ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (one piece) straw hat pirate | short fanfiction (all luffy)

    ลำดับตอนที่ #3 : (sf) The Devil's Trap [1] – Law x Luffy

    • อัปเดตล่าสุด 29 มี.ค. 62


    title :: The Devil's Trap

    pairing :: Law x Luffy

    author :: daydream

    request by :: -

    notes :: มาต่อแล้วค่ะ! หลังจากหายไปนานจนรีดเดอร์อาจลืมไปแล้ว (ฮา) แง ขอโทษจริงๆค่ะ แต่ช่วงนี้ก็ว่างแล้ว สัญญาว่าจะมาต่อให้เร็วขึ้น

     

    ----|----|----|----|----

     

     

     

              “อ๊ากกกกกกกกกกกก!!

     

              เสียงกรีดร้องทรมานดังขึ้นจากภายในห้องขังที่คับแคบและเหม็นกลิ่นอับชื้นราวกับท่อระบายน้ำ มือแกร่งที่เต็มไปด้วยรอยสักที่มีดสั้นด้ามหนึ่งไว้ในมือมั่น จดจ้องไปยังร่างของเหยื่อที่กำลังดิ้นทุรนทุรายอย่างทรมานด้วยมีฝีมือของเขาพลางแย้มยิ้มอย่างพอใจ นัยน์ตาคมเป็นประกายวาววับ

     

              เวลาที่เขาชื่นชอบมากที่สุดก็คือการทรมานเหยื่อ

     

              การทรมานพวกศัตรูที่จับมาได้สร้างความบันเทิงให้เขาท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดพวกนี้ เขามองร่างของชายวัยกลางคนรูปร่างผอมโซที่ล้มฟุบลงไปท่ามกลางกองเลือดด้วยแววตาเป็นประกายราวกับเด็กได้ของเล่น กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งชวนให้รู้สึกสะอิดสะเอียน แต่ถึงกระนั้นชายหนุ่มกลับมีสีหน้าสนุกสนาน..จดจ้องไปยังร่างซูบผอมจนแทบจะเหลือแต่โครงกระดูกที่กำลังหายใจรวยริน

     

              “ยังไม่คิดจะบอกอีกรึไง” โยนมีดสั้นเปื้อนเลือดในมือขึ้นลงพลางแสยะยิ้มอย่างน่าขนลุก ร่างของชายผู้ตกเป็นเชลยกระตุกเล็กน้อยก่อนสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว

     

              “ไม่! ฉันจะไม่บอกแก”

     

              ลอว์ใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มพลางกลอกตา

     

              เขากดเสียงต่ำ “ฉันจะถามอีกแค่ครั้งเดียว..ใครส่งแกมา หมัดเพลิง? หรือว่าไอผมแดงนั่น?” ชายวัยกลางคนมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากแต่ก็ไม่ได้ให้คำตอบที่เขาต้องการ ร่างสูงเหยียดตามองเหยื่อของตนด้วยความสมเพช เขาตัดสินใจเดินออกมาจากห้องขังที่สุดแสนจะเหม็นอับ และไม่ลืมบอกผู้คุมว่าจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้ห้ามนำอาหารมาให้นักโทษโดยเด็ดขาด

     

              จริงๆแล้วระดับพลโทของเขาไม่ต้องมาทำงานทรมานเชลยศึกแบบนี้หรอก แต่มันเป็นความชอบส่วนตัวของเขาเอง เสียงกรีดร้องที่ทรมาน เสียงอ้อนวอนร้องขอชีวิต นั่นคือสิ่งที่เขาชอบทั้งหมด

     

              เป็นเสมือนบทเพลงที่ช่วยทำให้จิตใจของเขารื่นรมย์ขึ้นมา

     

              เขาล้างมือที่เปื้อนเลือดจนสะอาดหมดจด โยนมีดสั้นทิ้งลงถังขยะพร้อมเดินออกจากห้องน้ำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตามกำหนดการเดิมนั้นเขาต้องกลับไปยังฐานที่ตนประจำการอยู่ก่อนเย็น แต่ดูเหมือนว่าจะต้องเลื่อนไปก่อน..ในเมื่อตอนนี้มีปัญหาชิ้นใหญ่กำลังรออยู่ที่ห้องรับรอง

