ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (one piece) straw hat gangster|อันธพาลหมวกฟาง (yaoi)

    ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 01 :: กลุ่มหมวกฟางแห่งอีสท์ทาวน์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.63K
      227
      23 ต.ค. 61

     


     

     

     

              กลุ่มหมวกฟาง คือกลุ่มอันธพาล(?)ที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลที่สุดในเมืองอีสท์ทาวน์ พวกเขามีสมาชิกกลุ่มทั้งหมดราวๆพันคน ในกลุ่มมีผู้คนหลากหลายสัญชาติและหลายช่วงอายุ เป็นกลุ่มที่มีการก่อตั้งขึ้นเมื่อ 5 ปีก่อนโดยกลุ่มเพื่อนสนิท 5 คนที่อาศัยหมู่บ้านระแวกเดียวกันในอีสท์ทาวน์

     

    เป้าหมายหลักในตอนนั้นคือเพื่อปกป้องชุมชนระแวกที่พวกเขาอาศัยอยู่ เนื่องจากในสมัยนั้นพวกอันธพาล มาเฟีย หรือยากูซ่าที่ตั้งหลักปักฐานอยู่ในอีสท์ทาวน์นั้นว่ากันว่าอ่อนแอกว่าเขตเมืองอื่นๆ ไม่มีกลุ่มใดที่ใหญ่พอจะสามารถมีอิทธิพลครอบคลุมได้ทั้งเมือง ทำให้ในเมืองเกิดความไม่สงบ กลุ่มมาเฟียที่มีอิทธิพลในตอนนั้นก็ก่อสงครามกลางเมืองกันบ่อยครั้ง ไหนจะการรุกรานจากพวกที่มาจากต่างเมืองอีก และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้กลุ่มหมวกฟางถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อปกป้องชุมชนระแวกหมู่บ้านของพวกตนจากความวุ่นวาย

     

    และหลังจากนั้นกลุ่มก็เริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เป้าหมายเปลี่ยนไปและอาณาเขตของชุมชนที่ต้องปกป้องดูแลก็มีขยายใหญ่ขึ้น จนกระทั่งเมื่อ 4 ปีก่อนได้มีสมาชิกทั้งหมด 10 คน..และ 1 ปีหลังจากนั้นก็เริ่มโด่งดังจากวีรกรรมใหญ่ที่ทำเอากรมตำรวจถึงกับปวดหัว จนสามารถมีอิทธิพลครอบคลุมได้เกือบทั้งเมือง กลายเป็นที่รู้จักและเป็นกลุ่มใหญ่ที่มีอิทธิพลและมีอาณาเขตในการดูแลมากที่สุดในเมืองแห่งนี้

     

    โครงสร้างของกลุ่มจะแบ่งเป็น ผู้นำของกลุ่ม หรือที่เรียกกันว่า พ่อใหญ่ จะเป็นคนที่มีอำนาจสูงสุดในกลุ่ม คำสั่งของคนผู้นี้คือประกาศิตที่ต้องทำตามห้ามบิดพลิ้ว และผู้ที่ล่วงรู้ตัวตนของพ่อใหญ่จะมีเพียงเสนาธิการและหัวหน้าหน่วยทั้ง 7 คน

     

    เสนาธิการคือสมาชิกดั้งเดิมทั้งหมด 9 คนที่ร่วมก่อตั้งกลุ่มหมวกฟางขึ้นมา ในที่นี้มีอำนาจรองแค่พ่อใหญ่ของกลุ่มเท่านั้น

     

    หัวหน้าหน่วยทั้ง 7 คือผู้นำของหน่วยย่อยทั้ง 7 หน่วย คอยถ่ายทอดคำสั่งจากพ่อใหญ่หรือเหล่าเสนาธิการให้ลูกน้องในหน่วยของตนปฏิบัติ

     

    และนอกจากนั้น..ลูกน้องที่สังกัดในหน่วยทั้ง 7 จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ระดับ ระดับสูง คือพวกที่มีความสามารถด้านการต่อสู้ อยู่ในกลุ่มมาค่อนข้างนาน (ไม่ต่ำกว่า 10 เดือน) สามารถเป็นกำลังรบเวลามีเรื่องกับพวกผู้มีอิทธิพลกลุ่มอื่นได้

     

    และ ระดับล่าง คือระดับต่ำสุดในกลุ่มหมวกฟาง..คนที่อยู่ในระดับนี้จะไม่มีสิทธิรู้ถึงที่ตั้งฐานลับของกลุ่ม ไม่มีสิทธิรู้ใบหน้าค่าตาของหัวหน้าหน่วย เสนาธิการ รวมถึงพ่อใหญ่ เวลาได้รับคำสั่งก็จะได้รับผ่านพวกระดับสูง (ที่รับมาจากหัวหน้าหน่วยอีกทีเป็นทอดๆ) พวกนี้มักจะแฝงตัวอยู่ทั่วเมือง ทำตัวเหมือนคนปกติทุกประการ คอยรวบรวมข่าวสารและส่งไปที่พวกระดับสูง แต่ก็จะมีบางคนที่ชอบทำตัวกร่าง อยู่เพียงระดับล่างแต่กลับทำตัวหยิ่งผยองเที่ยวหาเรื่องคนทั่วไป ซึ่งไม่ต่างจากพวกเด็กอันธพาลหรือนักเลงหัวไม้ตามโรงเรียนต่างๆเลยซักนิด

