ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (one piece) straw hat pirate | short fanfiction (all luffy)

    ลำดับตอนที่ #4 : (sf) The Devil's Trap [2] – Law x Luffy

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 797
      68
      1 เม.ย. 62

    title :: The Devil's Trap

    pairing :: Law x Luffy

    author :: daydream

    request by :: -

    notes :: คิดว่าเรื่องนี้น่าจะมีประมาณ 10 ตอนค่ะ หลังจากที่คิดดูคร่าวๆแล้ว แล้วก็ยังไม่เช็คคำผิดนะคะ ถ้าเจอก็ทักได้ ;-;  ปล.ใครมีซีรีย์เกาหลีหรืออนิเมะสนุกๆแนะนำมั้ยคะ ล่าสุดพึ่งดู Empress Ki จบไป ก็กลายเป็นว่าสนุกมากจนลืมไม่ได้ ฝังใจกันเลยทีเดียว ตอนนี้หลงเพฮากับทัลทัลมากกกกกก อยากหาซีรีย์หรืออนิเมะสนุกๆดูจะได้หลุดจากบ่วงเรื่องนี้ซักทีค่ะ ไม่งั้นได้ดูรอบ 2 3 4 5 ต่อไปเรื่อยๆแน่ ;-;  

     

    ----|----|----|----|----

     


     

     

              “แน่นอน ฉันถูกใจความสามารถของเด็กนี่..และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เด็กนี่จะไม่ใช่ของเจ้าจระเข้ครอคโคไดล์”

     

              “...”

     

              “แต่เป็นของฉัน”

     

              อับซาลอมกระตุกยิ้มมุมปาก มองไปทางเจ้าหนูหมวกฟางที่เอาแต่ชักสีหน้าไม่พอใจ เขายักไหล่ด้วยทีท่าสบายๆก่อนเดินไปกอดคอเจ้าเด็กน้อยแล้วเดินนำลอว์เข้าไปในร้าน

     

              ได้ยินเสียงลูฟี่บ่นงึมงำในลำคอ

     

              “ฉันไม่ใช่ของใครทั้งนั้นแหละ ไอเจ้าบ้า”

     

              ภายในร้านซอมซ่อที่ดูภายนอกก็น่าจะเป็นบาร์เหล้าทั่วไป ชายหนุ่มเจ้าของศีรษะคล้ายสิงโตเดินนำเข้าไปในทางเข้าพนักงาน ผ่านบันไดที่มืดมิดและค่อนข้างจะอับชื้น เมื่อลงไปถึงชั้นใต้ดินก็พบกับประตูไม้ดูเก่าใกล้ชำรุด เสียงเอี๊ยดอ๊าดของพื้นไม้แสดงให้เห็นว่าคงไม่ได้ผ่านการซ่อมบำรุงมานานพอสมควร

     

              เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับห้องกว้างที่ใหญ่พอจะให้คนซัก 10 คนวิ่งเล่นได้สบายๆ ภายในห้องแบ่งโซนอย่างชัดเจนและยังดูสะอาดสะอ้านก็ภายนอกมากนัก โซนหนึ่งมีโซฟาตัวใหญ่สีแดงเลือดหมูและโต๊ะกลมเตี้ยๆ ผู้ที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายร่างท้วมตัวใหญ่ดูไม่สมส่วน หน้าตาเจ้าเล่ห์ที่หัวเราะเสียงประหลาดชวนให้ลูฟี่ผู้ซึ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกขนลุกชันไปทั้งตัว

     

              “เฮ้ หมอนี่เหรอโมเรีย หน้าตาไม่น่าไว้ใจเลยนะ” หันไปเขย่งเท้ากระซิบกับชายผู้ทำหน้าที่ดูแลตนอยู่เสียงเบา ลอว์พยักหน้าตามด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

     

              “ปกติก็ไว้ใจไม่ได้ มีแค่ข่าวที่หมอนี่ขายเท่านั้นที่เป็นความจริง”

     