     

              นัยน์ตาคมกริบราวกับสัตว์ร้ายจ้องร่างโปร่งบางของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟาตรงข้ามอย่างถือวิสาสะ หลังจากการประชุมเมื่อวานซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาทั้งคู่ต้องมารู้จักกันด้วยสถานการณ์อันน่ากระอักกระอ่วน ชายหนุ่มปัดความรู้สึกน่ารำคาญใจนั่นทิ้ง มองคนอายุน้อยกว่าที่เอาแต่เหม่อไปทางอื่นอย่างไร้จุดหมาย

     

              บรรยากาศน่าอึดอัดโอบล้อมห้องรับรองที่แสนเรียบง่ายนี้ในทันทีที่ไม่มีใครคิดจะเปิดบทสนทนา สำหรับลอว์..เขาคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องเป็นคนเอ่ยปากพูดก่อน ในเมื่อจริงๆแล้วเขาไม่ได้อยากรู้จักเด็กนี่เลยด้วยซ้ำ

     

              เขาหยิบเอกสารขึ้นมาอ่านโดยไม่คิดจะมองร่างบางอีก ไล่อ่านข้อมูลที่ได้รับรายงานจากลูกน้องด้วยนัยน์ตาไร้อารมณ์ วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มและเต็มไปด้วยเมฆหมอก หากแต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเหงาหรืออะไรนัก ดีซะอีก..งานพวกนี้ทำให้เขาไม่รู้สึกว้าวุ่นใจเท่าที่ควร

     

              “โทราโอะ” คำพูดแปลกๆที่หลุดออกมาจากริมฝีปากกระจับนั่นเรียกให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร

     

              เขาขมวดคิ้วจนแทบชนกัน

     

              “อะไรนะ?

     

              “ฉันเรียกนายอยู่”

     

              “หา?” เผลอทำสีหน้าประหลาดใจไปวูบหนึ่งก่อนจะตามมาด้วยสีหน้าไม่ชอบใจ ใครมันอนุญาตให้เด็กนั่นเปลี่ยนชื่อเขากัน? หรือนี่จะเป็นเรื่องปกติของเด็กนี่? ลอว์จ้องเขม่งไปยังคนที่ทำเพียงสบตากับเขานิ่งๆ

     

              “ฉันชื่อทราฟาการ์ ลอว์”

     

              “ทรา— โทราโอะ” ไม่รู้ว่าชื่อของเขามันเรียกยากไปหรือไอเด็กนี่กำลังกวนประสาทเขาอยู่กันแน่

     

              “จะเรียกอะไรก็เรียก” สุดท้ายก็ตัดบทไปด้วยความรำคาญ เขาสั่งให้เจ้าเด็กนี่นั่งนิ่งๆอยู่บนโซฟาและอย่ารบกวนเวลาทำงานของเขาโดยเด็ดขาด ซึ่งเจ้าตัวก็ทำตามคำสั่งค่อนข้างดี ลูฟี่ดูเป็นคนที่ค่อนข้างจะพูดน้อยและไม่ค่อยเผยความรู้สึกทางสีหน้า และมันทำให้ลอว์เผลอนึกถึงสมัยที่เขายังเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ

     

              และ..โอ้— ใช่ เขาเห็นแววตาดื้อรั้นเล็กๆจากเด็กนั่น

     

              หลังจากนั่งหลังขดหลังแข็งทำงานมากว่า 2 ชั่วโมงก็ถึงเวลาพักผ่อน ร่างสูงหยัดตัวลุกขึ้น เกือบเดินออกจากห้องไปแล้ว..โชคยังดีที่ยังนึกได้ว่าตนมีเด็กในการดูแลซึ่งเอาแต่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่หนึ่งคน และมันทำให้เขาต้องก้าวฉับๆมาดึงเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นอย่างแรงจนเจ้าตัวเซ ลูฟี่ขยี้ตาอย่างสะลึมสะลือ ดูเหมือนจะยังไม่ตื่นนอนดีนัก

