คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : (sf) The Devil's Trap [1] – Law x Luffy
title :: The Devil's Trap
pairing :: Law x Luffy
author :: daydreamツ
request by :: -
notes :: มาต่อแล้วค่ะ! หลังจากหายไปนานจนรีดเดอร์อาจลืมไปแล้ว (ฮา) แง ขอโทษจริงๆค่ะ แต่ช่วงนี้ก็ว่างแล้ว
สัญญาว่าจะมาต่อให้เร็วขึ้น
----|----|----|----|----
“อ๊ากกกกกกกกกกกก!!”
เสียงกรีดร้องทรมานดังขึ้นจากภายในห้องขังที่คับแคบและเหม็นกลิ่นอับชื้นราวกับท่อระบายน้ำ
มือแกร่งที่เต็มไปด้วยรอยสักที่มีดสั้นด้ามหนึ่งไว้ในมือมั่น
จดจ้องไปยังร่างของเหยื่อที่กำลังดิ้นทุรนทุรายอย่างทรมานด้วยมีฝีมือของเขาพลางแย้มยิ้มอย่างพอใจ
นัยน์ตาคมเป็นประกายวาววับ
เวลาที่เขาชื่นชอบมากที่สุดก็คือการทรมานเหยื่อ
การทรมานพวกศัตรูที่จับมาได้สร้างความบันเทิงให้เขาท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดพวกนี้
เขามองร่างของชายวัยกลางคนรูปร่างผอมโซที่ล้มฟุบลงไปท่ามกลางกองเลือดด้วยแววตาเป็นประกายราวกับเด็กได้ของเล่น
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งชวนให้รู้สึกสะอิดสะเอียน แต่ถึงกระนั้นชายหนุ่มกลับมีสีหน้าสนุกสนาน..จดจ้องไปยังร่างซูบผอมจนแทบจะเหลือแต่โครงกระดูกที่กำลังหายใจรวยริน
“ยังไม่คิดจะบอกอีกรึไง”
โยนมีดสั้นเปื้อนเลือดในมือขึ้นลงพลางแสยะยิ้มอย่างน่าขนลุก
ร่างของชายผู้ตกเป็นเชลยกระตุกเล็กน้อยก่อนสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว
“ไม่! ฉันจะไม่บอกแก”
ลอว์ใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มพลางกลอกตา
เขากดเสียงต่ำ
“ฉันจะถามอีกแค่ครั้งเดียว..ใครส่งแกมา หมัดเพลิง?
หรือว่าไอผมแดงนั่น?” ชายวัยกลางคนมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หากแต่ก็ไม่ได้ให้คำตอบที่เขาต้องการ ร่างสูงเหยียดตามองเหยื่อของตนด้วยความสมเพช เขาตัดสินใจเดินออกมาจากห้องขังที่สุดแสนจะเหม็นอับ
และไม่ลืมบอกผู้คุมว่าจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้ห้ามนำอาหารมาให้นักโทษโดยเด็ดขาด
จริงๆแล้วระดับพลโทของเขาไม่ต้องมาทำงานทรมานเชลยศึกแบบนี้หรอก
แต่มันเป็นความชอบส่วนตัวของเขาเอง เสียงกรีดร้องที่ทรมาน เสียงอ้อนวอนร้องขอชีวิต
นั่นคือสิ่งที่เขาชอบทั้งหมด
เป็นเสมือนบทเพลงที่ช่วยทำให้จิตใจของเขารื่นรมย์ขึ้นมา
เขาล้างมือที่เปื้อนเลือดจนสะอาดหมดจด
โยนมีดสั้นทิ้งลงถังขยะพร้อมเดินออกจากห้องน้ำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตามกำหนดการเดิมนั้นเขาต้องกลับไปยังฐานที่ตนประจำการอยู่ก่อนเย็น