     

    กลุ่มหมวกฟางไม่ได้บังคับให้ทุกคนต้องเป็นคนดี นอกจากกฎและนโยบายที่ต้องปฏิบัติตามแล้ว..ทุกคนถือว่ามีอิสระเสรีเป็นของตัวเอง สามารถทำอะไรก็ได้ จะทำความดีอย่างคอยช่วยเหลือคนอื่น ไปดูแลเด็กที่มูลนิธิ และอื่นๆ หรือจะก่อความวุ่นวายเล็กๆน้อยๆ เล่นพนัน ทำงานในบ่อนหรือคาสิโน พวกเขายอมรับได้หมด เพราะแม้แต่พวกผู้ก่อตั้งแรกๆที่ตอนนี้ดำรงตำแหน่งเสนาธิการเอง..ก็เคยมีวีรกรรมป่วนๆ ชอบก่อกวนชาวบ้านอยู่ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน แต่แน่นอนว่า..ไม่เคยมีวีรกรรมทำร้ายร่างกายชาวบ้านธรรมดาหรือก่อความเดือดร้อนขั้นรุนแรง

     

              จริงๆแล้ว..จะเรียกว่ากลุ่มหมวกฟางว่า กลุ่มอันธพาลมันก็ดูจะแปลกๆไปซักหน่อย เพราะมีสมาชิกในกลุ่มถึงพันกว่าคน แถมพวกเขาไม่ใช่พวกนักเลงหัวไม้ที่ต่อยตีกับคนอื่นโดยไร้เหตุผล (แต่คนในเมืองบางกลุ่มก็เรียกพวกเขาว่ากลุ่มอันธพาล..เพราะวีรกรรมของพวกลูกน้องระดับล่างที่ทำเอาไว้)

     

    แต่ถ้าจะให้เรียกว่าเป็น กลุ่มมาเฟีย’ ‘ยากูซ่าหรือ องค์กรใต้ดินมันก็ดูเป็นกลุ่มคนในโลกมืดเกินไป..พูดตามตรงว่าพวกเขาเป็นเพียงกลุ่มคนที่มีเป้าหมายในการปกป้องรักษาอาณาเขตของตัวเองไม่ให้มีพวกมาเฟียหรือกลุ่มคนจากเมืองอื่นมาก่อความวุ่นวายก็เท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด การค้าอาวุธ การค้าทาส การฟอกเงิน หรือธุรกิจมืดแต่อย่างใด

     

              โอ้— อืม..ก็เกี่ยวนี่นะ บ่อนการพนัน พวกคาสิโน สนามแข่งรถ และผับบาร์

     

              แต่มันก็แค่นั้นจริงๆ

     

              นโยบายหรือคติประจำกลุ่มของพวกเขาคือไม่ไปหาเรื่องใครก่อน และไม่ทำร้ายประชาชนธรรมดาที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจโลกมืด

     

              และแน่นอน..นอกจากคติของกลุ่มที่ต้องจำและปฏิบัติตามแล้ว ยังมีกฎ 5 ข้อที่สมาชิกทุกคนห้ามละเมิดโดยเด็ดขาด

     

    1. ห้ามสร้างปัญหาโดยการไปยุ่งกับกลุ่ม 4 จักรพรรดิจากแผ่นดินใหญ่

    2. บุคคลที่มีตำแหน่งต่ำกว่าเหล่าเสนาธิการของกลุ่มและหัวหน้าหน่วยทั้ง 7 ไม่มีสิทธิ์ล่วงรู้ถึงตัวตนของ 'หัวหน้า' หรือที่เรียกกันว่า ‘พ่อใหญ่

    3. ห้ามนำความลับของกลุ่มไปเผยแพร่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม

    4. ทุกคนในกลุ่มคือครอบครัว การทำร้ายร่างกายกันจนถึงแก่ชีวิตถือเป็นโทษหนัก

    5. คำสั่งของ ‘พ่อใหญ่’ ถือเป็นประกาศิตที่ต้องทำตามอย่างเคร่งครัด

     

    ***หากใครละเมิดกฎแม้เพียงแค่ข้อเดียว ก็จะถือว่าเป็นคนทรยศ สมควรถูกกำจัดทิ้ง

     

     

     

     

              หรือจริงๆแล้ว..พวกเขาควรเรียกตัวเองว่ากลุ่มมาเฟียดีนะ?

     

              หรือกลุ่มอาชญากร?

     

              บ้าเหรอ..นอกจากพวกที่ขัดผลประโยชน์ทางธุรกิจกับพวกที่มาแกว่งเท้าหาเสี้ยน พวกเขาก็ไม่เคยฆ่าหรือทำร้ายใครสุ่มสี่สุ่มห้า ที่สำคัญ..นโยบายหลักของกลุ่มคือไม่ทำร้ายคนบริสุทธิ์

     

              แต่แน่นอนว่าไม่ใช่สมาชิกทุกคนที่จะทำตามกฎระเบียบและนโยบาย

     

              ในกลุ่มสังคมขนาดใหญ่ย่อมมีผู้คนต่างพ่อต่างแม่ ต่างสังคม ต่างการเลี้ยงดูมาพบเจอกัน และไม่ใช่ทุกคน..ที่จะยอมรับกฎระเบียบเหล่านั้น

     

              ตุบ! ผลัวะ! อั่ก!! โครม!!