              “เหรอ..” ลูฟี่งึมงำพลางเหล่ตามองชายคล้ายตุ๊กแกอีกครั้ง ทุกกิริยาท่าทางของเด็กหนุ่มอยู่ในสายตาของชายผู้มีฉายาว่าศัลยแพทย์แห่งความตายทั้งสิ้น ลอว์เดินเข้าไปนั่งที่โซฟาด้วยทวงท่าสบายๆก่อนกวักมือเรียกเด็กหนุ่มที่ยังทำตัวไม่ถูกให้มานั่งข้างๆเขา ลูฟี่มีท่าทีลังเลเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม..นั่งกับโทราโอะคงดีกว่านั่งข้างเจ้าตุ๊กแกเป็นไหนๆ

     

              “หน้าตาเหมือนในข้อมูลเป๊ะ เด็กของครอคโคไดล์— อ้อ เมื่อกี้นายบอกว่าเป็นเด็กของนายนี่นะลอว์ เคี๊ยกๆๆๆ”

     

              “ฉันแค่สนใจความสามารถของเด็กนี่”

     

              “โอเคๆ นายแค่สนใจความสามารถของเด็กนี่”

     

              เหมือนกำลังล้อเลียนกัน ลอว์เอนหลังพิงเบาะก่อนพักแขนไว้บนพนักพิง ดูเผินๆก็เหมือนกับเจ้าตัวกำลังโอบลูฟี่อยู่ เด็กน้อยชะงักเมื่อเห็นสายตากะลิ้มกะเหลี่ยของอับซาลอมซึ่งยืนอยู่ห่างจากโซฟาไม่มากนัก นัยน์ตากลมเหลือบมองท่านั่งของคนข้างกายก็เข้าใจ ใบหน้ากลมแดงแปร๊ดโดยที่เด็กหนุ่มก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร อย่างไรก็ตาม..อาการหัวใจเต้นแรงทำให้เขาต้องขยับออกห่างจากคนตรงหน้าและเว้นที่ไว้พอสมควร

     

              “เอ๋ๆ ขยับไปทำไมตรงนั้นล่ะ กลับมานั่งกับเจ้าหนู— พลโททราฟาการ์เหมือนเดิมซี่” เด็กน้อยส่ายหน้าทันควันเมื่ออับซาลอมพูดดังนั้น เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากชายหน้าสิงโตได้เป็นอย่างดี

     

             ทำตัวสมวัยแบบนี้..ดีกว่าหน้าตาเรียบเฉยตอนแรกตั้งเยอะ

     

              นั่นคือความคิดของชายหนุ่มหน้าสิงโตผู้มีหน้าที่คอยสืบข่าวให้โมเรีย

     

              “แล้วมีอะไรล่ะ พึ่งมาหาฉันเมื่อวานไม่ใช่รึไง” โมเรียถามเสียงสูงก่อนหยิบแก้วกาแฟบนโต๊ะขึ้นจิบ เด็กสาวร่างบางเจ้าของกลุ่มผมสีชมพูมัดแกละเดินเข้ามาพร้อมกับถาดที่มีแก้วชาสองแก้ววางอยู่ เธอค่อยๆวางมันลงบนโต๊ะก่อนเดินออกจากห้องไป

     

              “นั่นใคร” ลอว์ถามเสียงเรียบ

     

              “เพโรน่า..พึ่งรับทำงานวันนี้”

     

              “อ้อ”

     

              “แล้วสรุปแกมีธุระอะไร?” ลอว์ยกยิ้มก่อนโยนซองเอกสารลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดังตุบ โมเรียเลิกคิ้ว มือป้อมแกะซองเอกสารก่อนหยิบขึ้นมาอ่านด้วยความสนใจ

     

              “พักนี้พวกจักรวรรดิเคลื่อนไหวแปลกๆ”

     

              “อ่าห้ะ..แล้ว?

