกล้าเปิดหน้าต่างออกมาดูสถานการณ์ เพราะมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในยุคที่พวกอันธพาลและมาเฟียครองเมืองเช่นนี้

     

              คาเวนดิชกระโดดถอยหลังมาตั้งหลัก เขามองร่างของชายฉกรรจ์สองคนที่บาดเจ็บจนลุกแทบไม่รอดเพราะฝีมือของเขา โลหิตสีแดงฉานที่ย้อมดาบหยดแหมะลงบนพื้น นัยน์ตาคมฉายแววประกายกล้า รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่ามันคงไม่มีทางจบลงแค่นี้

     

              ไม่ได้มีแค่สองคนนี้แน่ที่ถูกส่งมาหาเขา

     

              ระหว่างทางที่ผ่านมา เขาถูกลอบโจมตีไปห้าถึงหกครั้งได้ และช่างน่าแปลกใจที่พวกมันมีฝีมือมากพอที่จะทำให้ร่างกายของเขาบาดเจ็บ

     

    ร่างสูงโปร่งหมุนตัวหันหลัง วิ่งฝ่าความมืดมิดยามรัตติกาลไปตามเส้นทางที่เปล่าเปลี่ยว ผมสีทองอร่ามสะบัดไปตามแรงวิ่งที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ริมฝีปากหยักเม้มจนเป็นเส้นตรง ตามร่างกายมีร่องรอยของบาดแผลนับไม่ถ้วน

     

              “บ้าเอ้ย” คาเวนดิชสบถในใจ นัยน์ตาคมเหลือบมองไปรอบๆ เมื่อยังคงได้ยินเสียงฝีเท้ามากมายที่ตามมาจึงเลี้ยวเข้าไปในซอยแคบ พวกมันไม่ได้มาแค่คนหรือสองคน คงจะมากันเป็นโขยง เพราะแบบนั้นการถอยไปตั้งหลักจึงนับว่าเป็นหนทางที่ฉลาดกว่า

     

    มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มกุมไหล่เอาไว้เพื่อห้ามเลือด แต่เพราะร่างกายที่ยังขยับเขยื้อนด้วยความเร็วไม่หยุด ทำให้มันไม่สามารถห้ามได้ตามที่ใจต้องการ

     

              “มันอยู่นั่น! จับมันให้ได้!

     

              ในอีสท์ทาวน์เป็นเขตของกลุ่มหมวกฟาง และคาเวนดิชก็เป็นถึงหัวหน้าหน่วยที่ 1 คนทั่วไปรับรู้ความจริงในข้อนี้ ไม่มีทางที่คนที่กำลังไล่ล่าเขาจะเป็นเพียงพวกอันธพาลทั่วไปแน่

     

              ดวงเนตรคมเหลือบมองบาดแผลตามร่างกาย ขณะที่ขาก็ยังวิ่งไม่หยุด

     

              พวกบ้านี่สามารถสร้างบาดแผลให้เขาได้

     

             ไม่ธรรมดาเลย

     

              “พวกมันบุกรุกอาณาเขตของเรา” ชายผมทองผู้ได้รับฉายาว่าเจ้าชายขี่ม้าขาวแห่งอีสท์ทาวน์กัดริมฝีปากจนเลือดซิบ ความรู้สึกเหนื่อยล้าและอาการปวดหนึบตามบาดแผลทำให้เขาเริ่มวิ่งได้ช้าลงเรื่อยๆ “ต้องรีบเอาไปบอกหมวกฟาง”

     

              โครม!!

