คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : (sf) The Devil's Trap [2] – Law x Luffy
title :: The Devil's Trap
pairing :: Law x Luffy
author :: daydreamツ
request by :: -
notes :: คิดว่าเรื่องนี้น่าจะมีประมาณ 10 ตอนค่ะ หลังจากที่คิดดูคร่าวๆแล้ว แล้วก็ยังไม่เช็คคำผิดนะคะ ถ้าเจอก็ทักได้ ;-; ปล.ใครมีซีรีย์เกาหลีหรืออนิเมะสนุกๆแนะนำมั้ยคะ ล่าสุดพึ่งดู Empress Ki จบไป ก็กลายเป็นว่าสนุกมากจนลืมไม่ได้ ฝังใจกันเลยทีเดียว ตอนนี้หลงเพฮากับทัลทัลมากกกกกก อยากหาซีรีย์หรืออนิเมะสนุกๆดูจะได้หลุดจากบ่วงเรื่องนี้ซักทีค่ะ ไม่งั้นได้ดูรอบ 2 3 4 5 ต่อไปเรื่อยๆแน่ ;-;
----|----|----|----|----
“แน่นอน
ฉันถูกใจความสามารถของเด็กนี่..และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เด็กนี่จะไม่ใช่ของเจ้าจระเข้ครอคโคไดล์”
“...”
“แต่เป็นของฉัน”
อับซาลอมกระตุกยิ้มมุมปาก
มองไปทางเจ้าหนูหมวกฟางที่เอาแต่ชักสีหน้าไม่พอใจ
เขายักไหล่ด้วยทีท่าสบายๆก่อนเดินไปกอดคอเจ้าเด็กน้อยแล้วเดินนำลอว์เข้าไปในร้าน
ได้ยินเสียงลูฟี่บ่นงึมงำในลำคอ
“ฉันไม่ใช่ของใครทั้งนั้นแหละ
ไอเจ้าบ้า”
ภายในร้านซอมซ่อที่ดูภายนอกก็น่าจะเป็นบาร์เหล้าทั่วไป
ชายหนุ่มเจ้าของศีรษะคล้ายสิงโตเดินนำเข้าไปในทางเข้าพนักงาน ผ่านบันไดที่มืดมิดและค่อนข้างจะอับชื้น
เมื่อลงไปถึงชั้นใต้ดินก็พบกับประตูไม้ดูเก่าใกล้ชำรุด เสียงเอี๊ยดอ๊าดของพื้นไม้แสดงให้เห็นว่าคงไม่ได้ผ่านการซ่อมบำรุงมานานพอสมควร
เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับห้องกว้างที่ใหญ่พอจะให้คนซัก
10 คนวิ่งเล่นได้สบายๆ
ภายในห้องแบ่งโซนอย่างชัดเจนและยังดูสะอาดสะอ้านก็ภายนอกมากนัก
โซนหนึ่งมีโซฟาตัวใหญ่สีแดงเลือดหมูและโต๊ะกลมเตี้ยๆ
ผู้ที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายร่างท้วมตัวใหญ่ดูไม่สมส่วน
หน้าตาเจ้าเล่ห์ที่หัวเราะเสียงประหลาดชวนให้ลูฟี่ผู้ซึ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกขนลุกชันไปทั้งตัว
“เฮ้
หมอนี่เหรอโมเรีย หน้าตาไม่น่าไว้ใจเลยนะ”
หันไปเขย่งเท้ากระซิบกับชายผู้ทำหน้าที่ดูแลตนอยู่เสียงเบา
ลอว์พยักหน้าตามด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
“ปกติก็ไว้ใจไม่ได้
มีแค่ข่าวที่หมอนี่ขายเท่านั้นที่เป็นความจริง”
“เหรอ..”