     

              “ถ้ามีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของพวกจักรวรรดิให้รีบส่งมาที่ฉัน อย่าพึ่งบอกคนอื่น”

     

              “หา!? เฮ้ ขอโทษนะ แต่ฉันไม่ใช่สายลับ นายเข้าใจใช่มั้ย? ฉันเป็นนักค้าข่าว”

     

              “แล้วฉันจะจ่ายค่าตอบแทนให้อย่างงาม อาจจะเป็นห้าเท่าของปกติ”

     

              โมเรียกุมขมับ “เอาเถอะ ก็ได้ อย่าผิดคำพูดของตัวเองล่ะ เคี้ยกๆๆ”

     

              หลังจากนั้นไม่นานลอว์ก็บอกให้อับซาลอมพาลูฟี่ออกมายืนรอข้างนอก ดูเหมือนว่าเจ้าตัวมีเรื่องอยากจะพูดกับโมเรีย เด็กหนุ่มนั่งแกว่งเท้าไปมาบนลังไม้ ข้างๆคืออับซาลอมที่กำลังเหม่อมองพวกคนจรจัดผ่านทางนอกหน้าต่าง

     

              ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมง แต่ในที่สุดพลโททราฟาการ์คนนั้นก็ออกมา ในมือของเจ้าตัวมีซองเอกสารสีน้ำตาลที่ถูกปิดผนึกเอาไว้ มันไม่ใช่ซองเดียวกับที่อีกฝ่ายถือมาก่อนหน้า คิดว่าคงพึ่งได้มาจากชายน่าขนลุกคนนั้นแน่ ร่างเล็กโบกมือลาอับซาลอมก่อนเดินตามศัลยแพทย์หนุ่มที่เอาแต่ก้าวขาฉับๆตรงไปข้างหน้าโดยไม่คิดรอเขา

     

              “เราจะไปไหนต่อ?

     

              “กลับไปที่คฤหาสน์ของฉัน”

     

              “แล้วต้องออกมาอีกมั้ย?

     

              “ไม่ต้องหรอก นายก็พักให้เต็มที่..พรุ่งนี้ฉันจะพาไปค่ายทหารอีกครั้ง จะพานายไปดูเชลยที่เราจับมาได้”

     

              “ไปดูเชลย? มันน่าดูตรงไหน” เด็กหนุ่มบ่นงึมงำในลำคอ แต่มันก็ยังไม่สามารถเล็ดรอดจากโสตประสาทการได้ยินของคนตัวสูงไปได้ ลอว์ขึ้นไปนั่งบนรถก่อนที่ลูฟี่จะขึ้นไปนั่งข้างๆกัน ชายวัยกลางคนที่ทำหน้าที่เป็นคนขับรถค้อมศีรษะให้เล็กน้อยก่อนที่ยานพาหนะจะแล่นออกสู่ถนนใหญ่

     

              นัยน์ตาคมกริบราวกับสัตว์ป่าลอบมองคนตัวเล็กข้างกายอยู่เป็นระยะ สำหรับลอว์แล้ว..ในตอนแรกลูฟี่เป็นเพียงเด็กกะโปโลคนนึง ไม่ได้มีจุดเด่นอะไรน่าสนใจ อาจจะมีประสารทสัมผัสที่ดีเลิศ แต่มันก็แค่นั้น..ไม่ได้ทำให้เขาเล็งเห็นว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้คนอย่างครอคโคไดล์ถูกใจถึงขั้นรับมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม

     

              แต่ในตอนนี้..คงต้องยอมรับว่าความคิดของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ลูฟี่มีความรวดเร็วและคล่องตัวที่เหนือมนุษย์ธรรมดา เมื่อนึกย้อนไปถึงประสาทสัมผัสที่ดีเลิศแล้ว เรียกได้ว่าเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ในการเป็นทหาร หากเขาได้เด็กแบบนี้มาอยู่ในกำมือแล้วล่ะก็..อำนาจและชัยชนะที่คาดหวังก็คงจะได้มาไม่ยากนัก

     

              เป็นเด็กที่มีทักษะในการต่อสู้จนน่ากลัว แม้อาจจะไม่ได้มีพลังกายเทียบเท่าเขา แต่ความเร็วคงเหนือกว่าเขาอยู่ประมาณหนึ่ง สังเกตได้จากตอนที่สามารถพุ่งมารับการโจมตีจากอับซาลอมที่จู่โจมเขาได้ทันท่วงที