     

              ร่างของชายหนุ่มถูกจับโยนไปกระแทกกับกำแพงจนกำแพงเกิดรอยร้าว คาเวนดิชพยายามที่จะหยัดตัวลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก ความรู้สึกปวดร้าวราวกับร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยงๆแล่นไปทั่วทุกอณูเซลล์ประสาท เขาพยายามใช้มือดันตัวเองให้ลุกขึ้น แต่ด้วยแรงกระแทกเมื่อครู่ทำให้เขาไม่สามารถหยัดตัวขึ้นมาได้ตามต้องการ

     

              ถ้าให้วินิจฉัยคร่าวๆ ก็คิดว่ากระดูกคงจะหักไปหลายท่อน

     

              แต่ว่า— ใครกันนะที่มีแรงถึงขนาดจับผู้ชายตัวสูงอย่างเขาโยนได้ถึงขนาดนี้

     

              เขาได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามาใกล้จนกระทั่งหยุดอยู่ไม่ไกลจากเขานัก ดูแล้วน่าจะเป็นกลุ่มอันธพาลกลุ่มเดียวกับที่ไล่ล่าเขาเมื่อครู่

     

              “เอาไงต่อดีครับท่านอับซาลอม

     

              คาเวนดิชกำมือตัวเอง จิกเล็บลงบนฝ่ามือจนเลือดซิบ หวังว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นแก่ร่างกายจะทำให้เขาสามารถฝืนสติและฟังสิ่งที่พวกมันคุยกันได้ เขาจะต้องรอดไปได้ และจะต้องบอกเบาะแสของพวกมันให้ลูฟี่และพวกเสนาธิการรู้ให้ได้ด้วย

     

              “ปล่อยมันไว้แถวนี้แหละ ดูท่าคงไม่ไหวแล้ว”

     

              “แต่ท่านโมเรียบอกว่าคนที่รู้เรื่องนี้ต้องถูกกำจัดให้หมดนะครับ”

     

             โมเรีย..?

     

              “ไอโมเรียมันก็แค่วิตกไปเรื่อย แกก็แค่เอามันไปทิ้งที่ๆไม่น่าจะมีคนเจอเซ่ เดี๋ยวมันก็ตายๆไปเองนั่นแหละ”

     

              “อะ..ครับ รับทราบครับ”

     

              อับซาลอม ถ้าให้เดาก็คงเป็นผู้ชายที่จับเขาโยนเมื่อครู่ ชายคนนั้นเดินจากไปแล้ว หากแต่กลับทิ้งลูกน้องเอาไว้ เหล่าชายฉกรรจ์ที่ได้รับมอบหมายคำสั่งยัดแบกร่างของเขาไปก่อนโยนทิ้งไว้แถวริมแม่น้ำ

     

             ต้องรีบ— ไปเตือนพวกหมวกฟาง

     

              คาเวนดิชเหม่อมองไปยังสายน้ำที่ไหลไปตามแม่น้ำ เขาไม่สามารถลอยชายอยู่ที่นี่ได้ เรื่องที่เขาได้ยินมา..ต้องรีบเอาไปบอกลูฟี่เดี๋ยวนี้

     

              แต่ทั้งที่คิดแบบนั้น ร่างกายของเขากลับหนักอึ้ง เช่นเดียวกับหนังตาที่ไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้

     

              บ้าที่สุด— ให้ตายเถอะ

     

              ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือชายฉกรรจ์เหล่านั้นที่กำลังเดินจากไป

             

     

     

    ----|----|----|----|----

     

     

     

               จริงๆแล้วลูฟี่เกลียดการมาโรงเรียน

     

              เขาหมายถึง— เขาชอบชีวิตที่ได้อยู่กับเพื่อนฝูงในคฤหาสน์หลังโกดังหมายเลข 0 นั่นมากกว่า เขารักช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกับเพื่อนสนิทและพวกคาเวนดิชมากกว่าการต้องมานั่งอุดอู้อยู่ในห้องเรียน เขาเคยเปรยๆเอาไว้ว่าอาชีพในอนาคตของเขาจะเป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่นักการเมือง ตำรวจ หรือทหาร

     

              อ้อ— รวมถึงอาชีพเกี่ยวกับพวกกฎหมายอย่างทนายความ อัยการ หรือผู้พิพากษานั่นก็ด้วย

     

