คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 01 :: กลุ่มหมวกฟางแห่งอีสท์ทาวน์
‘กลุ่มหมวกฟาง’ คือกลุ่มอันธพาล(?)ที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลที่สุดในเมืองอีสท์ทาวน์
พวกเขามีสมาชิกกลุ่มทั้งหมดราวๆพันคน
ในกลุ่มมีผู้คนหลากหลายสัญชาติและหลายช่วงอายุ เป็นกลุ่มที่มีการก่อตั้งขึ้นเมื่อ
5 ปีก่อนโดยกลุ่มเพื่อนสนิท 5 คนที่อาศัยหมู่บ้านระแวกเดียวกันในอีสท์ทาวน์
เป้าหมายหลักในตอนนั้นคือเพื่อปกป้องชุมชนระแวกที่พวกเขาอาศัยอยู่
เนื่องจากในสมัยนั้นพวกอันธพาล มาเฟีย
หรือยากูซ่าที่ตั้งหลักปักฐานอยู่ในอีสท์ทาวน์นั้นว่ากันว่าอ่อนแอกว่าเขตเมืองอื่นๆ
ไม่มีกลุ่มใดที่ใหญ่พอจะสามารถมีอิทธิพลครอบคลุมได้ทั้งเมือง
ทำให้ในเมืองเกิดความไม่สงบ กลุ่มมาเฟียที่มีอิทธิพลในตอนนั้นก็ก่อสงครามกลางเมืองกันบ่อยครั้ง
ไหนจะการรุกรานจากพวกที่มาจากต่างเมืองอีก
และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้กลุ่มหมวกฟางถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อปกป้องชุมชนระแวกหมู่บ้านของพวกตนจากความวุ่นวาย
และหลังจากนั้นกลุ่มก็เริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้เป้าหมายเปลี่ยนไปและอาณาเขตของชุมชนที่ต้องปกป้องดูแลก็มีขยายใหญ่ขึ้น จนกระทั่งเมื่อ
4 ปีก่อนได้มีสมาชิกทั้งหมด 10 คน..และ 1 ปีหลังจากนั้นก็เริ่มโด่งดังจากวีรกรรมใหญ่ที่ทำเอากรมตำรวจถึงกับปวดหัว
จนสามารถมีอิทธิพลครอบคลุมได้เกือบทั้งเมือง กลายเป็นที่รู้จักและเป็นกลุ่มใหญ่ที่มีอิทธิพลและมีอาณาเขตในการดูแลมากที่สุดในเมืองแห่งนี้
โครงสร้างของกลุ่มจะแบ่งเป็น
‘ผู้นำของกลุ่ม’ หรือที่เรียกกันว่า
‘พ่อใหญ่’ จะเป็นคนที่มีอำนาจสูงสุดในกลุ่ม
คำสั่งของคนผู้นี้คือประกาศิตที่ต้องทำตามห้ามบิดพลิ้ว
และผู้ที่ล่วงรู้ตัวตนของพ่อใหญ่จะมีเพียงเสนาธิการและหัวหน้าหน่วยทั้ง 7 คน
‘เสนาธิการ’
คือสมาชิกดั้งเดิมทั้งหมด 9
คนที่ร่วมก่อตั้งกลุ่มหมวกฟางขึ้นมา ในที่นี้มีอำนาจรองแค่พ่อใหญ่ของกลุ่มเท่านั้น
‘หัวหน้าหน่วยทั้ง
7’ คือผู้นำของหน่วยย่อยทั้ง 7 หน่วย
คอยถ่ายทอดคำสั่งจากพ่อใหญ่หรือเหล่าเสนาธิการให้ลูกน้องในหน่วยของตนปฏิบัติ
และนอกจากนั้น..ลูกน้องที่สังกัดในหน่วยทั้ง
7 จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ระดับ ‘ระดับสูง’
คือพวกที่มีความสามารถด้านการต่อสู้ อยู่ในกลุ่มมาค่อนข้างนาน (ไม่ต่ำกว่า 10
เดือน) สามารถเป็นกำลังรบเวลามีเรื่องกับพวกผู้มีอิทธิพลกลุ่มอื่นได้
และ ’ระดับล่าง’
คือระดับต่ำสุดในกลุ่มหมวกฟาง..คนที่อยู่ในระดับนี้จะไม่มีสิทธิรู้ถึงที่ตั้งฐานลับของกลุ่ม
ไม่มีสิทธิรู้ใบหน้าค่าตาของหัวหน้าหน่วย เสนาธิการ รวมถึงพ่อใหญ่
เวลาได้รับคำสั่งก็จะได้รับผ่านพวกระดับสูง
(ที่รับมาจากหัวหน้าหน่วยอีกทีเป็นทอดๆ) พวกนี้มักจะแฝงตัวอยู่ทั่วเมือง
ทำตัวเหมือนคนปกติทุกประการ คอยรวบรวมข่าวสารและส่งไปที่พวกระดับสูง แต่ก็จะมีบางคนที่ชอบทำตัวกร่าง
อยู่เพียงระดับล่างแต่กลับทำตัวหยิ่งผยองเที่ยวหาเรื่องคนทั่วไป