     

              เหมือนลูกเสือ ที่แม้จะดูน่ารักน่าชังเหมือนแมว..แต่เสือก็ยังเป็นเสือ

     

             หากขัดเกลาให้ดีอาจจะกลายเป็นเจ้าป่าได้

     

              ถ้าเด็กนี่กลายเป็นทหารและอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเขา

     

              ก็ไม่มีพลโท— ไม่สิ แม้แต่พลเอกก็คงสู้เขาไม่ได้

     

              เพราะแบบนี้สินะเจ้าจระเข้ครอคโคไดล์ถึงได้หวงนักหนา

     

              เจ้าเด็กวัยรุ่นที่มักมีสีหน้าเรียบเฉยค่อยไปทางไร้อารมณ์ หากแต่ในเวลาก็มีมุมที่เหมือนกับเด็กวัยรุ่นทั่วไป เป็นตัวตนที่ขัดแย้ง เหมือนจะเป็นผู้ใหญ่ แต่ลึกๆแล้วก็ยังเป็นเด็ก มือแกร่งเอื้อมไปวางลงบนศีรษะ ผมของเด็กนี่นุ่มเหมือนสายไหม หากยาวกว่านี้ซักหน่อยคงเหมาะกับการนำไปถักเปียเล่น

     

              ดูจากเรือนร่างที่บอบบางออกจะผอมเก้งก้างเหมือนคนไม่มีแรงแล้ว ไม่คิดว่าจะเคลื่อนไหวคล่องแคล่วและมีแรงต้านดาบของอับซาลอมได้แบบนั้น

     

              “หา? นายจับหัวฉันทำไม?” เจ้านั่นตั้งท่าเหมือนจะโวยวาย แต่คงเพราะรู้ตัวดีว่าตัวเองยังอยู่ในรถ และถึงโวยวายไปก็คงจะเป็นการเปลืองน้ำลายเสียเปล่า ถึงได้สงบลงแล้วทำเพียงชักสีหน้าก่อนสะบัดหัวให้หลุดจากมือแกร่งแทน

     

              “ก็เปล่า แค่กำลังคิดว่าเก้งก้างอย่างนายเอาแรงมาจากไหน”

     

              “น น นี่นาย..” เด็กหนุ่มตัวเล็กอ้าปากค้าง รู้สึกเหมือนไฟแห่งโทสะปะทุขึ้นในอก หากแต่ก็พยายามห้ามมันไว้ด้วยคำสั่งของคลอคโคไดล์ ห้ามสร้างปัญหา ห้ามสร้างปัญหา นั่นคือสิ่งที่เด็กหนุ่มพยายามท่องอยู่เสมอ

     

              ลอว์หันหน้าหนีไปทางอื่นก่อนลอบยิ้มโดยไม่รู้ตัว

     

              แววตาดื้อรั้นเหมือนเด็กๆ

     

              ดูซุกซน แข็งกร้าว แต่ในบางเวลา..ก็ดูเปราะบางและยากจะหยั่งถึง

     

              รู้ตัวอีกทีก็ถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ซึ่งเป็นที่พักของลอว์ อย่างที่เห็น..แม้จะอยู่ในช่วงสงคราม แต่พวกคนใหญ่คนโตก็ยังอยู่อย่างสะดวกสบาย ในขณะที่ชาวบ้านทั่วไปต้องวิ่งหนีข้าศึกกันจ้าละหวั่น ลูฟี่อดที่จะกลอกตาไม่ได้เมื่อนึกถึงเรื่องนี้

     

     

     

    -----|-----|-----|-----|-----|-----

     

     

     

              ในยามรุ่งสางของวันต่อมา ใครจะไปคิดว่าคนอย่าง พลโททราฟาการ์ ดี วอเตอร์ ลอว์ จะยอมเดินไปถึงห้องพักสำหรับรับรองแขกเพียงเพื่อปลุกเด็กที่อายุน้อยกว่าตนเกือบ 10 ปี สาเหตุเป็นเพราะส่งแม่บ้านมาเคาะประตูปลุกถึงสิบครั้ง แต่เจ้าเด็กตัวดีก็ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเปิดประตูแต่อย่างใด