ลูฟี่งึมงำพลางเหล่ตามองชายคล้ายตุ๊กแกอีกครั้ง
ทุกกิริยาท่าทางของเด็กหนุ่มอยู่ในสายตาของชายผู้มีฉายาว่าศัลยแพทย์แห่งความตายทั้งสิ้น
ลอว์เดินเข้าไปนั่งที่โซฟาด้วยทวงท่าสบายๆก่อนกวักมือเรียกเด็กหนุ่มที่ยังทำตัวไม่ถูกให้มานั่งข้างๆเขา
ลูฟี่มีท่าทีลังเลเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม..นั่งกับโทราโอะคงดีกว่านั่งข้างเจ้าตุ๊กแกเป็นไหนๆ
“หน้าตาเหมือนในข้อมูลเป๊ะ
เด็กของครอคโคไดล์— อ้อ เมื่อกี้นายบอกว่าเป็นเด็กของนายนี่นะลอว์ เคี๊ยกๆๆๆ”
“ฉันแค่สนใจความสามารถของเด็กนี่”
“โอเคๆ
นายแค่สนใจความสามารถของเด็กนี่”
เหมือนกำลังล้อเลียนกัน
ลอว์เอนหลังพิงเบาะก่อนพักแขนไว้บนพนักพิง
ดูเผินๆก็เหมือนกับเจ้าตัวกำลังโอบลูฟี่อยู่ เด็กน้อยชะงักเมื่อเห็นสายตากะลิ้มกะเหลี่ยของอับซาลอมซึ่งยืนอยู่ห่างจากโซฟาไม่มากนัก
นัยน์ตากลมเหลือบมองท่านั่งของคนข้างกายก็เข้าใจ
ใบหน้ากลมแดงแปร๊ดโดยที่เด็กหนุ่มก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร
อย่างไรก็ตาม..อาการหัวใจเต้นแรงทำให้เขาต้องขยับออกห่างจากคนตรงหน้าและเว้นที่ไว้พอสมควร
“เอ๋ๆ
ขยับไปทำไมตรงนั้นล่ะ กลับมานั่งกับเจ้าหนู— พลโททราฟาการ์เหมือนเดิมซี่”
เด็กน้อยส่ายหน้าทันควันเมื่ออับซาลอมพูดดังนั้น
เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากชายหน้าสิงโตได้เป็นอย่างดี
ทำตัวสมวัยแบบนี้..ดีกว่าหน้าตาเรียบเฉยตอนแรกตั้งเยอะ
นั่นคือความคิดของชายหนุ่มหน้าสิงโตผู้มีหน้าที่คอยสืบข่าวให้โมเรีย
“แล้วมีอะไรล่ะ
พึ่งมาหาฉันเมื่อวานไม่ใช่รึไง” โมเรียถามเสียงสูงก่อนหยิบแก้วกาแฟบนโต๊ะขึ้นจิบ
เด็กสาวร่างบางเจ้าของกลุ่มผมสีชมพูมัดแกละเดินเข้ามาพร้อมกับถาดที่มีแก้วชาสองแก้ววางอยู่
เธอค่อยๆวางมันลงบนโต๊ะก่อนเดินออกจากห้องไป
“นั่นใคร”
ลอว์ถามเสียงเรียบ
“เพโรน่า..พึ่งรับทำงานวันนี้”
“อ้อ”
“แล้วสรุปแกมีธุระอะไร?” ลอว์ยกยิ้มก่อนโยนซองเอกสารลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดังตุบ โมเรียเลิกคิ้ว
มือป้อมแกะซองเอกสารก่อนหยิบขึ้นมาอ่านด้วยความสนใจ
“พักนี้พวกจักรวรรดิเคลื่อนไหวแปลกๆ”
“อ่าห้ะ..แล้ว?”
“ถ้ามีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของพวกจักรวรรดิให้รีบส่งมาที่ฉัน
อย่าพึ่งบอกคนอื่น”
“หา!? เฮ้ ขอโทษนะ แต่ฉันไม่ใช่สายลับ นายเข้าใจใช่มั้ย?