     

              เสียงทะเลาะวิวาทดังขึ้นมาจากตรอกแคบๆระหว่างตึก ท้องฟ้าในยามค่ำคืนมืดสนิทและไร้ซึ่งแสงจันทร์ ลังไม้ที่ตั้งกองไว้ถูกชนจนล้มระเนระนาด ใบหน้าเรียวที่ช้ำและห้อเลือดจากการถูกต่อยอย่างหนักหน่วง ตามเนื้อตัวมีร่องรอยของการทำร้ายร่างกาย ร่างสูงโปร่งในชุดนักเรียนชายถูกถีบกระเด็นจนชนกับผนัง ได้ยินเสียงกรอบเหมือนกระดูกหัก ตามด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวที่เลอะไปด้วยคราบน้ำตาและหยาดเลือดสีสด

     

              “พ พอแล้ว ขอโทษ..ขอโทษ” ปากที่แตกจนเลือดซิบพูดขอโทษด้วยน้ำเสียงสั่นๆ หยีตามองไม้เบสบอลในมือของคู่อริอย่างหวาดกลัว คู่อริของเขาเป็นหญิงสาววัยรุ่นและชายหนุ่มในชุดนักศึกษามหาลัยผู้มีหน้าตาเหี้ยมโหด

     

              จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าเขาสู้ไม่ได้..แต่กลัวผลที่ตามมาหลังจากการสู้กลับต่างหาก

     

              “ก็บอกแล้วว่าพวกฉันเป็นคนของกลุ่มหมวกฟาง ถ้าแกให้เงินมาตั้งแต่แรกทุกอย่างก็จบ แกโง่เองนะ!” หญิงสาวเยาะเย้ยเสียงสูง โยนกระเป๋าตังในมือขึ้นลง

     

              แต่นั่นเป็นเงินค่าขนมทั้งหมดของเดือนนี้ เด็กหนุ่มผู้ถูกทำร้ายโต้ในใจ

     

              ลึกๆในใจเขาอยากจะโต้กลับ อยากจะเอาตังพวกนั้นคืน อยากจะต่อยพวกมันคืนให้สาแก่ใจ..แต่เป็นที่รู้กันดีว่ากลุ่มหมวกฟางถือว่าสมาชิกทุกคนคือครอบครัว และหากมีคนนอกทำร้ายคนในครอบครัว..พวกนั้นต้องไม่อยู่เฉยแน่

     

              “เอาไงกับแกดีน๊า”

     

              “ฆ่าให้ตายเลยดีมั้ย ทำลายหลักฐานให้หมด” ชายฉกรรจ์ถามหญิงสาวข้างกายพลางเหล่ตามองเด็กหนุ่มผู้โชคร้ายที่นอนตัวสั่นระริก ร่างโปร่งมีสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนส่ายหน้า “ปล่อยมันไปก่อน เน่~ แกคงไม่เอาไปบอกใคร..ใช่มั้ย?

     

              เด็กหนุ่มผงกหัวรัวๆ หญิงสาวฉีกยิ้มกว้าง “งั้นก็ดี” ก่อนที่เธอจะฟาดขาไปที่ต้นคอของเด็กหนุ่มจนอีกฝ่ายร้องอั่กและสลบไป

     

              ชายฉกรรจ์เดินไปค้นตัวคนที่นอนสลบเพราะอาการบาดเจ็บรุมเร้าอยู่เพื่อควานหาของมีค่า ก่อนจะได้นาฬิกาข้อมือเรือนหนึ่งติดไม้ติดมือ

     

              “ไปกันเถอะ อยู่นานไปเดี๋ยวจะยุ่ง” แล้วทั้งคู่ก็เดินออกจากตรอกแห่งนี้ไป

     

              ไม่ไกลจากที่นั่นมากนัก..หญิงสาวเจ้าของผมสีดำยาวหยักศกในชุดเมดหยัดตัวขึ้นมาจากพื้น ในมือถือกล้องส่องทางไกลเอาไว้ ริมฝีปากที่เคลือบลิปสติกสีแดงสดเหยียดยิ้ม เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายถึงคู่หมั้นที่พึ่งหมั้นหมายกันไปไม่นานมานี้ทันที

     

              “คุณดอนไซที่รักกกกกก” เธอเรียกปลายสายเสียงหวานทันทีที่อีกฝ่ายกดรับ ได้ยินเสียงบ่นมาบ้างตามประสาคนปากไม่ตรงกับใจ ก่อนที่เขาจะเงียบลงแล้วถามถึงธุระของเธอ

     

              “นอกจากความคิดถึงแล้วก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แต่แบบว่า..ฉันเจอเรื่องที่น่าสนใจเข้า”

     

              เธอยิ้มเขินก่อนใช้กล้องส่องทางไกลในมือมองไปยังผู้เคราะห์ร้ายที่ยังคงนอนสลบไสลอยู่ในซอกตึก น่าสงสารจริงๆ ดันเจอกับพวกทำตัวกร่างในกลุ่มหมวกฟางไปเสียได้

     

              “มีคนในกลุ่มไม่ปฏิบัติตามกฎและนโยบายของพ่อใหญ่น่ะค่ะ จะให้ฉันทำยังไงกับผู้เคราะห์ร้ายดีคะ”

     

              “พาไปรักษา?” เธอทวนคำตอบของคู่หมั้นวัยทำงานก่อนเริ่มถามคำถามต่อไป “แล้วพวกนอกคอกที่แหกกฎล่ะคะ?