ซึ่งไม่ต่างจากพวกเด็กอันธพาลหรือนักเลงหัวไม้ตามโรงเรียนต่างๆเลยซักนิด
กลุ่มหมวกฟางไม่ได้บังคับให้ทุกคนต้องเป็นคนดี
นอกจากกฎและนโยบายที่ต้องปฏิบัติตามแล้ว..ทุกคนถือว่ามีอิสระเสรีเป็นของตัวเอง
สามารถทำอะไรก็ได้ จะทำความดีอย่างคอยช่วยเหลือคนอื่น ไปดูแลเด็กที่มูลนิธิ
และอื่นๆ หรือจะก่อความวุ่นวายเล็กๆน้อยๆ เล่นพนัน ทำงานในบ่อนหรือคาสิโน พวกเขายอมรับได้หมด
เพราะแม้แต่พวกผู้ก่อตั้งแรกๆที่ตอนนี้ดำรงตำแหน่งเสนาธิการเอง..ก็เคยมีวีรกรรมป่วนๆ
ชอบก่อกวนชาวบ้านอยู่ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน แต่แน่นอนว่า..ไม่เคยมีวีรกรรมทำร้ายร่างกายชาวบ้านธรรมดาหรือก่อความเดือดร้อนขั้นรุนแรง
จริงๆแล้ว..จะเรียกว่ากลุ่มหมวกฟางว่า
‘กลุ่มอันธพาล’ มันก็ดูจะแปลกๆไปซักหน่อย
เพราะมีสมาชิกในกลุ่มถึงพันกว่าคน
แถมพวกเขาไม่ใช่พวกนักเลงหัวไม้ที่ต่อยตีกับคนอื่นโดยไร้เหตุผล (แต่คนในเมืองบางกลุ่มก็เรียกพวกเขาว่ากลุ่มอันธพาล..เพราะวีรกรรมของพวกลูกน้องระดับล่างที่ทำเอาไว้)
แต่ถ้าจะให้เรียกว่าเป็น
‘กลุ่มมาเฟีย’ ‘ยากูซ่า’ หรือ ‘องค์กรใต้ดิน’ มันก็ดูเป็นกลุ่มคนในโลกมืดเกินไป..พูดตามตรงว่าพวกเขาเป็นเพียงกลุ่มคนที่มีเป้าหมายในการปกป้องรักษาอาณาเขตของตัวเองไม่ให้มีพวกมาเฟียหรือกลุ่มคนจากเมืองอื่นมาก่อความวุ่นวายก็เท่านั้น
ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด การค้าอาวุธ การค้าทาส การฟอกเงิน
หรือธุรกิจมืดแต่อย่างใด
โอ้—
อืม..ก็เกี่ยวนี่นะ บ่อนการพนัน พวกคาสิโน สนามแข่งรถ และผับบาร์
แต่มันก็แค่นั้นจริงๆ
นโยบายหรือคติประจำกลุ่มของพวกเขาคือไม่ไปหาเรื่องใครก่อน
และไม่ทำร้ายประชาชนธรรมดาที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจโลกมืด
และแน่นอน..นอกจากคติของกลุ่มที่ต้องจำและปฏิบัติตามแล้ว
ยังมีกฎ 5 ข้อที่สมาชิกทุกคนห้ามละเมิดโดยเด็ดขาด
1.
ห้ามสร้างปัญหาโดยการไปยุ่งกับกลุ่ม 4 จักรพรรดิจากแผ่นดินใหญ่
2. บุคคลที่มีตำแหน่งต่ำกว่าเหล่าเสนาธิการของกลุ่มและหัวหน้าหน่วยทั้ง
7 ไม่มีสิทธิ์ล่วงรู้ถึงตัวตนของ 'หัวหน้า' หรือที่เรียกกันว่า ‘พ่อใหญ่’
3.
ห้ามนำความลับของกลุ่มไปเผยแพร่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
4.
ทุกคนในกลุ่มคือครอบครัว การทำร้ายร่างกายกันจนถึงแก่ชีวิตถือเป็นโทษหนัก
5. คำสั่งของ ‘พ่อใหญ่’ ถือเป็นประกาศิตที่ต้องทำตามอย่างเคร่งครัด
***หากใครละเมิดกฎแม้เพียงแค่ข้อเดียว ก็จะถือว่าเป็นคนทรยศ สมควรถูกกำจัดทิ้ง
หรือจริงๆแล้ว..พวกเขาควรเรียกตัวเองว่ากลุ่มมาเฟียดีนะ?
หรือกลุ่มอาชญากร?
บ้าเหรอ..นอกจากพวกที่ขัดผลประโยชน์ทางธุรกิจกับพวกที่มาแกว่งเท้าหาเสี้ยน
พวกเขาก็ไม่เคยฆ่าหรือทำร้ายใครสุ่มสี่สุ่มห้า
ที่สำคัญ..นโยบายหลักของกลุ่มคือไม่ทำร้ายคนบริสุทธิ์
แต่แน่นอนว่าไม่ใช่สมาชิกทุกคนที่จะทำตามกฎระเบียบและนโยบาย
ในกลุ่มสังคมขนาดใหญ่ย่อมมีผู้คนต่างพ่อต่างแม่
ต่างสังคม ต่างการเลี้ยงดูมาพบเจอกัน
และไม่ใช่ทุกคน..ที่จะยอมรับกฎระเบียบเหล่านั้น
ตุบ! ผลัวะ! อั่ก!! โครม!!