     

              “เลิกนอนกินบ้านกินเมืองซักที ฉันจะพานายไปแนะนำให้คนอื่นรู้จัก” ว่าแล้วก็กึ่งลากกึ่งจูงคนที่ไม่แม้แต่จะปริปากบ่นอะไรซักคำให้เดินตามเขาต้อยๆ

     

              เพราะกำลังอยู่ในช่วงสงครามทุกอย่างถึงได้ดูวุ่นวายไปหมด เขามองทหารหลายคนที่วิ่งๆอยู่ก็ต้องหยุดทำความเคารพกะทันหันเมื่อพบเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ทว่าในใจก็นึกสงสารอยู่เล็กน้อย สถานการณ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายในตอนนี้ช่างน่าเป็นห่วง..อย่างแรกคือต่างฝ่ายต่างเสียกำลังพลไปมาก

     

              และอย่างที่สอง..การขาดแคลนน้ำและอาหารกำลังจะทำให้ความสามารถด้านการรบของกองทัพเสื่อมประสิทธิภาพลง

     

              เขาซึ่งถูกเลี้ยงดูโดยทหารและคลุกคลีกับการทำงานด้านนี้มาโดยตลอดย่อมเข้าใจและรู้จักการวางกลยุทธิ์ทางการทหาร เป็นทั้งพลโทผู้มากความสามารถที่คนใหญ่คนโตในกองทัพไว้ใจ อีกทั้งยังเป็นศัลยแพทย์ฝีมือดีที่ว่ากันว่าไม่มีใครที่เขารักษาแล้วไม่หาย ถูกเรียกว่าเด็กอัจฉริยะตั้งแต่ตอนอายุเพียง 15 ปี..

     

              ทั้งๆที่เป็นแบบนั้น..แต่กลับต้องมาทำหน้าที่ดูแลเด็กนี่!

     

              “ขมวดคิ้วมากไปไม่ดีนะ อ้อ..ครอคสอนมาน่ะ” คนที่เดินตามหลังต้อยๆพูดโดยไม่ได้หันมามองเขา แต่กลับมองผู้คนที่เดินผ่านไปมาราวกับคนพวกนั้นมันน่าสนใจนักหนา เขาคิ้วกระตุก แอบรู้สึกขนลุกในใจที่ชายผู้ซึ่งหน้าบึ้งคิ้วขมวดตลอดเวลาคนนั้นกลับสอนให้เด็กนี่ยิ้ม

     

              เขาพาลูฟี่ไปยังฐานทัพทางทิศใต้ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของเขา ที่นั่นเขาได้แนะนำให้ลูฟี่ได้รู้จักกับเบโปะ เพนกวิ้นและซาจิ ผู้ช่วยทั้ง 3 ของเขา นอกจากนั้นยังได้แนะนำทหารยศพลตรีคนหนึ่งที่เขาขอร้อง(แกมบังคับ)ให้มาเป็นพี่เลี้ยงเด็กแทนเขาให้ลูฟี่รู้จัก

     

              “นั่นคือซันจิ ส่วนข้างๆหมอนั่นก็คือโซโลและนามิ”

     

              ลูฟี่พยักหน้ารับ เมื่อทำท่าจะแนะนำตัวบ้างก็โดนผู้ชายผมเขียวที่ลอว์แนะนำว่าชื่อโซโลห้ามเอาไว้เสียก่อน “พวกเรารู้จักนายอยู่แล้ว”

     

              “นี่น่ะเหรอไอเปี้ยกที่เจ้าเข้ทะเลทรายนั่นถูกใจน่ะ?” ซันจิขมวดคิ้วเป็นโบพลางจ้องมองเขาราวกับไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เช่นเดียวกับนามิและโซโลที่เอาแต่จ้องเขาไม่หยุด เด็กหนุ่มหันซ้ายหันขวา รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยกับการโดนจดจ้องราวกับตัวเองเป็นสิ่งแปลกประหลาด