ฉันเป็นนักค้าข่าว”
“แล้วฉันจะจ่ายค่าตอบแทนให้อย่างงาม
อาจจะเป็นห้าเท่าของปกติ”
โมเรียกุมขมับ
“เอาเถอะ ก็ได้ อย่าผิดคำพูดของตัวเองล่ะ เคี้ยกๆๆ”
หลังจากนั้นไม่นานลอว์ก็บอกให้อับซาลอมพาลูฟี่ออกมายืนรอข้างนอก
ดูเหมือนว่าเจ้าตัวมีเรื่องอยากจะพูดกับโมเรีย เด็กหนุ่มนั่งแกว่งเท้าไปมาบนลังไม้
ข้างๆคืออับซาลอมที่กำลังเหม่อมองพวกคนจรจัดผ่านทางนอกหน้าต่าง
ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมง
แต่ในที่สุดพลโททราฟาการ์คนนั้นก็ออกมา ในมือของเจ้าตัวมีซองเอกสารสีน้ำตาลที่ถูกปิดผนึกเอาไว้
มันไม่ใช่ซองเดียวกับที่อีกฝ่ายถือมาก่อนหน้า
คิดว่าคงพึ่งได้มาจากชายน่าขนลุกคนนั้นแน่
ร่างเล็กโบกมือลาอับซาลอมก่อนเดินตามศัลยแพทย์หนุ่มที่เอาแต่ก้าวขาฉับๆตรงไปข้างหน้าโดยไม่คิดรอเขา
“เราจะไปไหนต่อ?”
“กลับไปที่คฤหาสน์ของฉัน”
“แล้วต้องออกมาอีกมั้ย?”
“ไม่ต้องหรอก
นายก็พักให้เต็มที่..พรุ่งนี้ฉันจะพาไปค่ายทหารอีกครั้ง
จะพานายไปดูเชลยที่เราจับมาได้”
“ไปดูเชลย? มันน่าดูตรงไหน” เด็กหนุ่มบ่นงึมงำในลำคอ
แต่มันก็ยังไม่สามารถเล็ดรอดจากโสตประสาทการได้ยินของคนตัวสูงไปได้ ลอว์ขึ้นไปนั่งบนรถก่อนที่ลูฟี่จะขึ้นไปนั่งข้างๆกัน
ชายวัยกลางคนที่ทำหน้าที่เป็นคนขับรถค้อมศีรษะให้เล็กน้อยก่อนที่ยานพาหนะจะแล่นออกสู่ถนนใหญ่
นัยน์ตาคมกริบราวกับสัตว์ป่าลอบมองคนตัวเล็กข้างกายอยู่เป็นระยะ
สำหรับลอว์แล้ว..ในตอนแรกลูฟี่เป็นเพียงเด็กกะโปโลคนนึง ไม่ได้มีจุดเด่นอะไรน่าสนใจ
อาจจะมีประสารทสัมผัสที่ดีเลิศ
แต่มันก็แค่นั้น..ไม่ได้ทำให้เขาเล็งเห็นว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้คนอย่างครอคโคไดล์ถูกใจถึงขั้นรับมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม
แต่ในตอนนี้..คงต้องยอมรับว่าความคิดของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ลูฟี่มีความรวดเร็วและคล่องตัวที่เหนือมนุษย์ธรรมดา
เมื่อนึกย้อนไปถึงประสาทสัมผัสที่ดีเลิศแล้ว
เรียกได้ว่าเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ในการเป็นทหาร
หากเขาได้เด็กแบบนี้มาอยู่ในกำมือแล้วล่ะก็..อำนาจและชัยชนะที่คาดหวังก็คงจะได้มาไม่ยากนัก
เป็นเด็กที่มีทักษะในการต่อสู้จนน่ากลัว
แม้อาจจะไม่ได้มีพลังกายเทียบเท่าเขา แต่ความเร็วคงเหนือกว่าเขาอยู่ประมาณหนึ่ง
สังเกตได้จากตอนที่สามารถพุ่งมารับการโจมตีจากอับซาลอมที่จู่โจมเขาได้ทันท่วงที
เหมือนลูกเสือ
ที่แม้จะดูน่ารักน่าชังเหมือนแมว..แต่เสือก็ยังเป็นเสือ
หากขัดเกลาให้ดีอาจจะกลายเป็นเจ้าป่าได้
ถ้าเด็กนี่กลายเป็นทหารและอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเขา
ก็ไม่มีพลโท—