แต่ดูเหมือนว่าจะต้องเลื่อนไปก่อน..ในเมื่อตอนนี้มีปัญหาชิ้นใหญ่กำลังรออยู่ที่ห้องรับรอง
นัยน์ตาคมกริบราวกับสัตว์ร้ายจ้องร่างโปร่งบางของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟาตรงข้ามอย่างถือวิสาสะ
หลังจากการประชุมเมื่อวานซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาทั้งคู่ต้องมารู้จักกันด้วยสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วน
ชายหนุ่มปัดความรู้สึกน่ารำคาญใจนั่นทิ้ง
มองคนอายุน้อยกว่าที่เอาแต่เหม่อไปทางอื่นอย่างไร้จุดหมาย
บรรยากาศน่าอึดอัดโอบล้อมห้องรับรองที่แสนเรียบง่ายนี้ในทันทีที่ไม่มีใครคิดจะเปิดบทสนทนา
สำหรับลอว์..เขาคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องเป็นคนเอ่ยปากพูดก่อน
ในเมื่อจริงๆแล้วเขาไม่ได้อยากรู้จักเด็กนี่เลยด้วยซ้ำ
เขาหยิบเอกสารขึ้นมาอ่านโดยไม่คิดจะมองร่างบางอีก
ไล่อ่านข้อมูลที่ได้รับรายงานจากลูกน้องด้วยนัยน์ตาไร้อารมณ์
วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มและเต็มไปด้วยเมฆหมอก
หากแต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเหงาหรืออะไรนัก
ดีซะอีก..งานพวกนี้ทำให้เขาไม่รู้สึกว้าวุ่นใจเท่าที่ควร
“โทราโอะ”
คำพูดแปลกๆที่หลุดออกมาจากริมฝีปากกระจับนั่นเรียกให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร
เขาขมวดคิ้วจนแทบชนกัน
“อะไรนะ?”
“ฉันเรียกนายอยู่”
“หา?” เผลอทำสีหน้าประหลาดใจไปวูบหนึ่งก่อนจะตามมาด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ
ใครมันอนุญาตให้เด็กนั่นเปลี่ยนชื่อเขากัน?
หรือนี่จะเป็นเรื่องปกติของเด็กนี่? ลอว์จ้องเขม่งไปยังคนที่ทำเพียงสบตากับเขานิ่งๆ
“ฉันชื่อทราฟาการ์
ลอว์”
“ทรา—
โทราโอะ” ไม่รู้ว่าชื่อของเขามันเรียกยากไปหรือไอเด็กนี่กำลังกวนประสาทเขาอยู่กันแน่
“จะเรียกอะไรก็เรียก”
สุดท้ายก็ตัดบทไปด้วยความรำคาญ เขาสั่งให้เจ้าเด็กนี่นั่งนิ่งๆอยู่บนโซฟาและอย่ารบกวนเวลาทำงานของเขาโดยเด็ดขาด
ซึ่งเจ้าตัวก็ทำตามคำสั่งค่อนข้างดี
ลูฟี่ดูเป็นคนที่ค่อนข้างจะพูดน้อยและไม่ค่อยเผยความรู้สึกทางสีหน้า
และมันทำให้ลอว์เผลอนึกถึงสมัยที่เขายังเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ
และ..โอ้— ใช่ เขาเห็นแววตาดื้อรั้นเล็กๆจากเด็กนั่น
หลังจากนั่งหลังขดหลังแข็งทำงานมากว่า
2 ชั่วโมงก็ถึงเวลาพักผ่อน ร่างสูงหยัดตัวลุกขึ้น
เกือบเดินออกจากห้องไปแล้ว..โชคยังดีที่ยังนึกได้ว่าตนมีเด็กในการดูแลซึ่งเอาแต่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่หนึ่งคน