     

              “ก็แค่เด็กกะโปโลไม่ใช่รึไง” นามิเลิกคิ้ว

     

              “ก็นั่นล่ะ แต่เห็นว่าเก่งนักเก่งหนา พวกนายก็ดูแลไปละกัน” ปัดความรับผิดชอบให้ผู้ที่เป็นทั้งลูกน้องและเพื่อนเก่าไปเสียดื้อๆ โซโลตีหน้ายักษ์

     

              “โยนขี้มาให้เชียวนะแก” พลโทหนุ่มวัย 30 ปียักไหล่อย่างไม่ยี่หระ เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนดูจะเข้ากับเด็กนั่นได้ก็แทบจะเดินตัวปลิวกลับห้องของตัวเองทันที น่าเสียดายที่ชายเสื้อโค้ทของเขากลับถูกรั้งโดยมือเล็กๆของเด็กหนุ่มสวมหมวกฟาง

     

              ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปปั้นสลักจ้องเด็กหนุ่มราวกับถามว่ามีปัญหาอะไรอีก

     

              ลูฟี่มองเขาด้วยสายตาอ่านยาก

     

              “โทราโอะ..”

     

              “ฉันชื่อลอว์”

     

              “โทราโอะ”

     

              “เฮ้อ..มีอะไรก็ว่ามา”

     

              “ฉันได้กลิ่น..เลือดจากนาย”

     

             อา เด็กนี่..

     

              ทั้งๆที่เขามั่นใจว่าตัวเองล้างคราบเลือดที่มือจนสะอาดหมดจดแล้วแท้ๆ แต่เด็กนี่กลับยังได้กลิ่นมัน..ไม่รู้ว่าเพราะกลิ่นเลือดมันแรงเกินไปหรือลูฟี่จมูกดีเกินไปกันแน่ เขาแค่นหัวเราะในลำคอพลางแกะมือข้างนั้นออกจากชายเสื้อโค้ท ดึงเนคไทให้หลวมขึ้นเล็กน้อยก่อนเดินออกจากห้องไปโดยไม่แม้แต่จะร่ำลา

     

              ลูฟี่หน้าบูด “ไร้มารยาทชะมัด”

     

              ซันจิ โซโล และนามิมองหน้ากันพลางยิ้มขำ “อย่างนายนี่มีหน้าไปว่าหมอนั่นด้วยรึไง” เด็กหนุ่มหันหน้าขวับมาทางพวกเขาแทบจะทันทีพลางแหวลั่น “แล้วฉันไร้มารยาทตรงไหน!?

     

              “มีอย่างที่ไหนไปตั้งชื่อเล่นให้คนที่เจอกันครั้งแรกเล่า”

     

              ลูฟี่ทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินคำแซะกลายๆของนามิพลางพึมพำเสียงแผ่ว

     

              “ก็ชื่อหมอนั่นมันเรียกยากนี่หว่า”

     

     

     

    ----|----|----|----|----

     

     

     

              มันเป็นเรื่องยากสำหรับลูฟี่ที่ต้องคอยทำตัวว่าง่ายกับคนแปลกหน้าตลอดเวลา เขากวาดสายตามองรอบๆ พวกคนในชุดเครื่องแบบมองเขาด้วยความสนใจราวกับเขาเป็นสิ่งแปลกปลอมของที่นี่ ซึ่ง..มันก็จริง หนึ่งคือเขาไม่ได้เป็นทหารด้วยซ้ำแต่กลับเดินอยู่ในฐานทัพได้หน้าตาเฉยราวกับบ้านของตัวเอง

     

              และสอง..คือผู้ชายที่ชอบลากแขนเขาไปไหนมาไหนคนนั้น

     