     

    ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาด้วยคำตอบที่ทำให้เธอต้องยิ้มกว้าง

     

              “โอ้— เบบี้ไฟว์น้อมรับบัญชาจากที่รักค่ะ!

     

     

     

    ----|----|----|----|----

     

     

     

              “นี่ ได้ข่าวรึเปล่า? เมื่อคืนมีเด็กห้อง A ถูกทำร้ายบาดเจ็บเข้าโรงพยาบาลน่ะ”

     

              “เห็นว่าฟื้นแล้วนี่ แต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรเลยไม่ใช่เหรอ?

     

              “เอ..รู้สึกว่าชื่ออะไรนะ?

     

              “โคซา..เพื่อนของคุณหนูวีวี่ไง”

     

              “เออ ใช่ๆ มีข่าวลือว่าคนทำคือพวกกลุ่มหมวกฟางล่ะ”

     

             กึก..

     

    ปากกาในมือหยุดชะงักลงทันทีที่ประโยคนั้นดังขึ้น ใบหน้าหวานเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มสาวๆในห้องที่ยังคงพูดคุยกันอย่างออกรสชาติถึงเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายเมื่อคืนนี้ น่าสงสารแฮะ คิดในใจก่อนงับอมยิ้มเข้าปาก เพราะนี่เป็นชั่วโมงว่างเนื่องจากครูไม่เข้าสอน..สาวๆพวกนี้ถึงได้มีโอกาสซุบซิบนินทาถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

     

    “ไม่ใช่โคซากับวีวี่เป็นแฟนกันหรอกเหรอ”

     

    “เหมือนแฟนเลยเนอะ ฮ่าๆๆๆ”

     

    เขาถอนหายใจเบาๆ ดูเหมือนบทสนทนาต่อจากนี้ของพวกเธอจะไม่มีอะไรน่าสนใจอีก ยืนขึ้นและเดินดุ่มๆไปที่ดาดฟ้าของโรงเรียน อย่างที่คิด..เพื่อนของเขาทุกคนสิงสถิตอยู่ที่นี่

     

    “มานี่ไม่บอกกันเลยนะ!” ทำเป็นแกล้งโวยวายเดินกระทืบเท้าปึงปังไปนั่งข้างๆเพื่อนสนิทจมูกยาวที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยอนุบาล ตรงข้ามกันนั้นเป็นเพื่อนตัวสูงหัวเขียวนอนเอาหนังสือปิดหน้าอยู่ และไม่ห่างจากที่ร่างสูงนอนอยู่ก็มีเพื่อนสนิทคิ้วม้วนคอยป้อนคำหวานใส่เพื่อนสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มที่เอาแต่ทำสีหน้าเหม็นเบื่อ

     

    “ก็นายมัวแต่เหม่อนี่ ลูฟี่” เขาเบ้ปาก เหม่อบ้าอะไร..เขาตั้งใจฟังเรื่องเด่นวันนี้จากสาวๆโต๊ะข้างหน้าอยู่ต่างหาก!

     

    เขาชื่อ มังกี้ ดี ลูฟี่ เป็นเด็กผู้ชายวัยรุ่นธรรมดาๆที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านฟุซา เมืองอีสท์ทาวน์ อายุ 18 ปี อยู่มัธยมปลายปี 3 ห้อง C มีปู่เป็นพลตำรวจโทแห่งกรมตำรวจสาขาแผ่นดินใหญ่ เป็นลูกชายคนเดียวของ มังกี้ ดี ดราก้อน ที่หายตัวไปเมื่อ 2 ปีก่อน อาชีพในอนาคตที่ใฝ่ฝันคืออาชีพอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ตำรวจ ทหาร หรือนักการเมือง

     

    จริงๆแล้วกลุ่มเขาเป็นกลุ่มเพื่อนสนิท 10 คน (นี่นับตัวเขาไปแล้ว) แต่ที่เรียนอยู่ในโรงเรียนนี้ก็มีเพียงเขา โซโล ซันจิ นามิ และอุซปเท่านั้น คนอื่นๆที่เหลือก็มี โรบิน บรู๊คและแฟรงกี้ที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยในเครือเดียวกัน จินเบที่เป็นอาจารย์ของโรงเรียนนี้ และช็อปเปอร์ เด็กหนุ่มสมองอัจฉริยะผู้ชื่นชอบการใส่ชุดกวาง แม้จะบ๊องๆไปบ้างแต่ก็เรียนจบแพทย์ตั้งแต่อายุเพียง 16 ปีเท่านั้น

     

    “เดี๋ยวนี้พวกนายชอบทำตัวมีลับลมคมในกันจังน๊า” ตัดพ้ออย่างทีเล่นทีจริงพลางเอนตัวลงนอนพร้อมเอาหมวกฟางปิดหน้า เขาไม่ได้คิดน้อยใจอะไร ก็แค่พูดเล่นๆไปงั้นแหละ แต่ใครจะไปคิดว่าพวกนั้นจะคิดว่าเขาเก็บมันเอามาคิดจริงๆ