ไม่สิ แม้แต่พลเอกก็คงสู้เขาไม่ได้
เพราะแบบนี้สินะเจ้าจระเข้ครอคโคไดล์ถึงได้หวงนักหนา
เจ้าเด็กวัยรุ่นที่มักมีสีหน้าเรียบเฉยค่อยไปทางไร้อารมณ์
หากแต่ในเวลาก็มีมุมที่เหมือนกับเด็กวัยรุ่นทั่วไป เป็นตัวตนที่ขัดแย้ง
เหมือนจะเป็นผู้ใหญ่ แต่ลึกๆแล้วก็ยังเป็นเด็ก มือแกร่งเอื้อมไปวางลงบนศีรษะ
ผมของเด็กนี่นุ่มเหมือนสายไหม หากยาวกว่านี้ซักหน่อยคงเหมาะกับการนำไปถักเปียเล่น
ดูจากเรือนร่างที่บอบบางออกจะผอมเก้งก้างเหมือนคนไม่มีแรงแล้ว
ไม่คิดว่าจะเคลื่อนไหวคล่องแคล่วและมีแรงต้านดาบของอับซาลอมได้แบบนั้น
“หา? นายจับหัวฉันทำไม?” เจ้านั่นตั้งท่าเหมือนจะโวยวาย
แต่คงเพราะรู้ตัวดีว่าตัวเองยังอยู่ในรถ
และถึงโวยวายไปก็คงจะเป็นการเปลืองน้ำลายเสียเปล่า ถึงได้สงบลงแล้วทำเพียงชักสีหน้าก่อนสะบัดหัวให้หลุดจากมือแกร่งแทน
“ก็เปล่า
แค่กำลังคิดว่าเก้งก้างอย่างนายเอาแรงมาจากไหน”
“น
น นี่นาย..” เด็กหนุ่มตัวเล็กอ้าปากค้าง รู้สึกเหมือนไฟแห่งโทสะปะทุขึ้นในอก
หากแต่ก็พยายามห้ามมันไว้ด้วยคำสั่งของคลอคโคไดล์ ห้ามสร้างปัญหา ห้ามสร้างปัญหา
นั่นคือสิ่งที่เด็กหนุ่มพยายามท่องอยู่เสมอ
ลอว์หันหน้าหนีไปทางอื่นก่อนลอบยิ้มโดยไม่รู้ตัว
แววตาดื้อรั้นเหมือนเด็กๆ
ดูซุกซน
แข็งกร้าว แต่ในบางเวลา..ก็ดูเปราะบางและยากจะหยั่งถึง
รู้ตัวอีกทีก็ถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ซึ่งเป็นที่พักของลอว์
อย่างที่เห็น..แม้จะอยู่ในช่วงสงคราม แต่พวกคนใหญ่คนโตก็ยังอยู่อย่างสะดวกสบาย
ในขณะที่ชาวบ้านทั่วไปต้องวิ่งหนีข้าศึกกันจ้าละหวั่น
ลูฟี่อดที่จะกลอกตาไม่ได้เมื่อนึกถึงเรื่องนี้
-----|-----|-----|-----|-----|-----
ในยามรุ่งสางของวันต่อมา ใครจะไปคิดว่าคนอย่าง พลโททราฟาการ์ ดี วอเตอร์
ลอว์
จะยอมเดินไปถึงห้องพักสำหรับรับรองแขกเพียงเพื่อปลุกเด็กที่อายุน้อยกว่าตนเกือบ 10
ปี สาเหตุเป็นเพราะส่งแม่บ้านมาเคาะประตูปลุกถึงสิบครั้ง
แต่เจ้าเด็กตัวดีก็ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเปิดประตูแต่อย่างใด
ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาข้อมือบนข้อมือข้างซ้ายของตัวเอง
กลอกตาไปมาอย่างขัดใจก่อนนำกุญแจสำรองมาไขประตูเพื่อที่จะปลุกเด็กเจ้าปัญหา
ทันทีที่เปิดประตูได้ก็ไม่รอช้ารีบแทรกตัวเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว
ลูฟี่ยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง ร่างเล็กๆที่คลุมโดยผ้านวมผืนใหญ่ แขนบางๆนั้นโอบกอดส่วนหนึ่งของผ้านวมไว้ราวกับกำลังกอดหมอนข้าง
เพราะเข้าใกล้ฤดูหนาวแล้วอากาศจึงเย็นผิดปกติ
และอากาศเช่นนี้ก็เป็นอากาศที่น่านอนมากที่สุด
เรื่องนี้ลอว์เข้าใจดีกว่าใคร
เพียงแต่..