     

              ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาข้อมือบนข้อมือข้างซ้ายของตัวเอง กลอกตาไปมาอย่างขัดใจก่อนนำกุญแจสำรองมาไขประตูเพื่อที่จะปลุกเด็กเจ้าปัญหา ทันทีที่เปิดประตูได้ก็ไม่รอช้ารีบแทรกตัวเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว ลูฟี่ยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง ร่างเล็กๆที่คลุมโดยผ้านวมผืนใหญ่ แขนบางๆนั้นโอบกอดส่วนหนึ่งของผ้านวมไว้ราวกับกำลังกอดหมอนข้าง เพราะเข้าใกล้ฤดูหนาวแล้วอากาศจึงเย็นผิดปกติ และอากาศเช่นนี้ก็เป็นอากาศที่น่านอนมากที่สุด

     

              เรื่องนี้ลอว์เข้าใจดีกว่าใคร

     

              เพียงแต่..

     

              โครม!

     

              ด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลตามประสานายทหารที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดี เพียงแค่คว้าหมับที่ผ้านวมแล้วดึงทีเดียว ร่างเล็กที่กอดผ้านวมอยู่ก็กลิ้งตกลงมาจากเตียงจนเกิดเสียงดังสนั่น ลูฟี่หยัดตัวลุกขึ้นท่ามกลางความมึนงงพลางขยี้ตาตัวเองเบาๆ คนตัวเล็กมองไปรอบเหมือนกำลังประเมินสถานการณ์ และเมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบกับเจ้าของบ้านที่กำลังก้มหน้ามองเขาด้วยใบหน้าถมึงทึงดูน่ากลัว

     

              “ไปอาบน้ำ ฉันให้เวลา 10 นาที..ลืมไปแล้วรึไงว่าวันนี้ต้องไปค่ายทหารกับฉัน”

     

              คนตัวเล็กหยัดบิดขี้เกียจก่อนพยักหน้ารับไปส่งๆ เดินไปยังตู้เสื้อผ้าทั้งที่ยังโซเซเหมือนจะล้มตลอดเวลา คงเป็นเพราะยังไม่ตื่นดีเป็นแน่ หากแต่ไม่นานลูฟี่ก็คว้าผ้าเช็ดตัวและชุดสำหรับวันนี้เดินเข้าห้องน้ำไป

     

              ลอว์ถอนหายใจอย่างหน่ายๆ

     

              ถึงจะถูกใจความสามารถของหมอนี่ที่แสดงออกมาเมื่อวาน แต่ก็ยังไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมรับลูฟี่ได้ง่ายๆ นิสัยเหมือนเด็กนั่นทำให้บางทีเขาก็รู้สึกหงุดหงิด ส่วนหนึ่งคงเพราะเขาไม่เคยต้องมาดูแลใครที่อายุน้อยกว่ามาก่อน ชายหนุ่มส่ายหัวไปมาก่อนเดินออกจากห้องเพื่อไปรอที่ห้องนั่งเล่น

     

              สิบนาทีเป๊ะๆไม่เกินกว่านั้น

     

              ลูฟี่เดินลงบันไดมาหาเขาในเวลา 10 นาทีที่ตั้งไว้ไม่ขาดไม่เกิน ร่างเล็กๆในชุดลำลองอย่างฮู้ดแขนยาวดำกับกางเกงขายาวสีเดียวกันที่ตัดกับผิวขาวราวกับน้ำนม หมวกฟางที่เคยสวมอยู่เสมอถูกถอดออก ผมสีรัตติกาลที่เคยยุ่งฟูตอนตื่นนอนถูกหวีให้เข้าที่เข้าทาง

     

              อย่างน้อยตอนนี้พลโทหนุ่มก็อารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย การแต่งตัวของลูฟี่ดูมีกาลเทศะกว่าครั้งก่อน อาจจะไม่สามารถเรียกได้ว่าเหมาะกับการไปค่ายทหาร แต่ก็ดีกว่าเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเป็นไหนๆ