และมันทำให้เขาต้องก้าวฉับๆมาดึงเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นอย่างแรงจนเจ้าตัวเซ
ลูฟี่ขยี้ตาอย่างสะลึมสะลือ ดูเหมือนจะยังไม่ตื่นนอนดีนัก
“เลิกนอนกินบ้านกินเมืองซักที
ฉันจะพานายไปแนะนำให้คนอื่นรู้จัก”
ว่าแล้วก็กึ่งลากกึ่งจูงคนที่ไม่แม้แต่จะปริปากบ่นอะไรซักคำให้เดินตามเขาต้อยๆ
เพราะกำลังอยู่ในช่วงสงครามทุกอย่างถึงได้ดูวุ่นวายไปหมด
เขามองทหารหลายคนที่วิ่งๆอยู่ก็ต้องหยุดทำความเคารพกะทันหันเมื่อพบเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ทว่าในใจก็นึกสงสารอยู่เล็กน้อย
สถานการณ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายในตอนนี้ช่างน่าเป็นห่วง..อย่างแรกคือต่างฝ่ายต่างเสียกำลังพลไปมาก
และอย่างที่สอง..การขาดแคลนน้ำและอาหารกำลังจะทำให้ความสามารถด้านการรบของกองทัพเสื่อมประสิทธิภาพลง
เขาซึ่งถูกเลี้ยงดูโดยทหารและคลุกคลีกับการทำงานด้านนี้มาโดยตลอดย่อมเข้าใจและรู้จักการวางกลยุทธิ์ทางการทหาร
เป็นทั้งพลโทผู้มากความสามารถที่คนใหญ่คนโตในกองทัพไว้ใจ
อีกทั้งยังเป็นศัลยแพทย์ฝีมือดีที่ว่ากันว่าไม่มีใครที่เขารักษาแล้วไม่หาย
ถูกเรียกว่าเด็กอัจฉริยะตั้งแต่ตอนอายุเพียง 15 ปี..
ทั้งๆที่เป็นแบบนั้น..แต่กลับต้องมาทำหน้าที่ดูแลเด็กนี่!
“ขมวดคิ้วมากไปไม่ดีนะ
อ้อ..ครอคสอนมาน่ะ” คนที่เดินตามหลังต้อยๆพูดโดยไม่ได้หันมามองเขา
แต่กลับมองผู้คนที่เดินผ่านไปมาราวกับคนพวกนั้นมันน่าสนใจนักหนา เขาคิ้วกระตุก
แอบรู้สึกขนลุกในใจที่ชายผู้ซึ่งหน้าบึ้งคิ้วขมวดตลอดเวลาคนนั้นกลับสอนให้เด็กนี่ยิ้ม
เขาพาลูฟี่ไปยังฐานทัพทางทิศใต้ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของเขา
ที่นั่นเขาได้แนะนำให้ลูฟี่ได้รู้จักกับเบโปะ เพนกวิ้นและซาจิ ผู้ช่วยทั้ง 3
ของเขา
นอกจากนั้นยังได้แนะนำทหารยศพลตรีคนหนึ่งที่เขาขอร้อง(แกมบังคับ)ให้มาเป็นพี่เลี้ยงเด็กแทนเขาให้ลูฟี่รู้จัก
“นั่นคือซันจิ
ส่วนข้างๆหมอนั่นก็คือโซโลและนามิ”
ลูฟี่พยักหน้ารับ
เมื่อทำท่าจะแนะนำตัวบ้างก็โดนผู้ชายผมเขียวที่ลอว์แนะนำว่าชื่อโซโลห้ามเอาไว้เสียก่อน
“พวกเรารู้จักนายอยู่แล้ว”
“นี่น่ะเหรอไอเปี้ยกที่เจ้าเข้ทะเลทรายนั่นถูกใจน่ะ?” ซันจิขมวดคิ้วเป็นโบพลางจ้องมองเขาราวกับไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
เช่นเดียวกับนามิและโซโลที่เอาแต่จ้องเขาไม่หยุด เด็กหนุ่มหันซ้ายหันขวา
รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยกับการโดนจดจ้องราวกับตัวเองเป็นสิ่งแปลกประหลาด
“ก็แค่เด็กกะโปโลไม่ใช่รึไง”
นามิเลิกคิ้ว
“ก็นั่นล่ะ