              ตอนที่ตัดสินใจก่อตั้งกลุ่มหมวกฟางขึ้น มันก็เกิดมาจากความคิดง่ายๆอย่างการอยากปกป้องพวกพ้อง ครอบครัว คนสำคัญ รวมถึงผู้คนในเมืองนี้ อย่างที่เคยบอกว่าเมื่อก่อนที่นี่ไม่ใช่เมืองที่สงบสุขแบบนี้หรอก จริงๆถ้าอยากปกป้องเมือง จะเป็นตำรวจหรือทหารก็ได้ แต่อาชีพแบบนั้นมันก็มีกฎเกณฑ์ที่ซับซ้อนและยุ่งยากมากเกินไป ไหนจะตรรกะประหลาดๆที่แบ่งคนบนโลกเป็นสีดำและขาวนั่นอีก

     

              ใช่ เขาเลือกที่จะเป็นพวกนอกกฎหมายด้วยเหตุผลง่ายๆพรรค์นั้นแหละ

     

              “อนาคตแกอยากเป็นอะไร” ลอว์ที่นั่งตรงข้ามเขาถามขึ้นมาในขณะที่มือก็เขียนยุกยิกลงบนกระดาษขนาด A2 ไม่หยุด

     

              “มาเฟีย” ลูฟี่ตอบโดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ

     

              “ฮะ..?” นักเรียนใหม่ที่พึ่งมาเข้าเรียนเมื่อสัปดาห์ก่อนหลุดปากด้วยความแปลกใจ อาจจะเพราะพึ่งเคยเห็นใครซักคนตอบว่าอนาคตอยากทำอาชีพสีเทาแบบไม่มีการลังเลเลยซักนิดเป็นครั้งแรกกระมั้ง ลูฟี่ไหวไหล่ พึ่งคิดขึ้นมาได้ว่าบางทีการตอบออกไปแบบนั้นคงไม่ใช่เรื่องดีนัก

     

              “เอาจริงๆ ก็อาชีพอะไรก็ได้ที่ได้เงินเยอะๆและไม่ต้องเหนื่อย”

     

              “อ้อ..”

     

              คงต้องย้อนความกันเสียหน่อย เพื่อที่จะไขข้อสงสัยว่าทำไมลูฟี่ที่ตอนแรกดูจะไม่ถูกชะตากับลอว์ถึงมานั่งทำงานกันในร้านกาแฟแบบนี้ได้

     

              เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อสามวันก่อนในคาบแนะแนว อาจารย์ให้ในห้องแบ่งกลุ่มๆละ 4 คน โดยอาจารย์เป็นคนจัดกลุ่มให้ กลุ่มของพวกเขาถูกแยกกันหมด ที่แย่กว่านั้นคือการที่เขามาอยู่กลุ่มเดียวกับนักเรียนใหม่ทั้งสองคน ซึ่งเขาไม่ถูกชะตาด้วยตั้งแต่วันแรกที่เจอ

     

              ไม่เชิงเกลียดขี้หน้า แค่รู้สึกเหมือนจะมีปัญหาตามมาทีหลังถ้าสนิทกันมากเกินไป

     

              โถ่ ถึงเขาจะมนุษสัมพันธ์ดี สนิทกับคนอื่นไปทั่ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเซนส์แบบ คนนี้ตัวอันตราย’ ‘คนนั้นจะนำปัญหามาให้ซักหน่อย

     

             แม้ปกติแล้วเซนส์พวกนั้นจะไม่ค่อยทำงานก็เถอะ

     

              แน่นอนว่ากลุ่มของเขามีตัวเขาเอง โทราโอะ รีเบคก้า และไอผมแดงเป็นสมาชิกของกลุ่ม แม้ว่าวันนี้ไอผมแดงนั่นจะไม่มาเพราะติดปัญหาครอบครัวก็เถอะ (ไม่รู้จริงมั้ย เห็นเจ้าตัวบอกมางี้ แต่ลูฟี่คิดว่ามันต้องตอแหลแน่ๆ!)