เสียงทะเลาะวิวาทดังขึ้นมาจากตรอกแคบๆระหว่างตึก
ท้องฟ้าในยามค่ำคืนมืดสนิทและไร้ซึ่งแสงจันทร์
ลังไม้ที่ตั้งกองไว้ถูกชนจนล้มระเนระนาด ใบหน้าเรียวที่ช้ำและห้อเลือดจากการถูกต่อยอย่างหนักหน่วง
ตามเนื้อตัวมีร่องรอยของการทำร้ายร่างกาย ร่างสูงโปร่งในชุดนักเรียนชายถูกถีบกระเด็นจนชนกับผนัง
ได้ยินเสียงกรอบเหมือนกระดูกหัก
ตามด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวที่เลอะไปด้วยคราบน้ำตาและหยาดเลือดสีสด
“พ
พอแล้ว ขอโทษ..ขอโทษ” ปากที่แตกจนเลือดซิบพูดขอโทษด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
หยีตามองไม้เบสบอลในมือของคู่อริอย่างหวาดกลัว
คู่อริของเขาเป็นหญิงสาววัยรุ่นและชายหนุ่มในชุดนักศึกษามหาลัยผู้มีหน้าตาเหี้ยมโหด
จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าเขาสู้ไม่ได้..แต่กลัวผลที่ตามมาหลังจากการสู้กลับต่างหาก
“ก็บอกแล้วว่าพวกฉันเป็นคนของกลุ่มหมวกฟาง
ถ้าแกให้เงินมาตั้งแต่แรกทุกอย่างก็จบ แกโง่เองนะ!”
หญิงสาวเยาะเย้ยเสียงสูง โยนกระเป๋าตังในมือขึ้นลง
แต่นั่นเป็นเงินค่าขนมทั้งหมดของเดือนนี้
เด็กหนุ่มผู้ถูกทำร้ายโต้ในใจ
ลึกๆในใจเขาอยากจะโต้กลับ
อยากจะเอาตังพวกนั้นคืน อยากจะต่อยพวกมันคืนให้สาแก่ใจ..แต่เป็นที่รู้กันดีว่ากลุ่มหมวกฟางถือว่าสมาชิกทุกคนคือครอบครัว
และหากมีคนนอกทำร้ายคนในครอบครัว..พวกนั้นต้องไม่อยู่เฉยแน่
“เอาไงกับแกดีน๊า”
“ฆ่าให้ตายเลยดีมั้ย
ทำลายหลักฐานให้หมด” ชายฉกรรจ์ถามหญิงสาวข้างกายพลางเหล่ตามองเด็กหนุ่มผู้โชคร้ายที่นอนตัวสั่นระริก
ร่างโปร่งมีสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนส่ายหน้า “ปล่อยมันไปก่อน เน่~ แกคงไม่เอาไปบอกใคร..ใช่มั้ย?”
เด็กหนุ่มผงกหัวรัวๆ
หญิงสาวฉีกยิ้มกว้าง “งั้นก็ดี”
ก่อนที่เธอจะฟาดขาไปที่ต้นคอของเด็กหนุ่มจนอีกฝ่ายร้องอั่กและสลบไป
ชายฉกรรจ์เดินไปค้นตัวคนที่นอนสลบเพราะอาการบาดเจ็บรุมเร้าอยู่เพื่อควานหาของมีค่า
ก่อนจะได้นาฬิกาข้อมือเรือนหนึ่งติดไม้ติดมือ
“ไปกันเถอะ
อยู่นานไปเดี๋ยวจะยุ่ง” แล้วทั้งคู่ก็เดินออกจากตรอกแห่งนี้ไป
ไม่ไกลจากที่นั่นมากนัก..หญิงสาวเจ้าของผมสีดำยาวหยักศกในชุดเมดหยัดตัวขึ้นมาจากพื้น
ในมือถือกล้องส่องทางไกลเอาไว้ ริมฝีปากที่เคลือบลิปสติกสีแดงสดเหยียดยิ้ม
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายถึงคู่หมั้นที่พึ่งหมั้นหมายกันไปไม่นานมานี้ทันที
“คุณดอนไซที่รักกกกกก”
เธอเรียกปลายสายเสียงหวานทันทีที่อีกฝ่ายกดรับ ได้ยินเสียงบ่นมาบ้างตามประสาคนปากไม่ตรงกับใจ
ก่อนที่เขาจะเงียบลงแล้วถามถึงธุระของเธอ
“นอกจากความคิดถึงแล้วก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ
แต่แบบว่า..ฉันเจอเรื่องที่น่าสนใจเข้า”
เธอยิ้มเขินก่อนใช้กล้องส่องทางไกลในมือมองไปยังผู้เคราะห์ร้ายที่ยังคงนอนสลบไสลอยู่ในซอกตึก
น่าสงสารจริงๆ ดันเจอกับพวกทำตัวกร่างในกลุ่มหมวกฟางไปเสียได้
“มีคนในกลุ่มไม่ปฏิบัติตามกฎและนโยบายของพ่อใหญ่น่ะค่ะ
จะให้ฉันทำยังไงกับผู้เคราะห์ร้ายดีคะ”
“พาไปรักษา?” เธอทวนคำตอบของคู่หมั้นวัยทำงานก่อนเริ่มถามคำถามต่อไป
“แล้วพวกนอกคอกที่แหกกฎล่ะคะ?”