แต่เห็นว่าเก่งนักเก่งหนา พวกนายก็ดูแลไปละกัน” ปัดความรับผิดชอบให้ผู้ที่เป็นทั้งลูกน้องและเพื่อนเก่าไปเสียดื้อๆ
โซโลตีหน้ายักษ์
“โยนขี้มาให้เชียวนะแก”
พลโทหนุ่มวัย 30 ปียักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนดูจะเข้ากับเด็กนั่นได้ก็แทบจะเดินตัวปลิวกลับห้องของตัวเองทันที
น่าเสียดายที่ชายเสื้อโค้ทของเขากลับถูกรั้งโดยมือเล็กๆของเด็กหนุ่มสวมหมวกฟาง
ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปปั้นสลักจ้องเด็กหนุ่มราวกับถามว่ามีปัญหาอะไรอีก
ลูฟี่มองเขาด้วยสายตาอ่านยาก
“โทราโอะ..”
“ฉันชื่อลอว์”
“โทราโอะ”
“เฮ้อ..มีอะไรก็ว่ามา”
“ฉันได้กลิ่น..เลือดจากนาย”
อา
เด็กนี่..
ทั้งๆที่เขามั่นใจว่าตัวเองล้างคราบเลือดที่มือจนสะอาดหมดจดแล้วแท้ๆ
แต่เด็กนี่กลับยังได้กลิ่นมัน..ไม่รู้ว่าเพราะกลิ่นเลือดมันแรงเกินไปหรือลูฟี่จมูกดีเกินไปกันแน่
เขาแค่นหัวเราะในลำคอพลางแกะมือข้างนั้นออกจากชายเสื้อโค้ท
ดึงเนคไทให้หลวมขึ้นเล็กน้อยก่อนเดินออกจากห้องไปโดยไม่แม้แต่จะร่ำลา
ลูฟี่หน้าบูด
“ไร้มารยาทชะมัด”
ซันจิ
โซโล และนามิมองหน้ากันพลางยิ้มขำ “อย่างนายนี่มีหน้าไปว่าหมอนั่นด้วยรึไง”
เด็กหนุ่มหันหน้าขวับมาทางพวกเขาแทบจะทันทีพลางแหวลั่น “แล้วฉันไร้มารยาทตรงไหน!?”
“มีอย่างที่ไหนไปตั้งชื่อเล่นให้คนที่เจอกันครั้งแรกเล่า”
ลูฟี่ทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินคำแซะกลายๆของนามิพลางพึมพำเสียงแผ่ว
“ก็ชื่อหมอนั่นมันเรียกยากนี่หว่า”
----|----|----|----|----
มันเป็นเรื่องยากสำหรับลูฟี่ที่ต้องคอยทำตัวว่าง่ายกับคนแปลกหน้าตลอดเวลา
เขากวาดสายตามองรอบๆ
พวกคนในชุดเครื่องแบบมองเขาด้วยความสนใจราวกับเขาเป็นสิ่งแปลกปลอมของที่นี่
ซึ่ง..มันก็จริง
หนึ่งคือเขาไม่ได้เป็นทหารด้วยซ้ำแต่กลับเดินอยู่ในฐานทัพได้หน้าตาเฉยราวกับบ้านของตัวเอง
และสอง..คือผู้ชายที่ชอบลากแขนเขาไปไหนมาไหนคนนั้น
ตลอด
1 สัปดาห์ที่อยู่ด้วยกันไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเราดีขึ้นซักเท่าไหร่
ลอว์เป็นคนพูดน้อย..ส่วนเขาก็เป็นคนจำพวกไม่พูดหากเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามมีท่าทีไม่อยากจะเสวนาด้วย
ดังนั้นช่วงเวลา
7 วันที่ผ่านมาเขากับหมอนั่นจึงแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลย
หมอนั่นแค่ลากเขาไปนั่งดูหมอนั่นทำงาน
ส่วนเขาก็แค่นอนไม่ก็เหม่อมองวิวทิวทัศน์ไปเรื่อยแบบคนที่ไม่มีอะไรทำ
นึกอยากจะด่ากราดเจ้าจระเข้ที่ส่งเขามาอยู่กับหมอนี่
พูดตามตรงนะ..การอยู่กับชายคนนี้มันน่าเบื่อเป็นบ้า!