              ตลอด 1 สัปดาห์ที่อยู่ด้วยกันไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเราดีขึ้นซักเท่าไหร่ ลอว์เป็นคนพูดน้อย..ส่วนเขาก็เป็นคนจำพวกไม่พูดหากเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามมีท่าทีไม่อยากจะเสวนาด้วย 

     

              ดังนั้นช่วงเวลา 7 วันที่ผ่านมาเขากับหมอนั่นจึงแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลย หมอนั่นแค่ลากเขาไปนั่งดูหมอนั่นทำงาน ส่วนเขาก็แค่นอนไม่ก็เหม่อมองวิวทิวทัศน์ไปเรื่อยแบบคนที่ไม่มีอะไรทำ นึกอยากจะด่ากราดเจ้าจระเข้ที่ส่งเขามาอยู่กับหมอนี่ พูดตามตรงนะ..การอยู่กับชายคนนี้มันน่าเบื่อเป็นบ้า!

     

              เขาชอบความตื่นเต้น ชอบความท้าทาย และแน่นอนว่าเขาเกลียดความรู้สึกที่ว่าตัวเองกำลังทำตัวเหมือนลูกสุนัขเชื่องๆที่คอยตามก้นเจ้านายไปทุกที

     

              “ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไง ด่าฉันอยู่?” คนที่พึ่งมอบหมายงานให้ลูกน้องเสร็จเลิกคิ้วมองเขานิ่งๆ นัยน์ตาคมกริบคู่นั้นสบตาเขาราวกับนักล่าที่จ้องเหยื่อ มันดูเหมือนกับว่าอีกฝ่ายมองเขาออกทะลุปรุโปร่ง

     

              เขาส่ายหน้าแทบจะทันที “เปล่านี่”

     

             ไหงเขาถึงทำตัวเหมือนสุนัขเชื่องๆอีกแล้ว!?

     

              “ก็ดี” อีกฝ่ายหยัดตัวลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน กองเอกสารมากมายที่พึ่งเซ็นเสร็จไปไม่นานถูกรวบเก็บอย่างเรียบร้อย เขาชะเง้อมองเอกสารพวกนั้นอยู่ครู่หนึ่ง จนเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาอำมหิตจึงตัดสินใจละสายตาจากมันแล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เดินไปรอที่หน้าประตู

     

              “วันนี้นายจะไปไหนอีก” เขาถาม

     

              “ไปดูพวกทหารที่ค่าย ทำไม? นายจะไปด้วย?

     

              “ค่ายทหารเหรอ?” ลูฟี่พึมพำ นัยน์ตาเป็นประกายชั่วครู่ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว เขาค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองชายตรงหน้าซึ่งกำลังทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กจำเป็นด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉยกว่าดวงตากลับเผยให้เห็นชัดเจนว่าต้องการไปมากขนาดไหน

     

              “..งั้นฉันคงต้องพานายไป?

     

              “ก็ไม่ได้อยากไปหรอกนะ แต่ถ้านายจะพาไปก็ไม่คิดจะขัดข้อง”

     

              “มันก็แปลว่าอยากไปไม่ใช่รึไง?” ลอว์กุมขมับนึกปวดศีรษะขึ้นมาเสียดื้อๆ จริงๆแล้วเขาจะไม่พาไปก็ได้..แต่แค่คิดว่าต่อให้ไม่พาไปยังไงซะหมอนี่ก็ต้องไปรบเร้าให้พวกซันจิพาไปอยู่ดี แบบนั้นจะวุ่นวายเสียเปล่าๆ แถมพวกนั้นก็ไม่ใช่พวกที่จะยอมไปค่ายทหารโดยไม่ก่อความวุ่นวายซะด้วยสิ

     

              “ก็นิดนึง”

     

              สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องยอมพาเด็กนี่เดินทางไปค่ายทหารจนได้

     

     

     