     

              “แล้วความฝันของคุณล่ะคะ คุณทราฟาการ์” หญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มถามเสียงใส ลอว์มีสีหน้าครุ่นคิด

     

              “ศัลยแพทย์ล่ะมั้ง เอาจริงๆตอนนี้ฉันก็เป็นศัลยแพทย์อยู่”

     

              “เอ๊ะ หมายถึงเรียนจบแพทย์เฉพาะทางแล้วเหรอคะ”

     

              ลอว์เอนหลังพิงพำนักเก้าอี้ “ใช่”

     

              “หา ถ้าเก่งขนาดนั้นทำไมยังมาโรงเรียนอีกล่ะ มีงานมีการทำแล้วนี่” ลูฟี่ถามขึ้นมาบ้าง มือเรียวจัดการตัก(หรือควรเรียกว่าจ้วง?)ขนมเค้กและบรรดาของหวานบนโต๊ะทานจนแก้มพองเหมือนกระรอก ลอว์ที่นั่งเท้าคางมองภาพนั้นชะงักเล็กน้อย ก่อนที่มือใหญ่จะยื่นไปบีบแก้มพองๆนั่นให้ยืดออก

     

              “อายอำอะไอเอี้ย! (นายทำอะไรเนี่ย!)”

     

              ร่างสูงชะงัก เหมือนเมื่อครู่เขาจะเผลอทำลงไปโดยที่ไม่รู้สึกตัว มือใหญ่ปล่อยแก้มของคนตัวเล็กกว่าแทบจะในทันที นัยน์ตาคมเสมองไปทางอื่น “โทษที”

     

    ทางฝั่งหญิงสาวเพียงคนเดียวหัวเราะคิกคัก รู้สึกเหมือนเห็นออร่าสีชมพูวิ้งค์ๆรอบตัวทั้งคู่จนน่าอิจฉา เรดาร์หาคู่จิ้นของหญิงสาวถูกเปิดสวิตซ์ในทันที

     

             เธอตัดสินใจแล้ว! เธอจะลงเรือลำนี้นี่ล่ะ!! นี่จะต้องเป็นเรือหลวงแน่ๆ!! ลอว์ลูจงเจริญ!!!

     

              ว่าแล้วก็นึกถึงเพื่อนสาวผมฟ้าอีกคนซึ่งอยู่เรือ พี่ชายบราค่อน x ลูฟี่ และเพื่อนสาวผมส้มเห็นแก่เงิน(?)ที่อยู่ทีม เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ (ในที่นี้คงหมายถึงทั้งโซโลและซันจิ) x ลูฟี่ นัยน์ตาของหญิงสาวเป็นประกาย

     

             คอยดูนะ นามิ วีวี่ เรือฉันนี่ล่ะจะจมเรือพวกเธอให้หมด!!

     

              (ใครจะปล่อยให้จมง่ายๆกันยะ! /เสียงสองสาวแว่วมาตามลม)

     

              ลูฟี่กลืนก้อนขนมเค้กลงคอ ก่อนหันหน้ามาหาลอว์พร้อมกับนัยน์ตาสีรัตติกาลที่กำลังเป็นประกายเพราะความสงสัยใคร่รู้ “นายยังไม่ตอบฉันเลยนะโทราโอะ ทำไมนายถึงยังมาโรงเรียนอยู่ล่ะ”

     

              คนตัวสูงกว่าทำหน้าเหมือนนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองลืมอะไร

     

              “เรื่องนั้น คือ— “

     

             “ลูฟี่!!” ไม่ทันที่ลอว์จะได้ไขความสงสัยของคนตัวเล็กกว่า เสียงทุ้มต่ำที่เรียกชื่อเด็กหนุ่มร่างเล็กก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน ลูฟี่หันไปมองตามทิศทางของเสียง โซโลคือเจ้าของเสียงที่ว่านั่น ชายหนุ่มผมสีเขียวมอสวิ่งเข้ามาในร้านพร้อมกับตรงมาบีบไหล่ของลูฟี่ไว้แน่น

     

              “โซโล?