เขาชอบความตื่นเต้น ชอบความท้าทาย
และแน่นอนว่าเขาเกลียดความรู้สึกที่ว่าตัวเองกำลังทำตัวเหมือนลูกสุนัขเชื่องๆที่คอยตามก้นเจ้านายไปทุกที
“ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไง
ด่าฉันอยู่?”
คนที่พึ่งมอบหมายงานให้ลูกน้องเสร็จเลิกคิ้วมองเขานิ่งๆ
นัยน์ตาคมกริบคู่นั้นสบตาเขาราวกับนักล่าที่จ้องเหยื่อ
มันดูเหมือนกับว่าอีกฝ่ายมองเขาออกทะลุปรุโปร่ง
เขาส่ายหน้าแทบจะทันที
“เปล่านี่”
ไหงเขาถึงทำตัวเหมือนสุนัขเชื่องๆอีกแล้ว!?
“ก็ดี”
อีกฝ่ายหยัดตัวลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน
กองเอกสารมากมายที่พึ่งเซ็นเสร็จไปไม่นานถูกรวบเก็บอย่างเรียบร้อย เขาชะเง้อมองเอกสารพวกนั้นอยู่ครู่หนึ่ง
จนเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาอำมหิตจึงตัดสินใจละสายตาจากมันแล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เดินไปรอที่หน้าประตู
“วันนี้นายจะไปไหนอีก”
เขาถาม
“ไปดูพวกทหารที่ค่าย
ทำไม? นายจะไปด้วย?”
“ค่ายทหารเหรอ?” ลูฟี่พึมพำ นัยน์ตาเป็นประกายชั่วครู่ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว
เขาค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองชายตรงหน้าซึ่งกำลังทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กจำเป็นด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉยกว่าดวงตากลับเผยให้เห็นชัดเจนว่าต้องการไปมากขนาดไหน
“..งั้นฉันคงต้องพานายไป?”
“ก็ไม่ได้อยากไปหรอกนะ
แต่ถ้านายจะพาไปก็ไม่คิดจะขัดข้อง”
“มันก็แปลว่าอยากไปไม่ใช่รึไง?” ลอว์กุมขมับนึกปวดศีรษะขึ้นมาเสียดื้อๆ
จริงๆแล้วเขาจะไม่พาไปก็ได้..แต่แค่คิดว่าต่อให้ไม่พาไปยังไงซะหมอนี่ก็ต้องไปรบเร้าให้พวกซันจิพาไปอยู่ดี
แบบนั้นจะวุ่นวายเสียเปล่าๆ แถมพวกนั้นก็ไม่ใช่พวกที่จะยอมไปค่ายทหารโดยไม่ก่อความวุ่นวายซะด้วยสิ
“ก็นิดนึง”
สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องยอมพาเด็กนี่เดินทางไปค่ายทหารจนได้
ระหว่างทางต้องผ่านบ้านเมืองที่แทบจะพังทลายไปเพราะผลกระทบจากสงคราม