              ระหว่างทางต้องผ่านบ้านเมืองที่แทบจะพังทลายไปเพราะผลกระทบจากสงคราม นัยน์ตากลมของลูฟี่มองมันด้วยสายตาอ่านยาก ในทางกลับกัน..ชายหนุ่มร่างสูงไม่คิดที่จะเหลือบมองมันเสียด้วยซ้ำ สายตาคมกริบมองตรงไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว นายทหารที่ขับรถให้ก็ไม่ได้เอ่ยชวนคุยอะไรมากนัก

     

              รถทั้งคันเงียบสงัด..ทว่ามันกลับไม่ได้ชวนให้รู้สึกอึดอัดอย่างที่คิด หรืออาจจะเป็นเพราะลูฟี่เหม่อเกินกว่าจะมารับรู้ถึงบรรยากาศในรถก็เป็นได้

     

              ผู้คนที่อดอยากและเดินโซซัดโซเซ..นัยน์ตาไร้ประกายราวกับหมดหวังในสถานการณ์พวกนี้ ร่างกายที่ผอมแห้งจนแทบจะเหลือแต่เพียงกระดูก อีกทั้งยังสกปรกมอมแมมเสียจนไม่น่าดู

     

              ในขณะที่พวกชนชั้นสูงในอาณาจักรนี้ยังคงกินอิ่มนอนหลับและมีชีวิตที่ดี ไม่ต้องมารับรู้ถึงผลกระทบที่ร้ายแรงของการนองเลือดครั้งนี้

     

              ภาพบางอย่างแล่นวาบเข้ามาในศีรษะของเด็กหนุ่ม ภาพของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ลุกโชนไปด้วยเพลิงโลกันต์ที่ยากจะมอดดับได้โดยง่าย เขม่าควันลอยคลุ้งในอากาศจนแทบสำลัก เพลิงที่ฆ่าล้างทุกชีวิตในสถานที่แห่งนั้นใช้เวลากว่า 3 วันกว่าจะมอดดับลง และแน่นอนว่าไม่มีใครคิดจะเข้าไปช่วยเหลือ

     

              น่าแปลกใจที่นั่นเป็นความทรงจำเพียงอย่างเดียวที่เขาไม่เคยลืม รู้ตัวอีกทีเขาก็อยู่ภายใต้การดูแลของครอคโคไดล์..และจำชีวิตการเป็นอยู่ในช่วงเวลาที่อยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้เลย

     

              จำได้เพียงภาพของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่พังทลายลงมาต่อหน้าต่อตาเท่านั้น

     

              เด็กหนุ่มปิดเปลือกตาลง ตัดสินใจดำดิ่งสู่ห้วงนิทราเพื่อหลีกหนีความทรงจำบ้าๆที่ตามหลอกหลอนเขามาโดยตลอด เขาไม่เคยเข้าใจว่าทำไมจักรวรรดิแกรนด์ไลน์ถึงได้ต้องเจ้าคิดเจ้าแค้นเพียงเพราะพระชายาขององค์รัชทายาทถูกฆ่า ก็จริงที่มันสมควรโกรธ..แต่มันไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้วหรือ? ทำไมประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องกว่าหลายล้านคนถึงต้องมาสังเวยชีวิตกับสงครามบ้าๆนี่ด้วยล่ะ?

     

              “ถึงแล้วครับ” นายทหารที่ทำหน้าที่เป็นสารถีบอกแค่นั้นก่อนที่คนตัวสูงจะเป็นคนปลุกเขาให้ตื่นจากนิทราเพื่อลงจากรถ ค่ายทหารที่อยู่ตรงหน้านั้นใหญ่พอสมควร..คิดว่าคงเป็นหนึ่งในแนวป้องกันที่สมบูรณ์แบบของสหพันธรัฐออลบลู ทหารทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับการรักษาผู้บาดเจ็บและหาอาหารมาประทังชีวิตในสนามรบ

     

              “นั่นพลโทนี่”

     

              “อ่ะ พลโท”

     