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง
ก่อนจะตอบกลับมาด้วยคำตอบที่ทำให้เธอต้องยิ้มกว้าง
“โอ้—
เบบี้ไฟว์น้อมรับบัญชาจากที่รักค่ะ!”
----|----|----|----|----
“นี่
ได้ข่าวรึเปล่า? เมื่อคืนมีเด็กห้อง A ถูกทำร้ายบาดเจ็บเข้าโรงพยาบาลน่ะ”
“เห็นว่าฟื้นแล้วนี่
แต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรเลยไม่ใช่เหรอ?”
“เอ..รู้สึกว่าชื่ออะไรนะ?”
“โคซา..เพื่อนของคุณหนูวีวี่ไง”
“เออ
ใช่ๆ มีข่าวลือว่าคนทำคือพวกกลุ่มหมวกฟางล่ะ”
กึก..
ปากกาในมือหยุดชะงักลงทันทีที่ประโยคนั้นดังขึ้น
ใบหน้าหวานเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มสาวๆในห้องที่ยังคงพูดคุยกันอย่างออกรสชาติถึงเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายเมื่อคืนนี้
น่าสงสารแฮะ คิดในใจก่อนงับอมยิ้มเข้าปาก
เพราะนี่เป็นชั่วโมงว่างเนื่องจากครูไม่เข้าสอน..สาวๆพวกนี้ถึงได้มีโอกาสซุบซิบนินทาถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
“ไม่ใช่โคซากับวีวี่เป็นแฟนกันหรอกเหรอ”
“เหมือนแฟนเลยเนอะ
ฮ่าๆๆๆ”
เขาถอนหายใจเบาๆ
ดูเหมือนบทสนทนาต่อจากนี้ของพวกเธอจะไม่มีอะไรน่าสนใจอีก
ยืนขึ้นและเดินดุ่มๆไปที่ดาดฟ้าของโรงเรียน
อย่างที่คิด..เพื่อนของเขาทุกคนสิงสถิตอยู่ที่นี่
“มานี่ไม่บอกกันเลยนะ!” ทำเป็นแกล้งโวยวายเดินกระทืบเท้าปึงปังไปนั่งข้างๆเพื่อนสนิทจมูกยาวที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยอนุบาล
ตรงข้ามกันนั้นเป็นเพื่อนตัวสูงหัวเขียวนอนเอาหนังสือปิดหน้าอยู่
และไม่ห่างจากที่ร่างสูงนอนอยู่ก็มีเพื่อนสนิทคิ้วม้วนคอยป้อนคำหวานใส่เพื่อนสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มที่เอาแต่ทำสีหน้าเหม็นเบื่อ
“ก็นายมัวแต่เหม่อนี่
ลูฟี่” เขาเบ้ปาก
เหม่อบ้าอะไร..เขาตั้งใจฟังเรื่องเด่นวันนี้จากสาวๆโต๊ะข้างหน้าอยู่ต่างหาก!
เขาชื่อ มังกี้ ดี
ลูฟี่ เป็นเด็กผู้ชายวัยรุ่นธรรมดาๆที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านฟุซา เมืองอีสท์ทาวน์
อายุ 18 ปี อยู่มัธยมปลายปี 3 ห้อง C มีปู่เป็นพลตำรวจโทแห่งกรมตำรวจสาขาแผ่นดินใหญ่
เป็นลูกชายคนเดียวของ มังกี้ ดี ดราก้อน ที่หายตัวไปเมื่อ 2 ปีก่อน
อาชีพในอนาคตที่ใฝ่ฝันคืออาชีพอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ตำรวจ ทหาร หรือนักการเมือง
จริงๆแล้วกลุ่มเขาเป็นกลุ่มเพื่อนสนิท
10 คน (นี่นับตัวเขาไปแล้ว) แต่ที่เรียนอยู่ในโรงเรียนนี้ก็มีเพียงเขา โซโล
ซันจิ นามิ และอุซปเท่านั้น คนอื่นๆที่เหลือก็มี โรบิน บรู๊คและแฟรงกี้ที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยในเครือเดียวกัน
จินเบที่เป็นอาจารย์ของโรงเรียนนี้ และช็อปเปอร์ เด็กหนุ่มสมองอัจฉริยะผู้ชื่นชอบการใส่ชุดกวาง
แม้จะบ๊องๆไปบ้างแต่ก็เรียนจบแพทย์ตั้งแต่อายุเพียง 16 ปีเท่านั้น
“เดี๋ยวนี้พวกนายชอบทำตัวมีลับลมคมในกันจังน๊า”
ตัดพ้ออย่างทีเล่นทีจริงพลางเอนตัวลงนอนพร้อมเอาหมวกฟางปิดหน้า
เขาไม่ได้คิดน้อยใจอะไร ก็แค่พูดเล่นๆไปงั้นแหละ
แต่ใครจะไปคิดว่าพวกนั้นจะคิดว่าเขาเก็บมันเอามาคิดจริงๆ
“เฮ้ยๆ
พวกเราขอโทษจริงๆลูฟี่ แต่แบบ..มันยังบอกตอนนี้ไม่ได้ไง”
อุซปเป็นคนแรกที่พูดปลอบใจ