     

              การเดินทางไปยังค่ายทหารใช้เวลานานกว่าเมื่อวานนิดหน่อย เพราะเป็นเวลาค่อนข้างเช้าซึ่งเป็นช่วงที่ชาวบ้านต่างเดินทางไปทำงานกัน เพราะที่นี่เป็นเมืองที่อาจจะเรียกได้ว่าใกล้เคียงกับเมืองหลวงมากที่สุด การใช้ชีวิตของทุกคนที่นี่นั้นเร่งรีบ ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกมีเงินมีฐานะ พวกเขาจะเริ่มออกทำงานตั้งแต่ 7 โมงเช้า และกลับบ้านก่อน 6 โมงเย็นเพื่อหลีกเลี่ยงการก่อจลาจลกลางดึก หรือพวกคอยจี้ปล้นตามถนน แต่หากเริ่มออกไปชานเมืองก็จะเป็นอย่างที่เห็นเมื่อวาน..ผู้คนยากจนที่หิวโซและไร้ซึ่งที่อยู่ เป็นเขตที่พวกโจรคงไม่ได้สนใจอะไรนัก

     

              ทันทีที่ลงจากรถเด็กหนุ่มก็เดินตามผู้ดูแลของตัวเองต้อยๆราวกับลูกเป็ดที่กำลังเดินตามแม่เป็ด ภายในชั้นใต้ดินที่ถูกสร้างขึ้นเป็นที่คุมขังนักโทษนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นอับ อีกทั้งยังมีกลิ่นคาวเลือดปนมาจางๆ มันช่างน่าทรมานสำหรับคนที่มีประสาทการดมกลิ่นดีอย่างลูฟี่ ตลอดเวลาที่เดินตามคนตรงหน้าก็อดที่จะเบ้หน้ากับกลิ่นไม่พึงประสงค์ในคุกไม่ได้

     

              พวกนักโทษที่คาดว่าน่าจะเป็นเชลยจากสงครามถูกขังในคุกอย่างทรมาน บางคนมีบาดแผลฉกรรจ์ขนาดใหญ่ บ้างก็ตัวผอมจนเห็นซี่โครง บ้างก็พิการไม่สมประกอบ

     

              เป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกหดหู่

     

              ห้องขังที่ลอว์เดินนำเขาเข้าไปคือห้องขังชั้นในสุด เป็นห้องแคบๆที่มีเพียงเตียงเล็กๆที่ไม่มีแม้แต่ฟูกหรือผ้าห่ม กับโถสำหรับปัสสาวะของผู้ชายเท่านั้น จานอาหารที่วางอยู่ริมห้องขังนั้นคือซุปเละๆที่ลูฟี่ไม่คิดว่ามันคืออาหารคนด้วยซ้ำ

     

              ชายที่นั่งคุดคู้อยู่ตรงมุมห้องเป็นชายวัยกลางคนที่ผอมโซยิ่งกว่าใคร แม้ไม่มีบาดแผลตามร่างกาย แต่ดูก็รู้ว่าคงไม่ได้กินอาหารเป็นเวลานาน ใบหน้าคมค้ามดูหยิ่งยโสและดื้อรั้น เจ้าตัวคงเลือกที่จะไม่กินอาหารที่พวกทหารนำมาให้ (เขาเข้าใจนะ แม้แต่เขาเองก็คงกินไม่ลงเหมือนกัน) แม้แต่ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาพบกับลอว์ ชายคนนั้นก็เพียงแค่จ้องหน้านิ่งๆแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่นเท่านั้น

     

              “เขาชื่อมอร์แกน..เป็นทหารยศพันเอกจักรวรรดิแกรนด์ไลน์” ลอว์แนะนำคนในห้องขังก่อนที่จะดึงมือเขาให้มายืนอยู่ข้างหน้า ชายหนุ่มก้มหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูเสียงต่ำ

     