     

    “เฮ้ยๆ พวกเราขอโทษจริงๆลูฟี่ แต่แบบ..มันยังบอกตอนนี้ไม่ได้ไง” อุซปเป็นคนแรกที่พูดปลอบใจ ตามด้วยนามิที่รีบมากอดเขาโยกตัวไปมาเสียยกใหญ่ยังกับเด็กน้อย นอกนั้นก็มีซันจิที่ถึงกับยกข้าวกล่องทำเองในมือมาให้เขา (น่าจะเป็นการง้อ?) และโซโลที่แม้ไม่พูดอะไรก็เอามือมาวางบนหัวของเขาพลางลูบไปมาซะงั้น

     

    “โอ๋ๆ อย่างอนนะลูฟี่” นามิว่า เธอยังไม่หยุดโยกตัวเขาไปมาจนเป็นเขาเองที่ต้องยกมือขึ้นเป็นการบอกให้เลิกเล่นหัวเขาได้แล้ว

     

    “ฉันมึนหัวรู้มั้ยพวกบ้า แค่ล้อเล่นเอง ไม่ได้น้อยใจซักหน่อย”

     

    “อ้าวเหรอ ฮ่าๆๆๆๆ” เพื่อนชายเจ้าของคิ้วม้วนหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนรีบหย่อนตัวลงนั่งแล้วชมนกชมไม้ทำเหมือนเหตุการณ์ง้องอนเมื่อกี้ไม่ได้เกิดขึ้น

     

              “ฉันได้ยินพวกผู้หญิงในห้องคุยกันเรื่องมีคนโดนทำร้ายเมื่อคืนอ่ะ มีข่าวลือว่ากลุ่มหมวกฟางทำด้วย เรื่องจริงเหรอ?” หันไปถามเพื่อนในกลุ่มที่เอาแต่ส่งยิ้มแห้งๆมาให้ มีโซโลที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้โดยนอนหันหน้าไปทางอื่น กับพวกนามิที่เอาแต่อ้ำอึ้งไม่รู้จะพูดอะไรดี

     

              “ก็แบบ..ก็มีคนโดนทำร้ายจริงๆนั่นแหละ” อุซปเป็นคนตอบคำถาม

     

              ลูฟี่ขมวดคิ้วจนแทบเป็นโบ พลางหันไปมองโซโลพร้อมเขย่าตัวให้ตื่นมาตอบคำถามเสียก่อน “แล้วใครเป็นคนทำอ่ะโซโล โคซานั่นเพื่อนวีวี่เลยนะ! วีวี่ต้องเสียใจมากแน่ๆ”

     

              “ก็มีข่าวลือว่าพวกหมวกฟางทำล่ะนะ” ชายหนุ่มหัวเขียวตอบด้วยเสียงเอื่อยเฉื่อย

     

              “ลูฟี่ นายไม่รู้ข่าวล่าสุดใช่ม้า?

     

    “หา? ข่าวล่าสุด? ไรอ่ะ?” เจ้าของชื่อหันหน้าไปทางผู้พูดแทบจะในทันที ซันจิทิ้งบุหรี่ลงกับพื้นก่อนขยี้มันด้วยส้นรองเท้า เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามและพูดต่อโดยไม่ได้สบตาคนตัวเล็กกว่า

     

              “เห็นว่าจับตัวคนร้ายได้ตั้งแต่เช้าแล้วนี่ เป็นเด็กมหาลัย 2 คน..เรียนที่เดียวกับพวกโรบินนั่นล่ะ ล่าสุดธุรกิจที่บ้านของทั้งคู่ล้มละลาย พ่อแม่หายตัวไป เห็นว่าเป็นคนของกลุ่มหมวกฟางจริง ทำร้ายร่างกายโคซาจริง..ตอนแรกก็อยู่สถานีตำรวจอยู่หรอก แต่เมื่อกี้มีข่าวว่าหายตัวไปจากห้องขังน่ะ”

     

              เจ้าตัวแสบประจำกลุ่มเลิกคิ้ว “เห หายตัวไปงั้นเหรอ”

     

              “สงสัยจะโดนฆ่าปิดปากมั้ง” โซโลแค่นหัวเราะในลำคอก่อนพลิกกายหันมานอนมองหน้าลูฟี่ เจ้าตัวยุ่งหัวเราะ

     

              “ชิชิชิ น่ากลัวจังนะ กลุ่มหมวกฟางเนี่ย”

     

              หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับไปเรียนที่ห้องเรียนของตนเองต่อจนเวลาล่วงเลยไปถึง 4 โมงเย็นซึ่งเป็นเวลาโรงเรียนเลิก เพราะวันนี้ไม่ใช่เวรทำความสะอาดห้องของพวกเขาทำให้สามารถเดินชิวไปหาพวกโรบินที่มหาวิทยาลัยข้างๆได้อย่างสบายๆ มีก็แต่จินเบเท่านั้นที่ยังมีเวรอบรมนักเรียนจนถึง 6 โมงเย็นทำให้ไม่สามารถไปด้วยกันได้

     

              สายตาของนักศึกษาทุกคนมองมาที่พวกเขาด้วยความสนใจ มันคงเด่นสะดุดตาที่กลุ่มเด็กนักเรียนมาเดินลอยชายไปมาท่ามกลางกลุ่มคนในชุดนักศึกษาแบบนี้ ไม่นานนักพวกเขาก็เห็นโรบินเดินลงมาจากตึกพร้อมกับบรู๊คและแฟรงกี้ พวกเขาดูเด่นสะดุดตามาก..อนึ่งแม้ไม่อยากจะยอมรับ แต่มันเพราะโซโลและซันจิเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาเป็นที่สะดุดตาของสาวมหาลัย ส่วนนามิและโรบินก็สวยเอามากๆ ช็อปเปอร์ในชุดกวาง จมูกยาวๆของอุซป บรู๊คในชุดโครงกระดูก และร่างกายที่ค่อนข้างสูงใหญ่ของแฟรงกี้..