โครม!
ด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลตามประสานายทหารที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดี
เพียงแค่คว้าหมับที่ผ้านวมแล้วดึงทีเดียว ร่างเล็กที่กอดผ้านวมอยู่ก็กลิ้งตกลงมาจากเตียงจนเกิดเสียงดังสนั่น
ลูฟี่หยัดตัวลุกขึ้นท่ามกลางความมึนงงพลางขยี้ตาตัวเองเบาๆ
คนตัวเล็กมองไปรอบเหมือนกำลังประเมินสถานการณ์
และเมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบกับเจ้าของบ้านที่กำลังก้มหน้ามองเขาด้วยใบหน้าถมึงทึงดูน่ากลัว
“ไปอาบน้ำ
ฉันให้เวลา 10 นาที..ลืมไปแล้วรึไงว่าวันนี้ต้องไปค่ายทหารกับฉัน”
คนตัวเล็กหยัดบิดขี้เกียจก่อนพยักหน้ารับไปส่งๆ
เดินไปยังตู้เสื้อผ้าทั้งที่ยังโซเซเหมือนจะล้มตลอดเวลา
คงเป็นเพราะยังไม่ตื่นดีเป็นแน่ หากแต่ไม่นานลูฟี่ก็คว้าผ้าเช็ดตัวและชุดสำหรับวันนี้เดินเข้าห้องน้ำไป
ลอว์ถอนหายใจอย่างหน่ายๆ
ถึงจะถูกใจความสามารถของหมอนี่ที่แสดงออกมาเมื่อวาน
แต่ก็ยังไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมรับลูฟี่ได้ง่ายๆ
นิสัยเหมือนเด็กนั่นทำให้บางทีเขาก็รู้สึกหงุดหงิด ส่วนหนึ่งคงเพราะเขาไม่เคยต้องมาดูแลใครที่อายุน้อยกว่ามาก่อน
ชายหนุ่มส่ายหัวไปมาก่อนเดินออกจากห้องเพื่อไปรอที่ห้องนั่งเล่น
สิบนาทีเป๊ะๆไม่เกินกว่านั้น
ลูฟี่เดินลงบันไดมาหาเขาในเวลา
10 นาทีที่ตั้งไว้ไม่ขาดไม่เกิน ร่างเล็กๆในชุดลำลองอย่างฮู้ดแขนยาวดำกับกางเกงขายาวสีเดียวกันที่ตัดกับผิวขาวราวกับน้ำนม
หมวกฟางที่เคยสวมอยู่เสมอถูกถอดออก
ผมสีรัตติกาลที่เคยยุ่งฟูตอนตื่นนอนถูกหวีให้เข้าที่เข้าทาง
อย่างน้อยตอนนี้พลโทหนุ่มก็อารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย
การแต่งตัวของลูฟี่ดูมีกาลเทศะกว่าครั้งก่อน อาจจะไม่สามารถเรียกได้ว่าเหมาะกับการไปค่ายทหาร
แต่ก็ดีกว่าเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเป็นไหนๆ
การเดินทางไปยังค่ายทหารใช้เวลานานกว่าเมื่อวานนิดหน่อย
เพราะเป็นเวลาค่อนข้างเช้าซึ่งเป็นช่วงที่ชาวบ้านต่างเดินทางไปทำงานกัน