              “คอยดูซะว่าฉันทรมานนักโทษแบบไหน..ฉันจะดูว่านายจะทนมองมันได้มั้ย”

     

              สิ่งที่ทหารของสหพันธรัฐออลบลูควรมีคือความไม่หวาดกลัวและไม่หวั่นไหวต่อศพ เลือด และเสียงกรีดร้อง

     

              สิ่งที่จะต้องฝึกตั้งแต่เข้ามาเป็นทหารของสหพันธรัฐออลบลูแรกๆเลยก็คือการฝึกให้มองศพเละๆได้โดยที่ไม่อ้วกแตกตายไปเสียก่อน แน่นอนว่าลอว์ทำได้ดีมากๆในการฝึกเหล่านี้

     

              “พวกนายพานักโทษคนนี้ไปที่ห้องทรมาน” ลอว์หันไปสั่งโซโลกับซันจิซึ่งเดินตามเข้ามาเมื่อครู่ ทั้งสองคนพยักหน้ารับก่อนจับแขนของชายนักโทษคนละข้าง แล้วลากออกไปจากห้องขัง ลูฟี่มองตามร่างนั้นไม่วางตา รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าสิ่งที่จะได้พบต่อไปนี้คงเกินกว่าที่สามัญสำนึกของมนุษย์ธรรมดาจะรับไหว

     

              “อ๊ากกกกกกก” มันอาจจะเป็นความเคยชินของทหารที่นี่ ไม่มีใครตื่นตะหนกกับเสียงกรีดร้องโหยหวนที่นักโทษอย่างมอร์แกนส่งเสียงออกมาลั่นห้องทรมาน ทุกคนเพียงทำกิจวัตรของตนต่อไปโดยที่ไม่คิดจะสนใจ นัยน์ตากลมโตมองร่างผอมซูบของนักโทษด้วยความรู้สึกเวทนา

     

              มอร์แกนเป็นทหารของทางจักรวรรดิที่ถูกจับได้ในสงคราม

     

              ลอว์คงไม่คิดจะปราณี อย่างไรก็ตาม..ต้องรีดเค้นเอาข้อมูลออกมาเสียก่อน

     

              “พวกจักรวรรดิคิดจะทำอะไร” พลโทหนุ่มถามเสียงต่ำระหว่างที่กำลังใช้มีดผ่าตัดกรีดแขนของเชลยจนเป็นแผลยาว ลูฟี่พยายามมองภาพนั้นโดยไม่ละสายตา เขาจะอดทน หากจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของลอว์และเป็นทหาร การทำตัวให้ชินกับการทรมาน เลือด และศพ คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา

     

              พันเอกแห่งจักรวรรดิแกรนด์ไลน์ยิ้มเยาะพลางถุยน้ำลายที่ปนเปกับกากเลือดลงพื้น นัยน์ตาแข็งกร้าวกวาดตามองไปรอบๆห้องก่อนหยุดลงที่ลูฟี่ซึ่งยืนอยู่ชิดผนัง มอร์แกนหันกลับมามองลอว์อีกครั้งพลางเค้นเสียงพูดออกมาแม้มันจะยากลำบาก ในเมื่อการกรีดร้องเพราะความทรมานเมื่อครู่ทำให้เส้นเสียงของเขาเสียหายอยู่พอสมควร

     

              “ทำไมฉันต้องบอกแก”

     

              “หือ? ทำไมน่ะเหรอ?” บนใบหน้าหล่อเหลาของพลโทหนุ่มกรีดยิ้มร้ายกาจ มันคือรอยยิ้มที่จะปรากฏเพียงเวลาสู้รบหรือทรมานเหยื่อเท่านั้น รอยยิ้มที่น่าขนลุกสิ้นดี

     

              “เพราะแกเป็นของเล่นของฉัน”

     

              มีดผ่าตัดเล่มงามถูกแทงลงบนฝ่ามือของเชลยผู้โชคร้ายจนเลือดทะลัก เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่น เป็นดั่งบทบรรเลงที่แสนไพเราะสำหรับพลโทแห่งออลบลู มือหนาปล่อยออกจากด้ามมีด ปล่อยให้มันเสียบคาอยู่ตรงกลางมือของมอร์แกนอย่างไร้ปราณี ลูฟี่ยกมือขึ้นปิดปาก