     

              “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว” เพื่อนสนิท(คิดไม่ซื่อ)ก้มลงกระซิบที่ข้างหูของผู้เป็นทั้งเพื่อนและหัวหน้าของตน ลูฟี่เบิกตากว้างหลังจากได้ยินเนื้อความ ชั่ววูบหนึ่ง หากลอว์ไม่ได้คิดไปเอง เขาเห็นแววตาวาวโรจน์ดูราวกับแววตาของสัตว์ร้ายในนัยน์ตาสีรัตติกาลคู่นั้น

     

              ลูฟี่วางเงินไว้บนโต๊ะ “ขอโทษนะ ฉันมีธุระน่ะ ไว้นัดกันมาทำงานวันอื่นได้รึเปล่า”

     

              “อ อ้อ ได้สิ” รีเบคก้าตอบอึกอักเพราะยังตามสถานการณ์ไม่ค่อยทัน หลังจากที่เอ่ยขอโทษขอโพยพร้อมวางเงินจำนวนหนึ่งที่น่าจะเป็นค่าเครื่องดื่มและค่าของหวานไว้บนโต๊ะ ร่างเล็กก็วิ่งรุดออกจากร้านไปพร้อมกับเพื่อนสนิทในทันที

     

              รีเบคก้าเหลือบมองลอว์ที่หยัดตัวลุกขึ้นโดยไม่พูดอะไร ชายหนุ่มผงกศีรษะเหมือนต้องการจะสื่อว่าค่อยนัดมาทำใหม่ตามที่ลูฟี่พูด เขาวางเงินไว้บนโต๊ะเช่นกันก่อนเดินออกไปพร้อมกับม้วนกระดาษ A2 ที่ต้องใช้ทำงาน รีเบคก้าเท้าคาง มองตามร่างของชายหนุ่มไปจนสุดสายตา

     

             หมอนั่น..หึง?

     

              เธอหัวเราะคิกคัก

     

              “นามิ อีกไม่นานหรอก เรือฉันต้องคุมน่านน้ำนี้ได้แน่!

     

     

     

    ----|----|----|----|----

     

     

     

    ทางฝั่งลูฟี่และโซโลที่รีบมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังในอีสท์ทาวน์อย่าง โรงพยาบาลฮิลรุคซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ช็อปเปอร์ทำงานอยู่ อีกทั้งยังเป็นโรงพยาบาลที่ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากพวกเขา จึงนับว่าเป็นสถานที่ที่ไว้ใจได้ว่าความลับจะไม่รั่วไหลออกไป

     

    พวกเขาวิ่งมาจนกระทั่งหยุดอยู่หน้าห้องไอซียู โดยมีพวกนามิและพวกบาโธโลมีโอคอยอยู่ก่อนแล้ว ลูฟี่เคลื่อนไปหาลูกน้องหัวหงอนไก่อย่างรวดเร็วก่อนคว้าคอเสื้อของอีกฝ่ายแล้วดึงเข้ามาใกล้

     

    “ทำไมหมอนั่นถึงอยู่ในสภาพนี้” ลูฟี่ถามเสียงต่ำ นัยน์ตาสีรัตติกาลเป็นประกายกร้าว บาโธโลมีโอหลบตา รู้สึกหวาดกลัวเกินกว่าจะสบตาคู่นั้น ลูฟี่ในยามนี้— ดูน่ากลัวว่าปกติ

     

    หมับ

     

    “ใจเย็นก่อนลูฟี่” แรงบีบที่หัวไหล่จากโซโลทำให้ลูฟี่พึ่งสังเกตเห็นสีหน้าหวาดกลัวของลูกน้องในกลุ่ม ร่างบางถอนหายใจเฮือกใหญ่ พยายามผ่อนลมหายใจเข้าออกเพื่อให้ตัวเองสามารถควบคุมอารมณ์ได้ ก่อนหันมาถามคำถามเดิมกับบาโธโลมีโออีกครั้ง

     

    “ทำไมเจ้ากะหล่ำปลีถึงอยู่ในสภาพนั้นล่ะ”

     

    “อ เอ่อ คือว่า..”

     

    “บอกฉันมาเถอะ ชิชิชิ” เสียงหัวเราะแบบนั้น ก็สื่อว่าตอนนี้ลูฟี่อยู่ในโหมดปกติแล้ว  บาโธโลมีโอมีสีหน้าลังเล ก่อนตอบไปตามความจริง “ผมก็ไม่มั่นใจหรอกครับ แต่— “

     

    ???