เพราะที่นี่เป็นเมืองที่อาจจะเรียกได้ว่าใกล้เคียงกับเมืองหลวงมากที่สุด การใช้ชีวิตของทุกคนที่นี่นั้นเร่งรีบ
ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกมีเงินมีฐานะ พวกเขาจะเริ่มออกทำงานตั้งแต่ 7 โมงเช้า
และกลับบ้านก่อน 6 โมงเย็นเพื่อหลีกเลี่ยงการก่อจลาจลกลางดึก
หรือพวกคอยจี้ปล้นตามถนน
แต่หากเริ่มออกไปชานเมืองก็จะเป็นอย่างที่เห็นเมื่อวาน..ผู้คนยากจนที่หิวโซและไร้ซึ่งที่อยู่
เป็นเขตที่พวกโจรคงไม่ได้สนใจอะไรนัก
ทันทีที่ลงจากรถเด็กหนุ่มก็เดินตามผู้ดูแลของตัวเองต้อยๆราวกับลูกเป็ดที่กำลังเดินตามแม่เป็ด
ภายในชั้นใต้ดินที่ถูกสร้างขึ้นเป็นที่คุมขังนักโทษนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นอับ
อีกทั้งยังมีกลิ่นคาวเลือดปนมาจางๆ มันช่างน่าทรมานสำหรับคนที่มีประสาทการดมกลิ่นดีอย่างลูฟี่
ตลอดเวลาที่เดินตามคนตรงหน้าก็อดที่จะเบ้หน้ากับกลิ่นไม่พึงประสงค์ในคุกไม่ได้
พวกนักโทษที่คาดว่าน่าจะเป็นเชลยจากสงครามถูกขังในคุกอย่างทรมาน
บางคนมีบาดแผลฉกรรจ์ขนาดใหญ่ บ้างก็ตัวผอมจนเห็นซี่โครง บ้างก็พิการไม่สมประกอบ
เป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกหดหู่
ห้องขังที่ลอว์เดินนำเขาเข้าไปคือห้องขังชั้นในสุด
เป็นห้องแคบๆที่มีเพียงเตียงเล็กๆที่ไม่มีแม้แต่ฟูกหรือผ้าห่ม
กับโถสำหรับปัสสาวะของผู้ชายเท่านั้น
จานอาหารที่วางอยู่ริมห้องขังนั้นคือซุปเละๆที่ลูฟี่ไม่คิดว่ามันคืออาหารคนด้วยซ้ำ
ชายที่นั่งคุดคู้อยู่ตรงมุมห้องเป็นชายวัยกลางคนที่ผอมโซยิ่งกว่าใคร
แม้ไม่มีบาดแผลตามร่างกาย แต่ดูก็รู้ว่าคงไม่ได้กินอาหารเป็นเวลานาน
ใบหน้าคมค้ามดูหยิ่งยโสและดื้อรั้น
เจ้าตัวคงเลือกที่จะไม่กินอาหารที่พวกทหารนำมาให้ (เขาเข้าใจนะ แม้แต่เขาเองก็คงกินไม่ลงเหมือนกัน)
แม้แต่ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาพบกับลอว์
ชายคนนั้นก็เพียงแค่จ้องหน้านิ่งๆแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่นเท่านั้น
“เขาชื่อมอร์แกน..เป็นทหารยศพันเอกจักรวรรดิแกรนด์ไลน์”