              พวกเขายืนเรียงแถวทำความเคารพร่างสูงอย่างพร้อมเพรียงสมแล้วที่ถูกฝึกมาอย่างเข้มงวด ตลอดทั้งวันลูฟี่ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการเดินตามร่างสูงไปสั่งงานตรงนู้นตรงนี้ นอกนั้นก็เป็นการนั่งเล่นกับพวกทหารที่รับหน้าที่ประจำค่ายและเป็นพี่เลี้ยงเด็กจำเป็น เด็กหนุ่มเท้าคางด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

     

              สุดท้ายที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้เขารู้สึกตื่นเต้นหรือท้าทายอยู่ดี

     

              “ไม่มีอะไรสนุกๆให้ทำบ้างเลยเหรอ?” หันไปถามแฟรงกี้..หนึ่งในทหารที่คอยประจำการที่ค่ายเพื่อทำหน้าที่ซ่อมแซมเครื่องยนต์ต่างๆ แฟรงกี้มีสีหน้าขบคิด

     

              “นี่มันค่ายทหารนี่นา จะหาอะไรทำที่มันสนุกๆก็ยากหน่อยนา”

     

              “นึกว่าเป็นค่ายทหารแล้วจะมีอะไรสนุกๆให้ทำซะอีก” บ่นอุบอิบก่อนเหล่มองคนตัวสูงกว่าที่เอาแต่สั่งงานลูกน้องโดยไม่หันมามองทางนี้ซักนิด ดูเป็นคนจริงจังกับงานซะจนน่าเบื่อ ชีวิตที่เอาแต่ทำงานเอกสารและสั่งทหารไปวันๆมันมีดีตรงไหน เด็กหนุ่มหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ก่อนเคาะนิ้วไปตามจังหวะ

     

              ที่นี่ก็ยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด

     

              และมันทำให้เขารู้สึกอยากจะเบ้ปากเสียจริง

     

              “เจ้าหมวกฟาง ไปได้แล้ว เราจะไปหาโมเรียนักค้าข่าว”

     

              “หา!? ไปทำไมอีกล่ะ” ผู้มียศเป็นถึงพลโทชักสีหน้าอย่างรำคาญ แต่ถึงกระนั้นก็ยอมบอกเหตุผลแม้จะอิดออดไปบ้างในตอนแรก

     

              “มีปัญหานิดหน่อย รู้แค่นี้ก็พอ”

     

              “เฮ้อ..” เด็กหนุ่มถอนหายใจ หันไปโบกมือร่ำลาแฟรงกี้ก่อนเดินตามพลโทหนุ่มต้อยๆออกจากค่ายทหารไป เอาอีกแล้ว..รู้สึกเหมือนตัวเองกลับมาเป็นลูกสุนัขเชื่องๆอีกแล้ว ร่างเล็กเบะริมฝีปาก เขาเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบทำตามคำสั่งใคร เพียงแต่ครอคบอกเอาไว้ว่าอย่าสร้างปัญหา คนอย่างโทราโอะไม่ยกเว้นแม้แต่เด็ก..แล้วนึกหรือว่าเด็กหนุ่มที่อายุอานามก็ปาไป 20 อย่างลูฟี่จะรอด

     

              เขาไม่ได้กลัวหรอกนะ

     

              แค่ไม่อยากสร้างปัญหาให้เจ้าจระเข้ก็เท่านั้น

     

              ร่างทั้งสองร่างลงจากรถก่อนเดินเข้าไปในร้านค้าซอมซ่อที่ซ่อนอยู่ในซอกแคบระหว่างตึก ผู้คนจรจัดมากมายอาศัยอยู่ในซอกนั้นหลบไปคนละทิศคนละทางเพื่อเว้นให้พวกเขาเดิน ทั้งผอมแห้งและหิวโซ ที่ปากก็มีเลือดแห้งกรังติดอยู่ คิดว่าอาจจะมีการจับหนูกินเป็นอาหารเพื่อประทังชีวิตรอดไปวันๆ

     

             ฟิ้ว! ฉึก!