     

    “เมื่อวานตอนที่อยู่ด้วยกัน อยู่ๆเจ้าบ้านั่นก็วิ่งหุนหันออกไปไม่พูดอะไรซักคำ เจอกันอีกทีก็คือตอนที่เจ้าเบลามีส่งข่าวมาว่าเจอหมอนี่อยู่แถวๆแม่น้ำ สภาพร่างกายสะบักสะบอมเหมือนโดนของมีคมแทงและโดนรุมซ้อมอย่างหนักครับ”

     

    “แล้วอาการล่ะ ช็อปเปอร์บอกรึยัง”

     

    พอถามถึงตรงนี้ สีหน้าของหลายๆคนก็ดูไม่สู้ดีนัก จากการบอกของโซโลระหว่างทาง คาเวนดิชเป็นเคสของนายแพทย์ฮิลรุคซึ่งเป็นเจ้าของโรงพยาบาล แต่หลังจากที่ทำการผ่าตัดเร่งด่วนเสร็จสิ้น เจ้าตัวก็ส่งต่อเคสนี้ให้แพทย์หญิงคุเรฮะและช็อปเปอร์ดูแลต่อ

     

    “กระดูกหักหลายท่อนเลยล่ะ รอยฟกช้ำเต็มไปหมด ศีรษะได้รับการกระทบกระเทือน ถึงลึกๆแล้วพวกเราจะรู้ก็เถอะว่าอีกสองสัปดาห์หมอนั่นก็คงหาย”

     

    ลูฟี่พยักหน้าหลังจากได้ฟังอาการคร่าวๆจากนามิ ร่างกายของพวกเขาอึดถึกทนเกินมนุษย์มนาอยู่แล้ว แต่— ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีใครบาดเจ็บถึงขั้นต้องผ่าตัดนานๆหรือเข้าห้องไอซียู (ยกเว้นตอนลูฟี่โดนยิงครั้งนั้น) นี่ถือเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่สมาชิกระดับสูงอย่างหัวหน้าหน่วยของกลุ่มหมวกฟางบาดเจ็บถึงขนาดนี้

     

    ที่ผ่านมาพวกเขาบาดเจ็บกันบ่อยก็จริง แต่ต่อให้กระดูกหัก โดนยิง หรือโดนรุมซ้อมรุมชกต่อยอะไรมาก็ตาม เพียงแค่ให้ช็อปเปอร์ดูอาการให้แล้วพักรักษาตัวที่บ้านซักหน่อย ไม่ถึงสัปดาห์ก็สามารถออกมาซ่าได้ตามปกติแล้ว จนครั้งนึงแพทย์หญิงคุเรฮะถึงขั้นถามว่า กลุ่มพวกแกนี่มันมีร่างกายแบบนี้กันทั้งกลุ่มเลยเรอะด้วยซ้ำ

     

    นี่รึเปล่า คือสาเหตุที่ทำให้ลูฟี่มีอาการโกรธจัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแบบนั้น

     

    โรบินซึ่งสังเกตสถานการณ์อยู่เงียบๆคิดในใจ

     

    “ว่าแต่นะครับคุณลูฟี่ จะเข้าไปเยี่ยมรึเปล่าครับ? อีกครึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลาเยี่ยมได้แล้ว โยโฮ่โฮ่โฮ่” ลูฟี่เหลือบมองประตูห้องไอซียูครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มส่ายหน้าไปมา

     

    “ไม่ล่ะ”

     

    “เอ๋?