ลอว์แนะนำคนในห้องขังก่อนที่จะดึงมือเขาให้มายืนอยู่ข้างหน้า ชายหนุ่มก้มหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูเสียงต่ำ
“คอยดูซะว่าฉันทรมานนักโทษแบบไหน..ฉันจะดูว่านายจะทนมองมันได้มั้ย”
สิ่งที่ทหารของสหพันธรัฐออลบลูควรมีคือความไม่หวาดกลัวและไม่หวั่นไหวต่อศพ
เลือด และเสียงกรีดร้อง
สิ่งที่จะต้องฝึกตั้งแต่เข้ามาเป็นทหารของสหพันธรัฐออลบลูแรกๆเลยก็คือการฝึกให้มองศพเละๆได้โดยที่ไม่อ้วกแตกตายไปเสียก่อน
แน่นอนว่าลอว์ทำได้ดีมากๆในการฝึกเหล่านี้
“พวกนายพานักโทษคนนี้ไปที่ห้องทรมาน”
ลอว์หันไปสั่งโซโลกับซันจิซึ่งเดินตามเข้ามาเมื่อครู่ ทั้งสองคนพยักหน้ารับก่อนจับแขนของชายนักโทษคนละข้าง
แล้วลากออกไปจากห้องขัง ลูฟี่มองตามร่างนั้นไม่วางตา
รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าสิ่งที่จะได้พบต่อไปนี้คงเกินกว่าที่สามัญสำนึกของมนุษย์ธรรมดาจะรับไหว
“อ๊ากกกกกกก”
มันอาจจะเป็นความเคยชินของทหารที่นี่ ไม่มีใครตื่นตะหนกกับเสียงกรีดร้องโหยหวนที่นักโทษอย่างมอร์แกนส่งเสียงออกมาลั่นห้องทรมาน
ทุกคนเพียงทำกิจวัตรของตนต่อไปโดยที่ไม่คิดจะสนใจ
นัยน์ตากลมโตมองร่างผอมซูบของนักโทษด้วยความรู้สึกเวทนา
มอร์แกนเป็นทหารของทางจักรวรรดิที่ถูกจับได้ในสงคราม
ลอว์คงไม่คิดจะปราณี
อย่างไรก็ตาม..ต้องรีดเค้นเอาข้อมูลออกมาเสียก่อน
“พวกจักรวรรดิคิดจะทำอะไร”
พลโทหนุ่มถามเสียงต่ำระหว่างที่กำลังใช้มีดผ่าตัดกรีดแขนของเชลยจนเป็นแผลยาว
ลูฟี่พยายามมองภาพนั้นโดยไม่ละสายตา เขาจะอดทน
หากจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของลอว์และเป็นทหาร การทำตัวให้ชินกับการทรมาน เลือด
และศพ คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา
พันเอกแห่งจักรวรรดิแกรนด์ไลน์ยิ้มเยาะพลางถุยน้ำลายที่ปนเปกับกากเลือดลงพื้น
นัยน์ตาแข็งกร้าวกวาดตามองไปรอบๆห้องก่อนหยุดลงที่ลูฟี่ซึ่งยืนอยู่ชิดผนัง
มอร์แกนหันกลับมามองลอว์อีกครั้งพลางเค้นเสียงพูดออกมาแม้มันจะยากลำบาก
ในเมื่อการกรีดร้องเพราะความทรมานเมื่อครู่ทำให้เส้นเสียงของเขาเสียหายอยู่พอสมควร
“ทำไมฉันต้องบอกแก”
“หือ? ทำไมน่ะเหรอ?”