     

              ลอว์ในยามนี้..ดูราวกับปีศาจร้ายไม่มีผิด

     

              ช่วงเวลาอันแสนโหดร้ายผ่านไปเพียงครึ่งชั่วโมง แต่สำหรับเชลยอย่างมอร์แกน..เขารู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเป็นปี ลอว์ละมือออกจากเครื่องผ่าตัดหลังจากที่เชลยเริ่มมีแผลเหวอะ ลูฟี่ถอนหายใจหลังจากที่ไม่สามารถหายใจได้ทั่วท้องตลอดเวลาที่การทรมาณเริ่มต้นขึ้น มอร์แกนไม่คิดที่จะปริปากบอกอะไรแม้แต่น้อย

     

              ก็เหมือนกับเชลยคนอื่นๆที่ลอว์จับมาก่อนหน้านี้

     

              เขาเดินออกจากห้องทรมานโดยไม่ลืมพยักเพยิดหน้าให้ลูฟี่เดินตามมาด้วย มือที่เปื้อนเลือดถูกเช็ดคราบออกไปจนหมด ชายหนุ่มเหลือบมองคนตัวเล็กซึ่งซันจิบอกว่าเด็กคนนี้ไม่ได้ละสายตาจากการทรมานของลอว์เลยแม้แต่นิด แม้จะมีเบ้หน้าด้วยความผวาบ้าง แต่ก็ยอมอดทนมองจนกระทั่งมันสิ้นสุดลง

     

              ก็นับว่ามีความพยายามไม่เบา

     

              “ดูเหมือนว่าเจ้าจระเข้จะฝึกนายมาดีนะ” ตบหัวคนตัวเล็กปุๆก่อนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เมื่อเห็นว่าลูฟี่แยกเขี้ยวใส่ เด็กร่างบางที่ร่างกายค่อนข้างจะผอมเก้งก้าง ใบหน้าตอนเจอกันครั้งแรกก็ออกจะนิ่งเฉยดูไร้อารมณ์เสียส่วนใหญ่ ใครจะไปคิดว่าเด็กนี่ก็มีมุมเด็กๆอยู่เหมือนกัน

     

              ชั่วครู่หนึ่งที่ใบหน้าคมเผยรอยยิ้มออกมาในยามที่ลูฟี่ไม่ทันสังเกตเห็น และคิดว่าเจ้าของรอยยิ้มเองก็คงจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ แต่ในชั่วพริบตามันก็หายไปอย่างรวดเร็ว ลอว์โบกมือไล่ลูฟี่ให้ไปเล่นกับพวกซันจิ ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้เก่าๆหลังจากที่ลูฟี่เดินออกจากห้องไปแล้ว

     

              เขายกมือขึ้นกุมขมับ

     

              ชั่วขณะหนึ่งที่เด็กคนนั้น..ทำให้เขานึกถึงรักแรกของเขาขึ้นมา

     

              ชายหนุ่มยิ้มเยาะกับตัวเอง

     

              “ฉันคงบ้าไปแล้วแน่ๆ”

     

     

     

              ทางฝั่งลูฟี่ที่พึ่งเดินออกมาจากห้องพักชั่วคราวของลอว์ได้ไม่นาน ร่างเล็กถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางแตะศีรษะของตัวเอง การตบหัวเบาๆของชายคนนั้นทำให้ครู่หนึ่งเขาแอบรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ร่างเล็กส่ายหน้าพรืด ก่อนที่จะทันได้วิ่งไปเล่นกับแฟรงกี้ ก็เห็นซันจิวิ่งเหยาะๆมาแต่ไกล

     

              “มีอะไรเหรอ?

     

              “โทษนะลูฟี่ แต่ช่วยมากับฉันหน่อยได้มั้ย”

     

              “หา?

     

              “พลเอกครอคโคไดล์ต้องการพบนาย”

     

     

     

             

     

     

    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×