ตามด้วยนามิที่รีบมากอดเขาโยกตัวไปมาเสียยกใหญ่ยังกับเด็กน้อย
นอกนั้นก็มีซันจิที่ถึงกับยกข้าวกล่องทำเองในมือมาให้เขา (น่าจะเป็นการง้อ?) และโซโลที่แม้ไม่พูดอะไรก็เอามือมาวางบนหัวของเขาพลางลูบไปมาซะงั้น
“โอ๋ๆ
อย่างอนนะลูฟี่” นามิว่า
เธอยังไม่หยุดโยกตัวเขาไปมาจนเป็นเขาเองที่ต้องยกมือขึ้นเป็นการบอกให้เลิกเล่นหัวเขาได้แล้ว
“ฉันมึนหัวรู้มั้ยพวกบ้า
แค่ล้อเล่นเอง ไม่ได้น้อยใจซักหน่อย”
“อ้าวเหรอ ฮ่าๆๆๆๆ”
เพื่อนชายเจ้าของคิ้วม้วนหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนรีบหย่อนตัวลงนั่งแล้วชมนกชมไม้ทำเหมือนเหตุการณ์ง้องอนเมื่อกี้ไม่ได้เกิดขึ้น
“ฉันได้ยินพวกผู้หญิงในห้องคุยกันเรื่องมีคนโดนทำร้ายเมื่อคืนอ่ะ
มีข่าวลือว่ากลุ่มหมวกฟางทำด้วย เรื่องจริงเหรอ?”
หันไปถามเพื่อนในกลุ่มที่เอาแต่ส่งยิ้มแห้งๆมาให้
มีโซโลที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้โดยนอนหันหน้าไปทางอื่น
กับพวกนามิที่เอาแต่อ้ำอึ้งไม่รู้จะพูดอะไรดี
“ก็แบบ..ก็มีคนโดนทำร้ายจริงๆนั่นแหละ”
อุซปเป็นคนตอบคำถาม
ลูฟี่ขมวดคิ้วจนแทบเป็นโบ
พลางหันไปมองโซโลพร้อมเขย่าตัวให้ตื่นมาตอบคำถามเสียก่อน “แล้วใครเป็นคนทำอ่ะโซโล
โคซานั่นเพื่อนวีวี่เลยนะ! วีวี่ต้องเสียใจมากแน่ๆ”
“ก็มีข่าวลือว่าพวกหมวกฟางทำล่ะนะ”
ชายหนุ่มหัวเขียวตอบด้วยเสียงเอื่อยเฉื่อย
“ลูฟี่
นายไม่รู้ข่าวล่าสุดใช่ม้า?”
“หา? ข่าวล่าสุด? ไรอ่ะ?”
เจ้าของชื่อหันหน้าไปทางผู้พูดแทบจะในทันที
ซันจิทิ้งบุหรี่ลงกับพื้นก่อนขยี้มันด้วยส้นรองเท้า เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามและพูดต่อโดยไม่ได้สบตาคนตัวเล็กกว่า
“เห็นว่าจับตัวคนร้ายได้ตั้งแต่เช้าแล้วนี่
เป็นเด็กมหาลัย 2 คน..เรียนที่เดียวกับพวกโรบินนั่นล่ะ
ล่าสุดธุรกิจที่บ้านของทั้งคู่ล้มละลาย พ่อแม่หายตัวไป
เห็นว่าเป็นคนของกลุ่มหมวกฟางจริง ทำร้ายร่างกายโคซาจริง..ตอนแรกก็อยู่สถานีตำรวจอยู่หรอก
แต่เมื่อกี้มีข่าวว่าหายตัวไปจากห้องขังน่ะ”
เจ้าตัวแสบประจำกลุ่มเลิกคิ้ว
“เห หายตัวไปงั้นเหรอ”
“สงสัยจะโดนฆ่าปิดปากมั้ง”
โซโลแค่นหัวเราะในลำคอก่อนพลิกกายหันมานอนมองหน้าลูฟี่ เจ้าตัวยุ่งหัวเราะ
“ชิชิชิ
น่ากลัวจังนะ กลุ่มหมวกฟางเนี่ย”
หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับไปเรียนที่ห้องเรียนของตนเองต่อจนเวลาล่วงเลยไปถึง
4 โมงเย็นซึ่งเป็นเวลาโรงเรียนเลิก
เพราะวันนี้ไม่ใช่เวรทำความสะอาดห้องของพวกเขาทำให้สามารถเดินชิวไปหาพวกโรบินที่มหาวิทยาลัยข้างๆได้อย่างสบายๆ
มีก็แต่จินเบเท่านั้นที่ยังมีเวรอบรมนักเรียนจนถึง 6
โมงเย็นทำให้ไม่สามารถไปด้วยกันได้
สายตาของนักศึกษาทุกคนมองมาที่พวกเขาด้วยความสนใจ
มันคงเด่นสะดุดตาที่กลุ่มเด็กนักเรียนมาเดินลอยชายไปมาท่ามกลางกลุ่มคนในชุดนักศึกษาแบบนี้
ไม่นานนักพวกเขาก็เห็นโรบินเดินลงมาจากตึกพร้อมกับบรู๊คและแฟรงกี้
พวกเขาดูเด่นสะดุดตามาก..อนึ่งแม้ไม่อยากจะยอมรับ
แต่มันเพราะโซโลและซันจิเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาเป็นที่สะดุดตาของสาวมหาลัย
ส่วนนามิและโรบินก็สวยเอามากๆ ช็อปเปอร์ในชุดกวาง จมูกยาวๆของอุซป
บรู๊คในชุดโครงกระดูก และร่างกายที่ค่อนข้างสูงใหญ่ของแฟรงกี้..