     

              ในกลุ่ม..เขาคงปกติที่สุดแล้วล่ะนะ

     

              ...

     

              เหรอ?

     

             พวกเราให้โอกาสนายคิดใหม่อีกที //ความคิดของพวกโซโล

     

              “เจ้าหมวกฟางงงงงงงงงงงง” เสียงตะโกนเรียกดังลั่นมาจากที่ไหนซักแห่ง ลูฟี่สะดุ้งจนตัวโยนรีบมองซ้ายมองขวา เห็นชายรูปงามเจ้าของกลุ่มผมสีทองและใบหน้าหล่อเหลาราวกับเจ้าชายกำลังวิ่งมาด้วยความเร็วระดับเหนือมนุษย์ ใบหน้าของอีกฝ่ายเหมือนพร้อมฆ่าทุกคนที่ขวางหน้า เห็นแล้วก็ได้แต่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

     

              “ชิชิชิ นั่นเจ้ากะหล่ำปลีนี่” ว่าแล้วก็เริ่มบิดตัวซ้ายขวา สับขาเตรียมวิ่ง และเมื่อคาเวนดิชกระโจนเข้ามาจนเกือบคว้าตัวเขาได้..เขาก็ออกตัววิ่งไปทางอื่นด้วยความรวดเร็วราวกับลิง

     

              “อย่าหนีนะเจ้าหมวกฟางงงง!!! นายแย่งความนิยมของผมไป!!!

     

              สุดท้ายแล้วเหตุการณ์ที่มักจะเห็นประจำช่วง 4 โมงเย็นของทุกวันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง หนึ่งนักศึกษารูปงามของมหาวิทยาลัยกับหนึ่งนักเรียนที่ว่องไวราวกับลิงน้อยจากโรงเรียนข้างๆวิ่งไล่จับกันเหมือนเด็กๆ ทิ้งให้เพื่อนๆที่เหลือได้แต่มองตามอย่างปลงตกและเดินไปยังที่หมายของตน โดยไม่อยู่รอคนที่คงต้องวิ่งหนีคู่อริจนกว่าอีกฝ่ายจะเหนื่อยแล้วถึงค่อยกลับบ้านได้อย่างลูฟี่

     

              ไว้จะซื้ออะไรให้กินเผื่อนายวิ่งหนีเจ้ากระหล่ำปลีจนหิว

     

              นั่นคือจดหมายที่พวกเขาเขียนทิ้งเอาไว้ให้ลูฟี่ดูต่างหน้า

     

     

     

    ----|----|----|----|----

     

     

     

              กว่าเจ้าบ้ากระหล่ำปลีนั่นจะหมดแรงก็ปาไปเกือบหนึ่งทุ่ม ลำบากให้เขาที่ขี้เกียจเดินขึ้นเขาต้องโทรบอกให้จินเบขับรถมารับถึงหน้ามหาวิทยาลัย หลังจากถึงที่หมาย..ชายวัยทำงานร่างใหญ่อุ้มเขานั่งบนไหล่ของตน (คงเพราะอีกฝ่ายตัวใหญ่..และเขาตัวเล็กแถมผอมมากจึงนั่งแบบนั้นได้) ลูฟี่หยิบหมวกฟางมาสวม นำผ้าพันคอมาพันแล้วดึงขึ้นมาปิดใบหน้าเล็กน้อย เจ้าตัวพาเขาเดินมาถึงโรงงานร้างขนาดใหญ่บนภูเขา ที่หมายที่เพื่อนๆของเขารออยู่คือคฤหาสน์ร้างที่อยู่หลังโกดังหมายเลข 0 ที่ใหญ่ที่สุด

     

              แม้หากดูจากภายนอก..โกดังจะดูเก่าและเสื่อมโทรม ทว่าข้างในกลับดูคล้ายกับบ้านธรรมดาๆหลังหนึ่งที่มีโซฟา โต๊ะ เก้าอี้ ทีวี และอื่นๆ มีกลุ่มคนนั่งเล่นนอนเล่นอยู่บนพื้นที่สะอาดกว่าที่คิด ดูเหมือนว่าโกดังอื่นๆก็คงจะมีสภาพไม่ต่างจากนี้นัก เมื่อเข้าไปจนสุดโกดังก็จะพบกับทางเชื่อมไปถึงคฤหาสน์ ทั้งๆที่ภายนอกดูเก่าราวกับคฤหาสน์ผีสิง ทว่าเมื่อเข้าไปมันกลับดูสวยงามจนไม่น่าเชื่อ ดูราวกับคฤหาสน์ของพวกขุนนางอังกฤษซักตระกูลหนึ่ง

     