     

    “ออลัมบัส ดอนไซ แล้วก็ลีโอ หน่วยของพวกนายมีคนเยอะที่สุด ส่งพวกสมาชิกระดับล่างทุกคนไปสืบข่าวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอย่างละเอียด ถ้าเป็นไปได้ ก็ขอก่อนพรุ่งนี้ตอนค่ำ”

     

    ทั้งสามคนหันมามองหน้ากันอย่างมึนงง แต่เมื่อผ่านไปซักพักก็เริ่มรู้สิ่งที่หัวหน้าของตนต้องการ ลีโอ หัวหน้าหน่วยตัวเล็กพยักหน้ารับ

     

    “โอเค เราจะทำตามนั้น ลูฟี่แลนด์”

     

    “ส่วนพวกนายที่เหลือ..” นัยน์ตากลมหันไปมองบาโธโลมีโอ อิเดโอ ฮัจรูดิน และสุไลมานผู้เป็นตัวแทนหน่วยหนึ่งแทนคาเวนดิชที่บาดเจ็บหนัก “ให้พวกลูกน้องระดับสูงที่พอจะสู้ได้รวมตัวกันที่ฐาน ไว้รอคำสั่งอีกครั้งหลังจากได้ข้อมูลที่มากพอ”

     

    “คร้าบ ลูกพี่ลูฟี่!~

     

    โซโลมองท่าทางกระดี๊กระด๊านั่นด้วยสายตาเอือมระอา

     

    เมื่อกี้ยังกลัวลูฟี่หัวหดอยู่เลยแท้ๆ

     

    เด็กหนุ่มผู้มีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้ากลุ่มหมวกฟางหันมามองหน้าเหล่าหัวหน้าหน่วยและเสนาธิการของกลุ่มด้วยสีหน้าจริงจัง

     

    “พวกเราจะกลับไปที่ฐาน ไม่ว่าจะยังไง ก็ต้องลากคอไอคนที่ทำให้หมอนั่นเป็นแบบนี้ออกมาให้ได้”

     

              ถึงเวลาปกติจะดูบ้าๆ พึ่งพาไม่ค่อยได้ไปบ้าง

     

              แต่ลูฟี่ก็คือลูฟี่

     

              ลูฟี่— ที่เป็นผู้นำของกลุ่มหมวกฟาง

     

              กลุ่มหมวกฟางนับสมาชิกทุกคนในกลุ่มเป็นเพื่อน เป็นครอบครัว และพวกเขาจะไม่มีวันให้อภัยพวกที่มันบังอาจมายุ่มย่ามกับครอบครัวของพวกเขา

     

              ....

     

              ซันจิลอบมองลูฟี่

     

              ไอที่อยากลากคอคนที่ทำร้ายเพื่อนของตัวเองออกมานั่นก็ใช่ แต่ลึกๆแล้ว ชายหนุ่มกลับคิดว่าลูฟี่แค่อยากจะอาละวาดเสียมากกว่า ตอนที่เจอดองกีโฮเต้แฟมิลี่ที่แผ่นดินใหญ่ หมอนั่นไม่ทันได้อาละวาดก็ถูกยิงจนบาดเจ็บเสียแล้ว แถมการต้องพักที่โรงพยาบาลบวกกับการถูกช็อปเปอร์บังคับให้อยู่เฉยๆไม่ให้ไปก่อเรื่องนั่นอีก

     

             อา เก็บกดสินะ

     

             ที่บอกว่าอยากลากคอนู่นนี่นั่น แท้จริงแล้วก็แค่อยากหาเรื่องอาละวาดแบบที่ไม่ต้องโดนช็อปเปอร์บ่นใช่มั้ยล่ะเจ้าบ้า!!!

     

     

     

     

    ----|----|----|----|----

     


    แหม ลูฟี่ ที่แท้ก็แค่อยากอาละวาดใช่มั้ยคะ!!

    นามิ รีเบคก้า วีวี่ เลือกเรือกันแล้ว แล้วรีดเดอร์ล่ะคะ เลือกเรือกันรึยัง ><

    ส่วนไรท์เลือกไม่ได้ เพราะกินใครกับลูฟี่ก็อร่อยทั้งนั้น 5555555555

    ตอนนี้สั้นไปนิด แต่อยากบอกว่าพยายามแล้วค่ะ พยายามแล้วจริงๆ ;-;

    ปล.ยังไม่เช็คคำผิดนะคะ อ่านแล้วเม้นเป็นกำลังใจให้ซักนิดน๊า

             

     

     

     

             

    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×