บนใบหน้าหล่อเหลาของพลโทหนุ่มกรีดยิ้มร้ายกาจ
มันคือรอยยิ้มที่จะปรากฏเพียงเวลาสู้รบหรือทรมานเหยื่อเท่านั้น
รอยยิ้มที่น่าขนลุกสิ้นดี
“เพราะแกเป็นของเล่นของฉัน”
มีดผ่าตัดเล่มงามถูกแทงลงบนฝ่ามือของเชลยผู้โชคร้ายจนเลือดทะลัก
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่น เป็นดั่งบทบรรเลงที่แสนไพเราะสำหรับพลโทแห่งออลบลู
มือหนาปล่อยออกจากด้ามมีด ปล่อยให้มันเสียบคาอยู่ตรงกลางมือของมอร์แกนอย่างไร้ปราณี
ลูฟี่ยกมือขึ้นปิดปาก
ลอว์ในยามนี้..ดูราวกับปีศาจร้ายไม่มีผิด
ช่วงเวลาอันแสนโหดร้ายผ่านไปเพียงครึ่งชั่วโมง
แต่สำหรับเชลยอย่างมอร์แกน..เขารู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเป็นปี ลอว์ละมือออกจากเครื่องผ่าตัดหลังจากที่เชลยเริ่มมีแผลเหวอะ
ลูฟี่ถอนหายใจหลังจากที่ไม่สามารถหายใจได้ทั่วท้องตลอดเวลาที่การทรมาณเริ่มต้นขึ้น
มอร์แกนไม่คิดที่จะปริปากบอกอะไรแม้แต่น้อย
ก็เหมือนกับเชลยคนอื่นๆที่ลอว์จับมาก่อนหน้านี้
เขาเดินออกจากห้องทรมานโดยไม่ลืมพยักเพยิดหน้าให้ลูฟี่เดินตามมาด้วย
มือที่เปื้อนเลือดถูกเช็ดคราบออกไปจนหมด
ชายหนุ่มเหลือบมองคนตัวเล็กซึ่งซันจิบอกว่าเด็กคนนี้ไม่ได้ละสายตาจากการทรมานของลอว์เลยแม้แต่นิด
แม้จะมีเบ้หน้าด้วยความผวาบ้าง แต่ก็ยอมอดทนมองจนกระทั่งมันสิ้นสุดลง
ก็นับว่ามีความพยายามไม่เบา
“ดูเหมือนว่าเจ้าจระเข้จะฝึกนายมาดีนะ”
ตบหัวคนตัวเล็กปุๆก่อนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เมื่อเห็นว่าลูฟี่แยกเขี้ยวใส่
เด็กร่างบางที่ร่างกายค่อนข้างจะผอมเก้งก้าง
ใบหน้าตอนเจอกันครั้งแรกก็ออกจะนิ่งเฉยดูไร้อารมณ์เสียส่วนใหญ่
ใครจะไปคิดว่าเด็กนี่ก็มีมุมเด็กๆอยู่เหมือนกัน
ชั่วครู่หนึ่งที่ใบหน้าคมเผยรอยยิ้มออกมาในยามที่ลูฟี่ไม่ทันสังเกตเห็น
และคิดว่าเจ้าของรอยยิ้มเองก็คงจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ แต่ในชั่วพริบตามันก็หายไปอย่างรวดเร็ว
ลอว์โบกมือไล่ลูฟี่ให้ไปเล่นกับพวกซันจิ ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้เก่าๆหลังจากที่ลูฟี่เดินออกจากห้องไปแล้ว
เขายกมือขึ้นกุมขมับ
ชั่วขณะหนึ่งที่เด็กคนนั้น..ทำให้เขานึกถึงรักแรกของเขาขึ้นมา
ชายหนุ่มยิ้มเยาะกับตัวเอง
“ฉันคงบ้าไปแล้วแน่ๆ”
ทางฝั่งลูฟี่ที่พึ่งเดินออกมาจากห้องพักชั่วคราวของลอว์ได้ไม่นาน
ร่างเล็กถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางแตะศีรษะของตัวเอง การตบหัวเบาๆของชายคนนั้นทำให้ครู่หนึ่งเขาแอบรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ร่างเล็กส่ายหน้าพรืด ก่อนที่จะทันได้วิ่งไปเล่นกับแฟรงกี้ ก็เห็นซันจิวิ่งเหยาะๆมาแต่ไกล
“มีอะไรเหรอ?”
“โทษนะลูฟี่
แต่ช่วยมากับฉันหน่อยได้มั้ย”
“หา?”
“พลเอกครอคโคไดล์ต้องการพบนาย”
ความคิดเห็น