ในกลุ่ม..เขาคงปกติที่สุดแล้วล่ะนะ
...
เหรอ?
พวกเราให้โอกาสนายคิดใหม่อีกที //ความคิดของพวกโซโล
“เจ้าหมวกฟางงงงงงงงงงงง”
เสียงตะโกนเรียกดังลั่นมาจากที่ไหนซักแห่ง ลูฟี่สะดุ้งจนตัวโยนรีบมองซ้ายมองขวา
เห็นชายรูปงามเจ้าของกลุ่มผมสีทองและใบหน้าหล่อเหลาราวกับเจ้าชายกำลังวิ่งมาด้วยความเร็วระดับเหนือมนุษย์
ใบหน้าของอีกฝ่ายเหมือนพร้อมฆ่าทุกคนที่ขวางหน้า เห็นแล้วก็ได้แต่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ชิชิชิ
นั่นเจ้ากะหล่ำปลีนี่” ว่าแล้วก็เริ่มบิดตัวซ้ายขวา สับขาเตรียมวิ่ง และเมื่อคาเวนดิชกระโจนเข้ามาจนเกือบคว้าตัวเขาได้..เขาก็ออกตัววิ่งไปทางอื่นด้วยความรวดเร็วราวกับลิง
“อย่าหนีนะเจ้าหมวกฟางงงง!!!
นายแย่งความนิยมของผมไป!!!”
สุดท้ายแล้วเหตุการณ์ที่มักจะเห็นประจำช่วง
4 โมงเย็นของทุกวันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
หนึ่งนักศึกษารูปงามของมหาวิทยาลัยกับหนึ่งนักเรียนที่ว่องไวราวกับลิงน้อยจากโรงเรียนข้างๆวิ่งไล่จับกันเหมือนเด็กๆ
ทิ้งให้เพื่อนๆที่เหลือได้แต่มองตามอย่างปลงตกและเดินไปยังที่หมายของตน โดยไม่อยู่รอคนที่คงต้องวิ่งหนีคู่อริจนกว่าอีกฝ่ายจะเหนื่อยแล้วถึงค่อยกลับบ้านได้อย่างลูฟี่
‘ไว้จะซื้ออะไรให้กินเผื่อนายวิ่งหนีเจ้ากระหล่ำปลีจนหิว’
นั่นคือจดหมายที่พวกเขาเขียนทิ้งเอาไว้ให้ลูฟี่ดูต่างหน้า
----|----|----|----|----
กว่าเจ้าบ้ากระหล่ำปลีนั่นจะหมดแรงก็ปาไปเกือบหนึ่งทุ่ม
ลำบากให้เขาที่ขี้เกียจเดินขึ้นเขาต้องโทรบอกให้จินเบขับรถมารับถึงหน้ามหาวิทยาลัย
หลังจากถึงที่หมาย..ชายวัยทำงานร่างใหญ่อุ้มเขานั่งบนไหล่ของตน
(คงเพราะอีกฝ่ายตัวใหญ่..และเขาตัวเล็กแถมผอมมากจึงนั่งแบบนั้นได้)
ลูฟี่หยิบหมวกฟางมาสวม นำผ้าพันคอมาพันแล้วดึงขึ้นมาปิดใบหน้าเล็กน้อย
เจ้าตัวพาเขาเดินมาถึงโรงงานร้างขนาดใหญ่บนภูเขา
ที่หมายที่เพื่อนๆของเขารออยู่คือคฤหาสน์ร้างที่อยู่หลังโกดังหมายเลข 0
ที่ใหญ่ที่สุด
แม้หากดูจากภายนอก..โกดังจะดูเก่าและเสื่อมโทรม
ทว่าข้างในกลับดูคล้ายกับบ้านธรรมดาๆหลังหนึ่งที่มีโซฟา โต๊ะ เก้าอี้ ทีวี
และอื่นๆ มีกลุ่มคนนั่งเล่นนอนเล่นอยู่บนพื้นที่สะอาดกว่าที่คิด ดูเหมือนว่าโกดังอื่นๆก็คงจะมีสภาพไม่ต่างจากนี้นัก
เมื่อเข้าไปจนสุดโกดังก็จะพบกับทางเชื่อมไปถึงคฤหาสน์ ทั้งๆที่ภายนอกดูเก่าราวกับคฤหาสน์ผีสิง
ทว่าเมื่อเข้าไปมันกลับดูสวยงามจนไม่น่าเชื่อ
ดูราวกับคฤหาสน์ของพวกขุนนางอังกฤษซักตระกูลหนึ่ง
“มาแล้วเหรอ”
บนโซฟาสีแดงสดที่ตั้งอยู่ล้อมรอบโต๊ะมีเพื่อนทั้ง 8 คนของเขานั่งอยู่