              “มาแล้วเหรอ” บนโซฟาสีแดงสดที่ตั้งอยู่ล้อมรอบโต๊ะมีเพื่อนทั้ง 8 คนของเขานั่งอยู่ จินเบวางเขาลงระหว่างโซโลและซันจิก่อนย้ายตัวเองไปนั่งข้างๆโรบิน ลูฟี่ฉีกยิ้มกว้าง มือเล็กๆแปะกับเพื่อนสนิทที่นั่งประกบซ้ายขวาอย่างอารมณ์ดี

     

              “ซันจิ~ ฉันหิวข้าวววว”

     

              “ครับๆ อยู่ในห่อแล้ว” ว่าแล้วก็หยิบข้าวกล่องในห่อสีแดงขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ ลูฟี่ตาวาววับ ดึงผ้าพันคอที่พันอยู่ให้หลุดออกแล้วโยนไปซักที่หนึ่ง หยิบตะเกียบขึ้นมาโซ้ยซูชิและกุ้งเทมปุระที่อีกฝ่ายอุตส่าห์ทำให้เข้าปากอย่างรวดเร็วจนแก้มพองเหมือนกระรอก

     

              พวกเขานั่งมองลูฟี่กินอย่างอารมณ์ดี จนกระทั่งประตูคฤหาสน์ถูกเปิดออก..ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องโถงด้วยทวงท่าสง่างาม ผมสีทองอร่ามดูเป็นประกาย ใบหน้างดงามราวกับเจ้าชายนั่นประดับด้วยรอยยิ้มมีเสน่ห์ทว่าดูหลงตัวเอง(?) ข้างกันนั้นมีชายวัยทำงานผมดำผิวแทนคนหนึ่งเดินตามเข้ามาด้วย มือทั้งสองข้างลากชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งถูกมัดด้วยเชือกเข้ามาด้วยแรงมหาศาล ทั้งคู่ถูกปิดตาด้วยผ้าสีดำอย่างแน่นหนา และที่เดินตามเขามาคือหญิงสาวผมดำในชุดเมดสีชมพูเข้ม เธอเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มขวยเขิน..

     

             เขินอะไรอีกวะนั่น..คงไม่พ้นคิดอะไรเข้าข้างตัวเองอีกตามเคย

     

              นั่นคือความคิดของพวกโซโลในเวลานี้

     

              “โย่! ว่าไงพวกนาย” คนตัวเล็กกล่าวทักทายผู้มาใหม่ด้วยความร่าเริง หลังจากกินอิ่มก็รู้สึกอารมณ์ดีจนสามารถฉีกยิ้มกว้างแทบถึงรูหู ดอนไซลากคู่หนุ่มสาวสองคนมากองเอาไว้ตรงหน้าพวกลูฟี่ ทั้งคู่ยังเป็นเพียงเด็กมหาลัย..ดูเผินๆก็เหมือนจะไม่มีพิษมีภัยมากนัก

     

              ลูฟี่หันไปมองชายผมทอง “วันนี้ไล่ฉันจนหอบเลยนะกระหล่ำปลี ชิชิชิ”

     

    คาเวนดิชกลั้วหัวเราะ “อย่าว่าแต่นายเลย ผมก็เหนื่อย..ก็คนอื่นเขารู้ว่าผมเป็นหัวหน้าหน่วยที่ 1 ของกลุ่มหมวกฟางนี่ ถ้าไม่ทำแบบนี้พวกนั้นได้สงสัยนายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องไปด้วยน่ะสิ”

     

    ลูฟี่หัวเราะพลางพึมพำว่า ก็จริงของนาย

     

    หลังจากมีการพูดคุยหยอกล้อกันซักเล็กน้อยแล้ว ดอนไซก็เริ่มเล่าให้ฟังว่าคนพวกนี้คือคนที่ทำร้ายโคซาซึ่งเป็นชาวเมืองธรรมดาไม่ได้เกี่ยวข้องกับโลกมืด เบบี้ไฟว์เป็นคนพบและรายงานให้เขาทราบ (ได้ยินเสียงสาวเจ้าแทรกมาว่าภรรยาต้องรายงานสามีทุกอย่าง แล้วดอนไซก็รีบหาผ้ามายัดปากเธอไม่ให้พูดแทรกอีก) พวกเขาจึงพาโคซาไปโรงพยาบาล ใช้อำนาจของกลุ่มเล็กๆน้อยๆทำให้ธุรกิจของครอบครัวของหนุ่มสาวคู่นี้ล้มละลาย ลักพาตัวครอบครัวไปซ่อน และบังคับให้ทั้งคู่มอบตัว หลังจากนั้นก็จับมาที่นี่..