     

              เสียงแหวกอากาศของวัตถุมีคมดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด เหล่าคนจรจัดส่งเสียงฮือฮาก่อนวิ่งไปหาที่หลบกันจ้าละหวั่น บ้างก็หลบหลังถังขยะ บ้างก็หลบอยู่ในลังแคบๆที่ส่งกลิ่นเหม็นอับ ลูฟี่ตั้งท่าเตรียมพร้อม เช่นเดียวกับลอว์ที่ชักดาบออกมาเพื่อเตรียมรับมือหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน

     

              มีดสั้นเล่มงามที่ถูกขว้างมาปักอยู่ตรงลังไม้ ปลายมีดทะลุไปจนเห็นเพียงแค่ครึ่งเล่ม ทันใดนั้นเองที่พวกเขาได้ยินเสียงเหมือนคนกระโดดลงมาจากบนอาคาร

     

              เคร้ง!

     

              ลูฟี่ดึงมีดสั้นขนาดพอดีมือออกมาจากกระเป๋ากางเกงพร้อมตั้งท่ารองรับการปะทะอย่างรวดเร็ว เสียงเสียดสีกันของโลหะและประกายวาววับทำให้ผู้ที่เข้ามาโจมตีต้องกระโดดล่าถอยออกไป ลอว์หันไปมองเด็กหนุ่มในทันที ไม่คิดว่าในชั่วพริบตาที่มีคนเข้ามาโจมตีเขา เด็กนี่จะพุ่งมารับแรงปะทะได้ในเวลาไม่กี่วินาที

     

              ทั้งคู่หันไปมองบุคคลที่สามผู้เข้ามาโจมตีพวกตนด้วยสายตาระแวดระวัง

     

              คนตรงหน้าเป็นชายตัวใหญ่ในชุดคล้ายกับอัศวินในยุคกลาง ส่วนศีรษะเป็นสิงโตพร้อมกับรอยเย็บรอบๆเหมือนผ่านการผ่าตัดมาแล้วหลายครั้ง ผมสีเหลืองยาวรุงรังเหมือนไม่ได้หวีมาชาติเศษ ดาบที่อีกฝ่ายถือเป็นดาบเรเปียร์สีดำเงา ดูเหมือนกับดาบที่มักถือกันในพวกชนชั้นสูงสมัยก่อน

     

              “อับซาลอม?

     

              ชายที่หน้าเหมือนสิงโตฉีกยิ้มกว้าง

     

              “ไงทราฟาการ์! ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเจ้าหนู” ดาบในมือของสองหนุ่มถูกเก็บเข้าฝัก ลูฟี่ที่เห็นท่าทางสนิทสนมเหมือนทั้งคู่รู้จักกันมาก่อนนั้นก็เก็บมีดสั้นในมือลงกระเป๋า นัยน์ตาสีดำขลับลอบมองทั้งคู่เหมือนกำลังสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ

     

              “แกโจมตีพวกฉันทำไม?

     

              “อย่ายั๊วะเลยน่าเจ้าหนู— หมายถึง..อย่ายั๊วะเลยน่าพลโท ก็แค่อยากทดสอบเด็กที่มากับนายตามคำสั่งของโมเรียน่ะ”

     

              “เจ้าตุ๊กแกนั่นชอบทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง”

     

              อับซาลอมฉีกยิ้มน่าขนลุกก่อนขยับเข้ามากระซิบที่หู

     

              “แต่แกก็พอใจใช่มั้ยล่ะ เป็นไง? เด็กของครอคโคไดล์..เยี่ยมไปเลยใช่มั้ย?

     

              ลอว์ยิ้มมุมปาก ดึงแขนลูฟี่ให้ขยับเข้ามาหาตัวก่อนโอบไหล่เอาไว้หลวมๆ เขาชี้นิ้วมาที่ลูฟี่ก่อนยักคิ้วให้กับคนอายุมากกว่าที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก

     

              “แน่นอน ฉันถูกใจความสามารถของเด็กนี่..และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เด็กนี่จะไม่ใช่ของเจ้าจระเข้ครอคโคไดล์”

     

              “...”

     

              แต่เป็นของฉัน”

     

     

             

     

     

     

     

     

     

    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×