จินเบวางเขาลงระหว่างโซโลและซันจิก่อนย้ายตัวเองไปนั่งข้างๆโรบิน ลูฟี่ฉีกยิ้มกว้าง
มือเล็กๆแปะกับเพื่อนสนิทที่นั่งประกบซ้ายขวาอย่างอารมณ์ดี
“ซันจิ~ ฉันหิวข้าวววว”
“ครับๆ
อยู่ในห่อแล้ว” ว่าแล้วก็หยิบข้าวกล่องในห่อสีแดงขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ ลูฟี่ตาวาววับ
ดึงผ้าพันคอที่พันอยู่ให้หลุดออกแล้วโยนไปซักที่หนึ่ง หยิบตะเกียบขึ้นมาโซ้ยซูชิและกุ้งเทมปุระที่อีกฝ่ายอุตส่าห์ทำให้เข้าปากอย่างรวดเร็วจนแก้มพองเหมือนกระรอก
พวกเขานั่งมองลูฟี่กินอย่างอารมณ์ดี
จนกระทั่งประตูคฤหาสน์ถูกเปิดออก..ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องโถงด้วยทวงท่าสง่างาม
ผมสีทองอร่ามดูเป็นประกาย ใบหน้างดงามราวกับเจ้าชายนั่นประดับด้วยรอยยิ้มมีเสน่ห์ทว่าดูหลงตัวเอง(?) ข้างกันนั้นมีชายวัยทำงานผมดำผิวแทนคนหนึ่งเดินตามเข้ามาด้วย มือทั้งสองข้างลากชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งถูกมัดด้วยเชือกเข้ามาด้วยแรงมหาศาล
ทั้งคู่ถูกปิดตาด้วยผ้าสีดำอย่างแน่นหนา และที่เดินตามเขามาคือหญิงสาวผมดำในชุดเมดสีชมพูเข้ม
เธอเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มขวยเขิน..
เขินอะไรอีกวะนั่น..คงไม่พ้นคิดอะไรเข้าข้างตัวเองอีกตามเคย
นั่นคือความคิดของพวกโซโลในเวลานี้
“โย่! ว่าไงพวกนาย” คนตัวเล็กกล่าวทักทายผู้มาใหม่ด้วยความร่าเริง
หลังจากกินอิ่มก็รู้สึกอารมณ์ดีจนสามารถฉีกยิ้มกว้างแทบถึงรูหู ดอนไซลากคู่หนุ่มสาวสองคนมากองเอาไว้ตรงหน้าพวกลูฟี่
ทั้งคู่ยังเป็นเพียงเด็กมหาลัย..ดูเผินๆก็เหมือนจะไม่มีพิษมีภัยมากนัก
ลูฟี่หันไปมองชายผมทอง
“วันนี้ไล่ฉันจนหอบเลยนะกระหล่ำปลี ชิชิชิ”
คาเวนดิชกลั้วหัวเราะ
“อย่าว่าแต่นายเลย ผมก็เหนื่อย..ก็คนอื่นเขารู้ว่าผมเป็นหัวหน้าหน่วยที่ 1
ของกลุ่มหมวกฟางนี่ ถ้าไม่ทำแบบนี้พวกนั้นได้สงสัยนายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องไปด้วยน่ะสิ”
ลูฟี่หัวเราะพลางพึมพำว่า
ก็จริงของนาย
หลังจากมีการพูดคุยหยอกล้อกันซักเล็กน้อยแล้ว
ดอนไซก็เริ่มเล่าให้ฟังว่าคนพวกนี้คือคนที่ทำร้ายโคซาซึ่งเป็นชาวเมืองธรรมดาไม่ได้เกี่ยวข้องกับโลกมืด
เบบี้ไฟว์เป็นคนพบและรายงานให้เขาทราบ
(ได้ยินเสียงสาวเจ้าแทรกมาว่าภรรยาต้องรายงานสามีทุกอย่าง แล้วดอนไซก็รีบหาผ้ามายัดปากเธอไม่ให้พูดแทรกอีก)
พวกเขาจึงพาโคซาไปโรงพยาบาล ใช้อำนาจของกลุ่มเล็กๆน้อยๆทำให้ธุรกิจของครอบครัวของหนุ่มสาวคู่นี้ล้มละลาย
ลักพาตัวครอบครัวไปซ่อน และบังคับให้ทั้งคู่มอบตัว หลังจากนั้นก็จับมาที่นี่..