     

              “จับพวกเรามาทำไม!” หญิงสาวซึ่งถูกมัดตัวเอาไว้กรีดร้องเสียงสูง เพราะเธอมองไม่เห็น..เธอจึงยิ่งระแวงกับทุกสิ่ง

     

              “ปล่อยพวกเราสิวะ” ชายอีกคนที่ถูกมัดตวาดเสียงกร้าว ทั้งคู่กลัวจนตัวสั่น..พอจะเดาได้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้

     

              ทุกสายตาจับจ้องไปยังทั้งคู่ ก่อนที่เบบี้ไฟว์ซึ่งเอาผ้าที่ยัดปากตัวเองออกจะเริ่มอธิบายถึงสิ่งที่เธอพึ่งสืบมาได้ “ครอบครัวของพวกเขาทำธุรกิจค้ามนุษย์ในเมืองเวสท์ทาวน์อยู่ ก็ว่าทำไมเป็นเจ้าของธุรกิจเกี่ยวกับอาหารพื้นเมืองแต่กลับชอบออกจากเมืองบ่อยๆ”

     

              “โอ้— ธุรกิจค้ามนุษย์งั้นหรือครับ โยโฮ่โฮ่โฮ่”  

     

              “เอาไงดีล่ะทีนี้ ว่าไง..ลูฟี่” โซโลชะโงกหน้ามาถาม เจ้าตัวเล็กขมวดคิ้วเล็กน้อย นามิที่เห็นลูฟี่ยังคิดไม่ตกจึงหันไปคุยเล่นกับคนที่ถูกจับตัวมาฆ่าเวลา

     

              “รู้มั้ยว่าพวกเราเป็นใคร” หญิงสาวที่ถูกมัดตัวอยู่มีสีหน้าลังเล แม้เธอจะมองไม่เห็น..แต่ก็เดาได้ไม่ยาก เธอตอบด้วยเสียงเบาหวิว “เสนาธิการของกลุ่ม..”

     

              “เดาเก่งดีนี่” แฟรงกี้ชมพลางหัวเราะ

     

              “เอาไงดีน๊า..” ลูฟี่ตีขากับโซฟาไปมาจนเกิดเสียงตุบๆ ใบหน้าน่ารักพยายามครุ่นคิดอย่างหนัก เขามองทั้งคู่ซึ่งเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดีนักพร้อมรอยยิ้มประหลาด “ยินดีที่ได้พบนะ ฉันเป็นหัวหน้ากลุ่ม ยินดีที่ได้รู้จัก”

     

              โอ้— พวกเธอหน้าซีดกว่าเดิมเสียอีก ชิชิชิ

     

              “งั้นเอาเหมือนเดิมละกันนะ ชิชิชิ ทำให้เจ้าตัวรู้ไปเลยว่า..ถ้ากล้ามาลองดีกับพวกเราอีกจะต้องเจอกับอะไร” ชั่วครู่หนึ่งที่ผู้ถูกควบคุมตัวทั้งสองพร้อมใจกันขนลุกซู่โดยไม่ได้นัดหมาย

     

              คาเวนดิชหัวเราะอย่างนึกขบขันในนิสัยของหัวหน้าของตัวเอง เขาผงกหัวรับคำสั่ง คำว่าเหมือนเดิมของลูฟี่ก็คือเอาไปลงโทษแล้วค่อยส่งไปที่สถานีตำรวจ ดอนไซชะโงกหน้ามาหา “แล้วพ่อใหญ่จะเอายังไงกับครอบครัวของพวกนี้”

     

              “เอาไงงั้นหรือ..เน่~ โรบิน เอาไงดีล่ะ?

     

              “ส่งตัวให้ตำรวจพร้อมหลักฐานเรื่องธุรกิจค้ามนุษย์..แบบนี้ดีมั้ยลูฟี่”

     

              “ชิชิชิ ดีเลย! สมกับที่เป็นโรบิน~

     

     

     

    จะว่าไป— คงต้องแนะนำตัวอีกครั้ง..

     

    เขาชื่อ มังกี้ ดี ลูฟี่ เป็นเด็กผู้ชายวัยรุ่นธรรมดาๆที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านฟุซา เมืองอีสท์ทาวน์ อายุ 18 ปี อยู่มัธยมปลายปี 3 ห้อง C มีปู่เป็นพลตำรวจโทแห่งกรมตำรวจสาขาแผ่นดินใหญ่ เป็นลูกชายคนเดียวของ มังกี้ ดี ดราก้อน ที่หายตัวไปเมื่อ 2 ปีก่อน อาชีพในอนาคตที่ใฝ่ฝันคืออาชีพอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ตำรวจ ทหาร หรือนักการเมือง

     

    และที่สำคัญ..เขาเป็นผู้นำสูงสุดของกลุ่มหมวกฟาง

     

     

     

     

    ----|----|----|----|----

     


    (gif ไม่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเนื้อเรื่องเลยค่ะ เห็นน่ารักดีเลยเอาลง 5555)


    ในที่สุดก็จบตอนไปซักทีกับ 22 หน้ากระดาษ ฮู้ววว

    เรื่องนี้ไม่ใสค่ะ แหะๆ ลูฟี่อาจจะไม่ได้ใสซื่อเท่าในเรื่องจริง แต่นิสัยซนๆกับชอบกินมากๆก็ยังอยู่ดี ถ้าเทียบกับเรื่องทหารเรือเดอะซีรีย์ เรื่องนี้ค่อนข้างดาร์กกว่าและฮาร์ดคอร์กว่าพอสมควรเลย และเรื่องนู้นก็ใสกว่าและเบนไปทางแนวคอมเมดี้มากกว่า

    สามารถให้กำลังใจได้ด้วยการคอมเม้นและสามารถไปพูดคุยกันในเพจได้นะคะ ><

    ปล. ยังไม่ตรวจคำผิดเลยค่ะ ถ้าเจอก็ทักได้นะคะ TT

             

     

     

    S
    N
    A
    P
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×