นัยน์ตากลมของลูฟี่มองมันด้วยสายตาอ่านยาก ในทางกลับกัน..ชายหนุ่มร่างสูงไม่คิดที่จะเหลือบมองมันเสียด้วยซ้ำ
สายตาคมกริบมองตรงไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว
นายทหารที่ขับรถให้ก็ไม่ได้เอ่ยชวนคุยอะไรมากนัก
รถทั้งคันเงียบสงัด..ทว่ามันกลับไม่ได้ชวนให้รู้สึกอึดอัดอย่างที่คิด
หรืออาจจะเป็นเพราะลูฟี่เหม่อเกินกว่าจะมารับรู้ถึงบรรยากาศในรถก็เป็นได้
ผู้คนที่อดอยากและเดินโซซัดโซเซ..นัยน์ตาไร้ประกายราวกับหมดหวังในสถานการณ์พวกนี้
ร่างกายที่ผอมแห้งจนแทบจะเหลือแต่เพียงกระดูก อีกทั้งยังสกปรกมอมแมมเสียจนไม่น่าดู
ในขณะที่พวกชนชั้นสูงในอาณาจักรนี้ยังคงกินอิ่มนอนหลับและมีชีวิตที่ดี
ไม่ต้องมารับรู้ถึงผลกระทบที่ร้ายแรงของการนองเลือดครั้งนี้
ภาพบางอย่างแล่นวาบเข้ามาในศีรษะของเด็กหนุ่ม
ภาพของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ลุกโชนไปด้วยเพลิงโลกันต์ที่ยากจะมอดดับได้โดยง่าย
เขม่าควันลอยคลุ้งในอากาศจนแทบสำลัก เพลิงที่ฆ่าล้างทุกชีวิตในสถานที่แห่งนั้นใช้เวลากว่า
3 วันกว่าจะมอดดับลง และแน่นอนว่าไม่มีใครคิดจะเข้าไปช่วยเหลือ
น่าแปลกใจที่นั่นเป็นความทรงจำเพียงอย่างเดียวที่เขาไม่เคยลืม
รู้ตัวอีกทีเขาก็อยู่ภายใต้การดูแลของครอคโคไดล์..และจำชีวิตการเป็นอยู่ในช่วงเวลาที่อยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้เลย
จำได้เพียงภาพของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่พังทลายลงมาต่อหน้าต่อตาเท่านั้น
เด็กหนุ่มปิดเปลือกตาลง
ตัดสินใจดำดิ่งสู่ห้วงนิทราเพื่อหลีกหนีความทรงจำบ้าๆที่ตามหลอกหลอนเขามาโดยตลอด เขาไม่เคยเข้าใจว่าทำไมจักรวรรดิแกรนด์ไลน์ถึงได้ต้องเจ้าคิดเจ้าแค้นเพียงเพราะพระชายาขององค์รัชทายาทถูกฆ่า
ก็จริงที่มันสมควรโกรธ..แต่มันไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้วหรือ?
ทำไมประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องกว่าหลายล้านคนถึงต้องมาสังเวยชีวิตกับสงครามบ้าๆนี่ด้วยล่ะ?