“จับพวกเรามาทำไม!” หญิงสาวซึ่งถูกมัดตัวเอาไว้กรีดร้องเสียงสูง
เพราะเธอมองไม่เห็น..เธอจึงยิ่งระแวงกับทุกสิ่ง
“ปล่อยพวกเราสิวะ”
ชายอีกคนที่ถูกมัดตวาดเสียงกร้าว
ทั้งคู่กลัวจนตัวสั่น..พอจะเดาได้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้
ทุกสายตาจับจ้องไปยังทั้งคู่ ก่อนที่เบบี้ไฟว์ซึ่งเอาผ้าที่ยัดปากตัวเองออกจะเริ่มอธิบายถึงสิ่งที่เธอพึ่งสืบมาได้
“ครอบครัวของพวกเขาทำธุรกิจค้ามนุษย์ในเมืองเวสท์ทาวน์อยู่ ก็ว่าทำไมเป็นเจ้าของธุรกิจเกี่ยวกับอาหารพื้นเมืองแต่กลับชอบออกจากเมืองบ่อยๆ”
“โอ้—
ธุรกิจค้ามนุษย์งั้นหรือครับ โยโฮ่โฮ่โฮ่”
“เอาไงดีล่ะทีนี้
ว่าไง..ลูฟี่” โซโลชะโงกหน้ามาถาม เจ้าตัวเล็กขมวดคิ้วเล็กน้อย
นามิที่เห็นลูฟี่ยังคิดไม่ตกจึงหันไปคุยเล่นกับคนที่ถูกจับตัวมาฆ่าเวลา
“รู้มั้ยว่าพวกเราเป็นใคร”
หญิงสาวที่ถูกมัดตัวอยู่มีสีหน้าลังเล แม้เธอจะมองไม่เห็น..แต่ก็เดาได้ไม่ยาก
เธอตอบด้วยเสียงเบาหวิว “เสนาธิการของกลุ่ม..”
“เดาเก่งดีนี่”
แฟรงกี้ชมพลางหัวเราะ
“เอาไงดีน๊า..”
ลูฟี่ตีขากับโซฟาไปมาจนเกิดเสียงตุบๆ ใบหน้าน่ารักพยายามครุ่นคิดอย่างหนัก
เขามองทั้งคู่ซึ่งเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดีนักพร้อมรอยยิ้มประหลาด “ยินดีที่ได้พบนะ
ฉันเป็นหัวหน้ากลุ่ม ยินดีที่ได้รู้จัก”
โอ้—
พวกเธอหน้าซีดกว่าเดิมเสียอีก ชิชิชิ
“งั้นเอาเหมือนเดิมละกันนะ
ชิชิชิ ทำให้เจ้าตัวรู้ไปเลยว่า..ถ้ากล้ามาลองดีกับพวกเราอีกจะต้องเจอกับอะไร” ชั่วครู่หนึ่งที่ผู้ถูกควบคุมตัวทั้งสองพร้อมใจกันขนลุกซู่โดยไม่ได้นัดหมาย
คาเวนดิชหัวเราะอย่างนึกขบขันในนิสัยของหัวหน้าของตัวเอง
เขาผงกหัวรับคำสั่ง คำว่าเหมือนเดิมของลูฟี่ก็คือเอาไปลงโทษแล้วค่อยส่งไปที่สถานีตำรวจ
ดอนไซชะโงกหน้ามาหา “แล้วพ่อใหญ่จะเอายังไงกับครอบครัวของพวกนี้”
“เอาไงงั้นหรือ..เน่~ โรบิน เอาไงดีล่ะ?”
“ส่งตัวให้ตำรวจพร้อมหลักฐานเรื่องธุรกิจค้ามนุษย์..แบบนี้ดีมั้ยลูฟี่”
“ชิชิชิ
ดีเลย!
สมกับที่เป็นโรบิน~”
จะว่าไป— คงต้องแนะนำตัวอีกครั้ง..
เขาชื่อ มังกี้ ดี
ลูฟี่ เป็นเด็กผู้ชายวัยรุ่นธรรมดาๆที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านฟุซา เมืองอีสท์ทาวน์
อายุ 18 ปี อยู่มัธยมปลายปี 3 ห้อง C มีปู่เป็นพลตำรวจโทแห่งกรมตำรวจสาขาแผ่นดินใหญ่
เป็นลูกชายคนเดียวของ มังกี้ ดี ดราก้อน ที่หายตัวไปเมื่อ 2 ปีก่อน
อาชีพในอนาคตที่ใฝ่ฝันคืออาชีพอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ตำรวจ ทหาร หรือนักการเมือง
และที่สำคัญ..เขาเป็นผู้นำสูงสุดของกลุ่มหมวกฟาง
----|----|----|----|----
(gif ไม่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเนื้อเรื่องเลยค่ะ เห็นน่ารักดีเลยเอาลง 5555)
ในที่สุดก็จบตอนไปซักทีกับ
22 หน้ากระดาษ ฮู้ววว
เรื่องนี้ไม่ใสค่ะ
แหะๆ ลูฟี่อาจจะไม่ได้ใสซื่อเท่าในเรื่องจริง แต่นิสัยซนๆกับชอบกินมากๆก็ยังอยู่ดี
ถ้าเทียบกับเรื่องทหารเรือเดอะซีรีย์ เรื่องนี้ค่อนข้างดาร์กกว่าและฮาร์ดคอร์กว่าพอสมควรเลย
และเรื่องนู้นก็ใสกว่าและเบนไปทางแนวคอมเมดี้มากกว่า
สามารถให้กำลังใจได้ด้วยการคอมเม้นและสามารถไปพูดคุยกันในเพจได้นะคะ
><
ปล.
ยังไม่ตรวจคำผิดเลยค่ะ ถ้าเจอก็ทักได้นะคะ TT
ความคิดเห็น