“ถึงแล้วครับ”
นายทหารที่ทำหน้าที่เป็นสารถีบอกแค่นั้นก่อนที่คนตัวสูงจะเป็นคนปลุกเขาให้ตื่นจากนิทราเพื่อลงจากรถ
ค่ายทหารที่อยู่ตรงหน้านั้นใหญ่พอสมควร..คิดว่าคงเป็นหนึ่งในแนวป้องกันที่สมบูรณ์แบบของสหพันธรัฐออลบลู
ทหารทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับการรักษาผู้บาดเจ็บและหาอาหารมาประทังชีวิตในสนามรบ
“นั่นพลโทนี่”
“อ่ะ
พลโท”
พวกเขายืนเรียงแถวทำความเคารพร่างสูงอย่างพร้อมเพรียงสมแล้วที่ถูกฝึกมาอย่างเข้มงวด
ตลอดทั้งวันลูฟี่ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการเดินตามร่างสูงไปสั่งงานตรงนู้นตรงนี้ นอกนั้นก็เป็นการนั่งเล่นกับพวกทหารที่รับหน้าที่ประจำค่ายและเป็นพี่เลี้ยงเด็กจำเป็น
เด็กหนุ่มเท้าคางด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
สุดท้ายที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้เขารู้สึกตื่นเต้นหรือท้าทายอยู่ดี
“ไม่มีอะไรสนุกๆให้ทำบ้างเลยเหรอ?” หันไปถามแฟรงกี้..หนึ่งในทหารที่คอยประจำการที่ค่ายเพื่อทำหน้าที่ซ่อมแซมเครื่องยนต์ต่างๆ
แฟรงกี้มีสีหน้าขบคิด
“นี่มันค่ายทหารนี่นา
จะหาอะไรทำที่มันสนุกๆก็ยากหน่อยนา”
“นึกว่าเป็นค่ายทหารแล้วจะมีอะไรสนุกๆให้ทำซะอีก”
บ่นอุบอิบก่อนเหล่มองคนตัวสูงกว่าที่เอาแต่สั่งงานลูกน้องโดยไม่หันมามองทางนี้ซักนิด
ดูเป็นคนจริงจังกับงานซะจนน่าเบื่อ
ชีวิตที่เอาแต่ทำงานเอกสารและสั่งทหารไปวันๆมันมีดีตรงไหน
เด็กหนุ่มหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ก่อนเคาะนิ้วไปตามจังหวะ
ที่นี่ก็ยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
และมันทำให้เขารู้สึกอยากจะเบ้ปากเสียจริง
“เจ้าหมวกฟาง
ไปได้แล้ว เราจะไปหาโมเรียนักค้าข่าว”
“หา!? ไปทำไมอีกล่ะ” ผู้มียศเป็นถึงพลโทชักสีหน้าอย่างรำคาญ
แต่ถึงกระนั้นก็ยอมบอกเหตุผลแม้จะอิดออดไปบ้างในตอนแรก
“มีปัญหานิดหน่อย
รู้แค่นี้ก็พอ”
“เฮ้อ..”
เด็กหนุ่มถอนหายใจ หันไปโบกมือร่ำลาแฟรงกี้ก่อนเดินตามพลโทหนุ่มต้อยๆออกจากค่ายทหารไป
เอาอีกแล้ว..รู้สึกเหมือนตัวเองกลับมาเป็นลูกสุนัขเชื่องๆอีกแล้ว
ร่างเล็กเบะริมฝีปาก เขาเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบทำตามคำสั่งใคร
เพียงแต่ครอคบอกเอาไว้ว่าอย่าสร้างปัญหา
คนอย่างโทราโอะไม่ยกเว้นแม้แต่เด็ก..แล้วนึกหรือว่าเด็กหนุ่มที่อายุอานามก็ปาไป 20
อย่างลูฟี่จะรอด
เขาไม่ได้กลัวหรอกนะ
แค่ไม่อยากสร้างปัญหาให้เจ้าจระเข้ก็เท่านั้น
ร่างทั้งสองร่างลงจากรถก่อนเดินเข้าไปในร้านค้าซอมซ่อที่ซ่อนอยู่ในซอกแคบระหว่างตึก
ผู้คนจรจัดมากมายอาศัยอยู่ในซอกนั้นหลบไปคนละทิศคนละทางเพื่อเว้นให้พวกเขาเดิน
ทั้งผอมแห้งและหิวโซ ที่ปากก็มีเลือดแห้งกรังติดอยู่
คิดว่าอาจจะมีการจับหนูกินเป็นอาหารเพื่อประทังชีวิตรอดไปวันๆ
ฟิ้ว! ฉึก!
เสียงแหวกอากาศของวัตถุมีคมดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด
เหล่าคนจรจัดส่งเสียงฮือฮาก่อนวิ่งไปหาที่หลบกันจ้าละหวั่น บ้างก็หลบหลังถังขยะ
บ้างก็หลบอยู่ในลังแคบๆที่ส่งกลิ่นเหม็นอับ ลูฟี่ตั้งท่าเตรียมพร้อม
เช่นเดียวกับลอว์ที่ชักดาบออกมาเพื่อเตรียมรับมือหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน
มีดสั้นเล่มงามที่ถูกขว้างมาปักอยู่ตรงลังไม้
ปลายมีดทะลุไปจนเห็นเพียงแค่ครึ่งเล่ม
ทันใดนั้นเองที่พวกเขาได้ยินเสียงเหมือนคนกระโดดลงมาจากบนอาคาร
เคร้ง!
ลูฟี่ดึงมีดสั้นขนาดพอดีมือออกมาจากกระเป๋ากางเกงพร้อมตั้งท่ารองรับการปะทะอย่างรวดเร็ว
เสียงเสียดสีกันของโลหะและประกายวาววับทำให้ผู้ที่เข้ามาโจมตีต้องกระโดดล่าถอยออกไป
ลอว์หันไปมองเด็กหนุ่มในทันที ไม่คิดว่าในชั่วพริบตาที่มีคนเข้ามาโจมตีเขา
เด็กนี่จะพุ่งมารับแรงปะทะได้ในเวลาไม่กี่วินาที
ทั้งคู่หันไปมองบุคคลที่สามผู้เข้ามาโจมตีพวกตนด้วยสายตาระแวดระวัง
คนตรงหน้าเป็นชายตัวใหญ่ในชุดคล้ายกับอัศวินในยุคกลาง
ส่วนศีรษะเป็นสิงโตพร้อมกับรอยเย็บรอบๆเหมือนผ่านการผ่าตัดมาแล้วหลายครั้ง ผมสีเหลืองยาวรุงรังเหมือนไม่ได้หวีมาชาติเศษ
ดาบที่อีกฝ่ายถือเป็นดาบเรเปียร์สีดำเงา
ดูเหมือนกับดาบที่มักถือกันในพวกชนชั้นสูงสมัยก่อน
“อับซาลอม?”
ชายที่หน้าเหมือนสิงโตฉีกยิ้มกว้าง
“ไงทราฟาการ์! ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเจ้าหนู” ดาบในมือของสองหนุ่มถูกเก็บเข้าฝัก ลูฟี่ที่เห็นท่าทางสนิทสนมเหมือนทั้งคู่รู้จักกันมาก่อนนั้นก็เก็บมีดสั้นในมือลงกระเป๋า
นัยน์ตาสีดำขลับลอบมองทั้งคู่เหมือนกำลังสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ
“แกโจมตีพวกฉันทำไม?”
“อย่ายั๊วะเลยน่าเจ้าหนู—
หมายถึง..อย่ายั๊วะเลยน่าพลโท ก็แค่อยากทดสอบเด็กที่มากับนายตามคำสั่งของโมเรียน่ะ”
“เจ้าตุ๊กแกนั่นชอบทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
อับซาลอมฉีกยิ้มน่าขนลุกก่อนขยับเข้ามากระซิบที่หู
“แต่แกก็พอใจใช่มั้ยล่ะ
เป็นไง? เด็กของครอคโคไดล์..เยี่ยมไปเลยใช่มั้ย?”
ลอว์ยิ้มมุมปาก
ดึงแขนลูฟี่ให้ขยับเข้ามาหาตัวก่อนโอบไหล่เอาไว้หลวมๆ เขาชี้นิ้วมาที่ลูฟี่ก่อนยักคิ้วให้กับคนอายุมากกว่าที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก
“แน่นอน
ฉันถูกใจความสามารถของเด็กนี่..และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เด็กนี่จะไม่ใช่ของเจ้าจระเข้ครอคโคไดล์”
“...”
“แต่เป็นของฉัน”
ความคิดเห็น